ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1595 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31881 - 31900 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31881 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดใหม่ขุนเขวา ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดใหม่ขุนเขวา ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดใหม่ขุนเขวา ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๓ สายบ้านไผ่ - อุบลราชธานี ตอนมหาสารคาม - ร้อยเอ็ด ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
31882 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนเรศวร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนเรศวร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของสาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
31883 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองโพธาราม จังหวัดราชบุรี พ.ศ. .... | มท | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองโพธาราม จังหวัดราชบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลสร้อยฟ้า ตำบลคลองตาคต ตำบลบ้านเลือก ตำบลโพธาราม ตำบลท่าชุมพล ตำบลบ้านฆ้อง ตำบลคลองข่อย และตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
31884 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ้านขอ ตำบลทุ่งกว๋าว อำเภอเมืองปาน และตำบลบ้านค่า อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ้านขอ ตำบลทุ่งกว๋าว อำเภอเมืองปาน และตำบลบ้านค่า อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจาณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ้านขอ ตำบลทุ่งกว๋าว อำเภอเมืองปาน และตำบลบ้านค่า อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีแนวเขตปฏิรูปที่ดินบางส่วนอยู่ในพื้นที่ควรสงวนไว้ไม่นำไปปฏิรูปที่ดิน สมควรที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต้องประสานกับกรมป่าไม้เมื่อจะเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||
31885 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ในท้องที่จังหวัดน่าน จำนวน 2 ฉบับ | กษ | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอบ่อเกลือ ตำบลเจดีย์ชัย ตำบลวรนคร ตำบลปัว ตำบลศิลาแลง ตำบลป่ากลาง ตำบลศิลาเพชร ตำบลอวน อำเภอปัว ตำบลป่าแลวหลวง ตำบลพงษ์ ตำบลดู่พงษ์ อำเภอสันติสุข และตำบลแม่จริม ตำบลหนองแดง ตำบลหมอเมือง ตำบลน้ำปาย ตำบลน้ำพาง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๒๗ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่กิ่งอำเภอสันติสุข อำเภอเมืองน่าน และอำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลทุ่งศรีทอง ตำบลนาเหลือง ตำบลน้ำปั้ว ตำบลจอมจันทร์ ตำบลตาลชุม ตำบลปงสนุก ตำบลยาบหัวนา ตำบลกลางเวียง ตำบลไหล่น่าน ตำบลขึ่ง ตำบลแม่สา ตำบลส้านนาหนองใหม่ ตำบลอ่ายนาไลย ตำบลส้าน ตำบลแม่สาคร ตำบลน้ำมวบ อำเภอเวียงสา และตำบลศรีษะเกษ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๒
|
||||||||||||||||||
31886 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ รายละเอียด และวิธีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... | กก | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ รายละเอียด และวิธีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินกิจการต่อนายทะเบียนภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของทุกปี โดยกรณีบุคคลธรรมดา ให้ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุที่ทำประกันให้แก่นักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยว และกรณีนิติบุคคล ให้ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุที่ทำประกันให้แก่นักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยว และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้น ในเวลาที่มีการแจ้งข้อมูลที่รับรองโดยนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ๒. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการมอบงานให้แก่มัคคุเทศก์ที่รับทำงานให้แก่ตน พร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด ๓. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวแจ้งข้อมูลการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนนิติบุคคลต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนดังกล่าว พร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานแสดงการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนที่รับรองโดยนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท
|
||||||||||||||||||
