ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1591 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31801 - 31820 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31801 | การขออนุมัติเปิดสถานกงสุลราชอาณาจักรสวีเดนประจำจังหวัดเพชรบุรี และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดนประจำจังหวัดเพชรบุรี | กต | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปิดสถานกงสุลราชอาณาจักรสวีเดนประจำจังหวัดเพชรบุรี โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ ๒. แต่งตั้ง นายวัชราวุธ สุขเสรี เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดนประจำจังหวัดเพชรบุรี โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31802 | การขออนุมัติคณะรัฐมนตรีในการใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญา Interline Settlement Participation Agreement ระหว่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) | คค | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญา Interline Settlement Participation Agreement ระหว่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ International Air Transport Association (IATA) ต่อไป เนื่องจากในสัญญา Interline Settlement Participation Agreement มีเงื่อนไขการระงับข้อพิพาทโดยใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในสัญญาข้อ ๒๓.๒.๒ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พยายามเจรจากับ IATA เพื่อขอยกเลิกเงื่อนไขการใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท แต่ IATA ยืนยันไม่ยอมเลิกเงื่อนไขดังกล่าว ซึ่งหากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาดังกล่าวได้โดยเร็ว จะเกิดผลกระทบต่อบริษัทฯ ในการเรียกเก็บเงินและการจ่ายเงินระหว่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และสายการบินที่เป็นสมาชิกของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31803 | การรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ผ่านเว็บไซต์ | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายในการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในเรื่องการรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ผ่านเว็บไซต์ โดยให้หน่วยงานรัฐถือปฏิบัติในเรื่องการรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ เนื่องจากยังมีหน่วยงานจำนวนมากที่ยังถือปฏิบัติไม่ครบถ้วนในการรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ การนำระบบสารสนเทศมาช่วยในการรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ จะสามารถรองรับการรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ของหน่วยงานของรัฐครอบคลุมทั่วประเทศได้ ตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งหน่วยงานของรัฐได้รายงานมายังคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ไม่ถึงร้อยละ ๕๐ อาจเนื่องจากหน่วยงานละเลย ไม่ให้ความสำคัญกับการรายงานผลในเรื่องนี้ หรืออาจเห็นว่ามิได้มีการนำข้อมูลรายงานไปใช้ประโยชน์ต่อราชการอย่างแท้จจริง จึงเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการศึกษาปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้การรายงานในเรื่องนี้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31804 | รายงานผลการกู้เงิน Short term facility สำหรับรัฐวิสาหกิจ วงเงินไม่เกิน 200,000 ล้านบาท | กค | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานว่า ในช่วงไตรมาสที่ ๓ และไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑ เมษายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) กระทรวงการคลังมิได้ดำเนินการจัดสรรเงินกู้ Short term facility ให้แก่รัฐวิสาหกิจ ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงมีวงเงินกู้คงเหลือสำหรับวงเงิน Short term facility เท่ากับ ๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31805 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เรื่อง มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน | กค | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ เรื่อง มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน ซึ่งมีประเด็นความเห็นและผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าแร่ใยหิน ในทางปฏิบัติมาตรการภาษีจะไม่สามารถสกัดกั้นการนำเข้าแร่ใยหินได้ แต่ควรใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีจะเกิดผลในทางปฏิบัติมากกว่า เพราะว่าแร่ใยหินตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท ๒๕.๒๔ (asbestos) ได้รับการยกเว้นอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และยกเว้นอากรตามความตกลงเขตการค้าเสรีในกรอบต่าง ๆ แล้ว ทั้งนี้ มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอยู่ด้วยแล้ว ในส่วนของอัตราภาษีการนำเข้าของสารที่นำมาทดแทนที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่มีอัตราอากรร้อยละ ๐ - ๕ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว ๒. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ได้ดำเนินมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา โดยให้หักเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐๐ หรือหักค่าใช้จ่าย ๒ เท่าสำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานของรัฐและเอกชน ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๒๙๗) พ.