ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1593 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31841 - 31860 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31841 | ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... | ยธ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงยุติธรรมนำร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... ไปศึกษาในรายละเอียด เนื่องจากการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้บางประการอาจมีความซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติตามพระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งสมควรที่จะมีคณะกรรมการเพียงคณะเดียวเพื่อทำหน้าที่ปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31842 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลสร้างถ่อน้อย และตำบลหัวตะพาน อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลสร้างถ่อน้อย และตำบลหัวตะพาน อำเภอหัวตะพาน
จังหวัดอำนาจเจริญ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลสร้างถ่อน้อย และตำบลหัวตะพาน อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31843 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองบอน ตำบลแพง ตำบลเหล่า ตำบลหัวขวาง ตำบลหนองกุงสวรรค์ ตำบลวังยาว ตำบลดอนกลาง และตำบลหนองเหล็ก อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลหนองบอน ตำบลแพง ตำบลเหล่า ตำบลหัวขวาง
ตำบลหนองกุงสวรรค์ ตำบลวังยาว ตำบลดอนกลาง และตำบลหนองเหล็ก อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองบอน ตำบลแพง ตำบลเหล่า ตำบลหัวขวาง ตำบลหนองกุงสวรรค์ ตำบลวังยาว ตำบลดอนกลาง และตำบลหนองเหล็ก อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขต ปฏิรูปที่ดิน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31844 | การดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเยียวยาวิกฤตอุทกภัย | กก | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณานำข้อเสนอในส่วนที่เป็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเยียวยาวิกฤตอุทกภัยที่จะขอใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน เสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) พิจารณาและนำผลการพิจารณาเสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามลำดับต่อไป ส่วนข้อเสนอในส่วนที่เป็นมาตรการระยะยาวก็ให้นำเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวควรให้ความสำคัญกับการนำรายได้เข้าสู่ประเทศทั้งในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว พนักงาน ลูกจ้างในสถานประกอบการ และประชาชนในพื้นที่ ควบคู่กับการรักษาความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ การสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงาม การเสริมสร้างทัศนคติที่ดีของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศต่อประเทศไทย โดยประสานงานและบูรณาการแผนการดำเนินงานร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ การพัฒนาการท่องเที่ยวควรประสานการดำเนินงานกับศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการและกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมาตรการต่าง ๆ ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เสนอ และให้จังหวัดที่ประสบอุทกภัย (โดยกลไกคณะกรรมการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ : กบจ.) พิจารณานำแผนงาน/โครงการ ที่เหมาะสมคุ้มค่าบรรจุเป็นแผนงาน/โครงการในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงานภายหลังสิ้นสุดห้วงเวลาการฟื้นฟูเยียวยาหลังสถานการณ์อุทกภัย ๒.๓ การกำหนดมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยการพัฒนาระบบการแจ้งเตือนภัยให้ครอบคลุมการแจ้งเตือนอุทกภัยและสาธารณภัยอื่นใดที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นในแต่ละจังหวัดท่องเที่ยว โดยกำหนดแนวทางการแจ้งเตือนแก่ประชาชนในพื้นที่ที่คาดว่าจะประสบภัยให้มีความชัดเจน และให้การแจ้งเตือนภัยเป็นไปอย่างมีเอกภาพ ๒.๔ การกำหนดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเยียวยาวิกฤตอุทกภัยในแต่ละมาตรการ โดยประสานกับคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) เพื่อให้การกำหนดแผนงาน/โครงการได้สนับสนุนซึ่งกันและกัน ๒.๕ มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณากลั่นกรองในรายละเอียดแผนงาน/โครงการของ กศอ. เห็นควรให้รอการพิจารณาตามขั้นตอนของ กศอ. และ กฟย. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี สำหรับมาตรการทางการเงิน มาตรการทางภาษี และค่าธรรมเนียมในการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเยียวยาวิกฤตอุทกภัยที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอมาใหม่ในครั้งนี้ จำเป็นต้องใช้งบประมาณดำเนินการจำนวนมาก และมาตรการด้านประกันสังคมเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเช่นเดียวกัน ควรมีมาตรการทัดเทียมกัน เห็นควรนำมาตรการที่เสนอใหม่เพิ่มเติมเสนอ กศอ. และ กฟย. พิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งระบบให้มีความยั่งยืน สอดคล้องกับสภาวการณ์และนักท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มต่าง ๆ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31845 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อจัดหาอุปกรณ์พิเศษสำหรับติดตั้งประจำอาวุธปืนขนาด 5.56 มิลลิเมตร ยี่ห้อ Colt (M 4 A2) | ตช | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของการจัดหาอุปกรณ์พิเศษสำหรับติดตั้งประจำอาวุธปืนขนาด ๕.๕๖ มิลลิเมตร ยี่ห้อ Colt (M 4 A2) จำนวน ๑,๕๐๐ ชุด ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๘๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณก่อนลงนามในสัญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) กรณีวงเงินปีแรกของรายการต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31846 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง ปัญหาของพืชสมุนไพร | สว | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง ปัญหาของพืชสมุนไพร ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้
๑. เร่งการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาฉบับใหม่ ซึ่งอยู่ในการดำเนินการของสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ๒. เร่งสร้างวงจรความร่วมมือในการผลิตวัตถุดิบสมุนไพรจากต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ ให้เกิด ความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและเอกชน ๓. ผลักดันให้เกิดการใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชน ในการดูแลรักษาสุขภาพร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ๔. ส่งเสริม และอนุรักษ์การเพาะปลูกพืชสมุนไพรตามมาตรฐานการเพาะปลูกที่ดีในชุมชน ๕. จัดทำรายชื่อสมุนไพรที่อนุญาตให้ใช้เป็นอาหารเสริม ควรมีการศึกษา วิจัย และพัฒนา เพื่อรองรับการประกาศรายชื่อสมุนไพรดังกล่าวเพิ่มขึ้น ๖. ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการสร้าง และพัฒนาองค์ความรู้ด้านการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอย่างถูกต้อง ๗. เสนอให้เป็น “วาระแห่งชาติด้านสมุนไพร” ที่กำหนดองค์กรผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31847 | ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าสำหรับโครงการ Chiang Mai Sustainable Urban Transport Project GEF MSP มีสาระสำคัญเป็นการรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก วงเงินไม่เกิน ๗๒๙,๖๓๐ ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาระบบขนส่งในนครเชียงใหม่อย่างยั่งยืน สนับสนุนการวางแผนการใช้ประโยชน์จากที่ดินและผังเมืองในนครเชียงใหม่ และเพื่อพัฒนาพื้นที่นำร่องสำหรับระบบขนส่งแบบไม่ใช้เครื่องยนต์ และโครงการ Strengthening Quality Assurance and Performance Excellence in Thai Higher Education เป็นการรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก วงเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาในด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เพื่อกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ จะได้ลงนามในหน้งสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ จากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่าร่างหนังสือข้อตกลงทั้งสองฉบับเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนลงนาม โดยระบุบุคคลที่จะลงนามฝ่ายไทย สำหรับการลงนามในส่วนของเทศบาลนครเชียงใหม่น่าจะต้องพิจารณาประกอบกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของเทศบาลนคร หากการทำความตกลงกับต่างประเทศอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของเทศบาลนคร เทศบาลนครเชียงใหม่ควรเสนอเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติเทศบาลนคร พ.ศ. ๒๔๙๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พิจารณาให้ความเห็นชอบในการที่เทศบาลนครเชียงใหม่จะร่วมลงนามในหนังสือข้อตกลงฯ กับธนาคารโลก ด้วย นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลังเจรจากับธนาคารโลกเพื่อขอให้ใช้การระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการตามข้อบังคับสำนักงานศาลยุติธรรมว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของสถาบันระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31848 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 23 และการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 19 | พณ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๓ (The 23rd APEC Ministerial Meeting) และการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑๙ (The 19th APEC Economic Leaders Meeting) ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เมืองโฮโนลูลู มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑๙ ๑.๑ การส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและการขยายการค้า ๑.๑.๑ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบต่อแนวทางการสนับสนุน SMEs ให้เข้าร่วมในห่วงโซ่การผลิตของโลก (global supply chain network) โดยส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความสามารถในการผลิตของ SMEs ในฐานะอุตสาหกรรมสนับสนุน รวมทั้งการส่งเสริมนโยบายนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ไม่เลือกปฏิบัติ และขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด ๑.๑.๒ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบให้ทุกเขตเศรษฐกิจกำหนดมูลค่าสินค้านำเข้าขั้นต่ำ (De minimis values) ที่จะยกเว้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรและพิธีการทางศุลกากรสำหรับสินค้าที่ส่งทางไปรษณีย์และส่งแบบเร่งด่วน และการดำเนินโครงการนำร่อง (Pathfinder) ซึ่งเขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมต้องกำหนดมูลค่าขั้นต่ำที่มากกว่าหรือเท่ากับ ๑๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งเห็นชอบ “APEC Guidelines for Customs Border Enforcement of Counterfeiting and Piracy” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ศุลกากรของเขตเศรษฐกิจเอเปค ในการบังคับใช้มาตรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับสินค้าปลอมแปลงและละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านพรมแดน ๑.๑.๓ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบให้เอเปคแสดงบทบาทนำในการผลักดันให้มีการเปิดเจรจาภายใต้กรอบ WTO เพื่อขยายขอบเขตของสินค้าในความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA) เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าและการลงทุนและผลักดันการสร้างนวัตกรรมในภูมิภาคเอเปค ๑.๑.๔ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าของ SMEs เพื่อช่วยเหลือ SMEs ในการทำธุรกิจและการส่งออกได้สะดวกขึ้น ๑.๒ การสร้างความเติบโตโดยรักษาสิ่งแวดล้อม (Green Growth) ๑.๒.๑ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคมีข้อสรุปเกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนด้านสินค้าและบริการที่รักษาสิ่งแวดล้อม โดยในปี ๒๕๕๕ เขตเศรษฐกิจจะกำหนดรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมในกรอบเอเปคที่ส่งผลโดยตรงและในทางบวกต่อการเติบโตสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อนำมาซึ่งการลดภาษีนำเข้าลงเหลือไม่เกินร้อยละ ๕ หรือน้อยกว่า ภายในสิ้นปี ๒๕๕๘ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจ และไม่กระทบท่าทีการเจรจาของเขตเศรษฐกิจภายใต้ WTO และให้เขตเศรษฐกิจยกเลิกการกำหนดการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศที่บิดเบือนการค้าสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค ให้สอดคล้องกับข้อผูกพันใน WTO ภายในสิ้นปี ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ รัฐมนตรีเอเปคเห็นชอบแนวทางการสร้างความโปร่งใสเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าสินค้าใช้แล้วที่นำมาผลิตใหม่ (remanufactured goods) โดยให้เขตเศรษฐกิจเผยแพร่ข้อมูลมาตรการด้านภาษีและที่มิใช่ภาษีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าประเภทนี้ เปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดงข้อคิดเห็นต่อร่างกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และนำความเห็นมาพิจารณาในการออกกฎหมายและกฎระเบียบ รวมทั้งเห็นชอบโครงการนำร่อง (Pathfinder) ซึ่งเขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมจะต้องไม่นำมาตรการใด ๆ ที่ใช้กับสินค้าใช้แล้ว (used goods) มาปฏิบัติกับสินค้าใช้แล้วที่นำมาผลิตใหม่ ๑.๓ การปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory reform) ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบมาตรการที่จะดำเนินการภายในปี ๒๕๕๖ อาทิ แผนความร่วมมือด้านกฎระเบียบของเอเปค โดยส่งเสริมการปฏิบัติตาม Good Regulatory Practices (GRPs) และตาม APEC - OECD Integrated Checkliston Regulatory Reform รวมทั้งการพัฒนาและการส่งเสริมความร่วมมือด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และไวน์ ๒. ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเอเปค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้พบปะหารือทวิภาคีกับผู้แทนสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน เปรู และ World Bank เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ได้หารือคือสถานการณ์น้ำท่วมในไทย ซึ่งการหารือทวิภาคีเป็นโอกาสดีที่ฝ่ายไทยได้แสดงความขอบคุณต่อความสนับสนุนช่วยเหลือ และได้สร้างเสริมความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31849 | ผลการประชุมด้านเศรษฐกิจจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 19 และ การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมด้านเศรษฐกิจจากการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมด้านเศรษฐกิจจากการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๑๙ ๑.