31887 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยผลการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ในภาพรวม สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ธ.จ. ได้ขับเคลื่อนให้มีการประชุม ก.ธ.จ. ทั้ง ๗๕ คณะ รวม ๒๗๖ ครั้ง โดย ก.ธ.จ. ที่จัดประชุมมากที่สุด จำนวน ๕ ครั้ง รวม ๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น ฉะเชิงเทรา นครปฐม นครนายก ปราจีนบุรี สมุทรปราการ และสระแก้ว สำหรับจังหวัดอื่น ๆ มีการจัดประชุม จำนวน ๔ ครั้ง รวม ๓๗ จังหวัด และจัดประชุม ๓ ครั้ง รวม ๓๑ จังหวัด ซึ่งในการประชุมแต่ละครั้งจะมีการพิจารณากลั่นกรองเรื่องที่พบจากการสอดส่องก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม เพื่อให้การปฏิบัติงานของ ก.ธ.จ. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าไปพร้อมกัน ๒. ก.ธ.จ. ได้ดำเนินการสอดส่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่/หน่วยงานของรัฐ ซึ่งผลการสอดส่องของ ก.ธ.จ. ในภาพรวมทั้ง ๗๕ คณะ/จังหวัด พบว่าเจ้าหน้าที่/หน่วยงานของรัฐปฏิบัติภารกิจหรือบริหารจัดการโครงการไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลกิจการบ้านเมืองที่ดี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๒๓ (๖) การปฏิบัติภารกิจโดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสมากที่สุด และข้อ ๒๓ (๔) การปฏิบัติภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่า ส่วนการสอดส่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่/หน่วยงานของรัฐในเรื่องร้องเรียน พบว่าเจ้าหน้าที่/หน่วยงานของรัฐปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี แยกเป็นกรณีที่ไม่เป็นไปตามระเบียบฯ ข้อ ๒๓ (๓) การปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และข้อ ๒๓ (๑) การปฏิบัติภารกิจไม่เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม ตลอดจนไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ๓. ก.ธ.จ. ได้มีการพิจารณาและมีมติเรื่องที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบการทำงานของ ก.ธ.จ. ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหลายเรื่อง เช่น ดำเนินการจัดสัมมนาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสร้างเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน การมอบหมายให้รองประธาน ก.ธ.ข. ทำหน้าที่ประธานในการประชุมปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของ ก.ธ.จ. อย่างไม่เป็นทางการก่อนจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ก.ธ.จ. อย่างเป็นทางการ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
31888 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๓๔,๖๐๐ ล้านบาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุ ๑๒ ปี จำนวน ๑๘,๙๐๐ ล้านบาท และอายุ ๑๘ ปี จำนวน ๑๕,๗๐๐ ล้านบาท รวมทั้งแจ้งให้สถาบันการเงิน บริษัทประกันชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และสำนักงานประกันสังคม รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖๐ แห่ง เสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน ๒ รุ่นอายุดังกล่าว ได้แก่ ตั๋วสัญญาใช้เงิน รุ่นอายุ ๑๒ ปี มีสถาบันต่าง ๆ เสนออัตราดอกเบี้ยโดยเสนออยู่ระหว่างร้อยละ ๔.๑๕ - ๔.๓๐ ต่อปี มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ ๔.๒๘๘ ต่อปี และตั๋วสัญญาใช้เงิน รุ่นอายุ ๑๘ ปี มีสถาบันต่าง ๆ เสนออัตราดอกเบี้ยโดยเสนออยู่ระหว่างร้อยละ ๔.๕๐ - ๔.๖๓ ต่อปี มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ ๔.๕๘๒ ต่อปี ๒. กระทรวงการคลังได้นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน ๓๔,๖๐๐ ล้านบาท ไปปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ๒.๑ ชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๑๐,๗๖๙.๗๑ ล้านบาท สำหรับสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๒ วงเงินที่ ๑ จำนวน ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท สัญญาลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ตามยอดเงินกู้คงค้าง ทำให้การชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้นี้เสร็จสิ้นแล้ว ๒.๒ ชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๒๓,๘๓๐.๒๙ ล้านบาท สำหรับสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๒ วงเงิน ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท สัญญาลงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ทำให้สัญญาเงินกู้นี้มียอดหนี้เงินกู้คงค้างอีกจำนวน ๒๑,๑๖๙.๗๑ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
