ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1596 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31901 - 31920 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31901 | การเปลี่ยนสถานะสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นองค์การระหว่างประเทศ | กต | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกฎบัตรสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เพื่อให้ประเทศสามารถดำเนินการยอมรับหรือให้ความเห็นชอบกฎบัตรฯ โดยการยื่นหนังสือให้การยอมรับหรือหนังสือให้ความเห็นชอบเพื่อเข้าเป็นภาคีกฎบัตรฯ ตามบทบัญญัติข้อ ๑๔ วรรค ๓ ของกฎบัตรฯ เพื่อให้ประเทศไทยได้ร่วมเป็นกลุ่มประเทศภาคีผู้ก่อตั้งสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ก่อนที่กฎบัตรฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ รวมทั้งสามารถดำเนินการเจรจากับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเพื่อจัดทำความตกลงสำนักงานใหญ่ (Headquarters Agreement) ระหว่างรัฐบาลไทยกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งเห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงว่าด้วยสำนักงานใหญ่ระหว่างรัฐบาลไทยกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เพื่อให้ AIT ซึ่งจะมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ (International Organization) เมื่อกฎบัตรฯ มีผลใช้บังคับ สามารถจัดตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยได้ และให้ AIT และสมาชิกสำนักเลขาธิการของ AIT ได้อุปโภคเอกสิทธิ์และความคุ้มกันในประเทศไทย และให้ส่งกฎบัตรฯ และร่างกรอบการเจรจาฯ ให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง และวรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยอมรับหรือให้ความเห็นชอบกฎบัตรฯ และให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อกฎบัตรฯ ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเจรจากับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเพื่อจัดทำความตกลงสำนักงานใหญ่ (Headquarters Agreement) ระหว่างรัฐบาลไทยกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย โดยมีสาระสำคัญไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในร่างกรอบการเจรจาความตกลงว่าด้วยสำนักงานใหญ่ระหว่างรัฐบาลไทยกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
|
||||||||||||||||||||||||
31902 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวิหารแดง จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... | มท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวิหารแดง จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบ้านลำ ตำบลเจริญธรรม ตำบลคลองเรือ ตำบลหนองสรวง ตำบลวิหารแดง และตำบลหนองหมู อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31903 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ เพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน เนื้อที่ ๘๓๖ ไร่ ๒ งาน ๘๑ ตารางวา ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามที่กำหนดไว้โดยพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าดอยสุเทพ ในท้องที่ตำบลโป่งแยง ตำบลแม่แรม ตำบลแม่สา ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม ตำบลบ้านปง ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง และตำบลช้างเผือก ตำบลสุเทพ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๔ เพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ ๘๓๖ ไร่ ๒ งาน ๘๑ ตารางวา ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์พื้นที่หลังการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๔๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31904 | ความช่วยเหลือจากต่างประเทศในการบรรเทาอุทกภัยในประเทศไทย และสารแสดงความห่วงใยจากมิตรประเทศ | กต | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับข้อเสนอความช่วยเหลือในด้านวิชาการ/ด้านเทคนิค/และการฟื้นฟูของหลายประเทศที่มีความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการระบบระบายน้ำ การบริหารจัดการน้ำเสีย การจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการฟื้นฟูประเทศหลังอุทกภัย เป็นข้อเสนอที่มีประโยชน์ที่จะสามารถสนับสนุนงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหา รวมทั้งฟื้นฟูและเยียวยาประเทศหลังน้ำลดได้อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และโดยที่ในขณะนี้ได้มีข้อเสนอความช่วยเหลือในการฟื้นฟูจากหลายประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่น่าสนใจ อีกทั้งบางประเทศได้เสนอความช่วยเหลือไปยังหน่วยราชการอื่น ๆ โดยตรงด้วย ดังนั้น เพื่อให้ข้อมูลลักษณะนี้ได้รับการรวบรวมอย่างเป็นระบบสำหรับใช้ประโยชน์ในการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลดต่อไป กระทรวงการต่างประเทศพร้อมจะสนับสนุนข้อมูลให้กับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลภาพรวมด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศหรือคณะกรรมการอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณามอบหมายเป็นการเฉพาะ เพื่อดำเนินการประมวลข้อมูลและศึกษาข้อเสนอความช่วยเหลือในการฟื้นฟูจากต่างประเทศในโอกาสแรก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนข้อมูลและประสานงานการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศให้กับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) |
||||||||||||||||||||||||
