ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1570 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 31381 - 31400 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31381 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2553 ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 | พม | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้รายงานต่อรัฐสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อมูลการรายงานตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประกอบด้วย ๑.๑ ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนการกระทำความรุนแรงในครอบครัวในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่เข้าสู่กระบวนการของตำรวจ มีทั้งสิ้น ๓๑๕ คดี เป็นการร้องทุกข์ ๒๒๙ คดี ไม่ร้องทุกข์ ๑๖ คดี มีการใช้คำสั่งกำหนดมาตรการ/วิธีการเพื่อการบรรเทาทุกข์ ๒๔ คำสั่ง โดยใน ๒๔ คำสั่ง มีการละเมิดคำสั่ง ๑๓ คำสั่ง และมีการยอมความ ๖๖ คดี ในส่วนของผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป (๑๘๘ คดี) เพศชาย (๔๑ คดี) โดยผู้ถูกกระทำที่เป็นเพศหญิงอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นคดีการกระทำทางกาย ๑๓๔ คดี ทางเพศ ๕๐ คดี และทางจิตใจ ๔ คดี ในส่วนของผู้ถูกกระทำอายุระหว่าง ๐ - ๑๘ ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (๑๒๗ คดี) เพศชาย (๑๔ คดี) โดยเพศหญิงอายุระหว่าง ๐ - ๑๘ ปี ส่วนใหญ่เป็นคดีทางเพศ ๑๑๘ คดี รองลงมาเป็นคดีทางกาย ๗ คดี ทางจิตใจและสังคมประเภทละ ๑ คดี ๑.๒ ข้อมูลจากสำนักงานอัยการสูงสุด จำนวนคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่เข้าสู่กระบวนการของอัยการ มีทั้งสิ้น ๓๙๐ คดี สั่งฟ้อง ๓๓๓ คดี โดยในจำนวนที่สั่งฟ้อง ๓๓๓ คดี ได้ขอให้ศาลใช้มาตรการทางกฎหมาย ๓๕ เรื่อง และศาลได้กำหนดมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ ๕ เรื่อง จากจำนวน ๓๕ เรื่อง สั่งไม่ฟ้อง ๑๒ คดี สั่งยุติคดี (ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์) ๓๙ คดี และจากจำนวนคดีที่อัยการสั่งฟ้องได้เข้าสู่กระบวนการศาลชั้นต้น ๒๓๘ คดี โดยศาลสั่งยกฟ้อง ๙ คดี สั่งจำหน่ายคดี (ยอมความ) ๑๔ เรื่อง และเป็นคดีที่ศาลสั่งลงโทษ ๒๑๕ คดี ๑.๓ ข้อมูลจากสำนักงานศาลยุติธรรม จำนวนคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่เข้าสู่กระบวนการของศาล มีทั้งสิ้น ๒๔๐ คดี เป็นคดีที่ขึ้นสู่ศาลชั้นต้นและเป็นคดีที่ผู้เสียหาย (ผู้ถูกกระทำความรุนแรง) ดำเนินการฟ้องศาลโดยตรงไม่ผ่านการร้องทุกข์ต่อตำรวจ ๒๔๐ คดี มีการออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ ๓๐ คำสั่ง แยกเป็นคำสั่งที่ออกโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ (ชั้นผู้ใหญ่) ซึ่งศาลเห็นชอบ ๓ คำสั่ง และคำสั่งที่ออกโดยศาล ๒๗ คำสั่ง โดยไม่มีจำนวนการละเมิดคำสั่ง และมีการยอมความชั้นพิจารณาคดี ๑๑ คดี ๑.๔ ข้อมูลจากระบบข้อมูลความรุนแรงในครอบครัวภายใต้เว็บไซต์ www.violence.in.th ของศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัวทั่วประเทศ ประกอบด้วย เหตุการณ์การกระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวทั่วไป ทั้งที่เป็นคดีและไม่เป็นคดีในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๙๑๖ เหตุการณ์ มีจำนวนผู้กระทำความรุนแรงเป็นเพศชาย ๖๔๕ ราย เพศหญิง ๘๖ ราย ไม่ระบุเพศกระทำ ๑๗ ราย ส่วนจำนวนผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นเพศหญิง ๖๕๓ ราย เพศชาย ๗๗ ราย ไม่ระบุเพศผู้ถูกกระทำ ๑๙ ราย ภาคที่มีจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงมากที่สุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๘๕ ราย รองลงมาคือ ภาคใต้ ๒๔๖ ราย ภาคกลาง ๒๑๒ ราย และภาคเหนือ ๑๗๓ ราย ตามลำดับ ในส่วนของประเภทความรุนแรง เป็นความรุนแรงทางร่างกายมากที่สุด รองลงมาคือ ความรุนแรงทางจิตใจ สาเหตุความรุนแรง ได้แก่ เมาสุรา ยาเสพติด สุขภาพกายและจิตใจ นอกใจ หึงหวง เศรษฐกิจ ตกงาน และสื่อลามก ด้านความสัมพันธ์ของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยามากที่สุด ๔๗๙ ราย ๒. แผนการดำเนินงานและแนวโน้มในอนาคต ได้แก่ การพัฒนาระบบข้อมูลด้านความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวให้ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูลเชิงคุณภาพได้มากขึ้น รวมทั้งเป็นแหล่งข้อมูลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การจัดทำแนวทางการปฏิบัติงานของกลไกสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติฯ เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถเชื่อมโยงการทำงานเข้าด้วยกันในแต่ละขั้นตอนการปฏิบัติ การจัดทำนิยามศัพท์ของ “ความรุนแรงในครอบครัว” เพื่อให้สามารถจัดเก็บข้อมูลความรุนแรงในครอบครัวตามความหมายของพระราชบัญญัติฯ มีความชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การสร้างต้นแบบที่ดีของศูนย์ปฏิบัติการฯ เพื่อนำไปสู่การขยายผลในจังหวัดอื่น ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้รับบริการ การเสริมสร้างกลไกการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานและการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ และการทบทวนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขพระราชบัญญัติฯ และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31382 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง โอกาสและศักยภาพในการขยายการค้าการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน | สว | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง โอกาสและศักยภาพในการขยายการค้าการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ รวมทั้งผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ ฯ ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงพาณิชย์มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์สู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพธุรกิจรองรับอาเซียน (+๖) การจัดกิจกรรมร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้หัวข้อ Business Summit โดยมี ๓ กิจกรรมหลัก คือ การแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ และสัมมนาแลกเปลี่ยนมุมมองและมาตรการการค้าในสาขาต่าง ๆ การดำเนินการตามแผนจัดตั้ง National Single Window โดยเชื่อมโยงข้อมูลการออกใบอนุญาตภาครัฐ ๖ หน่วยงานเข้าสู่ระบบเดียวผ่าน Internet รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ การจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจ SMEs เพื่อการส่งออกโดยเน้นการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การจัดการธุรกิจ การวิเคราะห์ SWOT เพื่อกำหนดศักยภาพให้กับผู้ประกอบการทั้งส่วนกลางและภูมิภาค การจัดหลักสูตรความรู้ด้านธุรกิจการค้า และการดำเนินโครงการภายใต้คณะกรรมการเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดในส่วนของการจัดจ้าง ออกแบบติดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๒. กระทรวงแรงงานได้ดำเนินมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงาน โดยกำหนดให้ต่างด้าวต้องทำงานอยู่กับนายจ้างตามเขตจังหวัดที่จดทะเบียนหากจะออกไปทำงานนอกเขต ต้องได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน และผู้ว่าราชการจังหวัด (ยกเว้นทำการประมงทะเล) ๓. กระทรวงสาธารณสุขมีความเห็นเกี่ยวกับการคัดกรองป้องกันและควบคุมโรค โดยเฉพาะโรคติดต่อจากประเทศที่มีการสาธารณสุขล้าหลังกว่าประเทศไทย ๔. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนดูงานของเจ้าหน้าที่เพื่อยกระดับการทำงานให้มีเกณฑ์มาตรฐานเดียวกัน เพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการตรวจสอบ ณ ด่านการค้า ๕. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมเตรียมแผนการลงทุน Contract Farming กับประเทศเพื่อนบ้าน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเห็นชอบการจัดทำสัญญาซื้อขายสินค้าเกษตร รวม ๙ รายการ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดหวาน มันสำปะหลัง งา ละหุ่ง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง และลูกเดือย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31383 | ร่างพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. .... | กษ | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงคมนาคม ประสานงานในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการในการจดทะเบียนเรือประมง ตามแนวทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ โดยกรณีที่ผู้ขอจดทะเบียนเรือแจ้งวัตถุประสงค์ว่าจะใช้เรือลำดังกล่าวทำการประมง มิใช่ดำเนินการเพื่อการขนส่งหรือกิจการอื่น ให้กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ส่งเรื่องให้กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการอนุมัติให้จดทะเบียน ๒. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้มีมาตรการในการบริหารจัดการการบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ กำหนดให้รัฐมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด โดยอนุมัติรัฐมนตรี ภายในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบมีอำนาจประกาศควบคุมการทำการประมงในเขตประมงน้ำจืดและเขตประมงทะเลชายฝั่ง และกำหนดหลักเกณฑ์ในการจดทะเบียนผู้ประกอบอาชีพการประมงหรืออาชีพในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมง ๒.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ และกรรมการอื่นจากหน่วยงานของรัฐและองค์กรเอกชนทีเกี่ยวข้องกับด้านการประมง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยมีอธิบดีกรมประมง เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒.