ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1567 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 31321 - 31340 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31321 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ มีผู้อำนวยการซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิบัติราชการของสำนักงาน ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ มีอำนาจตรวจสอบการได้รับสิทธิประโยชน์ของคนพิการ ให้คำแนะนำและช่วยเหลือคนพิการให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก สวัสดิการ และความช่วยเหลืออื่นตามพระราชบัญญัตินี้ ๑.๓ กำหนดขั้นตอนและวิธีการให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบการได้รับสิทธิประโยชน์ของคนพิการ ๑.๔ กำหนดให้การกำหนดเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวคนพิการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ๑.๕ กำหนดขั้นตอนและวิธีการให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ ตลอดจนสวัสดิการ และความช่วยเหลืออื่นจากรัฐได้ รวมทั้งกำหนดให้องค์กรด้านคนพิการหรือองค์กรอื่นใดที่ให้บริการแก่คนพิการมีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมากขึ้น และกำหนดให้มีศูนย์บริการคนพิการ ๒. ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติมีฐานะเป็นกรมในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๒.๒ กำหนดให้โอนบรรดากิจการ เงิน กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และภาระผูกพันทั้งปวง รวมถึงข้าราชการ พนักงานราชการ และบุคลากร ของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปเป็นของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
|
||||||||||||||||||||||||
31322 | กรอบการเจรจา WIPO IGC ภายใต้อาณัติการทำงาน WIPO IGC ปี 2555 - 2556 | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกรอบการเจรจาการประชุม Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (IGC) ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก World Intellectual Property Organization (WIPO) ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านทรัพยากรพันธุกรรม และด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม เพื่อเป็นพื้นฐานในการเจรจาสำหรับคณะผู้เจรจาของไทย สำหรับการเข้าร่วมการประชุม WIPO IGC ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอาณัติการทำงานของ WIPO IGC ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับร่างกรอบเจรจาด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้อ ๒.๑๕ ควรระบุให้ครอบคลุมถึงระดับท้องถิ่น ร่างกรอบเจรจาด้านทรัพยากรพันธุกรรม ข้อ ๒.๘ ควรระบุให้ครอบคลุมถึงระดับท้องถิ่น ส่วนร่างกรอบเจรจาด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ข้อ ๒.๓ ควรเพิ่มเรื่องการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม เพื่อเป็นการรักษาให้คงอยู่ด้วย และ ข้อ ๒.๖ เมื่อถือว่าเป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ย่อมควรได้รับการคุ้มครองแบบไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด และควรเน้นในประเด็นคุณค่าวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมมากกว่ามูลค่าที่จะได้รับ รวมทั้งควรเพิ่มเรื่องการให้ความคุ้มครองการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมระดับท้องถิ่น ระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศ และค่าตอบแทนจากการนำไปใช้ประโยชน์ และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรกำหนดมาตรการระดับภูมิภาคเพื่อคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพที่มีการคุ้มครองข้ามพรมแดน (Tran boundary) การพัฒนากลไกการดำเนินการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานและแนวทางในการป้องกันการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือใช้โดยผิดกฎหมาย และควรมีการจัดการจัดข้อมูลการดำเนินงานในการคุ้มครองและส่งเสริมการใช้ตามธรรมเนียมประเพณี (customary use) ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องกับกรอบการเจรจาฯ ทั้ง ๓ ด้าน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31323 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายให้แก่โครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒ รายการ วงเงิน ๑,๑๕๕,๘๕๒ บาท และอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงินสำหรับโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ของสถาบันบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๖๖,๗๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ในส่วนของโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท (โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ โครงการพัฒนาบริการตติยภูมิศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคมะเร็งและเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ และโครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน) และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ของกระทรวงคมนาคม จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๘๒๑.