๑ ผู้นำอาเซียนได้รับรองเอกสารกรอบเจรจาของอาเซียนเพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางในภูมิภาค (ASEAN Framework for Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบแนวทางและหลักการในการเจรจาเพื่อขยายการรวมกลุ่มในภูมิภาค โดยเริ่มจากการเจรจาทำความตกลงระหว่างอาเซียนกับประเทศภาคีความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreements : FTAs) ของอาเซียนที่สนใจเข้าร่วมก่อน ๑.๒ ผู้นำอาเซียนรับทราบรายงานผลสรุปการดำเนินการของคณะทำงาน ๔ คณะ ในด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า การจำแนกพิกัดศุลกากร พิธีการศุลกากร และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน ๓ คณะ เพื่อศึกษาและเตรียมการในด้านการเปิดเสรีการค้า การค้าบริการ และการลงทุน เพื่อให้มีการเปิดเจรจาทำความตกลงระหว่างอาเซียนและประเทศภาคี ๓ ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ (Fast Asia Free Trade Area : EAFTA) หรือความตกลงระหว่างอาเซียนกับประเทศภาคี FTAs ทั้ง ๖ ประเทศพร้อมกัน คือ ASEAN จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย (Comprehensive Economic Partnership in East Asia : CEPEA) ต่อไปโดยเร็ว นอกจากนี้ ผู้นำอาเซียนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจจัดทำรูปแบบ/วิธีการ (Template) ของอาเซียนสำหรับการเจรจาขยายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ๑.๓ ผู้นำอาเซียนได้รับรองกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจให้เท่าเทียมกันของอาเซียน (The ASEAN Framework for Equitable Economic Development : Guiding Principles for Inclusive and Sustainable Growth) ซึ่งได้วางหลักการและแนวทางสำหรับการพิจารณาของอาเซียนในการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งให้มีการพิจารณาเรื่องการเข้าถึงเงินทุนอย่างทั่วถึง (Financial Inclusion) และการโอนเงินระหว่างประเทศ (International Remittances) ๒. ความคืบหน้าในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา อาทิ การลงนามในพิธีสารฉบับที่ ๒ เพื่อแก้ไขความตกลงด้านการค้าสินค้าภายใต้กรอบอาเซียน - เกาหลี ซึ่งกำหนดกระบวนการและขั้นตอนที่ชัดเจนในการเร่งลดภาษีภายใต้ความตกลง FTA อาเซียน - เกาหลี และพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๒ ภายใต้ความตกลงการค้าบริการระหว่างอาเซียนกับจีน ซึ่งระบุถึงสาขาบริการที่ทั้งสองฝ่ายเปิดตลาดเพิ่มเติม อาทิ สาขาการศึกษา สิ่งแวดล้อม การเงิน การจัดจำหน่าย เป็นต้น การจัดทำปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน (Joint Declaration between ASEAN and Canada on Trade and Investment) ของอาเซียน - แคนาดา ซึ่งเป็นกรอบสำหรับการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือระหว่างกัน และการจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น ระยะเวลา ๑๐ ปี (ASEAN - Japan 10 - Year Strategic Economic Cooperation Roadmap) เป็นต้น ๓. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้หารือทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ๓.๑ การหารือกับรัฐมนตรีการค้าอินโดนีเซีย ทั้งสองฝ่ายได้หารือและร่วมลงนามในเอกสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ ความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และข้อตกลงว่าด้วยการแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างไทยกับรัฐบาลอินโดนีเซีย ๓.๒ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจของพม่า ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและสถานการณ์เศรษฐกิจของพม่า ความสำคัญของการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในอาเซียน (ASEAN Connectivity) และโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย ๓.๓ การหารือกับรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมของเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยอาศัยเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East West Economic Corridor) และเห็นพ้องกันในอันที่จะเร่งผลักดันการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจในการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนซึ่งไทย ลาว และเวียดนามได้ลงนามเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้รถขนส่งสามารถข้ามแดนสามประเทศได้ และการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - เวียดนาม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31850 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบการเก็บสถิติและข้อมูล การจัดทำบันทึกรายละเอียด และรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสีย พ.