ศ. ๒๕๓๙ ๓. การตรวจสอบหาสาเหตุที่สินค้าที่ใช้วัตถุดิบอื่นเป็นส่วนประกอบแทนแร่ใยหินมีราคาสูงขึ้นเนื่องมาจากต้นทุนหรือการเพิ่มอัตราภาษี จากการตรวจสอบสินค้าที่เป็นวัตถุดิบที่ใช้ทดแทนแร่ใยหิน เช่น เส้นใยแก้วทอ เส้นใยเซรามิค เส้นใยยิปซั่ม เส้นใยคาร์บอน เส้นใยที่มีสภาพเป็นพลาสติก พบว่า ส่วนใหญ่วัตถุดิบดังกล่าวมีอัตราอากรร้อยละ ๐ - ๕ ซึ่งเป็นอัตราค่อนข้างต่ำ และยังมีเส้นใยที่ได้จากธรรมชาติซึ่งสามารถผลิตในประเทศได้ ดังนั้น อัตราภาษีขาเข้าจึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สินค้าที่ใช้วัตถุดิบอื่นเป็นส่วนประกอบแทนแร่ใยหินมีราคาสูงขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนสินค้าดังกล่าวมีราคาสูงขึ้นมีปัจจัยมาจากการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีทางการผลิตใหม่เป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31806 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานพื้นฐานในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร โดยใช้ระบบการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมาย" | รง | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง "การแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานพื้นฐานในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร โดยใช้ระบบการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมาย" โดยในส่วนของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นและข้อเสนอแนะ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลักดันให้เกิดศูนย์การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) โดยมีข้อมูลและทะเบียนประวัติที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ทุกเวลา ๒. เปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวประเทศอื่นเข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อให้มีการแข่งขันมากขึ้นในระหว่างแรงงานต่างด้าวด้วยกัน และมีทางเลือกสำหรับนายจ้างมากขึ้น ๓. เร่งรัดการออกกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้เกี่ยวกับการจัดระบบแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาทำงานลักษณะเช้ามาเย็นกลับ และตามฤดูกาลที่เป็นรูปธรรม ๔. เข้มงวดการเปลี่ยนนายจ้างของแรงงานต่างด้าว ในกรณีที่ต้องเปลี่ยนนายจ้าง ให้นายจ้างเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทนนายจ้างเดิม การสร้างความตระหนักว่าแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาและมีใบอนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมายเป็นสิ่งจำเป็นต้องยอมรับสำหรับภาคการผลิตไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31807 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับลิเบีย | กต | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๗๓ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ที่ ๒๐๐๙ (ค.ศ. ๒๐๑๑) และที่ ๒๐๑๖ (ค.ศ. ๒๐๑๑) เพื่อยกเลิกมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย มาตรการคว่ำบาตรทางอาวุธต่อรัฐบาลลิเบียหรือ NTC การอายัดทรัพย์ขององค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลลิเบีย มาตรการห้ามบิน เขตห้ามบิน และมาตรการปกป้องพลเรือน เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติโดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31808 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของ APTERR | กษ | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าการให้สัตยาบันความตกลงการจัดตั้งองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve : APTERR) ของประเทศสมาชิกและของประเทศไทย โดยให้ส่วนของประเทศไทย (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ได้ส่งหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการให้สัตยาบันความตกลง APTERR แล้ว และขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนภายในของแต่ละประเทศเช่นกัน ๒. ความก้าวหน้าในการดำเนินงานของ APTERR ในเรื่องการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภายในประเทศไทย มีดังนี้ ๒.๑ รัฐบาลญี่ปุ่น (กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงญี่ปุ่น) ได้มอบเงินช่วยเหลือผ่านสำนักเลขานุการ APTERR จำนวน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อจัดซื้อข้าวสารและข้าวสวยพร้อมรับประทานนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในประเทศไทยภายใต้กลไกการช่วยเหลือกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนโดยอัตโนมัติของ APTERR ๒.๒ สำนักเลขานุการ APTERR ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรดำเนินการจัดซื้อข้าวสาร จำนวน ๕๐ ตัน ข้าวสวยพร้อมรับประทานเ จำนวน ๓๑,๐๐๐ กระป๋อง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยข้าวสาร จำนวน ๑๕ ตัน และข้าวสวยพร้อมรับประทาน จำนวน ๑๕,๐๐๐ กระป๋อง นำไปมอบให้สภากาชาดไทย มูลนิธิชัยพัฒนา และมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก โดยได้มีการส่งมอบข้าวเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำหรับข้าวสารอีกจำนวน ๓๕ ตัน และข้าวสวยพร้อมรับประทาน จำนวน ๑๖,๐๐๐ กระป๋อง ส่วนหนึ่งมอบผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ ๑๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ชัยนาท นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี พิจิตร พิษณุโลก ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา และอีกส่วนหนึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขตดำเนินงานแจกเองโดยตรงในพื้นที่เป้าหมาย และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31809 | ผลการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 4 | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ นครเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ให้ความเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ (Joint Summit Declaration) และกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS : Greater Mekong Subregion) ฉบับใหม่ ระยะ ๑๐ ปี ระหว่างปี ๒๕๕๕ - ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นสาระหลักของแถลงการณ์ร่วมฯ โดยกรอบยุทธศาสตร์ฯ มุ่งเน้นการพัฒนาแบบบูรณาการซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridors) และการพัฒนาทางด้านซอฟท์แวร์ ๑.