๘๘ ล้านบาท (โครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วรวม โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาดำเนินการ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่ตอบสนองต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยก่อนเป็นลำดับแรก ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อมูลภาพรวมเกี่ยวกับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น เหตุผลความจำเป็น ขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ และผลการดำเนินการ เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เหมาะสม เพื่อให้การใช้เงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ มีความชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ และเร่งรัดการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดติดตามการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ หากโครงการไม่แล้วเสร็จและเบิกจ่ายไม่ทันภายในกำหนดก็ควรให้มีการขยายเวลา โดยให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อรวบรวมข้อมูลและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31324 | การลงนามบันทึกความตกลงสำหรับโครงการความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ The Korea Project on International Agriculture (KOPIA) ในราชอาณาจักรไทย | กษ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามบันทึกความตกลงสำหรับโครงการความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ The Korea Project on International Agriculture (KOPIA) ในราชอาณาจักรไทย โดยบันทึกความตกลงฯ มีสาระสำคัญเพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์ Korea Project on International Agriculture (KOPIA - Thailand) ในราชอาณาจักรไทย โดยกรมวิชาการเกษตรและสถาบันพัฒนาชนบทแห่งสาธารณรัฐเกาหลีจะร่วมกันดำเนินกิจกรรมในการคิดค้น วิจัย พัฒนา รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ได้จากความร่วมมือให้แก่นักส่งเสริมการเกษตร และเกษตรกรไทย ทั้งนี้ ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ลงนามบันทึกความตกลงฯ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความตกลงฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และโดยที่เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรในการลงนามในบันทึกความตกลงฯ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรกำหนดแผนการดำเนินงานของศูนย์ KOPIA ทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้ชัดเจน เพื่อให้เห็นเป้าหมายของการดำเนินกิจกรรมหรือโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ภายใต้ศูนย์ KOPIA รวมถึงประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมที่ประเทศไทยจะได้รับ มีการประเมินศักยภาพและความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สถานที่จัดตั้งศูนย์ - ห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ - เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ก่อนการลงทุนเพิ่ม มีการกำหนดหลักเกณฑ์เป้าหมายการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรชีวภาพของประเทศให้ชัดเจนโดยอ้างอิงตามหลักกฎหมายไทยและสากล และมีกระบวนการประเมินโครงการก่อนเริ่มดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ทรัพยากรชีวภาพของประเทศเพื่อการวิจัยจะไม่สูญเปล่า รวมทั้งเห็นควรปรับแก้ไขข้อความในบันทึกความตกลงฯ ในบางประเด็น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามดูแลและระมัดระวังเกี่ยวกับการจัดทำความตกลง ช่วยเหลือ ร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีประเด็นหรือมีผลกระทบเกี่ยวกับสิทธิชุมชน ความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication) ในการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31325 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนียว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการศึกษา | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งฝ่ายรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนียทราบภายหลังการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนียว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการศึกษา (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Estonia on Cultural and Educational Cooperation) ว่า ฝ่ายไทยได้ดำเนินการเสร็จสิ้นขั้นตอนที่จำเป็นตามรัฐธรรมนูญของฝ่ายไทยอย่างครบถ้วนแล้ว เพื่อการมีผลบังคับใช้ของความตกลงฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31326 | การเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 และจัดตั้งคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงระดับชาติ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการในการหาเสียง ตลอดจนเป็นกลไกกลางในการประสานงานตลอดระยะเวลาการรณรงค์หาเสียง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ๑.๒ กำหนดให้เรื่องการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 เป็น “วาระแห่งชาติ” ของรัฐบาล โดยให้รองนายกรัฐมนตรีที่เห็นเหมาะสมจัดประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อกำหนดกลไกและหน่วยงานหลักที่จะนำวาระแห่งชาติดังกล่าวไปดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานการเตรียมการทั้งในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในทุกมิติที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 อาจใช้ประโยชน์จากเวทีการประชุมระดับนานาชาติ เวทีการเจรจาในระดับทวิภาคีหรือพหุภาคี เครือข่ายทางการทูต หรือเครือข่ายของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีสำนักงานอยู่ในต่างประเทศ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ และเห็นควรให้ความสำคัญในการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างกระแสการยอมรับของคนไทยทั้งประเทศ รวมถึงการขยายไปยังประชาคมอาเซียน เพื่อให้เป็นพลังในการช่วยสนับสนุนและการเป็นเจ้าภาพจัดงานร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31327 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติดินถล่ม | สสป | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติดินถล่ม ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีดังนี้