ศ. .... | ทส | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบการเก็บสถิติและข้อมูล การจัดทำบันทึกรายละเอียด และรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสีย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคำนิยาม “ระบบบำบัดน้ำเสีย” และ “น้ำทิ้ง” ๒. กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือผู้ควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย ต้องเก็บสถิติและข้อมูลซึ่งแสดงผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียในแต่ละวัน และจัดทำบันทึกรายละเอียดดังกล่าวตามแบบ ทส. ๑ เก็บไว้ ณ สถานที่ตั้งของแหล่งกำเนิดมลพิษ เป็นระยะเวลา ๒ ปี และจัดทำรายงานสรุปผลการทำงานดังกล่าวในแต่ละเดือนตามแบบ ทส. ๒ และเสนอต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป ๓. กำหนดให้กรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือผู้ควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย มีหน้าที่ต้องเก็บสถิติและข้อมูล จัดทำบันทึกรายละเอียด หรือจัดทำรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียอยู่แล้วตามกฎหมายอื่น ให้ถือว่าการเก็บสถิติและข้อมูลการจัดทำบันทึกรายละเอียด หรือการจัดทำรายงานตามกฎหมายดังกล่าว เป็นการเก็บสถิติและข้อมูลการจัดทำบันทึกรายละเอียด หรือการจัดทำรายงานตามกฎกระทรวงฉบับนี้โดยอนุโลม ๔. กำหนดให้นำหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๒ และ ๓ มาใช้บังคับแก่ผู้รับจ้างให้บริการบำบัดน้ำเสียโดยอนุโลม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31851 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ | ศป | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารบ้านพักตุลาการและข้าราชการศาลปกครองสงขลา จากเดิม ๘๗,๐๖๖,๐๐๐ บาท เป็น ๑๓๐,๗๐๐,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ ๒. ให้สำนักงานศาลปกครองดำเนินการก่อสร้างอาคารบ้านพักตุลาการและข้าราชการศาลปกครองสงขลาตามที่เสนอได้ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๗,๔๑๓,๒๐๐ บาท ส่วนค่างานอีกจำนวน ๗๓,๙๘๖,๘๐๐ บาท ซึ่งรวมเป็นกรอบวงเงินรวมเผื่อเหลือเผื่อขาดที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวนทั้งสิ้น ๙๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานศาลปกครองเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ส่วนค่างานที่เกินกว่าวงเงินงบประมาณรวมเผื่อเหลือเผื่อขาดที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ จำนวน ๓๙,๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้เงินสะสมที่สำนักงานศาลปกครองมีเพียงพอสมทบเป็นค่าก่อสร้างอาคารบ้านพักตุลาการและข้าราชการศาลปกครองสงขลาในส่วนที่เกินได้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31852 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2554 (ครั้งที่ 15) | กษ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๕) เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กนป. เสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงาน ๒ คณะ ได้แก่ คณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และคณะทำงานยกร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี ๒๕๕๖ - ๒๕๖๒ โดยให้ฝ่ายเลขานุการยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเสนอให้ประธาน กนป. ลงนามแต่งตั้ง ๒. เห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. จำนวน ๑๐ ท่าน ตามมติ กนป. ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๔) เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ ดังนี้ ๒.๑ นายกนก คติการ ๒.๒ นาวาเอกสมัย ใจอินทร์ ๒.๓ นายพลัฎฐ์ ฐิติณัฐชนน ๒.๔ นายอเนก ลิ่มศรีวิไล ๒.๕ นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ๒.๖ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ๒.๗ นายสัญญา ปานสวี ๒.๘ นายสุคนธ์ เฉลิมพิพัฒน์ ๒.๙ นายลือชา อุ่นยวง ๒.๑๐ นายสมชาย ประชาบุตร ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำโครงสร้างราคาน้ำมันพืชปาล์มและแจ้งฝ่ายเลขานุการเพื่อนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันพิจารณากำหนดระดับสต็อกน้ำมันปาล์มที่ควรมีในระบบ และนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31853 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. .... | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันพุธที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วนต่อไป ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31854 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันพุธที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชนโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31855 | การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการเตรียมการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับการประสานงานจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) ว่า เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ณ สนามเสือป่า ในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ และเข้าร่วมพระราชพิธียกเสาพระเมรุ งานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ในวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ จึงเห็นควรให้ปรับเวลาการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ทั้งนี้ การเตรียมการรองรับในส่วนของภารกิจของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้อง ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ ส่วนการลงพื้นที่และการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันเสาร์ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปประสานงานกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) และจังหวัดที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับผิดชอบการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำสรุปผลการลงพื้นที่และการประชุม กรอ. เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ด้วย สำหรับการจัดหาที่พักและการเดินทางของรัฐมนตรีทุกท่าน ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของแต่ละท่านโดยให้ต้นสังกัดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ ๒. มอบให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปประสานงานและดำเนินการในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31856 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ถนนจากพรมแดนเมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวตรงหลักเขตแดนหมายเลข กม. ๘๗ - ๑๐๗ ทางหลวงหมายเลข ๒๑๗ ถึงด่านศุลกากรช่องเม็ก เป็นทางอนุมัติและตั้งด่านพรมแดนช่องเม็ก พร้อมทั้งตั้งด่านศุลกากรช่องเม็ก เป็นที่สำหรับการนำของเข้าหรือส่งของออกหรือสำหรับส่งของออกซึ่งของที่ขอคืนอากรขาเข้าหรือของที่มีทัณฑ์บนตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมศุลกากรประสานกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่น ๆ เพื่อแจ้งให้ประเทศเพื่อนบ้านทราบถึงการย้ายด่านศุลกากรจากด่านพิบูลมังสาหารไปด่านศุลกากรช่องเม็กแห่งใหม่ และร่วมกันอำนวยความสะดวกให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดำเนินการผ่านช่องทางนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31857 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. กำหนดเพิ่มเติมในเรื่อง การเบิกจ่ายเงินและหลักฐานการจ่ายเงินให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒. ยกเลิกความในข้อ ๗ และแก้ไขเป็น หากส่วนราชการมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้หรือไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดในระเบียบนี้ให้หัวหน้าส่วนราชการ ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง เนื่องจากระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของงบประมาณใช้ดุลยพินิจอนุมัติเบิกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ หรือกำหนดไว้แล้วแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามระเบียบนี้ ๓. ยกเลิกความในหมวด ๒ ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและปรับปรุงแก้ไขโดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมและค่าใช้จ่ายของผู้เข้ารับการฝึกอบรมให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๔. กำหนดเพิ่มเติมให้โครงการหรือหลักสูตรการฝึกอบรมที่ส่วนราชการเป็นผู้จัดหรือจัดร่วมกับหน่วยงานอื่นต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าส่วนราชการ เพื่อเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายตามระเบียบนี้ โดยส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมสามารถเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายอื่นในการจัดฝึกอบรมได้เท่าที่จ่ายจริง โดยคำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม และประหยัด เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ยกเว้นค่าสมนาคุณวิทยากร ค่าอาหาร ค่าเช่าที่พัก และค่ายานพาหนะ ให้เบิกจ่ายตามหลักเกณฑ์และอัตราตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ ๕. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์กรณีส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมจะจัดอาหารและที่พักในการฝึกอบรมได้ทั้งก่อน ระหว่าง การฝึกอบรมตามความจำเป็น เหมาะสม และประหยัด โดยให้เบิกจ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในระเบียบ เนื่องจากประธานในพิธีเปิดหรือพิธีปิดการฝึกอบรม แขกผู้มีเกียรติ และผู้ติดตาม เจ้าหน้าที่ วิทยากร ผู้เข้ารับการฝึกอบรมหรือผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ห่างไกลจากสถานที่จัดฝึกอบรม จึงจำเป็นต้องเดินทางมายังสถานที่ฝึกอบรมก่อนวันจัดการฝึกอบรม ๖. กำหนดเพิ่มเติมในกรณีวิทยากรมีถิ่นที่อยู่ในท้องที่เดียวกับสถานที่จัดการฝึกอบรม ส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมจะเบิกจ่ายเงินค่าพาหนะรับจ้างไป - กลับให้แก่วิทยากรแทนการจัดรถรับส่งวิทยากรได้ โดยให้ใช้แบบใบสำคัญรับเงินสำหรับวิทยากรเป็นหลักฐานการจ่าย ๗. กำหนดเพิ่มเติมกรณีส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมไม่จัดอาหาร ที่พัก หรือยานพาหนะทั้งหมดหรือจัดให้บางส่วน ให้ส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือส่วนที่ขาดให้แก่ประธานในพิธีเปิดหรือพิธีปิดการฝึกอบรม แขกผู้มีเกียรติ และผู้ติดตาม เจ้าหน้าที่ วิทยากร ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ผู้สังเกตการณ์ แต่ถ้าบุคคลดังกล่าวเป็นบุคลากรของรัฐ ให้เบิกจ่ายจากต้นสังกัด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ยกเว้น ค่าเช่าที่พักให้ส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมเบิกจ่ายตามหลักเกณฑ์และอัตราตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ และค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางในกรณีที่ผู้จัดการฝึกอบรมจัดอาหารบางมื้อในระหว่างการฝึกอบรมให้หักเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่คำนวณได้ในอัตรามื้อละ ๑ ใน ๓ ของอัตราเบี้ยเลี้ยงเดินทางต่อวัน ๘. ปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารในการฝึกอบรมบุคคลภายนอกในกรณีส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมไม่จัดเลี้ยงอาหาร แต่จะจ่ายเงินเป็นค่าอาหารให้ได้รับในอัตราเดียวกับเบี้ยเลี้ยงในการเดินทางไปราชการ และปรับแก้ไขหลักฐานการจ่ายให้ชัดเจน ๙. ยกเลิกความในหมวด ๓ ค่าใช้จ่ายในการจัดงาน และกำหนดขึ้นใหม่เพื่อให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๑๐. แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของการจ้างจัดประชุมระหว่างประเทศให้มีความชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31858 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2552 และ 2553 | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผลการประเมินผลฯ คะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมทุกหัวข้อของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งในระบบประเมินผลฯ [ไม่รวมบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)] มีการปรับปรุงดีขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ อยู่ที่ ๓.๕๙๑๗ คะแนน และ ๓.๗๑๐๑ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลฯ สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๗๗๘๓ และ ๔.๘๑๐๑ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๘๕๖๘ และ ๔.๗๖๕๕ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๗๐๗๕ และ ๔.๗๕๒๙ คะแนน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีคะแนน ๔.๗๑๔๒ และ ๔.๗๓๓๗ คะแนน ๑.๑.๒ ผลการประเมินผลฯ รายสาขา ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สาขาที่มีคะแนนประเมินผลฯ ในภาพรวมเฉลี่ยสูงสุด คือ สาขาพลังงาน มีคะแนนเฉลี่ย ๔.๗๗๙๒ และ ๔.๗๔๗๘ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนสูงสุด คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ๑.๑.๓ ผลการประเมินผลฯ ด้านบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ รัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลด้านการบริหารจัดการองค์กร สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๖๒๑๕ และ ๔.๖๗๕๘ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๕๙๑๐ และ ๔.๕๙๒๖ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๓๖๖๘ และ ๔.๔๙๘๓ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๓๖๖๗ และ ๔.๔๕๗๔ คะแนน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๓๑๕๕ และ ๔.๔๔๙๖ คะแนน ๑.๑.๔ ผลการดำเนินงานที่สำคัญที่เป็นตัวชี้วัดร่วม (Common KPIs) ของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ มีดังนี้ ๑.๑.๔.๑ การเบิกจ่ายงบลงทุนเฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยในปี ๒๕๕๒ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๓ (วงเงินอนุมัติ ๔๘,๗๔๐ ล้านบาท) รัฐวิสาหกิจที่มีอัตราการเบิกจ่ายมากที่สุด คือ การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีการเบิกจ่ายร้อยละ ๑๐๐ ส่วนในปี ๒๕๕๓ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๙ และรัฐวิสาหกิจที่สามารถเบิกจ่ายได้เต็มวงเงินอนุมัติ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และการไฟฟ้านครหลวง ๑.๑.๔.๒ การบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจ ผลการประเมินความคืบหน้าฯ ณ สิ้นปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ได้คะแนนเฉลี่ยที่ ๔.๒๗๑๓ และ ๔.๓๘๖๘ คะแนน โดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ คือ การให้การสนับสนุนของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง ๑.