31905 | การปรับระบบบริหารงานบุคคลข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาอาจได้รับเงินประจำตำแหน่งตามที่กำหนดในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารตามที่กำหนดให้ได้รับตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๓๘ ๑.๒ กำหนดให้ตำแหน่งศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ได้รับเงินประจำตำแหน่งวิชาการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. กำหนด ๑.๓ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ (วช.) เฉพาะตำแหน่งที่กำหนด ๑.๔ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะ (ชช.) เฉพาะบุคคลที่ปฏิบัติงานโดยใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาเขต ผู้อำนวยการกอง หรือหัวหน้าหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่ากองตามที่ ก.พ.อ. กำหนด ได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหาร ๑.๖ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และข้าราชการพลเรือนสามัญ และได้รับสิทธิประโยชน์ของตำแหน่งดังกล่าว ได้รับเงินประจำตำแหน่งตามที่กำหนด ๒. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณเพื่อรองรับการกำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินประจำตำแหน่งตามระบบบริหารงานบุคคลใหม่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31906 | แจ้งคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๙๖/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ ๑ นักเรียน ประกอบด้วย นายโอฬาร ไชยประวัติ เป็นที่ปรึกษา/กรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) เป็นประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก ๑๒ คน โดยมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติ สำหรับนโยบายคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเพื่อใช้ในโรงเรียนที่รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และการให้บริการเครือข่ายไร้สายสนับสนุนการใช้งานคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตในโรงเรียนตามนโยบายของรัฐบาล ดำเนินการบูรณาการงบประมาณและประสานการดำเนินงานร่วมกับส่วนราชการและ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินงานตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อนำนโยบายคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตในโรงเรียน ซึ่งเป็นโครงการนำร่องไปสู่การปฏิบัติในระดับชาติ และวางกรอบนโยบายเพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งกำกับและติดตามผลการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31907 | เอกสารสำคัญที่จะมีการลงนามในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 15 | กก | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนกับรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการท่องเที่ยว เพื่อกระชับความเป็นหุ้นส่วนด้านการท่องเที่ยว ตลอดจนร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ๑.๒ เห็นชอบบันทึกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติของประเทศสมาชิกอาเซียนกับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และส่งเสริมความเชื่อมโยงและกระชับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติ สถาบันการศึกษา และภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในเอกสารสำคัญตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ ในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ ณ เมืองมานาโด สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๑.๔ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในเอกสารสำคัญดังกล่าว ให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ ๒. โดยที่ร่างเอกสารสำคัญทั้ง ๒ ฉบับ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงไม่ต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะมอบหมายให้ผู้อื่นเป็นผู้ลงนามในเอกสารสำคัญให้พิจารณามอบหมายผู้ที่สามารถลงนามแทนได้โดยถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31908 | การจัดตั้งทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐ | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. รับทราบการสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๖ ทุน ความคืบหน้าการดำเนินการของส่วนราชการเจ้าสังกัดของทุนหมุนเวียนดังกล่าว และเรื่อง “กรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ”เพื่อกำกับและควบคุมให้การจัดตั้งทุนหมุนเวียนเป็นไปด้วยความถูกต้องครบถ้วน และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีความประสงค์ หรืออยู่ระหว่างการศึกษาการจัดตั้งทุนหมุนเวียนมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการเสนอจัดตั้งทุนหมุนเวียนได้อย่างเหมาะสมและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด สำหรับผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนและความคืบหน้าการดำเนินการของส่วนราชการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๑ ทุน คือ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ของกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้ดำเนินการถึงขั้นตอนรอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายแล้ว ๑.๒ คณะกรรมการฯ ไม่เห็นควรให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๓ ทุน คือ ทุนหมุนเวียนสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง และกองทุนเพื่อพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองทุนการศึกษาเพื่อบุคคลออทิสติกส์ ของกระทรวงศึกษาธิการ และไม่เห็นควรให้ขยายวัตถุประสงค์ จำนวน ๑ ทุน คือ เงินทุนหมุนเวียนโรงงานฟอกหนัง ของกองทัพบก ทั้งนี้ ส่วนราชการเจ้าสังกัดทุนหมุนเวียนที่ขอจัดตั้งทั้ง ๔ แห่ง มิได้ดำเนินการจัดตั้งทุนต่อไป ๑.๓ คณะกรรมการฯ ไม่มีประเด็นการพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้ง จำนวน ๑ ทุน คือ กองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เนื่องจากมีการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวโดยบรรจุในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่นำเสนอหลักการหรือร่างกฎหมายที่มีการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนต่อคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานของรัฐนั้นดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ (เรื่อง แนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน) โดยจัดส่งข้อมูลรายละเอียดเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ตาม “กรอบคู่มือการจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ” ให้กรมบัญชีกลางในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ เพื่อให้คณะกรรมการฯ พิจารณานำเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาวินัยการเงินการคลัง และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||
