ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1569 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31361 - 31380 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31361 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... | สว | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... ของวุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ ว่า “ผู้สอบบัญชีและประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินขององค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และจัดทำรายงานผลเสนอต่อคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น ในทุกรอบปีให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการสอบบัญชีและประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินขององค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นลำดับแรก หากในกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ จึงให้คณะกรรมการแต่งตั้งบุคคลภายนอกด้วยความเห็นชอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีและประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินขององค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค” ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เสนอ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31362 | สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2554 และแนวโน้มปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม 2555 | อก | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวร้อยละ ๓.๕ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ แต่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๖.๖ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ อุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวสูงขึ้นในขณะที่อุปสงค์ในประเทศรวมขยายตัวชะลอลง โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนขยายตัวชะลอลง ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลขยายตัวสูงขึ้นเล็กน้อย การส่งออกสินค้าขยายตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ ภาคอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม ๒๕๕๔ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยมีอุตสาหกรรม Hard Disk Drive และยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ส่วนการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๓ สถานการณ์การค้าต่างประเทศของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในเดือนมกราคม - ตุลาคม ๒๕๕๔ การค้าของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๓๘๙,๒๖๖.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒๕.๙ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๑๙๖,๗๖๘.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๑๙๒,๔๙๘.๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๘ และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๑ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล ๔,๒๗๐.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๔ การลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ในช่วงเดือนมกราคม - กันยายน ๒๕๕๔ มีมูลค่า ๒๗๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยคาดว่าทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จะมีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน ๔๙๑,๑๐๐ ล้านบาท เนื่องจากมีกิจการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ๑.๕ แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๖.๐ - ๗.๐ ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GDP ของภาคอุตสาหกรรม (มูลค่า ณ ราคาคงที่) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๕.๐ - ๖.๐ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สถานการณ์การผลิตคาดว่าจะยังชะลอตัวต่อเนื่องจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบ และคาดว่าจะสามารถฟื้นฟูให้สามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ภายในไตรมาสที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยปัจจัยเสี่ยงของอุตสาหกรรมการส่งออกสิ่งทอยังมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปที่ยังชะลอตัว สำหรับการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนโดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่นอนและเครื่องนอน ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เนื่องจากความต้องการภาคประชาชนยังมีอยู่ ส่งผลให้การจำหน่ายสินค้าในภาพรวมเพิ่มขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ เนื่องจากโรงงานผลิตรถยนต์เริ่มกลับมาผลิตได้เป็นปกติอีกครั้ง สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๔๙ และส่งออกร้อยละ ๕๑ ๒.๓ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ ๙.๙๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการประมาณการอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวลดลงร้อยละ ๓๐.๒๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