๓ กำหนดให้มีการเก็บสถิติการประมง เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัยและการบริหารจัดการด้านการประมง โดยกำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดท้องที่ที่จะทำการเก็บสถิติการประมง และกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ประกอบกิจการหรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการประมงในเวลาทำการของสถานที่นั้นเพื่อทำการตรวจสอบและจัดเก็บสถิติการประมง ๒.๔ กำหนดให้มีหลักเกณฑ์ในการควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมง หรืออาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ หรือกระทำการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นอันตรายแก่สัตว์น้ำ รวมทั้งการปลูกสร้าง การแก้ไข เปลี่ยนแปลงที่จับสัตว์น้ำซึ่งมิใช่ที่ของเอกชนให้ผิดไปจากสภาพที่เป็นอยู่ การติดตั้ง วาง หรือสร้างเขื่อน ฝาย ทำนบ รั้ว เครื่องมือ ที่เป็นตาข่าย หรือเครื่องมือทำการประมงอื่น ๆ การควบคุม การครอบครองสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ และการควบคุมการครองครองเครื่องมือทำการประมงที่ใช้ทำการประมงและมีผลเป็นการทำลายพันธุ์สัตว์น้ำอย่างร้ายแรง ๒.๕ กำหนดให้มีเขตการประมงในน่านน้ำไทย โดยแบ่งออกเป็นสามเขต ได้แก่ เขตประมงทะเลชายฝั่ง เขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง และเขตประมงน้ำจืด เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบกิจการประมงรายเล็กและรายใหญ่ ๒.๖ กำหนดให้มีหลักเกณฑ์การควบคุมการทำการประมงในเขตการประมงแต่ละเขต และกำหนดให้ผู้ใบรับอนุญาตใช้เครื่องมือทำการประมงในแต่ละเขตการประมง มีหน้าที่ต้องชำระค่าอากรการใช้เครื่งมือทำการประมง รวมทั้งกำหนดเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำ และหลักเกณฑ์ในการควบคุมการทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำ ๒.๗ กำหนดให้มีหลักเกณฑ์ในการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อให้ได้สัตว์น้ำที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และกำหนดให้กรมประมงมีอำนาจออกหนังสือรับรองให้แก่ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งมีอำนาจตรวจรับรองชนิด ลักษณะ คุณภาพ หรือแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำ ตลอดจนกำหนดบริเวณที่จับสัตว์น้ำที่จะต้องได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนประกอบกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และหลักเกณฑ์ในการขอรับหนังสือกำกับการจำหน่ายสัตว์น้ำ ๒.๘ กำหนดให้มีมาตรการในการควบคุมสุขอนามัยของสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ และกำหนดกิจการที่มีการควบคุมดูแลรักษาสัตว์น้ำหลังการจับและหลักเกณฑ์ในการควบคุมกิจการดังกล่าว ๒.๙ กำหนดให้มีหลักเกณฑ์ในการควบคุมการนำเข้าและส่งออกสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ การออกหนังสือรับรองสุขภาพหรือคุณภาพสัตว์น้ำ หรือหนังสือรับรองคุณภาพด้านมาตรฐานสุขอนามัยของสัตว์น้ำ หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือหนังสือรับรองอื่นตามความต้องการของประเทศปลายทาง ๒.๑๐ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาต หรือค่าธรรมเนียมใบแทนใบอนุญาต ๒.๑๑ กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถให้บริการในการตรวจสอบ การขอรับใบอนุญาต การออกหนังสืออนุญาต และการขอหนังสือรับรองต่าง ๆ โดยกำหนดไว้นอกเวลาราชการหรือนอกสถานที่ทำการโดยปกติไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรได้ และกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจมีหนังสือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณา และมีอำนาจเข้าไปในสถานที่ประกอบกิจการหรือสถานที่ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการของผู้รับอนุญาต สถานที่ประกอบกิจการหรือสถานที่ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการที่ต้องมีการควบคุมกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือสถานที่ประกอบกิจการหรือสถานที่ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการที่ต้องมีการควบคุมการดูแลรักษาสัตว์น้ำหลังการจับ ๒.๑๒ กำหนดมาตรการในการพักใช้ใบอนุญาต การระงับการอนุญาต และการเพิกถอนใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาต และกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดการกับเครื่องมือทำการประมง สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งใด ๆ ที่ไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาต ๒.๑๓ กำหนดให้มีโทษทางอาญา ๒ ลักษณะ คือ โทษขั้นต่ำใช้สัดส่วนโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทต่อโทษจำคุกขั้นต่ำหนึ่งปี และโทษขั้นสูงใช้สัดส่วนโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทต่อโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ๒.๑๔ ปรับปรุงอัตราค่าอากรใบอนุญาตใช้เครื่องมือทำการประมงตามประเภทเครื่องมือทำการประมงและอัตราค่าธรรมเนียมให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