31909 | ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ประกาศใช้ | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) เสนอว่า เพื่อให้การดำเนินการจัดหาพัสดุ และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทันต่อสถานการณ์ เห็นสมควรซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกาศใช้ ในประเด็นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง โดยให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ ดังนี้
๑. การจัดหาพัสดุโดยใช้งบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ ถือได้ว่าทราบยอดเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดหาแล้วตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง แล้ว ให้ส่วนราชการดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ๒. การจัดหาพัสดุโดยใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ให้ถือได้ว่าทราบยอดเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดหาพัสดุตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง เมื่อผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีกับสำนักงบประมาณแล้ว ให้ส่วนราชการดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ เมื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนได้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างแล้วจึงให้ลงนามในสัญญาได้ ๓. การจัดหาพัสดุโดยใช้งบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการ ให้ถือได้ว่าทราบยอดเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดหาแล้วตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมถึงได้พิจารณารายการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการและพิจารณาข้อสังเกตเรียบร้อยแล้ว ให้ส่วนราชการเริ่มดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมไว้ก่อนได้ ทั้งนี้ ห้ามส่วนราชการก่อหนี้ผูกพัน (ลงนามในสัญญา) จนกว่าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะประกาศใช้ และสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้ส่วนราชการแล้ว ๔. การจัดหาพัสดุโดยใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ถือได้ว่าทราบยอดเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดหาพัสดุตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยแล้ว และผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีกับสำนักงบประมาณแล้ว ให้ส่วนราชการเริ่มดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ ห้ามส่วนราชการก่อหนี้ผูกพัน (ลงนามในสัญญา) จนกว่าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะประกาศใช้ และสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้ส่วนราชการแล้ว ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการกำหนดเป็นเงื่อนไขบังคับในเอกสารประกาศการจัดซื้อหรือจัดจ้างไว้ด้วยว่า การจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้จะมีการลงนามในสัญญาซื้อหรือสัญญาจ้างได้ต่อเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะประกาศใช้ และได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากสำนักงบประมาณแล้ว และในกรณีที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากสำนักงบประมาณเพื่อการจัดหาในครั้งดังกล่าว ส่วนราชการสามารถยกเลิกการจัดหาได้
|
||||||||||||||||||||||||
31910 | เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2555 | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับเรื่อง เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการนโยบายการเงิน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจทำให้ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น และความสมดุลระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณากำหนดค่าเบี่ยงเบนให้แคบลง เพื่อให้การบริหารนโยบายการเงินที่มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจมีความชัดเจนและสอดคล้องกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งมากขึ้น และเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายการเงิน รวมทั้งควรประสานการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังร่วมกันเพื่อสร้างความเข้าใจกับสาธารณะ และพิจารณาเครื่องมือทางการเงินอื่นนอกเหนือจากการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายการเงิน นอกจากนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์เพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการควบคุมราคาสินค้าและบริการให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสมต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้การบริหารนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
31911 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | ตช | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แจ้งว่า เนื่องจากนางนภา เศรษฐกร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เปลี่ยนไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงแต่งตั้งนางระรินทิพย์ ศิโรรัตน์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๒. สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่า รองนายกรัฐมนตรี (นายเฉลิม อยู่บำรุง) ได้เห็นชอบให้พลตำรวจโท ดำริห์ โชตเศรษฐ์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ |
||||||||||||||||||||||||
31912 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เรื่อง ร่างประกาศแนวทางการปรากฏของสินค้าในเนื้อหารายการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ | สว | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เรื่อง ร่างประกาศแนวทางการปรากฏของสินค้าในเนื้อหารายการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยสาระสำคัญของผลการดำเนินงานของส่วนราชการ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงศึกษาธิการ มีความเห็นสอดคล้องในทุกประเด็นตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้พิจารณาไว้ ทั้งในข้อสังเกตและข้อเสนอแนะบทที่ ๓ และบทที่ ๔ นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการขอเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ ในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชนต้องไม่มีโฆษณาแฝง แทรก หรือปรากฏในรายการไม่ว่ากรณีใด ๆ เพื่อเป็นการปกป้องเด็กและเยาวชนจากค่านิยมและพฤติกรรมบริโภค ๑.๒ ควรกำหนดเกณฑ์ของเนื้อหาในโฆษณาประจำรายการ ๑.๓ รัฐควรมีนโยบายให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ หรือองค์การมหาชนของรัฐ จัดงบประมาณเพื่อการสนับสนุนรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชน ๑.๔ ควรมีมาตรการให้สถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการค้าลดค่าเช่าเวลาเพื่อการออกอากาศรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชน ๒. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แจ้งผลการพิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เรื่อง แนวทางการปรากฏของสินค้าในรายการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์นั้น สคบ. ได้นำเสนอรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น) แล้ว ไม่เห็นชอบกับร่างดังกล่าว สคบ. จึงได้ยุติการดำเนินการจัดทำร่าง ฯ และส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ รับไปดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ต่อไป ๓. กรมประชาสัมพันธ์ - สคบ. แต่งตั้งผู้แทนกรมประชาสัมพันธ์เป็นคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการโฆษณาในรายการสถานีวิทยุโทรทัศน์ จัดทำร่างฯ เสนอให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น) ประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณา ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่เห็นชอบกับร่างดังกล่าว ในการนี้ อำนาจหน้าที่กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงเห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติรับไปดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ต่อไป ๔. กระทรวงคมนาคม ได้รับรายงานจากหน่วยงานในสังกัด ดังนี้ ๔.๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วไม่มีความเห็นแต่ประการใด ๔.๒ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พิจารณาแล้วมีความเห็นไม่ขัดแย้งแต่อย่างใด ๔.๓ บริษัท ขนส่ง จำกัด พิจารณาแล้วเห็นว่า การออกประกาศตามร่าง ฯ ที่เสนอจะต้องออกโดยอาศัยอำนาจที่มีอยู่นั้น ในส่วนโฆษณาที่ติดกับรถโดยสารทุกครั้ง บริษัท ขนส่ง จำกัด จะต้องได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก จึงจะดำเนินการได้ ตามประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องหลักเกณฑ์ และวิธีการให้ความเห็นชอบตัวอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายเพื่อการโฆษณาที่ตัวถังที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารประจำทางและไม่ประจำทาง ๔.๔ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาแล้วไม่มีข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าวแต่ประการใด ๔.๕ การรถไฟแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า การปรากฏของสินค้าในพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย ๔.๕.๑ พื้นที่ติดตั้งป้ายโฆษณาและรูปแบบของป้ายโฆษณากำหนดให้ติดตั้งในรถโดยสารภายในอาคารและชานชาลาสถานี และพื้นที่โดยทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทยต้องอยู่ในเงื่อนไขสัญญาเช่าอย่างเคร่งครัด ๔.๕.๒ การปรากฏภาพและข้อความ ภาพ และข้อความต้องสุภาพได้รับอนุญาต ต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี หรือต่อกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย และต่อกฎหมาย โดยผู้ได้รับสิทธิให้เช่าต้องเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายพิจารณาและได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อนที่จะนำภาพและข้อความหรือสื่อโฆษณาลงเผยแพร่ทุกครั้ง ๔.๖ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพพิจารณาแล้วเห็นว่าบนรถโดยสารที่อยู่ในการกำกับดูแลขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพไม่มีการโฆษณาสินค้าผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ ๔.๗ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ๔.๗.๑ อนุญาตให้บริษัท เดอะวันพลัส จำกัด ประกอบกิจการติดตั้งเครื่องรับโทรทัศน์และบริหารจัดการระบบสถานีโทรทัศน์ ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง , ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานหาดใหญ่, ท่าอากาศยานภูเก็ตและท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย มีกำหนด ๓ ปี โดยมีเงื่อนไขในการประกอบกิจการคือ บริษัท เดอะวันพลัส จำกัด จะต้องเผยแพร่ภาพและเสียงรายการข่าวสารต่าง ๆ ทั้งภายในภายนอกท่าอากาศยาน ตลอดจนรายการบันเทิงและสารคดี โดยสามารถแพร่ภาพเสียงโฆษณาได้ตามสัดส่วนชั่วโมงละ ๙ นาที ๔.๗.