๑.๒ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงร่วมเป็นสักขีพยานฉลองความสำเร็จในการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ระยะที่ ๑ และการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในระยะต่อไปของความร่วมมือ ๓ ด้าน ได้แก่ แผนงานหลักด้านสิ่งแวดล้อม ระยะที่ ๒ ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงศักยภาพในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศในประเทศ GMS แผนสนับสนุนความร่วมมือด้านเกษตร ระยะที่ ๒ ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการส่งเสริมความปลอดภัยของอาหาร และการพัฒนาระบบการค้าสินค้าเกษตรให้ทันสมัย และผลการทบทวนกลางรอบของยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวที่เน้นการพัฒนาเพื่อเป้าหมายการท่องเที่ยวจุดหมายปลายทางเดียว ๑.๑.๓ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงร่วมเป็นสักขีพยานการส่งมอบตำแหน่งประธานสภาธุรกิจ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Business Forum : GMS - BF) จากประเทศจีนเป็นพม่า และรับข้อเสนอของภาคเอกชนที่ขอให้ภาครัฐให้การสนับสนุนการจัดตั้งสมาคมขนส่งในอนุภูมิภาคเพื่อเป็นเวทีประสานการดำเนินงานของภาครัฐ - เอกชน เพื่อพัฒนาแผนงาน GMS โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน การพัฒนาระบบการประกันสินเชื่อของอนุภูมิภาคเพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการปรับปรุงการลงทุนให้มีความสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ มอบให้เจ้าหน้าที่อาวุโสพิจารณาแนวทางการร่วมมือกับภาคเอกชน ๑.๑.๔ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ร่วมหารือแนวทางการสนับสนุนของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อผลักดันการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงาน GMS ฉบับใหม่ ระยะ ๑๐ ปีข้างหน้า และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์หลัก ๑.๑.๕ นายกรัฐมนตรีมีข้อเสนอต่อที่ประชุมฯ ได้แก่ การยืนยันการสนับสนุนแผนงาน GMS อย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนด้านการเงินและด้านวิชาการแก่ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การผลักดันให้สถาบันวิจัยต่าง ๆ เข้ามาร่วมทำงานเพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS การสนับสนุนการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่ทวาย ข้อเสนอแนวทางการเปลี่ยนวิกฤตการณ์ภัยพิบัติที่หลายประเทศสมาชิกได้ประสบร่วมกัน การผลักดันให้ประเทศสมาชิกบรรจุเรื่องแนวระเบียงเศรษฐกิจและแผนการลงทุนไว้ในวาระแห่งชาติเพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของภาคีการพัฒนา การขอให้รัฐบาลประเทศสมาชิก และ ADB ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของ GMS - BF อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนขนาดใหญ่และบริษัทข้ามชาติควบคู่กับการสนับสนุนและผลักดันการพัฒนาศักยภาพให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และให้ความสนใจที่ประเทศไทยจะรับเป็นที่ตั้งศูนย์ประสานงานของอนุภูมิภาคเพื่อประสานการทำงานในเรื่องรถไฟและพลังงาน ๑.๑.๖ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ ในปี ๒๕๕๗ ๑.๑.๗ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามเอกสารสำคัญ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเร่งรัดในการจัดให้มีโครงข่ายทางด่วนสารสนเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ระยะที่ ๒ บันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และการจัดตั้งสมาคมผู้ขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการโดยประสานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำกับและติดตามเพื่อให้การดำเนินการเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ของประเทศไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31810 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงเรคยาวิก สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ | กต | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางอันนา มาร์กริเอท พูริทูร์ โอลาฟสโดททีร์ (Anna Margrjet puriour Olafsdottir) เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงเรคยาวิก สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31811 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม) | วธ | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายการุณ สุทธิกูล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายบวรเวท รุ่งรุจี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31812 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม) | ยธ | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไปตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31813 | บันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ 18 | กห | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ ๑๘ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยบันทึกการประชุมฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๗) ยึดถือบันทึกการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ผ่านมา ในเรื่องการจัดประชุมร่วมในระดับต่าง ๆ การดำรงความสัมพันธ์และความร่วมมือช่วยเหลือระหว่างกองทัพและตำรวจของทั้งสองฝ่าย การวางกำลังและการลาดตระเวนของกำลังติดอาวุธตามบริเวณชายแดนไทย - ลาว ไม่ให้ล่วงล้ำอธิปไตยซึ่งกันและกัน เพิ่มความร่วมมือในการจัดระเบียบชายแดนและแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ สนับสนุนการดำเนินการของกลไกความร่วมมืออื่น ๆ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนไทย - ลาว ตลอดจนยึดถือความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. ความร่วมมือในการรักษาเส้นเขตแดน ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๘) สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบการดำเนินการของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - ลาว ๓. การตรวจพื้นที่ชายแดน ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๙) สนับสนุนการตรวจพื้นที่ร่วมกันอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง หากเกิดปัญหาและมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอ ทั้งสองฝ่ายต้องพร้อมกันไปตรวจสอบพื้นที่โดยทันที ๔. ความร่วมมือในการดูแลรักษาและป้องกันตลิ่งพัง และการแก้ไขปัญหาการดูดทรายในแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (บันทึกฯ ข้อ ๑๐) สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบการดำเนินการของคณะกรรมการร่วม ไทย - ลาว เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ๕. ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (บันทึกฯ ข้อ ๑๑) สนับสนุนกลไกความร่วมมืออื่น ๆ ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งสนับสนุนให้เพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน และให้แต่ละฝ่ายมีการลาดตระเวนตรวจพื้นที่ชายแดนของตน เพื่อร่วมสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว ๖. แผนงานประกอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดน ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๑๒) สนับสนุนให้จัดทำแผนงานประกอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดน ไทย - ลาว ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๗. การติดต่อประสานงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (บันทึกฯ ข้อ ๑๓) สนับสนุนให้มีการปรับปรุงและแลกเปลี่ยนบัญชีรายชื่อผู้ประสานงานพร้อมระบบการติดต่อสื่อสารที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งกันและกัน ๘. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลระหว่าง ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๑๔) สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบของอาเซียนด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด ๙. ความร่วมมือในการป้องกันการลักลอบค้าชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย (บันทึกฯ ข้อ ๑๕) สนับสนุนให้เพิ่มการประสานงานและความร่วมมือให้เป็นไปตามอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง ๑๐. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (บันทึกฯ ข้อ ๑๖) ที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้จัดส่งชาวม้งลาวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ณ บ้านห้วยน้ำขาว อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และชาวม้งลาวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ณ อาคารควบคุมผู้หลบหนีเข้าเมืองด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย จำนวน ๗,๗๘๐ คน ให้แก่ฝ่ายลาวแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๑. กำหนดเวลาและสถานที่ประชุมครั้งต่อไป (บันทึกฯ ข้อ ๑๘ วรรคหนึ่ง) ฝ่ายไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ ๑๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31814 | ขอความอนุเคราะห์นำเรื่องการขอตัดโอนตำแหน่งและแต่งตั้งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้นำเสนอคณะรัฐมนตรี | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการตัดโอนตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เฉพาะในส่วนของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรม ๒. อนุมัติแต่งตั้งนายประมุข ลมุล รองผู้อำนวยการ ศอ.บต. (นักปกครองระดับต้น) กระทรวงมหาดไทย และนายฐานิส ศรียะพันธ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ (นักบริหารระดับต้น) กระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ศอ.บต. (นักบริหารระดับสูง) ตามที่ ศอ.บต. เสนอ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31815 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 | มท | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๐๙๓ ครั้ง เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ เกิดอุบัติทางถนน ๓,๔๙๗ ครั้ง ลดลง ๔๐๔ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๕๕ มีผู้เสียชีวิต ๓๓๖ ราย เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ มีผู้เสียชีวิต ๓๕๘ ราย ลดลง ๒๒ ราย คิดเป็นร้อยละ ๖.๑๕ และมีผู้บาดเจ็บ ๓,๓๗๕ คน เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ มีผู้บาดเจ็บ ๓,๗๕๐ คน ลดลง ๓๗๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๐๐ จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ และบุรีรัมย์ จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ๒. การวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ในเบื้องต้น พบว่า การเมาสุราเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด รองลงมาคือ ขับรถเร็วเกินกำหนด ตัดหน้ากระชั้นชิด มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย ตามลำดับ โดยมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด รองลงมาคือ รถกระบะและรถเก๋ง ทั้งนี้ พฤติกรรมเสี่ยงที่เกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัยสูงถึงร้อยละ ๒๗.๔๑ สำหรับถนนที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ ถนนนอกเขตทางหลวงแผ่นดิน ได้แก่ ถนนชุมชน/หมู่บ้าน และเทศบาล ร้อยละ ๔๗.๑๑ ช่วงเวลาเกิดอุบัติเหตุสูงสุด เวลา ๑๖.๐๑ - ๒๑.