๑. เร่งสำรวจและจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงภัยให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและประกาศให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับทราบข้อมูล ๒. เร่งจัดหาและติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยดินถล่มที่ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เสี่ยงภัย ๓. จัดสรรงบประมาณในการดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์เตือนภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและจัดสรรงบประมาณเพื่อการส่งเสริมอาสาสมัครเตือนภัย ๔. ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันภัยพิบัติ อาทิ การฝึกซ้อมอพยพหนีภัยในพื้นที่เสี่ยงภัย และสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย ๕. งดเว้นการกระทำทุกรูปแบบซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาต ๖. ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมแบบจำลอง ๓ มิติ การเตือนภัยดินถล่ม และนำผลงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๗. ส่งเสริม สนับสนุนและปรับปรุงโครงสร้างของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สามารถเป็นศูนย์กลางในการบริหาร ประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับภารกิจในการเตือนภัยพิบัติครอบคลุมทุกภัยพิบัติทั้งประเทศอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ๘. ส่งเสริมและสนับสนุนปรับโครงสร้างของหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีขีดความสามารถและเอกภาพในการรองรับภารกิจด้านการเข้าช่วยเหลือ การบรรเทาสาธารณภัยอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ รวมถึงต้องมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศที่เป็นแผนงานที่มีความชัดเจน ครอบคลุม ประสานทุกหน่วยงาน ทุกระดับชั้น ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๙. เพิ่มหลักสูตรภัยพิบัติทางธรรมชาติในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับชั้น ๑๐. สนับสนุนงบประมาณแก่มิสเตอร์เตือนภัย องค์กรสาธารณกุศล รวมทั้งอาสาสมัครจากชุมชนที่ให้ความช่วยเหลือราชการ ๑๑. จัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในการเขียน/แปลภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จากดาวเทียม/แผนที่เรด้าร์ (Radar) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ๑๒. จัดสรรอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยเพื่อการรองรับการประมวลภาพถ่ายพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับหมู่บ้าน ตำบล พร้อมนักเทคนิคผู้ปฏิบัติการงานประมวลผล ๑๓. ปรับปรุงและ/หรือออกกฎหมายที่มีบทบังคับให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม โดยแยกประเภทภัยพิบัติเกี่ยวกับดินถล่มให้เป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อความชัดเจนในการบังคับ ๑๔. สนับสนุนให้มีการนำหญ้าแฝกปลูกในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม พื้นที่ลาดชันเชิงเขาให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มและประกาศให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ปฏิบัติตามในทุกพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||
31328 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในท้องที่ตำบลลำนารายณ์ ตำบลท่าดินดำ ตำบลชัยบาดดาล ตำบลม่วงค่อม ตำบลมะกอกหวาน ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และตำบลวังม่วง ตำบลคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31329 | ร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กก | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับหลักการและกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่มิได้มีการแก้ไขที่มีนัยสำคัญและเป็นปัญหา ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. เพิ่มเติมนิยามคำว่า “กองทุน” คำว่า “สมาคมกีฬา” และคำว่า “สมาคมกีฬาจังหวัด” เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาในบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขนิยามคำว่า “พนักงาน” โดยตัดผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยออก เนื่องจากผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยมาจากการสรรหาตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ๒. กำหนดให้การกีฬาแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ๓. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยเพิ่มปลัดกระทรวงการคลังเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๔. แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้ง คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย และรองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และเป็นไปในแนวทางเดียวกับกฎหมายว่าด้วยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ๕. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกีฬาจังหวัด โดยเพิ่มนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกสมาคมกีฬาจังหวัด และผู้แทนเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัด เป็นกรรมการ และกรรมการอื่นซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคนแต่ไม่เกินสิบเอ็ดคน ๖. กำหนดให้มีกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติขึ้นในการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกองทุนการศึกษาของนักกีฬา กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และกองทุนสวัสดิการนักกีฬา ไปเป็นของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ๗. แก้ไขเพิ่มเติมการให้ความช่วยเหลือแก่คณะกรรมการกีฬาจังหวัด สมาคมกีฬา นักกีฬา หรือบุคคลในวงการกีฬา โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยกำหนด รวมทั้งบทลงโทษกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ๘. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับรองสมาคมกีฬา การอนุญาตให้เป็นสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรอง การขออนุญาต และการอนุญาตให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยกำหนด ๙. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดโทษ
|
||||||||||||||||||||||||
31330 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดหลักเกณฑ์การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในเรื่องไถ่ถอนและมรดก ฯ) | มท | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ทบวงการเมือง” ให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐด้วย แต่ไม่รวมถึงรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกรมที่ดินที่ประสงค์จะให้หน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการขอใช้ประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจดทะเบียนไถ่ถอนจากจำนอง ไถ่ถอนจากการขายฝาก การจดทะเบียนสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดก และการจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน โดยให้รวมถึงอสังหาริมทรัพย์อื่นนอกจากที่ดินด้วย เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อื่นนอกจากที่ดินด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31331 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง กรณีนโยบายของนิคมอุตสาหกรรมโรงถลุงเหล็ก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | สว | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง กรณีนโยบายของนิคมอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นพ้องกับแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชาชนตามที่เสนอในรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ ถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ได้มุ่งเน้นถึงความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีคุณภาพ มีความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ๒. แผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งจัดทำร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ได้กำหนดนโยบายการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๘ รวมถึงการสนับสนุนภาคเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กสมบูรณ์แบบและท่าเรือน้ำลึกบริเวณตอนใต้ของพื้นที่ โดยให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และการลงทุนของภาคเอกชนที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขั้นตอนของการลงทุนของภาคเอกชนจะต้องมีการดำเนินการตามกฎระเบียบ กฎหมายและรัฐธรรมนูญฯ อย่างเคร่งครัด ๓. ประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นของประชาชนต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ได้แก่ การเร่งดำเนินการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ (Eco-Industrial Town) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมตามแนวทางการพัฒนาภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการกำหนดนโยบายทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น และการกำหนดมาตรการส่งเสริมให้ภาคเอกชนนำแนวคิด Corporate Social Responsibility (CSR) มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ๔. ประเทศไทยมีความต้องการใช้เหล็กมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่เป็นปัจจัยการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ทำให้ต้องมีการนำเข้าเหล็กคุณภาพสูงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อลดการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาแนวทางส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้นเพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูงในประเทศ ๕. การส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทย ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการจัดหาพื้นที่รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม การต่อต้านของประชาชนในพื้นที่ และลดภาระด้านงบประมาณภาครัฐในการลงทุนจัดหาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งถนน ท่าเรือ และแหล่งน้ำ รวมทั้งสามารถใช้ประโชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมเมืองทวายของประเทศพม่า ซึ่งหากจะดำเนินการตามแนวทางนี้กระทรวงอุตสาหกรรมต้องประสานกับภาคเอกชนในการดำเนินการร่วมกับภาครัฐ และนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||
31332 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานสามชุก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานสามชุก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๒๕.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลสามโก้ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๒ ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลวังลึก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๓๑.๖๕๐ ในท้องที่ตำบลศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
