ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1570 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31381 - 31400 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31381 | แนวทางการดำเนินงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | กค | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] โดยให้ยกเลิกคณะกรรมการบริหารจัดการกรอบเงินลงทุน เนื่องจากมีอำนาจหน้าที่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ที่ตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เกี่ยวกับการบริหารโครงการ การจัดหาพัสดุ การจัดหาเงินกู้ การเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารเงินกู้ รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อความในร่างระเบียบฯ ว่าเมื่อหน่วยงานเจ้าของโครงการได้รับอนุมัติโครงการแล้ว ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอคณะรัฐมนตรีทราบก่อนดำเนินโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยเสนอต่อรัฐสภาไว้แล้ว ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ส่วนขั้นตอนการอนุมัติโครงการ เห็นควรให้มีที่ปรึกษาทำหน้าที่วิเคราะห์และกลั่นกรองแผนงาน/โครงการด้านเทคนิคเพื่อให้เกิดความรอบคอบและรัดกุม รวมทั้งในการติดตามและประเมินผลโครงการ เห็นควรให้ดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการติดตามและประเมินผล ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการอนุมัติโครงการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติให้ใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) วงเงิน ๓๙ ล้านบาท ที่คงเหลืออยู่ในบัญชีเงินฝากเงินกู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระทรวงการคลัง เพื่อสนับสนุนการจัดเตรียมระบบฐานข้อมูลและระบบงานเพื่อรองรับการบริหารโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตของประเทศ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้อนุมัติรายละเอียดและวงเงินโครงการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๔. อนุมัติให้ใช้เงินกู้ SAL วงเงิน ๓๕ ล้านบาท ที่คงเหลือจากการดำเนินโครงการตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐที่ยังไม่มีแผนงานรองรับของสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อสนับสนุนระบบการติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (Project Financial Monitoring System - Flood Recovery Project : PFMS - FRP) ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||
31382 | ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินสำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง หรือความขัดแย้งทางการเมือง | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินสำหรับผู้เสียหายกลุ่มที่ ๑ จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง (๒๕๔๘ - ๒๕๕๓) ๑.๒ ประมาณการวงเงินงบประมาณ ตามกรอบอัตราเงินช่วยเหลือ ชดเชย เยียวยาความเสียหาย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมให้การเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหายตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง) สำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ๑.๓ กรณีชาวต่างประเทศที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงและความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีสิทธิได้รับการเยียวยาตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ๒. ส่วนงบประมาณให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามที่ ปคอป. เสนอ สำหรับชาวต่างประเทศกรณีนาย Hiroyuki Muramoto ซึ่งเสียชีวิตในช่วงเหตุการณ์ความรุนแรงและความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๓ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗,๓๑๔,๐๐๐ บาท และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะเลขานุการ ปคอป. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียชีวิตตามหลักเกณฑ์ฯ ควรมีกลไกการตรวจพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่แท้จริง และกรณีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ผู้เสียชีวิตตามหลักเกณฑ์ฯ ควรประกอบด้วยจำนวนเงิน ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ ให้ความช่วยเหลือเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย และส่วนที่ ๒ ให้ความช่วยเหลือเยียวยาค่าเสียโอกาสของผู้เสียชีวิต จำนวน ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ทั้งนี้ การจ่ายเงินดังกล่าวควรมีมาตรการให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินอย่างแท้จริงและสามารถดำรงชีพได้ในระยะยาว โดยจำนวนเงินส่วนที่ ๑ อาจมอบให้กับผู้มีสิทธิได้รับเต็มจำนวน และส่วนที่ ๒ อาจมอบให้ผู้มีสิทธิได้รับในรูปแบบบัญชีเงินฝากประจำ หรือพันธบัตร หรือสลากออมสิน เป็นต้น สำหรับกรณีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ชาวต่างประเทศที่ได้รับความเสียหาย ควรกำหนดมาตรการหรือแนวทางการให้ความช่วยเหลือเช่นเดียวกับประชาชนคนไทย โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ประสานงานในเรื่องนี้ รวมทั้งความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับคำว่า “เงินชดเชย” ตามที่ปรากฏในหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินสำหรับผู้ได้รับความเสียหาย อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นการชดเชยความเสียหายอันเกิดจากความผิดของรัฐ ซึ่งจะก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องอื่นๆ ตามมา จึงควรปรับเปลี่ยนคำว่า “เงินชดเชย” เป็น “การให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามหลักมนุษยธรรม” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