๐๐ น. ในส่วนของการจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำผิดกฎหมายจราจร พบว่า มีผู้กระทำผิดกรณีไม่สวมหมวกนิรภัยสูงสุด รองลงมาคือ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย ตามลำดับ และจากการวิเคราะห์กลุ่มผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต พบว่า กลุ่มวัยแรงงานบาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด และ ๑ ใน ๔ ของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31816 | การเลือกกรรมการตุลาการศาลปกครองผู้ทรงคุณวุฒิ ตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 | ศป | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้นายเจียม เสาวภา เป็นกรรมการตุลาการศาลปกครองผู้ทรงคุณวุฒิ แทนนายกู้เกียรติ สุนทรบุระ กรรมการตุลาการศาลปกครองผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งจะพ้นวาระการดำรงตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31817 | การขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทหารระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding on Defence Cooperation between the Government of the Republic of India and the Government of the Kingdom of Thailand) | กห | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทหารระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ร่วมลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ภายใต้กรอบของกฎหมายของทั้งสองประเทศ คู่ภาคีจะต้องส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือทางการทหาร ซึ่งอาจรวมถึง แต่ไม่จำกัดอยู่ภายใต้สาขาต่าง ๆ ได้แก่ นโยบายและยุทธศาสตร์ทางทหาร การฝึก/ศึกษา และการฝึกร่วม การลาดตระเวนทางทะเล ทางอากาศ และทางบก การปรับโครงสร้างกองทัพ การข่าว การพัฒนาทรัพยากรบุคคล วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การส่งกำลังบำรุง และสิ่งอุปกรณ์ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อาวุธ และยุทโธปกรณ์ การปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ และมนุษยธรรม รวมทั้งการปฏิบัติการทางทหารที่ไม่ใช่สงคราม ๑.๒ ความร่วมมือที่กำหนดขึ้นในบันทึกความเข้าใจฯ อาจรวมถึง แต่ไม่จำกัดอยู่ภายใต้รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ การเยือน และข้อมูลข่าวสาร การสนทนา การสัมมนาและประชุมร่วมกัน ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในเชิงพาณิชย์ การเข้าร่วมในการฝึก/ศึกษาและการฝึกร่วมกับอีกฝ่ายหนึ่ง การวิจัยและพัฒนา การลาดตระเวนแบบประสานการปฏิบัติ รวมทั้งรูปแบบของความร่วมมืออื่น ๆ ซึ่งเห็นพ้องต้องกัน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่จะลงนามฝ่ายไทยต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31818 | พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ในเขตท้องที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี) | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๓ ฉบับ และร่างข้อกำหนด จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อขยายเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในเขตพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ๑.๒ ร่างประกาศ เรื่อง การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมาย ๑.๓ ร่างประกาศ เรื่อง กำหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๔ ร่างข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒. เมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลงแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลส่งให้ กอ.รมน. เพื่อรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว ตามมาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31819 | ข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมให้การเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหายตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหายตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองให้ครอบคลุมถึงประชาชนทุกกลุ่ม เจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อมวลชน และภาคเอกชน รวมทั้งครอบครัวของผู้ได้รับผลกระทบดังกล่าว ตั้งแต่เหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๘ จนถึงเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ เพื่อเป็นการสร้างความปรองดองของคนในชาติ ซึ่งแตกต่างจากการเยียวยาในกรณีปกติ ตามที่คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) เสนอ โดยให้ ปคอป. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาที่ทำให้เกิดความยั่งยืนและเป็นการค้ำจุนผู้ได้รับผลกระทบในระยะยาวต่อไป ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณในการจัดหาวงเงินงบประมาณตามกรอบอัตราเงินช่วยเหลือ ชดเชย เยียวยาความเสียหาย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติวงเงินงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31820 | การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปี เพิ่มเติม | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันตรุษจีนซึ่งเป็นวันสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มอีก ๑ วัน ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ โดยวันหยุดราชการประจำปีดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสตูลด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๑๗ (เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ) และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ พ.ศ. ๒๕๑๗ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๗ ที่กำหนดให้หยุดราชการประจำปีในวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี (วันรายอป
อซอ) วันตรุษอีดิ้ลอัฎฮา (วันรายอฮัจยี) อันเป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล
|
.....