31384 | ความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเนปาล | กต | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขชื่อคู่ภาคีความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับเนปาล จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘ อนุมัติการจัดทำความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับเนปาล โดยแก้ไขชื่อคู่ภาคี จาก “รัฐบาลแห่งพระมหากษัตริย์เนปาล” เป็น “รัฐบาลแห่งเนปาล” ก่อนที่จะดำเนินการให้มีการลงนามในความตกลงฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31385 | การพัฒนาพื้นที่ในเชิงพาณิชย์และการบริการสาธารณะควบคู่กันไปตามแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ | คค | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่า กทพ. สามารถนำพื้นที่เขตทางพิเศษที่ได้เวนคืนและก่อสร้างทางพิเศษเสร็จเรียบร้อยแล้วมาพัฒนาเชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการให้บริการสาธารณะได้ เนื่องจาก กทพ. ได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนที่ดินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กทพ.) รับเรื่อง การดำเนินการโครงการเชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการให้บริการสาธารณะระหว่างกระทรวงคมนาคม (กทพ.) กับกระทรวงสาธารณสุข กรณีการใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้เขตทางพิเศษภายใต้ “โครงการเสริมสร้างสุขภาพและแหล่งการเรียนรู้สำหรับเด็ก เพื่อประโยชน์สาธารณะ” ของกระทรวงสาธารณสุขควบคู่ไปกับการจัดทำ “โครงการเชิงพาณิชย์จำหน่ายสินค้า OTOP” ของ กทพ. ไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน รวมทั้งเกณฑ์การพิจารณาให้สอดคล้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยนำความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการความชัดเจนของการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการฯ การบริหารจัดการพื้นที่และการนำรายได้ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ การพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่ระหว่างเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ให้มีความสมดุล การกำหนดแนวทางการรับผิดชอบในการลงทุนและบำรุงรักษาพื้นที่ และการกำหนดแนวทางบริหารสัญญาที่ชัดเจนโดยเฉพาะการควบคุมการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามผลการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย รวมทั้งการกำหนดมาตรการจัดการจราจรและการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการและผู้สัญจรบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
31386 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ทก | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้วย และให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๑ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามลำดับ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์)
|
|||||||||||||||||||||||||||
31387 | การลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC และศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC | วธ | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC และศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC (Memorandum of Understanding on the Establishment of the BIMSTEC Cultural Industries Commission - BCIC and BIMSTEC Cultural Industries Observatory - BCIO) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นความร่วมมือของกลุ่มประเทศ BIMSTEC เพื่อก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม โดยคณะกรรมการอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมเป็นผู้ขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการฯ ซึ่งทำหน้าที่จัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ศึกษาวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ก่อตั้งเว็บไซต์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลอุตสาหกรรมภายในภูมิภาค BIMSTEC และสนับสนุนรัฐภาคีในการพัฒนาแผนและยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ตลอดจนสร้างเครือข่ายกับสถาบันที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC และศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC ซึ่งทำหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลด้านอุตสาหกรรม วัฒนธรรม เผยแพร่ข้อมูล และอำนวยความสะดวกให้รัฐภาคีเข้าถึงมูล ดังนั้น จึงควรหารือกับกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ทางวัฒนธรรมของประเทศด้วย