||||||||||||||||||||||||
31333 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าสะเมิง ในท้องที่ตำบลแม่สาบ ตำบลสะเมิงเหนือ ตำบลบ่อแก้ว และตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติขุนขาน) | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าสะเมิง ในท้องที่ตำบลแม่สาบ ตำบลสะเมิงเหนือ ตำบลบ่อแก้ว และตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าสะเมิง ในท้องที่ตำบลแม่สาบ ตำบลสะเมิงเหนือ ตำบลบ่อแก้ว และตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติขุนขาน) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนที่ต้องดำเนินการออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31334 | รายงานผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | ทส | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘ - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรี เป็นโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขง สายประธานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะต้องดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ ว่าด้วยการปรึกษาหารือกันก่อน (Prior Consultation : PC) ซึ่งกระบวนการปรึกษาหารือดังกล่าวต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔) แต่ประเทศภาคีสมาชิกไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนในผลการศึกษาและมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนหลายประการ คณะมนตรีฯ จึงได้มีการหารือระหว่างการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น (Mekong - Japan Summit) ครั้งที่ ๓ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมีมติอนุมัติในหลักการให้มีการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขง และแม่น้ำโขงสายประธาน รวมทั้งได้พิจารณาขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น (Development Partners) เพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งประเทศภาคีสมาชิกต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในกระบวนการปรึกษาหารือและการเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น เพื่อกำหนดแนวทางและระยะเวลาการดำเนินการที่เหมาะสม ๑.๑.๒ การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) จะมีขึ้นทุก ๆ ๔ ปี โดยการประชุมครั้งแรกมีขึ้นในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๓ (ค.ศ. ๒๐๑๐) ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ Hua Hin Declaration ซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันว่าประเทศภาคีสมาชิกจะมีการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่างโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด สำหรับการประชุมครั้งที่ ๒ จะมีขึ้น ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ (๒๐๑๔) ซึ่งคณะมนตรีฯ พิจารณาเห็นว่าภารกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินการตาม Hua Hin Declaration มีจำนวนมากและการพัฒนาในลุ่มน้ำโขงตอนล่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากรอให้มีการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานต่อการประชุม MRC Summit ครั้งต่อไปอาจนานเกินไป จึงมีมติให้มีเวทีหารือของผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) เป็นครั้งแรก โดยให้เป็นวาระของการประชุมหนึ่งในการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ ๒๐ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (ค.ศ. ๑๐๑๒) และให้สมาชิกคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงนำประเด็นดังกล่าวหารือและขอความเห็นชอบภายในประเทศของตน ๑.๑.๓ คณะมนตรีฯ มีมติอนุมัติงบประมาณในการบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (Operating Expenses Budget for 2012) เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและการบริหารงานทั่วไปขององค์กร สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๖๑๙,๓๔๖ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๑.๔ คณะมนตรีฯ มีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง (Mekong 2 Rio: Mekong to Rio + 20) ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อจัดทำ Mekong Messages นำเสนอผลงาน คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งเป็นการอนุวัตตามเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDG) โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๑.๒ เห็นชอบการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๑.๓ เห็นชอบให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประเทศภาคีสมาชิกในลุ่มน้ำโขง (MRC) นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในลุ่มน้ำโขงให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศภาคีสมาชิกร่วมกันอย่างยั่งยืน สำหรับในการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทาง ขอบเขต และระยะเวลาการดำเนินการศึกษาที่เหมาะสม รวมทั้งการจัดให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ เห็นควรให้ดำเนินการก่อนการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31335 | ปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ 2 | พม | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ ๒ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ระหว่างประเทศสมาชิกว่าจะร่วมกันต่อต้านสภาวะการเป็นทาสในทุกรูปแบบ และยืนยันความมุ่งมั่นที่มีต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๗ ณ กรุงย่างกุ้ง สหภาพพม่า อีกทั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการ COMMIT เป็นกลไกความร่วมมือที่สำคัญในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการยุติการละเมิดสิทธิและการแสวงประโยชน์จากผู้ที่เสี่ยงต่อการเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกที่ต้องการเห็นความก้าวหน้าในโครงการสำคัญต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ๑.