31889 | ร่างกฎกระทรวงการขอและการให้ความช่วยเหลือการส่งเสริม หรือการสนับสนุนและคุณสมบัติของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือองค์การเอกชนที่มีสิทธิขอความช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. .... | อก | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการให้ความช่วยเหลือการส่งเสริม หรือการสนับสนุนและคุณสมบัติของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือองค์การเอกชนที่มีสิทธิขอความช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือสนับสนุน จากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่ประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคุณสมบัติของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือองค์การเอกชน ที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๒. กำหนดให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือองค์การเอกชน ที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือสนับสนุนจากกองทุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ยื่นคำขอพร้อมเอกสารและหลักฐานที่กำหนด ๓. กำหนดแนวทางปฏิบัติของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เมื่อได้รับคำขอแล้ว ๔. กำหนดขอบเขตการจัดสรรเงินกองทุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือสนับสนุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือองค์การเอกชน ๕. กำหนดให้การให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือสนับสนุนจากกองทุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทำความตกลงหรือสัญญาเป็นหนังสือกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือองค์การเอกชน ตามแบบที่ผู้อำนวยการกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหาร
|
||||||||||||||||||
31890 | Input for Compilation Document ของประเทศไทย | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่าได้จัดทำ Input for Compilation Document ซึ่งที่ประชุม PrepCom 2 เมื่อวันที่ ๗ - ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้เชิญชวนให้ประเทศสมาชิก องค์กรของสหประชาชาติ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดส่งข้อเสนอ Inputs for Compilation Document ให้สำนักเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ เพื่อใช้ประกอบเป็นฐานในการจัดเตรียมร่างเอกสาร (Zero - draft of the outcome document) ซึ่งจะเป็นผลลัพธ์ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการเตรียมการสำหรับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ โดยมีประเด็นสำคัญคือ หลักการพื้นฐาน ซึ่งกล่าวถึงผลลัพธ์จากการประชุม Rio + 20 ควรยืนยันหลักการที่ได้กำหนดไว้ในปฏิญญาริโอ (Rio Declaration) เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๒ และควรให้รัฐบาลให้คำมั่นอีกครั้งที่จะดำเนินการตามหลักการดังกล่าว ดังนั้น การประชุม Rio + 20 จึงไม่ควรเจรจาหลักการใหม่ ๆ แต่ควรหาบทสรุปร่วมกันเพื่อลดช่องทางการดำเนินงานที่ผ่านมา รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ ได้แก่ เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดความยากจน และกรอบสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Institutional Framework for Sustainable Development : IFSO) เกี่ยวกับการเพิ่มขีดความสามารถของเสาหลักด้านสิ่งแวดล้อม ทางเลือกในการปฏิรูปของ IFSO และบทบาทของคณะกรรมการระดับภูมิภาคขององค์การสหประชาชาติ
|
||||||||||||||||||
31891 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม 2554 | อก | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตอุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าจะชะลอตัวลง จากการที่โรงงานผลิตอาหารและเครื่องดื่มได้รับผลกระทบของอุทกภัย สำหรับการจำหน่ายสินค้าอาหารในประเทศ คาดว่าอาจได้รับผลดีในระยะสั้นจากแรงกระตุ้นของสถานการณ์อุทกภัย ทำให้ประชาชนเร่งจับจ่ายใช้สอย รวมถึงกักตุนสินค้า แต่อาจส่งผลต่อระดับราคาสินค้า ปริมาณสต็อก และตามมาด้วยการขาดแคลนจากปัญหาระบบการขนส่งที่ถูกตัดขาด และการหยุดผลิตของโรงงานอาหารสำคัญ ๆ ๒. อุตสาหกรรมยานยนต์ คาดว่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ โรงงานผลิตรถยนต์ บริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการหยุดการผลิตตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ และยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเริ่มผลิตได้อีกครั้งเมื่อไร ส่วนโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์หลายรายก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ส่งผลให้ไม่สามารถส่งชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นขาดชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต
|
||||||||||||||||||