เช่น มวยไทย นาฏศิลป์ รวมทั้งสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications) ของประเทศ และความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของศูนย์ในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ซึ่งมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าประสงค์ในการแก้ไขความยากจนเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการพัฒนาด้านวัฒนธรรม ตามที่ได้ระบุไว้ในความริเริ่มพาโร (Paro initiative) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31388 | การกำหนดวันหยุดและการไว้ทุกข์งานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี | นร | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดวันหยุดและการไว้ทุกข์งานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. กำหนดให้วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ ๒. ในห้วงวันพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ เห็นสมควรกำหนด ดังนี้ ๒.๑ ขอความร่วมมือประชาชนไว้ทุกข์โดยทั่วกัน ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ รวม ๓ วัน ๒.๒ ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสา ๒.๓ ขอความร่วมมือสถานบริการต่าง ๆ ให้งดหรือลดการแสดงเพื่อความบันเทิง ๒.๔ ขอความร่วมมือสถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์ควบคุมดูแลรายการที่ออกอากาศให้เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
31389 | การถอดถอนกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐอาร์เมเนียประจำประเทศไทย และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ฯ คนใหม่ | กต | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ถอดถอน นายเกร็ก เดอร์ เคโวเคียน (MR. Greg Der-Kevorkian) กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐอาร์เมเนียประจำประเทศไทย ซึ่งมีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย ๒. แต่งตั้ง นายอาร์โท อาร์ทิเนียน (Mr. Arto Artinian) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐอาร์เมเนียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย สืบแทน นายเกร็ก เดอร์ เคโวเคียน (MR. Greg Der-Kevorkian)
|
|||||||||||||||||||||||||||
31390 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
๑. นายทรงคุณ วิญญูวรรธน์ ตำแหน่งนายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาพยาธิวิทยา) ตำแหน่งเลขที่ ๓๙๑๘ กลุ่มภารกิจวิชาการ สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาพยาธิวิทยา) ตำแหน่งเลขที่และส่วนราชการเดิม ตั้งแต่ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ ๒. นายอุดม ไกรฤทธิชัย ตำแหน่งนายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) ตำแหน่งเลขที่ ๑๒๖๙ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) ตำแหน่งเลขที่ ๑๒๕๙ ส่วนราชการเดิม ตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓
|
|||||||||||||||||||||||||||
31391 | รัฐบาลสาธารณรัฐคีร์กีซเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอัสการ์ เบชิมอฟ (Mr. Askar Beshimov) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐคีร์กีซประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สืบแทน นายแอร์ลาน บี. อับดุลแดอีฟ (Mr. Erlan B. Abdyldaev)
ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31392 | แผนปฏิบัติการการแก้ปัญหาวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุด ภายใต้โครงการความร่วมมือการแก้ปัญหาวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรม | วท | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับเรื่อง แผนปฏิบัติการการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุด ภายใต้โครงการความร่วมมือการแก้ปัญหาวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรม ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการบูรณาการในภาพรวมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้นำแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เห็นควรให้มีการติดตามประเมินผลที่ชัดเจนและมีการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ มีการนำข้อมูลที่ได้รับจากการดำเนินการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อให้การแก้ไขปัญหาด้านมลพิษเป็นไปอย่างบูรณาการและเกิดผลสัมฤทธิ์ และจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนและฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั้งในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดและพื้นที่ที่ประสบปัญหาสิ่งแวดล้อมแห่งอื่น ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