๒ เห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ ๒ ๑.๓ เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม โดยหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานและติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามปฏิญญาร่วมฯ ทั้งในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและในระดับประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บรรลุตามปฏิญญาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31336 | รายงานสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของผู้แทนการค้าไทย (นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์) | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนมณฑลเสฉวน และนครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ของผู้แทนการค้าไทย (นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์) ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อแสวงหาความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุน ประกอบด้วยการหารือข้อราชการกับรองผู้ว่าราชการมณฑลเสฉวน และการหารือกับทีมประเทศไทย เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจไทยและจีน ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือกับรองผู้ว่าราชการมณฑลเสฉวน ๑.๑ รองผู้ว่าฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับจีนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจและการผลักดันความร่วมมือระหว่างเสฉวนกับไทย และได้ย้ำถึงศักยภาพของมณฑลเสฉวนที่มีขนาดใหญ่ทั้งด้านประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ และเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ลำดับ ๘ ของจีน และเป็นตลาดในด้านอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เป็นผู้นำด้านการค้าระหว่างประเทศแห่งจีนภาคตะวันตก ภายใต้นโยบายของรัฐบาลกลางที่ผลักดันให้เสฉวนเป็นศูนย์กลางทางการคมนาคม ทางการเงิน และอุตสาหกรรมในจีนตะวันตก จึงมีความพร้อม เช่น การมีสนามบินนานาชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ ๔ รองจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว และภายในสิ้นปีนี้ ถนน Panzhihua ที่เชื่อมต่อเฉินตูไปถึงกรุงเทพฯ จะแล้วเสร็จและคาดว่าจะใช้เวลาน้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมงในการเดินทางโดยรถยนต์ ๑.๒ ผู้แทนการค้าไทยได้ขอให้ฝ่ายจีนพิจารณาถึงวิธีการทางศุลกากรและการผ่านด่านกักกันพืชและสัตว์ที่ต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ส่งออกจากไทยขายไม่ได้ราคาและเป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการไทย โดยเสนอตัวอย่างการขนส่งผ่านเมืองกวางโจว ซึ่งมีวิธีการทางศุลกากรที่รวดเร็วทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ส่งตรงทางกวางโจว ซึ่งรองผู้ว่าฯ ได้รับปากที่จะพัฒนาให้เสฉวนมีการบริการที่รวดเร็วเหมือนกวางโจว ๑.๓ รองผู้ว่าฯ เสนอให้ฝ่ายไทยดำเนินการในเรื่องขั้นตอนทางศุลกากรต่อการนำเข้าสตรอเบอร์รีจากจีนให้รวบรัดกว่าเดิม รวมทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ศุลกากรของทั้งสองฝ่ายให้ดีกว่าเดิม ๑.๔ ผู้แทนการค้าไทยและรองผู้ว่าฯ ได้หารือถึงศักยภาพของบริษัทจีนในการผลิตแท็บเล็ต พีซี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย โดยเสฉวนเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Apple Dell และ Lenovo ซึ่งมีกำลังการผลิตถึง ๑๐๐ ล้านเครื่องต่อปี โดยรองผู้ว่าฯ จะมอบให้สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและกรมพาณิชย์ดำเนินการจัดหาข้อมูลต่อไป นอกจากนี้ ผู้แทนการค้าไทยได้เชิญชวนภาครัฐและเอกชนจีนไปลงทุนในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ การสร้างพลังงานทดแทนต่าง ๆ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ การคมนาคมขนส่งทางรถไฟ และโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ๒. การหารือกับทีมประเทศไทย ๒.๑ ผู้แทนการค้าไทยได้หารือกับทีมประเทศไทยประจำนครเฉินตูถึงธุรกิจที่มีศักยภาพในการดำเนินงาน ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าไทย โดยเฉพาะเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องตกแต่งและสินค้าไทยอื่น ๆ เช่น ผ้าไหม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สปาและสมุนไพรที่เป็นที่นิยมสำหรับชาวจีน โดยการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้านั้น ผู้ประกอบการไทยจะสามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนสินค้าไทย ๒.๒ การหารือกับทีมประเทศไทย ณ สถานกงสุลใหญ่ประจำนครคุนหมิง ๒.๒.