|
||||||||||||||||||||||||
31363 | รัฐบาลสาธารณรัฐตูนิเซียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายมุฮัมมัด อันตาร์ (Mr. Mohamed Antar) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตูนิเซียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงจาการ์ตา สืบแทนนายไฟซาล กูยา (Mr. Faysal Gouia) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31364 | การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ The Canada - Asia Regional Emerging Infectious Diseases (CAREID) | สธ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ The Canada - Asia Regional Emerging Infectious Diseases (CAREID) โดยร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ เป็นบันทึกที่แสดงถึงความร่วมมือระหว่างองค์การการสาธารณสุขประเทศแคนาดาและกระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังและการเตรียมความพร้อมรับการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๒. อนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้แทนที่จะเข้าร่วมประชุม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
||||||||||||||||||||||||
31365 | ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับร่างมาตรา ๑๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๙๕ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจะเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่ลูกจ้างอื่นได้จัดตั้งหรือเป็นสมาชิกอยู่ไม่ได้ และลูกจ้างอื่นจะเป็นสมาชิกในสหภาพแรงงานที่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาดังกล่าวได้จัดตั้งขึ้นหรือเป็นสมาชิกอยู่ไม่ได้ เป็นการจำกัดสิทธิและเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน ฉบับที่ ๘๗ มาตรา ๓ (๒) และการที่ร่างมาตรา ๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๒ วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้อาจนำข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการไกล่เกลี่ยต่อไป หรือนำข้อพิพาทที่ตกลงกันไม่ได้ไปเจรจาตกลงกันเองนั้น เห็นว่าจะทำให้กระบวนการจัดการกับข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้นั้นยังคงไม่สามารถหาทางออกได้ จึงไม่ควรแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนนี้ โดยให้คงบทบัญญัติเดิมมาตรา ๒๒ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติฯ ซึ่งได้บัญญัติว่ากรณีที่เป็นข้อพิพาทแรงานที่ตกลงกันไม่ได้นั้น นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา ๒๖ หรือนายจ้างจะปิดงานหรือลูกจ้างจะนัดหยุดงานโดยไม่ขัดมาตรา ๓๔ ก็ได้ ทั้งนี้ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๕ หรือมาตรา ๓๖ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31366 | ร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังต่อไปนี้
๑. กำหนดให้มีคณะกรรมการชั่งตวงวัดและกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๒. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมและกำหนดค่าธรรมเนียมหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจ ๓. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดหรือยกเว้นเครื่องชั่งตวงวัดที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ การกำหนดท้องที่การซื้อขายหรือจำหน่ายสินค้าให้ใช้มาตราชั่งตวงวัดเฉพาะในระบบเมตริกหรือให้กระทำโดยการชั่งตวงหรือวัดอย่างใดอย่างหนึ่ง การกำหนดชนิดและลักษณะของเครื่องชั่งตวงวัด และรายละเอียดของวัสดุที่ใช้ผลิตเครื่องชั่งตวงวัด การกำหนดอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด การห้ามให้คำรับรองชั้นหลัง และการกำหนดอายุของคำรับรอง โดยให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกาศกำหนด ๔. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การสั่งพักใช้หรือเพิกถอนหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจและใบอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม ๕. กำหนดให้มีการแจ้งผู้ประกอบธุรกิจให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง ๖. กำหนดให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องชั่งตวงวัดยื่นต้นแบบและผลิตตามต้นแบบที่ได้รับความเห็นชอบ ๗. กำหนดให้มีการตรวจสอบและให้คำรับรองใหม่กรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเครื่องชั่งตวงวัดชนิดติดตรึงอยู่กับที่ ๘. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้คำรับรอง การออกหนังสือสำคัญแสดงการให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัด และการกำหนดแบบเครื่องหมายรับรองและหนังสือสำคัญแสดงการให้คำรับรอง ๙. กำหนดให้แบบของเครื่องหมายแสดงว่าคำรับรองเดิมใช้ไม่ได้แล้ว และแบบของเครื่องหมายห้ามใช้เครื่องชั่งตวงวัดเป็นไปตามที่อธิบดีประกาศกำหนด ๑๐. กำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบและให้คำรับรองชั้นหลังในกรณีที่คำรับรองชั้นแรกสิ้นอายุลงโดยให้นับอายุของคำรับรองชั้นหลังต่อจากวันสิ้นอายุนั้น ๑๑. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินการต่อเครื่องชั่งตวงวัดที่นายตรวจชั่งตวงวัดตรวจพบว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เที่ยง ๑๒. กำหนดห้ามถอน ทำลาย หรือทำให้เสียหายซึ่งเครื่องหมายคำรับรอง เครื่องหมายหรือสิ่งอื่นใดที่นายตรวจชั่งตวงวัดทำไว้เพื่อแสดงการยึดหรืออายัด หรือเครื่องหมายห้ามใช้เครื่องชั่งตวงวัด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ๑๓. กำหนดให้การตรวจสอบความถูกต้องของการแสดงปริมาณสินค้าหีบห่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด ๑๔. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง และกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ๑๕. ปรับปรุงและเพิ่มเติมบทกำหนดโทษทางอาญา ๑๖. ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
31367 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ พ.ศ. .... และ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | ทส | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ กำหนดคำนิยาม “ภัยธรรมชาติ” หมายความว่า อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย ภัยจากแผ่นดินไหว ภัยจากโคลนตม ภูเขาถล่ม หรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ อันเกิดจากธรรมชาติที่ไม่อาจป้องกันได้ หรือไม่อาจพึงคาดหมายล่วงหน้าได้ และให้รวมถึงภัยที่เกิดจากโรคระบาดสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ ๑.๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีอำนาจยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ๑.๑.๓ กำหนดให้กรณีสถานที่ประกอบกิจการน้ำบาดาลของผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลสามารถออกประกาศกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลชำระค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลในแต่ละงวดภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสามร้อยวันนับตั้งแต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้สิ้นสุดลง ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ กำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล อัตราลูกบาศก์เมตรละสี่บาทห้าสิบสตางค์ ในเขตวิกฤตการณ์น้ำบาดาล ประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ๑.๒.๒ กำหนดให้ยกเว้นค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล ดังนี้ การใช้น้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคหรือบริโภค ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการใช้น้ำบาดาลของโรงงานอุตสาหกรรม การใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกรรม (การเพาะปลูก) การใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกร (การเลี้ยงสัตว์) เฉพาะในส่วนที่ใช้น้ำบาดาลไม่เกินกว่าวันละห้าสิบลูกบาศก์เมตร ๑.๒.๓ กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกรรม (การเลี้ยงสัตว์) เฉพาะส่วนที่ใช้น้ำบาดาลเกินกว่าวันละห้าสิบลูกบาศก์เมตร และการใช้น้ำบาดาลเพื่อธุรกิจ ชำระค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลในอัตราลูกบาศก์เมตรละสี่บาทห้าสิบสตางค์ ๒. สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... ให้ตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาแผ่นดินทรุดจากการใช้น้ำบาดาลในปริมาณมากเกินไปในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31368 | การเสนอตั้งงบประมาณของแผนงานปรับปรุงระบบการเตือนภัยของประเทศ ภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ไว้ที่สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | วท | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการเกี่ยวกับระบบการเตือนภัยของประเทศ ภายใต้ข้อกำหนดโครงการ (Terms of Reference : TOR) และวิธีปฏิบัติทางเทคนิคที่ได้รับความเห็นชอบจากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๔๒๔ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบแผนงานปรับปรุงระบบการเตือนภัยของประเทศให้ครอบคลุมถึงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดให้ครบทุกประตูระบายน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและสั่งการระบบปิดเปิดประตูระบายน้ำจากส่วนกลาง และเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานทั้งในด้านพื้นที่ดำเนินโครงการ กลุ่มเป้าหมาย และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการดำเนินโครงการ รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนของแผนงานกับโครงการเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อลดระยะเวลาการดำเนินการที่ซ้ำซ้อนและลดภาระงบประมาณ นอกจากนี้ เห็นควรมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แผนงานปรับปรุงระบบเตือนภัยของประเทศเกิดประสิทธิผลในการใช้งานจริง และการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก การเกิดปรากฏการณ์เอลนิโญ และลานิญา