31393 | ขออนุมัติค่าดำเนินการในการจัดส่งข้าวไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสาธารณรัฐเฮติ | กต | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒,๒๖๒,๐๗๐.๔๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๗๒,๓๘๖,๒๕๓ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดส่งข้าวไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสาธารณรัฐเฮติ (ค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง เก็บรักษา และแจกจ่าย) ตามที่โครงการอาหารโลก (World Food Programme - WFP) เรียกเก็บ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31394 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การกระจายงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตามภารกิจของหน่วยงาน (กรณีศึกษา : ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 - 2553) | กษ | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การกระจายงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตามภารกิจของหน่วยงาน (กรณีศึกษา : ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๓) ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ รวมทั้งผลดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. กรมชลประทานได้กำหนดกรอบการพัฒนาและบริหารจัดการน้ำตามแผนแม่บท โดยให้ความสำคัญกับปริมาณน้ำเก็บกักตามแหล่งเก็บกักน้ำต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่การเกษตรนอกเขตชลประทานที่มีศักยภาพทั่วประเทศให้เป็นพื้นที่ชลประทาน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำที่เกิดขึ้นทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งในทุกภาคส่วนของประเทศ และในการดำเนินงานที่ผ่านมา กรมชลประทานได้กระจายงบประมาณลงพื้นที่ตามแผนพัฒนาการชลประทานระดับลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ (กรอบน้ำ ๖๐ ล้านไร่) โดยพิจารณาตามความพร้อมของโครงการและความเหมาะสมของพื้นที่ ๒. กรมทรัพยากรน้ำได้กำหนดแผนแม่บทในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ สำหรับการพัฒนาแหล่งน้ำ การป้องกันและบรรเทาภัยที่เกิดจากน้ำ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและคุณภาพน้ำ ทั้งนี้ การดำเนินงานไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมดเนื่องจากอาจมีปัญหาอุปสรรคที่แผนงาน/โครงการในแผนแม่บทขาดความพร้อม (ด้านที่ดิน ชุมชน) จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ๓. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้บริหารจัดการพื้นที่ต้นน้ำและลุ่มน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยใช้กรอบแผนการบรรเทาอุทกภัยระยะกลางและระยะยาวเป็นแนวทางการดำเนินงานในมาตรการการป้องกันและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ต้นน้ำให้คงสภาพนิเวศสมบูรณ์ ๔. กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการดูแลพัฒนาทางน้ำธรรมชาติ เช่น การขุดลอกทางน้ำ และการสร้างพนังกั้นน้ำตามแนวของลำน้ำ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๓ ได้ดำเนินงานตามภารกิจด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารการคมนาคมทางน้ำครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำต่าง ๆ ๕. กรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ (ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างดำเนินการ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทยที่ครอบคลุมกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบในภาพรวมของระดับประเทศ ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถใช้เป็นกรอบการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำไปปรับใช้เป็นแผนปฏิบัติการหรือจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการตามภารกิจต่อไป ๖. กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเชิงพื้นที่ที่สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน คือ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาล โดยดำเนินกิจกรรมการจัดทำนโยบายและแผนด้านทรัพยากรน้ำบาดาล การอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบาดาล และการกำกับควบคุมการประกอบกิจการน้ำบาดาล ๗. สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ทบทวนทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามมติคณะรัฐมนตรี และดำเนินการสำรวจสถานภาพพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อสำรวจสถานภาพครบทุกพื้นที่แล้วจะสามารถนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในฤดูแล้ง ป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝน ป้องกันน้ำเค็มมิให้รุกเข้ามาในแผ่นดิน ป้องกันการพังทลายของชายฝั่ง รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรชีวภาพที่สำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31395 | การจัดงานเฉลิมฉลองวาระ 150 ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า | วธ | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพการจัดงานเฉลิมฉลองวาระ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โดยกราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมฉลองวาระ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน รวมทั้งเชิญกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ๒. การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมฉลองวาระ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ รวม ๙ คณะ ได้แก่ ๒.