31383 | แนวทางการรับประกันภัยพิบัติภายใต้พระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. 2555 | กค | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการรับประกันภัย ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินความคุ้มครองและการจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ (sub limit) แบ่งตามประเภทของผู้เอาประกันภัยเป็น ๓ ประเภท ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่ กลุ่มบ้านอยู่อาศัย วงเงินความคุ้มครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๐.๕ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หมายถึง ธุรกิจที่มีทุนประกันภัยไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท จะจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ภัยพิบัติที่ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของทุนประกันภัย คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๑.๐ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ และกลุ่มอุตสาหกรรม หมายถึง ธุรกิจที่มีทุนประกันภัยตั้งแต่ ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป จะจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ภัยพิบัติที่ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของทุนประกันภัย คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๑.๒๕ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ ๑.๒ เกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทนของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ (Trigger) ครอบคลุมประเภทภัยพิบัติรวม ๓ ภัย ได้แก่ วาตภัย อุทกภัย และธรณีพิบัติภัย ๑.๓ วิธีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยจะสำรวจและประเมินความเสียหายโดยจะจ่ายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติในทุกกรณี ยกเว้นกรณีอุทกภัยในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย เนื่องจากมีผู้เอาประกันภัยจำนวนมาก โดยหากน้ำท่วมพื้นที่อาคารจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ ๓๐,๐๐๐ บาท หากระดับน้ำสูง ๕๐ เซนติเมตร ๗๕ เซนติเมตร และ ๑๐๐ เซนติเมตรจากพื้นที่อาคาร จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ ๕๐,๐๐๐ บาท ๗๕,๐๐๐ บาท และ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ ๑.๔ ประมาณการวงเงินความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ คาดว่าจะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติเฉลี่ยที่ร้อยละ ๙๐.๔๕ ของจำนวนกรมธรรม์ทั้งหมดในปัจจุบัน โดยในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย จำนวน ๑.๓ ล้านกรมธรรม์ในปัจจุบัน คาดว่าจะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติทั้งหมด ในขณะที่กลุ่ม SMEs และอุตสาหกรรม อีกประมาณ ๒๔๕,๐๐๐ กรมธรรม์ คาดว่าร้อยละ ๙๐ จะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติ ดังนั้น ประมาณการวงเงินความคุ้มครองรวมของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติจะอยู่ที่ระดับ ๒,๕๙๘,๔๘๖ ล้านบาท ๑.๕ ค่าสินไหมทดแทนที่อาจเป็นไปได้สูงสุด (Probable Maximum Loss : PML) ที่เหมาะสมสำหรับกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติในการบริหารความเสี่ยงควรอยู่ที่ระดับ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ ความเสี่ยงของรัฐบาล โดยที่กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติมีวงเงินในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท สามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับความเสียหายสูงสุดที่ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเกิดภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด ทำให้ความเสียหายสูงกว่า ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าความสามารถของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติในการบริหารจัดการความเสียหาย ในส่วนนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาดูแลรับผิดชอบ โดยคาดว่ารัฐบาลจะมีความเสี่ยงสูงสุดที่ ๒,๒๙๘,๔๘๖ ล้านบาท ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกองทุนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติคำนึงถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงในระยะยาว และมีการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนทุกปี เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ส่วนการกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมของผู้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยพิบัติให้ต้องมากกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท ต่อหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน ๖๐ วัน อาจเป็นจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมต่อครั้งที่สูงเกินไป เห็นควรให้คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติลดข้อกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมต่อครั้งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