ที่จะส่งผลกระทบต่อการจัดการน้ำตลอดจนภาคการผลิตต่าง ๆ และการดำรงชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ ในการดำเนินการโครงการในส่วนของแผนงานการเตือนภัยภายใต้แผนงานพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์และเตือนภัย ซึ่งจะมีการติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องมีการจัดทำแผนการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่เสียหายและมีการดูแลรักษามิให้เกิดการสูญหาย โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31369 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2555 - 2557 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพิ่มเติม | สธ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) แผนจัดการฯ ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ ๘ แห่ง ได้แก่ พื้นที่ป่าริมพรมและป่าภูกระแต เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ พื้นที่ป่ากุดตะวัน อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี พื้นที่ป่าชุมชนตำบลแม่ทราย อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดูนลำพัน จังหวัดมหาสารคาม พื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย จังหวัดเลย พื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล จังหวัดลำปาง พื้นที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง จังหวัดสุโขทัย และพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งแต่ละแห่งจะมีการจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยมีแผนการดำเนินงาน ๔ ด้าน ตามที่มาตรา ๕๗ กำหนด ได้แก่ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง การกำหนดวิธีการจัดการเฉพาะในพื้นที่โดยประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและชุมชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิด การสำรวจและศึกษาสมุนไพรแต่ละพื้นที่เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูล และนำไปสู่การจัดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม การกำกับติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผนและกฎหมาย รวมทั้งรวบรวมรายชื่อสมุนไพรที่สำรวจพบในแต่ละพื้นที่ และจำแนกเป็น ๓ กลุ่ม คือ สมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สมุนไพรที่อาจจะสูญพันธุ์ ๑.๒ ขั้นตอนการดำเนินการ ๑.๒.๑ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สนับสนุนการดำเนินงานให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในการสำรวจและศึกษาสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ ประเมินสภาพปัญหาเพื่อประกอบการจัดทำ (ร่าง) แผนจัดการฯ โดยดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาคัดเลือกพื้นที่เป้าหมาย โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์และข้อมูลทางวิชาการ และสถานการณ์สมุนไพรในพื้นที่ที่ได้มาจากการสำรวจศึกษาวิจัยในพื้นที่ที่เริ่มดำเนินงานในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ ๑.๒.๒ สำรวจและศึกษาข้อมูลสมุนไพรและถิ่นกำเนิดเพื่อประเมินสถานภาพของสมุนไพรและความหลากหลายทางชีวภาพ สถานการณ์และปัญหาของพื้นที่ โดยขอนุญาตตามระเบียบ/กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย ๓ ครั้ง/ปี ๑.๒.๓ รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและจัดเวทีประชุมผู้เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่เพื่อจัดทำข้อมูล และ (ร่าง) แผนจัดการฯ ให้สอดคล้องตามมาตรา ๕๗ ๑.๒.๔ นายทะเบียนจังหวัดนำเสนอข้อมูล และ (ร่าง) แผนจัดการฯ ต่อคณะอนุกรรมการอนุรักษ์สมุนไพรและถิ่นกำเนิดเพื่อให้ข้อเสนอแนะ/ให้ความเห็นชอบ และเสนอคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๕ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และชุมชนร่วมเป็นคณะกรรมการฯ หรือคณะทำงานฯ ดำเนินการตามแผนและแนวทาง โดยมีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่เป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่อง และเตรียมการขอจัดตั้งงบประมาณรองรับภารกิจในความรับผิดชอบของส่วนราชการ ตามแผนกำหนด ๒. สำหรับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินการตาม (ร่าง) แผนจัดการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑,๓๘๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นและข้อมูลเพิ่มเติมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการเพิ่มพื้นที่ดำเนินการให้ครอบคลุมบริเวณถิ่นกำเนิดสมุนไพรทั้งในพื้นที่เขตอนุรักษ์และนอกเขตอนุรักษ์ให้ทั่วประเทศ การเพิ่มคณะกรรมการจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (สำนักหอพรรณไม้) ในส่วนของการตรวจสอบรายชื่อพันธุ์พืชสมุนไพร การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายของชุมชนผู้ดูแลรักษาป่า เพื่อไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในการปฏิบัติงาน รวมทั้งมีการประเมินผลการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31370 | ขอความเห็นชอบโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย (Industrial Energy Efficiency : IEE) | อก | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ดำเนินโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย (Industrial Energy Efficiency : IEE) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) โดยโครงการ IEE มีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรฐานระบบการจัดการพลังงาน (Energy Management Standard System) ในโรงงานอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของมาตรฐานระบบการจัดการพลังงาน (Standard of Energy Management System) สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโรงงานอุตสาหกรรม และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต รวมทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากข้อกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีในการค้า (Non - Tariff Barrier) ที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามหนังสือตอบรับการเข้าร่วมดำเนินโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ (Industrial Energy Efficiency : IEE) ร่วมกับ UNIDO ๒. ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของตัวแทนจากโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งมีศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตและการประหยัดพลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยกระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาให้การสนับสนุนเงินทุนแก่ SMEs ในการมีมาตรฐานระบบการจัดการพลังงานในโรงงานด้วย และเห็นควรกำหนดตัวชี้วัดผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการ IEE ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินโครงการ และให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและปรับปรุงประสิทธิภาพโครงการอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31371 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เรื่อง การขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อปรับอัตราค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย | ศธ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อปรับอัตราค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย โดยปัจจุบัน สถาบันอุดมศึกษา จำนวน ๗๙ แห่ง ได้จ่ายเงินเพิ่มค่าจ้างในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ่ายค่าตอบแทนด้วยเงินงบประมาณไปแล้ว จำนวน ๕๖ แห่ง จำนวนเงิน ๒๙๕,๐๑๐,๐๐ บาท คงเหลืออีก จำนวน ๒๓ แห่ง (มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ๔ แห่ง มหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ ๖ แห่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏ ๙ แห่ง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ๔ แห่ง) ที่ยังไม่ได้จ่ายเงิน จำนวนเงิน ๙๑,๕๙๐,๐๐๐ บาท จึงเห็นควรให้สถาบันอุดมศึกษา จำนวน ๒๓ แห่งดังกล่าว นำเงินรายได้มาใช้จ่ายเพื่อเป็นเงินปรับเพิ่มอัตราค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อปรับอัตราค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย) เป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ในส่วนที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์และหมดความจำเป็น หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาดำเนินการในลำดับต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31372 | ขออนุมัติเบิกค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือราษฎร | กห | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงกลาโหมเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือราษฎรเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยในพื้นที่ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๒,๐๙๓,๙๓๗ บาท จากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกองทัพบก แผนงานเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศ ผลผลิต การเตรียมกำลังและการใช้กำลังในการป้องกันประเทศ และรักษาความมั่นคงภายในโดยกำลังกองทัพบก กิจกรรมการส่งกำลังบำรุง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ การเบิกค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าวให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
31373 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การศึกษาการสูญค่าทางเศรษฐกิจของผลผลิตการเกษตร : กรณีกรีดยางไม่ได้ขนาด" | สสป | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การศึกษาการสูญค่าทางเศรษฐกิจและผลผลิตการเกษตร : กรณีกรีดยางไม่ได้ขนาด” รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีดังนี้