๑ คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมฉลองวาระ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ ๒.๒ คณะกรรมการฝ่ายพิธีการ มีเลขาธิการพระราชวัง เป็นประธานกรรมการ ๒.๓ คณะกรรมการฝ่ายจัดกิจกรรมในประเทศ มีปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกรรมการ ๒.๔ คณะกรรมการฝ่ายจัดกิจกรรมในต่างประเทศ มีปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกรรมการ ๒.๕ คณะกรรมการฝ่ายจัดการสัมมนาวิชาการ มีประธานฝ่ายวิชาการ มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประพจน์ อัศววิรุฬหการ) เป็นประธานกรรมการ ๒.๖ คณะกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึก มีประธานฝ่ายวิชาการ มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิการเจ้า (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประพจน์ อัศววิรุฬหการ) เป็นประธานกรรมการ ๒.๗ คณะกรรมการฝ่ายจัดทำของที่ระลึก โดยมีคุณชวลี อมาตยกุล เป็นประธานกรรมการ ๒.๘ คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ มีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ ๒.๙ คณะกรรมการฝ่ายดำเนินการและประสานงาน มีท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ เป็นประธานกรรมการ |
|||||||||||||||||||||||||||
31396 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการค่าใช้จ่ายดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยใช้จ่ายจากเงินทุนหมุนเวียนรับจำนำมันสำปะหลัง จำนวน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ทั้งนี้ หากในระหว่างที่ยังไม่สามารถใช้วงเงินกู้ตามโครงการฯ ดังกล่าวได้ ให้ใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินการไปพลางก่อน และให้ชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR + 1 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. สำหรับวงเงินจ่ายขาด จำนวน ๓,๘๔๖.๒๗๗ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรับฝากและออกใบประทวน ค่า Overhead ค่าฝากเก็บ ค่าพลิกกอง ค่าตรวจสอบคุณภาพ และค่าแรงกรรมกร ขององค์การคลังสินค้า ค่าดอกเบี้ยเงินทุนหมุนเวียนและค่าบริหารสินเชื่อ ของ ธ.ก.ส. ค่าใช้จ่ายดำเนินการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ระดับจังหวัด ค่าใช้จ่ายกำกับดูแลตรวจสอบ และค่าประชาสัมพันธ์โครงการ ของกรมการค้าภายใน ค่าออกใบรับรองเกษตรกรเพื่อการรับจำนำมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ของกรมส่งเสริมการเกษตร และค่าจัดจ้างเจ้าหน้าที่ช่วยปฏิบัติงาน จัดอบรมความรู้การตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์การตรวจสอบผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและสุ่มตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่รับจำนำ ของกรมการค้าต่างประเทศ ให้หน่วยงานดังกล่าวใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และหากไม่เพียงพอให้ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินงบกลางเพิ่มเติม แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||
31397 | มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ดังนี้
๑. นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ๒. นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์
|
|||||||||||||||||||||||||||
31398 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ 5,000 บาท (เพิ่มเติม) ในพื้นที่ 53 จังหวัด และขออนุมัติงบกลาง เพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามมติการประชุมคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ครั้งที่ 1/2555 | มท | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (เพิ่มเติม) ในจังหวัดที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ จำนวน ๒๗๓,๔๒๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๓๖๗,๑๑๐,๐๐๐ บาท และในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน ๔๖๗,๘๘๗ ครัวเรือน เป็นเงิน ๒,๓๓๙,๔๓๕,๐๐๐ บาท รวมจำนวนครัวเรือน ๗๔๑,๓๐๙ ครัวเรือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๗๐๖,๕๔๕,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้กรอบวงเงินเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ร่วมกับคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔] ที่เหลืออยู่ เป็นเงิน ๓,๘๔๙,๐๖๕,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ รายละเอียดการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (เพิ่มเติม) ในจังหวัดที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ จำนวน ๒๗๓,๔๒๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๓๖๗,๑๑๐,๐๐๐ บาท มีดังนี้ ๑.