31384 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแอลเบเนีย | กต | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแอลเบเนีย ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อกำหนดขั้นตอนการหารือในระดับการทูต เพื่อขยายความร่วมมือและพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี และประเด็นความสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน และเพื่อให้ทั้งสองประเทศสนับสนุนความร่วมมือและการติดต่อโดยตรงระหว่างกันของสถาบันต่าง ๆ ที่ชำนาญการในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเมือง เศรษฐกิจและการค้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กฎหมาย และวัฒนธรรม เป็นต้น โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. อนุมัติให้ พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๖ - ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||
31385 | รายงานผลการระบายน้ำของเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2555 | กษ | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานแผนและผลการระบายน้ำของเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ รวม ๓๓ แห่ง ณ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เขื่อนภูมิพล มีปริมาณการระบายน้ำ ๓,๕๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒. เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณการระบายน้ำ ๒,๖๔๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล มีปริมาณการระบายน้ำ ๖๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. เขื่อนแม่กวงอุดมธารา มีปริมาณการระบายน้ำ ๘๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๕. เขื่อนกิ่วลม มีปริมาณการระบายน้ำ ๑๐๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๖. เขื่อนกิ่วคอหมา มีปริมาณการระบายน้ำ ๓๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ๗. เขื่อนแควน้อย มีปริมาณการระบายน้ำ ๕๗๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๘. เขื่อนห้วยหลวง มีปริมาณการระบายน้ำ ๒๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๙. เขื่อนน้ำอูน มีปริมาณการระบายน้ำ ๑๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๐. เขื่อนน้ำพุง มีปริมาณการระบายน้ำ ๓๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๑. เขื่อนจุฬาภรณ์ มีปริมาณการระบายน้ำ ๕๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๒. เขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณการระบายน้ำ ๖๑๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๓. เขื่อนลำปาว มีปริมาณการระบายน้ำ ๖๓๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๔. เขื่อนลำตะคอง มีปริมาณการระบายน้ำ ๙๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๕. เขื่อนลำพระเพลิง มีปริมาณการระบายน้ำ ๒๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๖. เขื่อนมูลบน มีปริมาณการระบายน้ำ ๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๗. เขื่อนลำแซะ มีปริมาณการระบายน้ำ ๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑๘. เขื่อนลำนางรอง มีปริมาณการระบายน้ำ ๘ ล้านลูบาศก์เมตร ๑๙. เขื่อนสิรินธร มีปริมาณการระบายน้ำ ๒๗๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๐. เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณการระบายน้ำ ๓๒๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๑ เขื่อนทับเสลา มีปริมาณการระบายน้ำ ๓๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๒. เขื่อนกระเสียว มีปริมาณการระบายน้ำ ๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๓. เขื่อนศรีนครินทร์ มีปริมาณการระบายน้ำ ๑,๓๔๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๔. เขื่อนวชิราลงกรณ์ มีปริมาณการระบายน้ำ ๘๕๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๕. เขื่อนขุนด่านปราการชล มีปริมาณการระบายน้ำ ๙๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๖. เขื่อนคลองสียัด มีปริมาณการระบายน้ำ ๑๐๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๗. เขื่อนบางพระ มีปริมาณการระบายน้ำ ๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๘. เขื่อนหนองปลาไหล มีปริมาณการระบายน้ำ ๒๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒๙. เขื่อนประแสร์ มีปริมาณการระบายน้ำ ๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓๐. เขื่อนแก่งกระจาน มีปริมาณการระบายน้ำ ๑๗๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓๑. เขื่อนปราณบุรี มีปริมาณการระบายน้ำ ๔๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓๒. เขื่อนรัชประภา มีปริมาณการระบายน้ำ ๓๖๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓๓. เขื่อนบางลาง มีปริมาณการระบายน้ำ ๒๖๙ ล้านลูกบาศก์เมตร
|
|||||||||||||||||||||