๑ ผู้แทนการค้าไทยได้หารือในเรื่องอุปสรรคต่อการค้าของไทยในประเด็นบนเส้นทางถนนหมายเลข R3 (ไทย - ลาว - จีนตอนใต้) โดยเฉพาะช่วงสาย R3A ซึ่งเป็นเส้นทางช่วงจีน - ลาว - ไทย ที่ประสบปัญหาความล่าช้าในการเดินรถ ผู้ประกอบการไทยที่ส่งสินค้าผ่านเส้นทางนี้ต้องทำการเปิดตู้สินค้าและเปลี่ยนหัวรถลากเมื่อผ่านชายแดนลาวทุกครั้ง เนื่องจากไทยยังไม่ได้มีการลงนามความตกลงขนส่งข้ามพรมแดน (Cross Border Transport Agreement - CBTA) ยกเว้นสินค้าประเภทผลไม้ ซึ่งไทยและจีนได้ลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สาม ทำให้ลดระยะเวลาในการตรวจโรคและขนส่งเหลือเพียง ๒ - ๓ วัน ๒.๒.๒ รัฐบาลจีนได้กำหนดเงื่อนไขของบริษัทที่มีสิทธิ์ยื่นขอโควตานำเข้าข้าว รวมทั้งได้ระงับการนำเข้าไก่สดและไก่แช่แข็งจากไทย โดยอ้างปัญหาไข้หวัดนก ทำให้มีการลักลอบการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาไก่ที่ชาวจีนมีการบริโภคสูง นอกจากนี้ ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทสมุนไพรจำนวนมาก แต่ประสบปัญหาในการนำเข้าจีน เนื่องจากหลักเกณฑ์การปฏิบัติและเอกสาร เช่น ใบรับรองปลอดศัตรูพืช ไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกันกับไทย และยังต้องเสียภาษีนำเข้าเนื่องจากสมุนไพรไม่ได้อยู่ในพิกัด ๐๗ และ ๐๘ ตามข้อตกลงการลดภาษีส่วนแรก (Early Harvest) ๒.๒.๓ ตามที่ได้มีกลุ่มบริษัท หนุน ซี กรุ๊ป จากคุนหมิงได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมยางพาราและการแปรรูปยางพาราในจังหวัดเชียงราย ซึ่งการลงทุนครั้งนี้สามารถสร้างมูลค่าได้ถึงปีละ ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเหมาะสมกับผู้ประกอบการไทยที่จะลงทุนในจีน ได้แก่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ อุตสาหกรรมยางใน อุตสาหกรรมสายพานลำเลียงและการแปรรูปต่าง ๆ ที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า
|
||||||||||||||||||||||||
31337 | รายงานสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของผู้แทนการค้าไทย (นายพิเชษฐ สถิรชวาล) | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของผู้แทนการค้าไทย (นายพิเชษฐ สถิรชวาล) ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของไทยและปากีสถาน ประกอบด้วยการหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๑.๑ ฝ่ายปากีสถานได้เสนอให้ไทยพิจารณาการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างไทยกับปากีสถาน (Joint Trade Commission : JTC) เพื่อเป็นเวทีการประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางการค้า การลงทุน ส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแก้ไขปัญหา หรือลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งผู้แทนการค้าไทยเห็นด้วยในหลักการและได้แจ้งให้ฝ่ายปากีสถานทราบว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของไทยได้มีมติ (๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ปากีสถาน เพื่อให้มีการจัดตั้ง JTC ระหว่างไทยกับปากีสถาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการให้รัฐมนตรีพาณิชย์ของสองฝ่ายลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๑.๒ ฝ่ายปากีสถานเสนอจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจไทย - ปากีสถาน (Thai Pakistani Joint Economic Commission : JEC) ครั้งที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ กรุงอิสลามาบัด เพื่อสานต่อความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาไว้ในด้านการเปิดตลาดการค้าหรือการลงทุนระหว่างกัน ๑.๓ ฝ่ายปากีสถานได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการขยายความสัมพันธ์ระหว่างสภาธุรกิจไทย - ปากีสถาน และหอการค้าไทย - ปากีสถาน โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าและการทำธุรกิจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสองฝ่าย ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคี (ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ ๓๕ ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา) โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านกิจการร่วมค้า (joint venture) และการแปรรูปอาหาร ๑.๔ ปัจจุบันปากีสถานมีนโยบายเปิดเสรีการค้าบริการที่เปิดกว้างกว่าเดิม เนื่องจากปากีสถานต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยสาขาที่มีศักยภาพในการแข่งขันคือ โทรคมนาคม การเงิน การธนาคาร รวมทั้งการท่องเที่ยว และได้หยิบยกประเด็นเรื่องการศึกษา ความเป็นไปได้ในการเปิดสาขาธนาคารพาณิชย์ของปากีสถานในไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยเฉพาะด้านศุลกากรที่เป็นมาตรฐานสากลอันจะเอื้อประโยชน์ต่อการค้าของสองประเทศ ๒. ผลการหารือกับประธานหอการค้าอิสลามาบัด ฝ่ายปากีสถานได้ขอให้ไทยพิจารณาการจัดBusiness Forum เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างนักธุรกิจทั้งสองฝ่าย โดยคาดว่าจะสามารถจัดการประชุมดังกล่าวภายหลังที่รัฐมนตรีพาณิชย์ของทั้งสองฝ่ายได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ปากีสถาน (JTC) ๓. ผลการหารือกับผู้แทน COMSTECH ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ก่อตั้งโดยองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) ที่ให้การสนับสนุนนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์แก่ประเทศสมาชิก และเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพและออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าฮาลาลที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยผู้แทนการค้าไทยได้ขอรับคำแนะนำจาก COMSTECH เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการที่จะได้รับการสนับสนุนการออกใบรับรองมาตรฐานคุณค่าอาหารฮาลาลของไทย ๔. ผลการหารือกับประธานสมาพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งปากีสถาน (FPCCI) ผู้แทนการค้าไทยได้กล่าวถึงแผนการร่วมทุนในอุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋องกับปากีสถานและประเทศมุสลิมอื่น ๆ ภายใต้ชื่อ Mr. Pine รวมทั้งการดำเนินนโยบาย Look West ของไทย ซึ่งเสริมนโยบาย Look East ของปากีสถาน และพร้อมที่จะสนับสนุนปากีสถานให้เข้ามาร่วมมีบทบาทในอาเซียน ๕. ผลการหารือกับรัฐมนตรีอาวุโสว่าการกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการจัดตั้ง JTC ระหว่างไทยกับปากีสถาน ซึ่งฝ่ายปากีสถานอยู่ระหว่างการรอตอบรับจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยเพื่อให้มีการลงนามร่วมกันโดยเร็วที่สุด โดยเสนอให้มีการลงนามในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ นอกจากนี้ รัฐมนตีรอาวุโสฯ ได้แสดงความสนใจในการที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลกับไทย โดยพร้อมที่จะส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อเรียนรู้จากไทยและยินดีที่จะให้ไทยเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในการจัดตั้งสำนักงานออกใบรับรองคุณภาพอาหารฮาลาลที่ปากีสถาน รวมทั้งเชิญชวนให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในการผลิตอาหารและผลไม้กระป๋อง โดยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแก่นักธุรกิจไทย ๖. ผลการหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติปากีสถาน เกี่ยวกับการให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมาเปิดดำเนินการในปากีสถาน โดยผู้ว่าการธนาคารฯ แจ้งว่ายินดีที่จะให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมาเปิดดำเนินการในปากีสถาน และพร้อมจะให้ความร่วมมือทุกอย่างที่ไทยต้องการ และอยากให้ผู้แทนการค้าไทยทำหน้าที่ช่วยประสานขอข้อมูลและกฎระเบียบในการที่ธนาคารพาณิชย์ปากีสถานจะมาเปิดดำเนินการในไทย ส่วนผู้แทนการค้าไทยได้แจ้งให้ทราบถึงการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ปากีสถานเกี่ยวกับศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทย และการที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเข้ามามีบทบาทสนับสนุน ซึ่งผู้ว่าการฯ พร้อมที่ให้การสนับสนุนหากจะได้ทำการตกลงร่วมมือกันต่อไปในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||
31338 | ข้อเสนอการทบทวนกลไกการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ภายใต้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศทั้งระบบไว้ในหน่วยงานเดียว (Single Management) โดยมีภารกิจครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนงาน การศึกษาวิจัย การขับเคลื่อนการพัฒนา รวมทั้งการบริหารกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ ๒. เห็นชอบให้โอนย้ายกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปตั้งอยู่ในสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๓. เห็นชอบให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๔ และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับใหม่เพื่อให้สอดรับกับโครงสร้างกลไกการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีบูรณาการ ๔. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดโครงสร้างองค์กรและบริหารจัดการการจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติในการเป็นหน่วยงานบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศทั้งระบบ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยรับจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำคำของบประมาณตามขั้นตอนแล้วไปก่อน จนกว่าจะได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเกี่ยวกับกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วเสร็จ จึงจะโอนย้ายเงินกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๕ ไปอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31339 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติเขาค้อ) | ทส | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติเขาค้อ) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนที่ต้องออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ไปเพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31340 | การจัดทำบันทึกความร่วมมือทวิภาคี ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา และสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ | พณ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (Memorandum of Bilateral Cooperation between the Department of Intellectual Property, Thailand and the United States Patent and Trademark Office) ก่อนการลงนาม โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ เป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (United States Patent and Trademark Office - USPTO) ในการพัฒนาศักยภาพ และระบบบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวทางการปฏิบัติ และกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพด้านทรัพย์สินทางปัญญา ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความร่วมมือฯ จะมีผลใช้บังคับทันทีที่ทั้งสองฝ่ายลงนาม และมีระยะเวลา ๕ ปี นับจากวันที่ลงนาม โดยอาจยกเลิกได้ก่อนครบกำหนดระยะเวลา รวมทั้งอาจแก้ไขเพิ่มเติมได้โดยความเห็นชอบจากคู่ภาคีทั้งสองฝ่าย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการติดตามและประเมินผลความร่วมมือฯ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาในมิติอื่นต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....