๒ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) อนุญาตให้บริษัท เวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด ประกอบกิจการผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์และโฆษณาผ่านเครื่องรับโทรทัศน์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีกำหนด ๕ ปี โดยมีเงื่อนไขในการประกอบกิจการ คือ บริษัท เวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเม็นท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด จะต้องผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์และโฆษณาในสัดส่วนของรายการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเนื่องในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ร้อยละ ๒๕ รายการของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร้อยละ ๓๐ รายการข่าว สารคดี สาระความบันเทิงประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยและสังคมไทย ร้อยละ ๒๐ และโฆษณาทางโทรทัศน์ ร้อยละ ๒๕ ๔.๗.๓ เงื่อนไขอื่น ๆ ในการประกอบกิจการดังกล่าวซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้รับอนุญาต ดังนี้ ๔.๗.๓.๑ ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ประกอบตามสัญญานี้ ไม่ว่ากฎหมายนั้นจะมีบังคับใช้อยู่ก่อน หรือที่จะกำหนดขึ้นใหม่ก็ตาม ๔.๗.๓.๒ ผู้รับอนุญาตต้องจัดทำผังรายการทั้งหมดทั้งรายละเอียดการโฆษณา เสนอให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการแพร่ภาพออกอากาศ ๔.๗.๓.๓ ภาพหรือข้อความเสียงใด ๆ ที่เผยแพร่ทางจอภาพจะต้องอยู่ในขอบเขตที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กำหนด ไม่ขัดต่อประเพณี วัฒนธรรม และศีลธรรมอันดีของไทย ภาพหรือข้อความหรือวัสดุบันทึกภาพและเสียงหรือแผ่นวีซีดี ดีวีดี หรือสื่ออื่น ๆ ที่เผยแพร่ทางจอภาพจะต้องเสนอให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาและตรวจสอบเป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๕ วัน ก่อนที่ผู้รับอนุญาตจะรับไปแพร่ภาพ ๔.๗.๓.๔ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สงวนสิทธิ์ที่จะให้ผู้รับอนุญาตระงับการแพร่ภาพทันที หากบริษัท ท่าอากาศยาน จำกัด (มหาชน) ตรวจสอบพบว่าผู้รับอนุญาตแพร่ภาพที่ไม่เหมาะสมโดยผู้รับอนุญาตตกลงปฏิบัติตาม และจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งสิ้น และจะแพร่ภาพได้อีกเมื่อได้รับอนุญาตจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เท่านั้น |
||||||||||||||||||||||||
31913 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ 1/2554 | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กรรมการและเลขานุการ กยน.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ กยน. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุม กยน. ได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑.๑ กรอบการดำเนินงานของ กยน. ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งข้อเท็จจริง สาเหตุการเกิดปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการเพื่อสรุปประมวลเสนอ กยน. และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน ๒ ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วน มีนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา เป็นประธาน ทำหน้าที่ศึกษากำหนดแผนงานโครงการเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนที่จะมาถึงนี้ และคณะอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน มีนายกิจจา ผลภาษี เป็นประธาน ทำหน้าที่ศึกษาวางระบบการบริหารจัดการ ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และท้ายน้ำ ครอบคลุมทั้งประเทศ ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการทั้ง ๒ ชุด กำหนดประเด็นความช่วยเหลือที่จะรับจากองค์กรระหว่างประเทศและประเทศต่าง ๆ และจัดลำดับความสำคัญของการรับความช่วยเหลือ โดยในเบื้องต้นให้รับความช่วยเหลือจาก JICA ในการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมก่อน นอกจากนี้ ให้แต่งตั้งคณะทำงานวางระบบการพยากรณ์น้ำ มีนายสมิทธ ธรรมสโรธ เป็นประธาน ทำหน้าที่ในการศึกษา รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ และวิเคราะห์ด้วยแบบจำลอง เพื่อใช้ในการพยากรณ์ที่มีความแม่นยำ และคณะทำงานบริหารจัดการระบบคู คลอง ต่าง ๆ โดยทำหน้าที่พิจารณาว่า คู คลอง และประตูระบายน้ำในพื้นที่ใดที่ต้องซ่อมแซม โดยมีกรุงเทพมหานครเข้ามาร่วมดำเนินการ ๑.๑.๒ ข้อเสนอการดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของฝ่ายเลขานุการ กยน. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการ กยน. โดยมีกรอบวงเงินงบประมาณการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ส.กยน.) วงเงิน ๑๕๓.๗๖ ล้านบาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการประสานหารือกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อขอสนับสนุนในเรื่องสถานที่ทำการของ ส.กยน. ๑.๑.๓ และการจัดประชุม Water summit ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ชะลอการจัดประชุม Water summit และให้มีการยกระดับการประชุมให้เป็นการประชุมระดับผู้นำ เชื่อมโยงกับความร่วมมือระหว่างภูมิภาค และการจัดการน้ำในลุ่มน้ำโขง ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการกำหนดกรอบอัตรากำลังเจ้าหน้าที่สำหรับปฏิบัติงานใน ส.กยน. จำนวน ๓๑ คน ประกอบด้วยรองเลขาธิการหรือผู้ช่วยเลขาธิการ ๑ คน ข้าราชการ ๑๐ คน พนักงานราชการและลูกจ้าง ๒๐ คน โดยการยืมตัวบุคคลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดจ้างเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมกรอบอัตรากำลังของ ส.กยน. ในเบื้องต้น จำนวน ๓๑ คน ๑.๓ เห็นชอบการจัดสรรกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๓.๗๖ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของ ส.กยน. ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของ ส.กยน. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการของ กยน. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับบุคลากรที่จะมาปฏิบัติงานใน ส.กยน. ควรคัดเลือกจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และในระยะต่อไปหากจำเป็นต้องเพิ่มอัตรากำลัง อาจพิจารณาจัดจ้างพนักงานราชการตามความจำเป็นของลักษณะงาน รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการของ ส.กยน. เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินงานตามบทบาทภารกิจและการจัดอัตรากำลังที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31914 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไปพลางก่อน | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีใช้จ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ส.กยน.) ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระยะเร่งด่วนและระยะยั่งยืน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ภายในกรอบวงเงิน ๑๕๓,๗๖๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของ ส.กยน. แล้วขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและความพร้อมของการปฏิบัติงาน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
31915 | ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ครั้งที่ 3/2554 | มท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการ กฟย. เสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการจัดจ้างแรงงานเกษตรกรในหมู่บ้านหรือชุมชนที่ประสบภัย เพื่อฟื้นฟูบูรณะซ่อมสร้างชุมชน (Work for Food) ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กรอบวงเงิน ๒๘๓.๕ ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ ๙ จังหวัด ๆ ละ ๗,๐๐๐ คน (ครัวเรือนละ ๑ คน ค่าจ้าง ๑๕๐ บาทต่อวัน) ระยะเวลาดำเนินการ ๒๐ วัน และสามารถขยายระยะเวลาการจ้างต่อได้อีก ๑๐ วัน พร้อมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการจัดกลุ่มประเภทแรงงาน สำรวจพื้นที่ดำเนินการ และจัดทำรายละเอียดช่วงระยะเวลาดำเนินการในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์โครงการฯ และตรวจสอบความพร้อมด้านต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยต่อไป ไปประกอบการจัดทำรายละเอียดของงบประมาณ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในหลักการของกรอบวงเงินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตรปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ เพิ่มเติม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๘,๘๙๕.๙๑ ล้านบาท โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียดตามแบบฟอร์มโครงการของสำนักงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง หลักเกณฑ์การวิเคราะห์โครงการเพื่อจัดลำดับความสำคัญและตรวจสอบความพร้อมด้านต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์โครงการและตรวจสอบความพร้อมด้านต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยต่อไป ไปประกอบการจัดทำรายละเอียดของงบประมาณ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๓ รับทราบผลการหารือตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ระหว่างภาคเอกชนญี่ปุ่น นำโดยนาย Setsuo luchi ประธาน JETRO ประเทศไทย และภาคเอกชนญี่ปุ่น ๖ บริษัท กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งภาคเอกชนญี่ปุ่นขอให้ภาครัฐพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในการฟื้นฟูโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ การสนับสนุนน้ำบริสุทธิ์ (purified water) และน้ำสะอาด (clean water) เพื่อใช้ทำความสะอาดเครื่องจักรและโรงงานที่ประสบอุทกภัย การสนับสนุนระบบไฟฟ้าเพื่อใช้ในการซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบการผลิต การจัดเตรียมวิศวกรไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบด้านความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงานที่ประสบอุทกภัย การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน การสนับสนุนด้านการเงินสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การเข้าถึงข้อมูลอุทกภัย มาตรการเยียวยาและการป้องกันอุทกภัยของรัฐบาล และการเตรียมการเพื่อดูแลและป้องกันโรคระบาดภายหลังน้ำลดสำหรับผู้ประกอบการและพนักงานในโรงงาน ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยและสภาวิศวกรในการจัดเตรียมวิศวกรไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบด้านความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงานที่ประสบอุทกภัย และให้กระทรวงพาณิชย์ประสานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางการสนับสนุนด้านการเงินสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภายใต้กรอบพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ ๒. สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตรปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษเพิ่มเติม วงเงิน ๑๘,๘๙๕.๙๑ ล้านบาท มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นเร่งด่วนและตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละจังหวัด รวมทั้งให้มีการกระจายความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการด้านพืช ด้านประมง และด้านปศุสัตว์ ส่วนความช่วยเหลือรายการใดที่ไม่เร่งด่วนและสามารถรอดำเนินการได้ ก็ให้พิจารณานำไปขอเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31916 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2554 (ครั้งที่ 139) | พน | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๙) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕) และแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ตามลำดับ กับเห็นชอบนโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย (Thailand Energy Policy) ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) และแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) ๑.