31386 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
31387 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม | สธ | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมชุดใหม่ จำนวน ๑๐ คน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ นายณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานกรรมการ ๑.๒ นายไพจิตร์ วราชิต กรรมการ ๑.๓ นางวีรวรรณ แตงแก้ว กรรมการ ๑.๔ นางอัจนา ไวความดี กรรมการ ๑.๕ นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ กรรมการ ๑.๖ นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์ กรรมการ ๑.๗ นายพิพัฒน์ ยิ่งเสรี กรรมการ ๑.๘ นายสุพรรณ ศรีธรรมมา กรรมการ ๑.๙ นายเรวัต วิศรุตเวช กรรมการ ๑.๑๐ นายช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๒. ยกเว้นนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการอนุมัติเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||
31388 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาด้านการขนส่งในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ 2 | คค | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาด้านการขนส่งในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ ๒ โดยสาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีคมนาคมของประเทศสมาชิก (Members) และประเทศสมาชิก (Associate Members) ของเอสแคปในการพัฒนาด้านการคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานและการบริหารด้านการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ และมีความปลอดภัยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกประเทศในภูมิภาคนี้ รวมทั้งเรียกร้องให้เลขาธิการของเอสแคปสานต่อการปฏิบัติตามปฏิญญาปูซานและร่างแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคสำหรับการพัฒนาการขนส่งในเอเชียและแปซิฟิก ระยะที่ ๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
31389 | การดำเนินงานและการติดตามผลการดำเนินงาน การฟื้นฟู เยียวยาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานและการติดตามผลการดำเนินงาน การฟื้นฟู เยียวยาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการที่จะต้องใช้จ่ายจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จากวงเงิน ๓๘,๕๒๕.๔๓๗๔ ล้านบาท โดยส่วนราชการที่รับผิดชอบขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นเงิน ๓๔,๔๗๕.๔๙๑๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณแล้วเป็นเงิน ๓๓,๙๓๑.๓๘๘๖ ล้านบาท ปรับลดงบประมาณตามความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายเป็นเงิน ๕๔๔,๑๐๒๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่ส่วนราชการยังไม่ได้ขอรับการจัดสรรเป็นเงิน ๔,๐๔๙.๙๔๖๒ ล้านบาท เนื่องจากอยู่ระหว่างส่วนราชการผู้รับผิดชอบจัดทำประมาณการค่าใช้จ่าย ซึ่งสำนักงบประมาณได้ประสานงานและเร่งรัดให้ส่วนราชการขอจัดสรรเพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดสรรให้โดยเร็วต่อไป ๒. สรุปสถานภาพ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ณ วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ จะมีวงเงินคงเหลือทั้งสิ้น ๗๘๙.๕๘๒๒ ล้านบาท (คงเหลือจากการที่สำนักงบประมาณทบทวน ๒๔๕.๔๗๙๖ ล้านบาท และปรับลดตามความเหมาะสมของค่าใช้จ่าย ๕๔๔.๑๐๒๖ ล้านบาท)
|
|||||||||||||||||||||
31390 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ | วท | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ แทนพลตรี อภิชาติ นพเมือง ซึ่งขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
31391 | มาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากปัญหาหมอกควัน | สธ | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากปัญหาหมอกควัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจัดทำหนังสือสั่งการ สธ ๐๔๒๒.๑/ว ๘๖ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เรื่อง มาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากปัญหาหมอกควัน ได้แก่ การดำเนินการเฝ้าระวังผู้ป่วยจากโรงพยาบาล และการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลในการรองรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังและกลุ่มเสี่ยงโดยเตรียมบุคลากร สถานที่ เวชภัณฑ์ ให้มีความพร้อม ๒. ให้กรมควบคุมโรคดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับประชาชนในสถานการณ์ปัญหาหมอกควันตามระดับความรุนแรงของค่า PM 10 [ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (๐.๐๑ มิลลิเมตร)] ที่เกินค่าเกินมาตรฐาน ๑๒๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ๒.๒ ให้คำแนะนำหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือปัญหาหมอกควันตามระดับความรุนแรงของค่า PM 10 ๒.๓ เร่งรัดให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๑๐ เชียงใหม่ ประสานกับจังหวัดในการเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพประชาชนอย่างใกล้ชิด ๒.๔ ดำเนินการสนับสนุนหน้ากาก จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ชิ้น โดยเน้นให้กับกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง พร้อมทั้งกระตุ้นให้หน่วยงานในพื้นที่ (อปท.) ดำเนินการจัดหาเพิ่มให้กับประชาชน รวมทั้งให้ประชาชนทำหน้ากากใช้เอง ๒.