๑.๔.๓ การบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยเฉลี่ยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิม ๓.๒๗๕๐ เป็น ๓.๔๑๒๓ คะแนน โดยหัวข้อที่รัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ หัวข้อการบริหารจัดการสารสนเทศ และหัวข้อการบริหารความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ๐.๒๗ และ ๐.๒๔ คะแนน ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตจากการประเมินผลฯ และข้อสังเกตของคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ ไปดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายโดยเฉพาะข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อให้ระบบการประเมินผลฯ มีประสิทธิภาพ สามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานและการจัดการของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการกำกับติดตามผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจให้ได้ข้อมูลที่รวดเร็วเหมาะสม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31859 | ผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 ภายใต้คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย | พณ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑ ภายใต้คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ซึ่งจัดการประชุมขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ กรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยประเด็นสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริมการลงทุน และเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ส่งเสริมให้นักลงทุนของตนไปลงทุนในต่างประเทศ ตลอดจนการลงทุนระหว่างกันในสาขาที่ตนเองมีความถนัดและมีศักยภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับประเด็นแร่ใยหิน ซึ่งที่ประชุมได้มีข้อสรุปให้ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้คณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - รัสเซีย เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพจากการใช้แร่ใยหินไคลโซไทล์ และจัดทำข้อเสนอแนะในการใช้แร่ใยหินและผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัย อาจขัดหรือแย้งกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ เกี่ยวกับมาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการห้ามนำเข้าแร่ใยหินไคลโซไทล์ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไครโซไทล์เฉพาะกรณี และห้ามผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไคลโซไทล์ที่ใช้วัตถุดิบอื่นหรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นทดแทนได้ โดยมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปจัดทำแผนในการยกเลิกการนำเข้า ผลิตและจำหน่ายแร่ใยหินและผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบทุกชนิด รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจกับรัสเซียเพื่อนำไปสู่การเจรจาทำความตกลงการค้าเสรีกับรัสเซียในอนาคต เนื่องจากรัสเซียเป็นประตูการค้าที่สำคัญของไทยไปยังกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independent States : CIS) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31860 | การขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อการเบิกจ่ายค่าครองชีพชั่วคราวของพนักงานมหาวิทยาลัยตามนโยบายรัฐบาล | ศธ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้พนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินของสถาบันอุดมศึกษาซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปที่มีอัตราเงินเดือนหรืออัตราค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้ว ต้องไม่เกินเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ให้สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนเพื่อช่วยเหลือการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ [เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้สถาบันอุดมศึกษาดำเนินการภายในกรอบวงเงิน ๓๘๘,๑๖๐,๐๐๐ บาท โดยให้ตรวจสอบจำนวนพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งไม่เกินกว่ากรอบอัตรากำลังที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ในรายละเอียดประกอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และอยู่ในเกณฑ์ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้มีความชัดเจนถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงก่อนขอทำความตกลงวงเงินงบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กับสำนักงบประมาณต่อไป ส่วนพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างเกินกว่ากรอบอัตรากำลังที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้สมควรให้สถาบันอุดมศึกษาใช้จ่ายจากเงินรายได้ของหน่วยงาน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
.....