๒ เห็นชอบแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2012 - 2021) ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศเป็นร้อยละ ๒๕ ๑.๓ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) ที่กระทรวงพลังงานปรับปรุงตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีเป้าหมายลดระดับการใช้พลังงานต่อผลผลิตลงร้อยละ ๒๕ ภายใน ๒๐ ปี ๑.๔ เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการค่าไฟฟ้าฟรี โดยปรับลดจำนวนหน่วยการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน จากไม่เกิน ๙๐ หน่วยต่อเดือน เป็นไม่เกิน ๕๐ หน่วยต่อเดือน และกระจายภาระค่าใช้จ่ายไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะอย่าง และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนิการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยพิจารณาถึงวันเริ่มต้นการใช้มาตรการค่าไฟฟ้าฟรีที่ปรับปรุงใหม่ให้มีความเหมาะสม ๑.๕ เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และให้กระทรวงพลังงานรับไปแก้ไขปัญหาการผลิตและการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (G-Base) และนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป ๒. ที่ประชุมมีมติรับทราบแนวทางและหลักเกณฑ์ในการดำเนินโครงการแผนการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด ภายในวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ของกระทรวงพลังงาน และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรระบุเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน โดยให้ความสำคัญกับมาตรการช่วยเหลือทางการเงินหรือเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประสบภัยในการฟื้นฟู ซ่อมแซมอุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31917 | ขออนุมัติเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศ โครงการ Asia Pacific Observatory on Health Systems and Policies | สธ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโครงการ Asia Pacific Observatory on Health Systems and Policies โดยบริจาคเงินอุดหนุนให้แก่องค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๓,๐๙๕,๐๐๐ บาท เพื่อให้ประเทศไทยเข้าไปมีบทบาทในการเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกำกับทิศทาง ในการสร้างและขยายบทบาทการเป็นผู้นำด้านสุขภาพในระดับภูมิภาค และเป็นการขยายเครือข่ายการทำงานวิจัยด้านนโยบายและระบบสุขภาพ รวมทั้งเป็นการสร้างภาพพจน์อันดีของประเทศไทยในประชาคมโลกและระดับภูมิภาค โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องบริจาคในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามนัยมาตรา ๑๙๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ นอกจากนี้ เมื่อมีการจัดทำร่างความตกลงเกี่ยวกับการบริจาคเงินอุดหนุนฯ กับองค์การอนามัยโลก ส่วนราชการเจ้าของเรื่องอาจพิจารณาส่งร่างความตกลงฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาในประเด็นมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ก่อนที่จะลงนามและดำเนินการแสดงเจตนาให้ความตกลงมีผลผูกพันต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31918 | โครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 1 เมกกะวัตต์ | วท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด ๑ เมกกะวัตต์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และอนุมัติงบประมาณจำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นงบดำเนินการในการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการฯ ในด้านต่าง ๆ เช่น ชนิดและความพอเพียงของชีวมวล พื้นที่ดำเนินโครงการ รูปแบบการลงทุน หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ เทคโนโลยีการผลิต ความคุ้มค่าและผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมและการยอมรับของชุมชน และรูปแบบการบริหารจัดการ เป็นต้น สำหรับงบประมาณในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลต้นแบบนั้น ให้พิจารณาใช้แหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่มีภารกิจที่สอดคล้องกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดหาเชื้อเพลิงที่จะใช้ป้อนโรงไฟฟ้าและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการฯ และมีการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าใหม่ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้โรงไฟฟ้าใหม่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่บรรยากาศอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อสร้างความร่วมมือในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินโครงการนอกเหนือจากงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณไว้จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานงานกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อขอใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานหรือแหล่งทุนอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31919 | รายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (วันที่ 19 - 25 ธันวาคม 2554 และ วันที่ 27 ธันวาคม 2554 - 2 มกราคม 2555) | ทก | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสภาวะอากาศทั่วไปในรอบสัปดาห์และการพยากรณ์อากาศใน ๗ วันข้างหน้า ของกรมอุตุนิยมวิทยา ๑.๑ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น ส่วนบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปมีฝนตกกระจายและมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรง คลื่นสูง ๒ - ๕ เมตร ๑.