๕ ทำหนังสือสั่งการเลขที่ สธ ๐๔๒๒.๑/ว ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง มาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากปัญหาหมอกควัน แจ้งไปยังสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๑ - ๑๒ ๒.๖ ดำเนินการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ สื่อออนไลน์ และสื่อมวลชนท้องถิ่น ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ๒.๗ กรณีที่พื้นที่มีค่า PM 10 ในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานมาก ให้มีการจัดเตรียมที่พักที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ที่พักฟื้นหลังออกจากโรงพยาบาล เพื่อลดการรับสัมผัสกับฝุ่นละออง เช่น จัดให้มีระบบปรับอากาศ และมีการจัดวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยลดฝุ่นละอองภายนอกอาคาร เช่น ระบบฝอยละอองน้ำ เป็นต้น ๓. ให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ได้แก่ การเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพของกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชน และประสานดูแลรักษากับโรงพยาบาล การเฝ้าระวังอย่าให้มีการเผาวัสดุหรือสิ่งของต่าง ๆ ในชุมชนของตนเองที่ดูแล ๑๐ - ๑๕ หลังคาเรือน การแนะนำการทำหน้ากากอนามัยผ้าใช้เองในชุมชน และการสนับสนุนการพ่นน้ำ ละอองฝอย เพื่อให้เกิดความชุ่มชื้นและลดฝุ่นละอองในอากาศในกรณีที่สภาพอากาศมีหมอกควันวิกฤตรุนแรง
|
|||||||||||||||||||||
31392 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด | มท | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชาวันย์ สวัสดิ์ - ชูโต เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด แทน นายประสิทธิ์ ทะรักษา ซึ่งขอลาออกจากการเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
31393 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) แทนตำแหน่งที่ว่าง | วธ | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเศรษฐา ศิระฉายา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรม ภาพยนตร์ ดนตรี โทรทัศน์ ในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
31394 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ | วท | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ จำนวน ๖ คน ตามนัยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ๒. นายปิยะสกล สกลสัตยาทร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านชีววิทยาศาสตร์ ๓. นายอมเรศ ภูมิรัตน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านชีววิทยาศาสตร์ ๔. นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจและการลงทุน ๕. นายพินิจ กังวานกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจและการลงทุน ๖. นายปรีชา พันธุ์ติเวช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหาร
|
|||||||||||||||||||||
31395 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิ | พณ | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิ จำนวน ๑๒ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายเอกชัย ลีลารัศมี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายวัลลภ สุระกำพลธร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๓. นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขานิติศาสตร์ ๔. นายพินิจ กำหอม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๕. นายพินัย ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขานิติศาสตร์ ๖. นายประดนเดช นีละคุปต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๗. นายบุญโชติ เผ่าสวัสดิ์ยรรยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิทยาศาสตร์ ๘. นายวชิระ จงบุรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๙. นายสันติ รัตนสุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์ ๑๐. นายประสงค์ ปราณีตพลกรัง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑๑. นางกนิษฐ เมืองกระจ่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาอุตสาหกรรม ๑๒. นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||
31396 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ๕ จังหวัด (จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และระนอง) ในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ และข้อเสนอการประชุมร่วมกับภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) เพื่อการเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ๕ จังหวัด ๑.๑ จังหวัดภูเก็ต ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการแก้มลิงขุมน้ำสวนเฉลิมพระเกียรติ ๑.๑.๒ การปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเดินศึกษาทางธรรมชาติตามรอยเบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๑.๑.๓ การก่อสร้างอนุสรณ์สถาน อำเภอเมืองถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ๑.๒ จังหวัดพังงา ได้แก่ ๑.๒.๑ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวบ้านทับละมุ จังหวัดพังงา ๑.๒.๒ โครงการก่อสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์อนุสรณ์สถานสึนามิ เรือ ต.๘๑๓ ๑.๒.