๑. รัฐบาลควรดำเนินการขึ้นทะเบียนและสำรวจสวนยางในโครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ จำนวนพื้นที่ ๑ ล้านไร่ และสวนยางที่อยู่นอกโครงการ โดยแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ สวนยางที่ยังไม่เปิดกรีดและสวนยางที่เปิดกรีดแล้ว ๒. ให้มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาเพื่อลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ซี่งทุกมาตรการต้องดำเนินการพร้อมกัน ได้แก่ ๒.๑ มาตรการด้านการผลิต โดยการรณรงค์ให้เข้าใจถึงการสูญค่าทางเศรษฐกิจหากกรีดยางไม่ได้ขนาด การจัดหาวัสดุการเกษตรราคาถูกและมีคุณภาพให้เกษตรกรใช้ (เฉพาะเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ) การจัดให้มีการประกวดหมู่บ้านปลอดการกรีดยางไม่ได้ขนาด การแนะนำการปลูกยางโดยใช้เมล็ดยางและการติดตาเพื่อต้องการรากแก้วยึดต้นยางในดิน การส่งเสริมการปลูกพืชร่วมยาง อาทิ ลองกอง หวาย สมุนไพร ฯลฯ และการจัดการฝึกอบรมเรื่องการกรีดยางและวิธีการกรีดยางที่ถูกต้องแก่เกษตรกรและให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการนี้ ๒.๒ มาตรการทางด้านการค้า (เพื่อป้องกันไม่ให้ราคายางตกต่ำ) โดยการส่งเสริมการแปรรูปยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกร การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศเรื่องการแปรรูปยางพาราโดยให้ธนาคารสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐใช้ผลิตภัณฑ์ยางที่ผลิตในประเทศ การพิจารณากำหนดกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคายางภายในประเทศทั้งในส่วนของราคายางดิบและราคายางที่ได้แปรรูปเป็นสินค้าสำเร็จรูป การพิจารณากำหนดระบบการค้าระหว่างประเทศที่สามารถช่วยรักษาเสถียรภาพของราคายางและคุ้มกับราคาต้นทุน และการผลักดันให้บริษัท ร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด (International Rubber Consortium Limited) เข้ามามีบทบาทช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีราคายางตกต่ำ ๒.๓ มาตรการทางด้านการเงิน โดยการจัดงบอุดหนุนช่วยเหลือเกษตรกรระหว่างรอเปิดกรีดยางที่ได้ขนาดโดยผ่านสถาบันเกษตรกรที่เป็นนิติบุคคล ให้จัดทำเป็นโครงการช่วยเหลือบำรุงรักษาต้นยางที่ยังไม่ได้ขนาดเปิดกรีดจนต้นยางอายุครบ ๘ ปี หรือได้ขนาดเปิดกรีดซึ่งอยู่ภายใต้โครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้ เนื้อที่ ๑ ล้านไร่ การให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรปล่อยสินเชื่อให้กับเกษตรกรในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี การจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรในระหว่างรอเปิดกรีดยางเพื่อสนับสนุนสถาบันเกษตรกร และการใช้พระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์สวนยาง พ.ศ. ๒๕๐๓ และพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาปรับใช้เป็นมาตรการเชิงบังคับเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติกับเกษตรกรที่ทำการกรีดยางในกรณีที่ยางยังไม่ได้ขนาดเปิดกรีด ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการบริหาร ได้แก่ ๓.๑ คณะกรรมการบริหารโครงการลดการสูญค่าทางเศรษฐกิจกรณีกรีดยางไม่ได้ขนาด ๓.๒ คณะกรรมการบริหารจัดการโครงการ เพื่อบริหารจัดการโครงการ โดยควบคุมดูแลป้องกันการกรีดยางไม่ได้ขนาด กระบวนการผลิต การบำรุงรักษาสวนยางให้ได้ขนาดเป็นไปตามหลักวิชาการ ๓.๓ คณะกรรมการติดตามและประเมินผลโครงการ โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นเจ้าภาพในการติดตามและประเมินผลโครงการ โดยมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนด อาจดำเนินการจนถึงพระราชบัญญัติการยางฉบับใหม่ประกาศใช้ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ หากกฎหมายนี้ออกมา อาจจะนำสวนยางตามโครงการนี้ที่มีอายุ ๔ - ๘ ปี เข้าร่วมใช้ประกอบการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการกรีดยางไม่ได้ขนาดได้
|
||||||||||||||||||||||||
31374 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๑๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ ณ เมืองมานาโด สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ๑.๑ ที่ประชุมได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนกับรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดียว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ซึ่งในส่วนของไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มอบให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามแทน เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ บรูไนและอินโดนีเซียมีข้อเสนอเพิ่มเติมในประเด็นการรักษาความลับและทรัพย์สินทางปัญญาในร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติของประเทศสมาชิกอาเซียนกับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยที่ประชุมมีมติให้สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีพิจารณาสารัตถะของร่างบันทึกความร่วมมือที่ได้รับการปรับแก้ และคาดว่าจะสามารถลงนามในบันทึกความร่วมมือดังกล่าวได้ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน + ๓ ครั้งที่ ๑๕ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๓ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ซึ่งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวของอาเซียนได้ร่วมกันกำหนดตัวชี้วัดและผู้ประสานงานหลักในแต่ละตัวชี้วัด โดยไทยทำหน้าที่เป็นประธานคณะทำงานด้านการตลาดและการสื่อสารผู้ประสานงานหลักการจัดทำมาตรฐานโรงแรมสีเขียวและมาตรฐานการบริการสปาของอาเซียน รวมทั้งผู้ประสานงานสินค้าท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ และเห็นชอบการเพิ่มจำนวนเงินสนับสนุนประจำปีจากประเทศสมาชิกเพื่อเข้ากองทุนอาเซียน NTOs เป็นจำนวน ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยที่ประชุมมีความเห็นว่าควรเพิ่มการสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่มิใช่ตัวเงินสำหรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ๑.