๒ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันข้างหน้า (ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๒ มกราคม ๒๕๕๕) ช่วงต้นสัปดาห์ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็น บริเวณภูเขาสูงในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง ๒ - ๔ เมตร หลังจากนั้นบริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง แต่โดยทั่วไปยังคงทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นและมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนกระจาย และอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง ๒ - ๓ เมตร ๒. รายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ๒.๑ การดำเนินงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีการแจ้งข่าวแผ่นดินไหว และการแจ้งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ซึ่งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้เฝ้าระวังสภาวะอากาศและติดตามประเมินผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตรียมพร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้เกิดภัยพิบัติได้ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่อาจเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ต้นน้ำ และดินโคลนถล่ม ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ด้วย ๒.๒ การดำเนินการของ ศปภ. ตั้งแต่วันที่ ๙ ตุลาคม - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้รับแจ้งจากผู้ขอความช่วยเหลือโดยผ่านหมายเลข ๑๑๑๑ กด ๕ โดยมีจำนวนผู้โทรเข้าทั้งหมด ๙๕๘,๗๒๑ ราย แยกเป็นการโทรเพื่อขอความช่วยเหลือ ๑๕๙,๔๘๙ ราย สอบถาม ๔๕๕,๗๘๑ ราย ร้องเรียน ๙,๕๒๖ ราย ชมเชย ๗๓๓ ราย แจ้งบริจาค ๓,๔๖๔ ราย ติดตามงาน ๒,๖๓๐ ราย โทรระบายความเครียด ๓๒๔,๘๒๓ ราย และข้อเสนอแนะ ๒,๒๗๕ ราย
|
||||||||||||||||||||||||
31920 | รายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2554) | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ ๑๓ - ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำในภาพรวม ๑.๑ สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณร้อยละ ๘๙ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยเขื่อนในภาคใต้ต้องพร่องน้ำเพื่อบริหารจัดการรับอุทกภัย ๑.๒ เขื่อนที่มีน้ำล้นอาคารระบายน้ำ มีจำนวน ๖ แห่ง ประกอบด้วย เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จังหวัดเชียงใหม่ เขื่อนกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง เขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำแซะ จังหวัดนครราชสีมา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี และเขื่อนกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี สำหรับเขื่อนที่มีน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดีมาก มีจำนวน ๒๑ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๕๑ - ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดี มีจำนวน ๕ แห่ง และเขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๓๑ - ๕๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำพอใช้ มีจำนวน ๑ แห่ง ส่วนสภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง ๒. สถานการณ์อุทกภัยในรอบสัปดาห์ มีพื้นที่ที่เกิดเหตุน้ำท่วม ๑๐ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี พัทลุง และปัตตานี ๓. การเตรียมรับสถานการณ์อุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓.๑ สภาพภูมิอากาศในสัปดาห์หน้า คาดว่าวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ความกดอากาศสูงกำลังแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป มีฝนตกกระจายและอาจจะมีฝนตกหนักบางแห่ง ๓.๒ สถานีเตือนภัยล่วงหน้าของกรมทรัพยากรน้ำมีการแจ้งเตือนภัยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน ๔ สถานี ครอบคุลม ๑๕ หมู่บ้าน ใน ๒ จังหวัด โดยแบ่งออกเป็นการเตือนภัยในระดับเตรียมอพยพ ๒ สถานี ครอบคลุม ๗ หมู่บ้าน ใน ๒ จังหวัด คือ ที่อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง และการเตือนในระดับเฝ้าระวัง ๒ สถานี ครอบคลุม ๘ หมู่บ้าน ที่อำเภอพิปูน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช ๓.๓ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เขื่อนขนาดใหญ่ของกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีปริมาณน้ำลดลงเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณฝนลดลง สำหรับพื้นที่ภาคใต้ยังอยู่ในช่วงปลายฤดูฝน แต่เนื่องจาก กฟผ. ได้ควบคุมน้ำในเขื่อนบางลางไว้แล้ว ทำให้สามารถรองรบสถานการณ์น้ำหลากได้ ๓.๔ สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติภายในสัปดาห์นี้ ส่วนพื้นที่ลุ่มการเกษตรจะยังคงมีน้ำท่วมขังบ้าง ๓.๕ กรมควบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักที่รองรับน้ำหลากลงสู่ทะเลอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดปทุมธานีลงไป และแม่น้ำท่าจีนตั้งแต่จังหวัดนครปฐมลงไป ๓.๖ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ติดตามสถานการณ์น้ำและการประสานงานด้านการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสนับสนุนระบบประปาสนาม รถบรรทุกน้ำ รถบรรทุก และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัย การซ่อมแซมบ่อบาดาล การประสานเครือข่ายแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ๓.๗ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และ กฟผ. เร่งการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Rule Curve) ให้สอดคล้องกับสภาพทางอุทกวิทยาในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งพิจารณาบริหารการระบายน้ำแบบองค์รวม เช่น ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ต้องพิจารณาแยกเป็นพื้นที่ ประกอบด้วย ๔ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ด้านเหนือเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ พื้นที่ท้ายเขื่อนทั้งสองถึงเขื่อนเจ้าพระยา พื้นที่จากเขื่อนเจ้าพระยาถึงปากแม่น้ำ และระดับน้ำทะเลหนุนในช่วงเวลาต่าง ๆ
|
.....