๓ โครงการก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันดามัน ๑.๒.๔ โครงการจัดตั้งศูนย์ราชการจังหวัดพังงา ๑.๓ จังหวัดกระบี่ ได้แก่ ๑.๓.๑ การขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเทียบแพขนานยนต์ข้ามฟากเกาะลันตาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทะเลอันดามัน ๑.๓.๒ การก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยทางธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดี และการท่องเที่ยว ๑.๓.๓ การสำรวจออกแบบการก่อสร้างถนนเลี่ยงเมืองกระบี่ ๑.๓.๔ การจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ๑.๔ จังหวัดตรัง ได้แก่ ๑.๔.๑ โครงการการพัฒนาท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว ๑.๔.๒ โครงการการพัฒนาแหล่งน้ำของจังหวัดตรัง ๑.๔.๓ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ถ้ำเขาช้างหาย ๑.๕ จังหวัดระนอง ได้แก่ ๑.๕.๑ โครงการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมการกัดเซาะชายฝั่งของน้ำทะเลบ้านอ่าวเคย ๑.๕.๒ โครงการฟื้นฟู คู คลองเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน ๑.๕.๓ โครงการพัฒนาศักยภาพการรวบรวมและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของสถาบันเกษตรกร ๑.๕.๔ โครงการพัฒนาส่งเสริมศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเกาะพยาม ๒. ข้อเสนอการประชุมร่วมกับ กรอ.ภูมิภาค เกี่ยวกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ๕ จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||
31397 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร (นักบริหารระดับสูง) (สำนักนายกรัฐมนตรี) | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางฐะปาณีย์ อาจารวงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
31398 | รายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2555) | ทส | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ - ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำในภาพรวม สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณร้อยละ ๗๐ อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเขื่อนที่มีน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดีมาก มีจำนวน ๖ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๕๑ - ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดี มีจำนวน ๒๐ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๓๑ - ๕๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำพอใช้ มีจำนวน ๕ แห่ง และเขื่อนที่มีน้ำน้อยกว่าร้อยละ ๓๑ อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย มีจำนวน ๒ แห่ง สำหรับสภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติ มีปริมาณน้ำน้อย ๒. การเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๑๙ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร ลำปาง ลำพูน สุโขทัย น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ อุตรดิตถ์ เชียงราย เลย หนองคาย เพชรบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และตราด ๒.๒ กรมชลประทานได้ประสานข้อมูลรายงานผลการจัดสรรน้ำเพื่อการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โดยพื้นที่ทั้งประเทศ วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง จำนวน ๑๙.๒๓ ล้านไร่ แบ่งออกเป็น ข้าวนาปรัง ๑๖.๗๐ ล้านไร่ พืชไร่ - พืชผัก ๒.๕๓ ล้านไร่ และมีแผนการใช้น้ำทั้งสิ้น ๓๑,๙๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีผลการเพาะปลูกแล้ว ๑๖.๔๑ ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ ๘๕ และใช้น้ำแล้ว ๒๒,๕๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๓ สำหรับลุ่มน้ำเจ้าพระยา วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง จำนวน ๑๐.๐๐ ล้านไร่ แบ่งออกเป็น ข้าวนาปรัง ๙.๖๐ ล้านไร่ พืชไร่ - พืชผัก ๐.๔๐ ล้านไร่ และมีแผนการใช้น้ำทั้งสิ้น ๑๓,๒๒๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีผลการเพาะปลูกแล้ว ๙.๗๑ ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ ๙๗ และใช้น้ำแล้ว ๑๐,๖๙๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๓ ๒.๓ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรายงานสภาพน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ว่า ปัจจุบันมีปริมาณเก็บกักอยู่ที่ร้อยละ ๖๘ และ ๖๖ ตามลำดับ และมีเป้าหมายจะลดระดับเก็บกักลงเหลือร้อยละ ๔๕ ในสิ้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ทั้ง ๒ เขื่อน เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันอุทกภัย ๒.๔ การประปาส่วนภูมิภาครายงานพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดิบเพื่อการผลิตน้ำประปาในพื้นที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด และพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะจ่ายน้ำเป็นเวลา ทั้งนี้ ได้ประสานกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลจะจัดทำโครงการ River Bank Filtration (RBF) คือ การนำน้ำบริเวณตลิ่งแม่น้ำที่มีศักยภาพน้ำใต้ดินมาใช้ร่วมกับน้ำผิวดิน และได้มีการแจกจ่ายน้ำเพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งไปแล้วทั้งสิ้น ๔๑ ล้านลิตร คิดเป็นเงิน ๐.๗๓ ล้านบาท ๒.๕ สำนักฝนหลวงและการบินเกษตรได้เปิดหน่วยปฏิบัติการแล้ว ๔ แห่ง คือ จังหวัดจันทบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ และจะเปิดหน่วยปฏิบัติการอีก ๓ แห่ง ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ คือ จังหวัดพิษณุโลก กาญจนบุรี และอุบลราชธานี