31892 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค) | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้กรณีที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคขาดคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น เกี่ยวกับทุนที่ชำระแล้ว การให้บริการแก่รัฐวิสาหกิจในเครือ รายจ่าย จำนวนพนักงาน การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงาน ฯลฯ ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้สิทธิที่จะได้รับการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้สิ้นสุดลงนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก ๒. กรณีที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคได้แจ้งเลิกการเป็นสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคภายในห้ารอบระยะเวลาบัญชีนับแต่วันที่มีการจดแจ้งการเป็นสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ให้สิทธิที่จะได้รับการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้สิ้นสุดลงนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก
|
||||||||||||||||||
31893 | รายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐได้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิการเข้าใช้งานระบบจัดซื้อจัดจ้าง (e - Government Procurement : e - GP) จำนวนทั้งสิ้น ๔๘,๗๑๑ แห่ง ลงทะเบียนแล้ว ๓๔,๓๙๔ แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๐.๖๑ ของหน่วยงานทั้งหมด ๒. หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้าง จำนวนทั้งสิ้น ๗๗,๖๓๖ โครงการ วงเงินงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง ๒๐๙,๒๕๙.๒๘ ล้านบาท มูลค่าที่จัดหาได้ ๑๙๘,๔๕๖.๗๙ ล้านบาท สามารถประหยัดเงินงบประมาณได้ถึง ๑๐,๘๐๒.๔๙ ล้านบาท หรือประหยัดได้ร้อยละ ๕.๑๖ ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด โดยจำแนกตามประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้ ๒.๑ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกตามประเภทหน่วยงาน พบว่า ส่วนราชการมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างในระบบ e - GP มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ตามลำดับ ๒.๒ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกตามวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง พบว่า หน่วยงานภาครัฐมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction ในระบบ e - GP มากที่สุด รองลงมาคือ วิธีสอบราคา และวิธีประกวดราคา ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาตามแต่ละประเภทหน่วยงาน พบว่าหน่วยงานทุกประเภทประกาศจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction มากที่สุดเช่นเดียวกัน แต่สัดส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละวิธีเทียบกับวงเงินงบประมาณทั้งหมดจะแตกต่างกันไป โดยรัฐวิสาหกิจจะมีสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction สูงสุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ในขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีสอบราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ๒.๓ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทการจัดหา ได้แก่ การซื้อวัสดุครุภัณฑ์ การจ้างก่อสร้าง การจ้างเหมาบริการ และการเช่า พบว่า วิธีสอบราคาและวิธีประกวดราคาส่วนใหญ่เป็นงานซื้อวัสดุครุภัณฑ์ ในขณะที่วิธี e - Auction ส่วนใหญ่เป็นงานจ้างก่อสร้าง และเมื่อจำแนกการจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทการจัดหาของแต่ละหน่วยงาน ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ มีการก่อสร้างมากที่สุด รองลงมาคือ การจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ ส่วนรัฐวิสาหกิจมีการจ้างก่อสร้างมากที่สุดเช่นเดียวกัน รองลงมาคือ การจ้างเหมาบริการ ๒.๔ การจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทสินค้าและบริการ ได้แก่ วัสดุครุภัณฑ์ งานจ้างก่อสร้าง งานจ้างเหมา และงานเช่า ซึ่งมีทั้งหมด ๔๗ ประเภท พบว่า ประเภทสินค้าและบริการที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูงสุด คือ งานจ้างก่อสร้างและปรับปรุง รองลงมา ได้แก่ งานจ้างเหมาบริการ วัสดุครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์และการแพทย์ วัสดุครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง วัสดุครุภัณฑ์การศึกษา วัสดุครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และวัสดุครุภัณฑ์ก่อสร้าง ตามลำดับ ๒.๕ การจัดซื้อจัดจ้างตามหน่วยงานที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุด แบ่งตามประเภทหน่วยงาน ได้แก่ ส่วนราชการระดับกรม สถานศึกษา สถานพยาบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุดของส่วนราชการระดับกรมมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ ๗๕.๖๖ เมื่อเทียบกับมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของกรมทั้งหมด ในขณะที่สถานศึกษา สถานพยาบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสัดส่วนมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุดเพียงร้อยละ ๒๗.๘๓ ๓๑.๘๔ และ ๑๙.๖๓ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||