๑ จังหวัดที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำนวน ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส จำนวน ๑๔,๓๒๑ ครัวเรือน เป็นเงิน ๗๑,๖๐๕,๐๐๐ บาท ๑.๒ จังหวัดหนองบัวลำภูขอรับการช่วยเหลือกรอบครัวเรือน จำนวน ๖๒๙ ครัวเรือน และจังหวัดสมุทรปราการขอรับการช่วยเหลือกรอบครัวเรือน จำนวน ๙๐๘ ครัวเรือน รวม ๑,๕๓๗ ครัวเรือน เป็นเงิน ๗,๖๘๕,๐๐๐ บาท ๑.๓ ขออนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท โดยเพิ่มหลักเกณฑ์กรณีวาตภัย และคลื่นลมแรง ทำให้บ้านพักอาศัยและทรัพย์สินได้รับความเสียหาย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี สงขลา และจันทบุรี จำนวน ๑,๘๙๗ ครัวเรือน เป็นเงิน ๙,๔๘๕,๐๐๐ บาท ๑.๔ จังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมพร ปัตตานี ยะลา สงขลา พัทลุง สุราษฎร์ธานี ตรัง นราธิวาส และระนอง ขอรับการช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท กรณีเกิดอุทกภัยเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๒๕๕,๖๖๗ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๒๗๘,๓๓๕,๐๐๐ บาท ๒. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ในพื้นที่ ๕๓ จังหวัด จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๓๐ วัน และในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ออกไปอีก ๔๕ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๓. ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยเกี่ยวกับการกำหนดกรอบระยะเวลาให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เป็นเพียงระยะเวลาเร่งรัดให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดเตรียมขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือให้พร้อมเพื่อมิให้เกิดความล่าช้า เช่น การสำรวจรายชื่อ การตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ การประกาศรายชื่อ การนำรายชื่อส่งธนาคารออมสิน เป็นต้น และเมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วให้ดำเนินการจ่ายได้ทันที มิได้หมายความถึงกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยแต่ประการใด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ การช่วยเหลือให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ [เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีอุทกภัย)] โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกรุงเทพมหานครตรวจสอบข้อมูลรับรองความถูกต้อง และตรวจสอบความซ้ำซ้อนของครัวเรือนและแจ้งรายละเอียดข้อมูลจำนวนครัวเรือนให้ธนาคารออมสินโดยตรงด้วย โดยหากไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบก่อนสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนด ๑๕ วัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
31399 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในปีที่ ๑ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ซึ่งส่งผลให้ผู้มีคุณวุฒิตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไปได้รับเงินเดือนแรกบรรจุรวมกับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐ บาท และผู้มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี (ปวช. และ ปวส.) ได้รับการปรับรายได้เพิ่มขึ้นตามระดับคุณวุฒิการศึกษาเช่นเดียวกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุดังกล่าวด้วย ๒. อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามข้อ ๑ วงเงินประมาณ ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ส่วนราชการใช้จากเงินเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายการปรับเพิ่มเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ และทหารกองประจำการ จำนวน ๑๒,๘๐๐ ล้านบาท และงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ จำนวน ๙,๗๐๐ ล้านบาท ในลำดับต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล โดยคำนึงถึงสภาวะเศรษฐกิจและสถานะการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งผลกระทบต่อการจ้างงานของภาคเอกชนด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
31400 | ขออนุมัติงบประมาณการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เพิ่มเติม | นร | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ
|
.....