|
|||||||||||||||||||||
31399 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมและการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๔๒๒ ราย คิดเป็นร้อยละ ๔๙.๔๗ ของโรงงานทั้งหมด ๘๕๓ ราย ๒. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัยซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชน ได้เปิดดำเนินการแล้ว ๖,๐๖๐ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๖.๖๕ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ๓.๑ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบนำเข้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๑๗๖ โครงการ มูลค่า ๗๒,๙๓๙ ล้านบาท ๓.๒ อนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม จำนวน ๑๕๘ บริษัท จำนวนคนต่างชาติ ๖๑๔ คน ๓.๓ การอนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ และการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ หรืออยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว จำนวน ๓๒๕ โครงการ ๓.๔ การออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ ๑/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง มาตรการด้านภาษีอากร เพื่อฟื้นฟูการลงทุนจากวิกฤตอุทกภัย เพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ๔.๑ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการรวม ๑๓๓ ราย จากเป้าหมาย ๑๐๐ ราย ประกอบด้วยสถานประกอบการอุตสาหกรรม ๗๐ ราย และวิสาหกิจชุมชน ๖๓ ราย มีการใช้พื้นที่แล้ว ๑๘,๒๔๐ ตารางเมตร จากพื้นที่ ๒๑,๖๔๐ ตารางเมตร คงเหลือพื้นที่สามารถรองรับสถานประกอบการได้อีก ๓,๔๐๐ ตารางเมตร ๔.๒ โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย ทีมวิศวกรได้ออกปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ ดูแล ตรวจสอบ และแนะนำเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน การดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การกำจัดกากอุตสาหกรรมทั้งชนิดอันตรายและไม่อันตราย และแก้ไขการปนเปื้อนของสารพิษ สารเคมี ซึ่งขณะนี้เก็บรวบรวมข้อมูลสถานประกอบการได้แล้ว ๑,๐๕๔ ราย หรือร้อยละ ๕๒.๗ ของโรงงานเป้าหมายทั้งหมด (๒,๐๐๐ โรงงาน) ๔.๓ โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม โดยมุ่งเน้นสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม/เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ขณะนี้ได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ผลแล้ว ๓๘๙ ตัวอย่าง หรือร้อยละ ๓๒ ของตัวอย่างทั้งหมด (๑,๒๐๐ ตัวอย่าง) ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑ กิโลเมตร เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เสร็จสิ้นในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๘.๕ กิโลเมตร มีแผนการก่อสร้างเริ่มวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ เสร็จสิ้นในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๓ กิโลเมตร กำหนดดำเนินการวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เสร็จสิ้นวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๓ กิโลเมตร กำหนดดำเนินการวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เสร็จสิ้นวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ สวนอุตสาหกรรมนวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เสร็จสิ้นวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ และนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๓ กิโลเมตร มีแผนการก่อสร้างเริ่มประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ เสร็จสิ้นในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||
31400 | รายงานสรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยและผลการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ | ทส | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย และผลการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เพิ่มเติมถึงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยผลการติดตามตรวจสอบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) ใน ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา น่าน แม่ฮ่องสอน และตาก พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานติดต่อกันหลายวันตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ต่อเนื่องถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ - ๓ มีนาคม ๒๕๕๕ พบค่าสูงถึง ๓๕๖.๕ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานเกือบ ๓ เท่า และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมาก ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาหมอกควันจากไฟป่าและการเผาในพื้นที่โล่งในภาคเหนือ โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งและมลพิษหมอกควัน เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานดำเนินการอย่างเข้มข้นในพื้นที่
|
.....