31894 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | มท | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์) ประธานคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ได้ให้ความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยสำหรับโครงการที่ดำเนินการได้ทันทีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ (เพิ่มเติม) ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณาร่วมกันแล้ว ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๙,๕๕๘.๒๐๘๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||
31895 | องค์ประกอบคณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย - อเมริกัน (ฟุลไบรท์) ประจำปี 2555 | กต | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้คงองค์ประกอบคณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย - อเมริกัน (ฟุลไบรท์) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามองค์ประกอบเดิมในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งจะมีวาระตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายมนัสพาสน์ ชูโต อดีตเอกอัครราชทุต ณ กรุงวอชิงตัน ประธานกรรมการ ๒. อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ หรือผู้แทน กรรมการ ๓. ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ หรือผู้แทน กรรมการ ๔. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรรมการ ๕. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรรมการ ๖. ผู้แทนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรรมการ ๗. นายกสมาคมฟุลไบรท์ไทย กรรมการ
|
||||||||||||||||||
31896 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | กต | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ รวม ๓ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย - มาเลเซีย ขอแก้ไขชื่อตำแหน่งขององค์ประกอบคณะกรรมการ ลำดับที่ ๖ จาก อธิบดีกรมอุทกศาสตร์ หรือผู้แทน เป็น เจ้ากรมอุทกศาสตร์ หรือผู้แทน ๒. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ขอแก้ไขตัวสะกดขององค์ประกอบคณะกรรมการ ลำดับที่ ๑๘ จาก นายณัฎฐวุฒิ โพธิสาโร เป็น นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร ๓. คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับภูมิภาคลาตินอเมริกา ขอความเห็นชอบรายละเอียดอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบคณะกรรมาธิการฯ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะแจ้งให้สำนักงานผู้แทนการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยแต่งตั้งผู้แทน และจะตรวจสอบคุณสมบัติให้มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
31897 | แจ้งผลคดี (นายเกาศัลย์ แก้วยิ่งยงค์ ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวก รวม 3 คน ต่อศาลจังหวัดนครปฐม โดยอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลจังหวัด นครปฐมต่อศาลฎีกา) | อส | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งของศาลจังหวัดนครปฐมและความเห็นของสำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐมในคดีหมายเลขดำที่ ๔๔๘/๒๕๕๓ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๒/๒๕๕๓ ระหว่าง นายเกาศัลย์ แก้วยิ่งยงค์ โจทก์ คณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน จำเลย ศาลจังหวัดนครปฐมได้มีคำสั่งว่า เมื่อโจทย์นำคดีไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ศาลปกครองจะต้องดำเนินการส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย ตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งสำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐมได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งของศาลจังหวัดนครปฐมชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นควรไม่อุทธรณ์
|
||||||||||||||||||
31898 | การตรวจสอบงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 และ 2551 ของสำนักงานศาลยุติธรรม | ศย | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง การตรวจสอบงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ ของสำนักงานศาลยุติธรรม
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ ๑. งบแสดงฐานะทางการเงิน ๑.๑ ทรัพย์สิน ๑.๑.๑ ปี ๒๕๕๑ มีสินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๑๕,๗๘๕,๑๖๘,๓๔๗.๐๘ บาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๑๐,๔๕๔,๙๖๖,๑๖๑.๘๘ บาท ๑.๑.๒ ปี ๒๕๕๒ มีสินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๑๘,๘๗๘,๐๘๘,๒๖๓.๑๘ บาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๑๑,๔๑๖,๒๕๒,๙๔๗.๐๙ บาท ๑.๒ หนี้สิน ๑.๒.๑ ปี ๒๕๕๑ มีหนี้สินหมุนเวียน จำนวน ๒๘๖,๙๐๐,๒๑๙.๘๖ บาท และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน ๗,๒๓๘,๔๑๕,๑๐๐.๑๔ บาท ๑.๒.๒ ปี ๒๕๕๒ มีหนี้สินหมุนเวียน จำนวน ๓๔๘,๙๓๒,๒๙๗.๒๑ บาท และ มีหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน ๘,๔๘๘,๓๕๐,๒๓๕.๓๓ บาท ๑.๓ สินทรัพย์สุทธิ/ส่วนของทุน ๑.๓.๑ ปี ๒๕๕๑ จำนวน ๑๘,๗๑๔,๘๑๙,๑๘๘.๙๖ บาท ๑.๓.๒ ปี ๒๕๕๒ จำนวน ๒๑,๔๕๗,๐๕๘,๖๗๗.๗๓ บาท ๒. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ๒.๑ ปี ๒๕๕๑ มีรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน ๑๒,๔๙๙,๓๗๖,๔๓๑.๐๖ บาท และมีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน จำนวน ๑๐,๒๐๔,๐๗๒,๙๐๒.๘๕ บาท ๒.๒ ปี ๒๕๕๒ มีรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน ๑๓,๘๙๙,๒๘๒,๒๒๖.๔๖ บาท และมีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน จำนวน ๑๑,๑๔๓,๖๓๐,๐๒๐.๕๙ บาท
|
||||||||||||||||||
31899 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการเครือข่ายเพื่อการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) | ศธ | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการโครงการเครือข่ายเพื่อการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ภายในกรอบวงเงิน ๒,๙๘๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยดำเนินการแบ่งตามพื้นที่ ๕ พื้นที่/โซน คือ พื้นที่/โซนที่ ๑ ภาคเหนือ (N) ครอบคลุมโรงเรียนในจังหวัดภาคเหนือ จำนวน ๑,๓๑๖ แห่ง พื้นที่/โซนที่ ๒ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (NEN) ครอบคลุมโรงเรียนในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๑,๖๑๐ แห่ง พื้นที่/โซนที่ ๓ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (NES) ครอบคลุมโรงเรียนในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จำนวน ๑,๕๔๐ แห่ง พื้นที่/โซนที่ ๔ ภาคกลาง/ตะวันออก/ตะวันตก (C-E-W) ครอบคลุมโรงเรียนในจังหวัดภาคกลาง/ตะวันออก/ตะวันตก จำนวน ๑,๙๑๒ แห่ง และพื้นที่/โซนที่ ๕ ภาคใต้ (S) ครอบคลุมโรงเรียนจังหวัดภาคใต้ จำนวน ๑,๒๒๘ แห่ง โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท จากวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่เสนอตั้งงบประมาณไว้ จำนวน ๖๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๒๕๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการเครือข่ายเพื่อการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ซึ่งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาระบบเครือข่ายสารสนเทศที่มีอยู่เดิม (โครงการ UniNet) ที่ได้มีการลงทุนไปแล้ว แต่จากการติดตามและประเมินผลโครงการ UniNet พบว่ามีปัญหาในการดำเนินการที่สำคัญ ๓ ด้านคือ (๑) ด้านกายภาพในการสร้างโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงและติดตั้งอุปกรณ์มีความล่าช้าในการดำเนินงานจากแผนที่กำหนดไว้ เนื่องจากปัญหาในการปรับเปลี่ยนแนวเสาไฟฟ้า และการขออนุญาตพาดสายไฟฟ้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๒) ด้านการพัฒนาบุคลากรสำหรับบริหารจัดการระบบเครือข่ายยังไม่มีความพร้อม และ (๓) ด้านเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอน (Content) ยังขาดการส่งเสริมและพัฒนาเนื้อหาให้มีการใช้งานให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า และยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง จึงเห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปปรับปรุงการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ให้เพียงพอและสามารถรองรับการเชื่อมต่อสัญญาณเครือข่าย รวมทั้งควรมีความเชื่อมโยงกับนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
31900 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง | กษ | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยางชุดใหม่ จำนวน ๖ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายมาโนช วีระกุล เจ้าของสวนยาง ๒. นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท เจ้าของสวนยาง ๓. นายชัยวัฒน์ วงศ์อารีย์สันติ เจ้าของสวนยาง ๔. นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ เจ้าของสวนยาง ๕. นายเสน่ห์ ทิพย์บุรี บุคคลซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยาง ๖. นายพิริยะ เอกวานิช บุคคลซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยาง
|
.....