๔ ที่ประชุมได้รับรองแผนยุทธศาสตร์ด้านการตลาด พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมภูมิภาคอาเซียนให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคภายใต้แคมเปญ “ASEAN for ASEAN” และสนับสนุนการส่งเสริมการตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์และการจัดตั้งกลุ่มวิจัยตลาดด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ๑.๕ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในการจัดทำมาตรฐานโรงแรมสีเขียวของอาเซียนซึ่งมีไทยเป็นผู้ประสานงานหลัก และได้ให้การสนับสนุนการจัดทำมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาดของอาเซียนและคู่มือการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว ๒. การเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาด Travel Exchange (TRAVEX) โดยในส่วนของไทย (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ได้จัดพื้นที่สำหรับส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์ เพื่อนำเสนอสินค้าและกิจกรรมการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด “Amazing Thailand Always Amazes You” และพื้นที่เจรจาธุรกิจสำหรับผู้ซื้อ - ผู้ขาย มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากไทยเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน ๙๐ ราย จากจำนวนทั้งสิ้น ๓๑๖ ราย จาก ๑๐ ประเทศสมาชิกอาเซียน มีผู้ซื้อจำนวนทั้งสิ้น ๓๘๑ ราย จากทั่วทุกมุมโลก
|
||||||||||||||||||||||||
31375 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ครั้งที่ 3 | กษ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ณ หอคำหลวง โดยมีนายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลรายงาน และนายชุมพล ศิลปะอาชา รองนายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือที่ระลึก โดยในวันเปิดงานมีผู้เข้าชมงานรวม ๓๑,๖๒๐ คน ๒. จำนวนผู้เข้าชมงามมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ผู้เข้าชมงานก่อนเปิดงาน ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ - ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีจำนวนทั้งสิ้น ๙๔,๗๒๓ คน และผู้เข้าชมงานตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๒๖๙,๑๘๓ คน ๓. การเข้าร่วมงานของต่างประเทศ มีประเทศเข้าร่วมจัดสวนนานาชาติ จำนวน ๓๒ ประเทศ/องค์กร และมีการแสดงวัฒนธรรม จำนวน ๙ ประเทศ ๔. ด้านนิทรรศการ กิจกรรม และสวนเฉลิมพระเกียรติฯ ได้แก่ การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ในหอคำหลวง โดยนำเสนอพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และในอาคารนิทรรศการ ๑ จัดแสดงนิทรรศการโดยใช้แนวคิด “ตามรอยพ่อ เกษตร คือทางออกเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน” และจัดสวนเฉลิมพระเกียรติฯ โดยมีหน่วยงานจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมจัดสวน จำนวน ๒๓ สวน และหน่วยงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมจัดสวน จำนวน ๑๗ หน่วยงาน ๕. ด้านนิทรรศการ กิจกรรมวิชาการพืชสวนและสมุนไพร มีการจัดนิทรรศการในส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วย นิทรรศการหมุนเวียนในอาคารนิทรรศการ ๒ ซึ่งมีหัวข้อนิทรรศการจัดแสดง ๑๑ นิทรรศการ นิทรรศการและกิจกรรมในสวนสมุนไพร ใช้แนวคิด “เลิศล้ำค่าสมุนไพรไทย ก้องกังวานไกลในแหล่งหล้า รวมศาสตร์รวมศิลป์ที่พัฒนา ผสมผสานภูมิปัญญาค่าเลิศล้ำ” ยึดหลัก 3Gs และ 3Rs การจัดนิทรรศการบัว ใช้แนวคิด “บัวไทยไปไกลทั่วโลก” จัดแสดงนิทรรศการพันธุ์บัวประดับทั้งของไทยและต่างชาติ นิทรรศการกล้วยไม้ ใช้แนวคิด “3Gs 3Rs Orchid Academy : ศูนย์การเรียนรู้แห่งกล้วยไม้ 3Gs 3Rs” จัดนิทรรศการสวนสัตว์กล้วยไม้แบบเทียม สัณฐานวิทยากล้วยไม้ และนิทรรศการในอาคารโลกแมลง ใช้แนวคิด “ภุมราพรั่งพฤกษาไพร โลกนี้ไซร้ฤาจักร้อน” ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วนของแมลงมีชีวิตและไม่มีชีวิต ๖. การประเมินความพึงพอใจและความคิดเห็นของผู้เข้าชมงาน โดยในส่วนของความพึงพอใจของผู้เข้าชมงานที่มีต่อสถานที่จัดงานและการบริการของฝ่ายจัดงาน ผู้เข้าชมงานมีความพึงพอใจ ในด้านความสุภาพ/การให้คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ในระดับดี รองลงมาเป็นเรื่องของคู่มือชมงาน และสิ่งที่ควรปรับปรุงคือ ควรมีถังขยะให้เพียงพอ และดูแลความสะอาดของห้องน้ำ สำหรับความพึงพอใจในส่วนจัดแสดงภายในงาน ผู้เข้าชมงานมีความพึงพอใจในหอคำหลวงมากที่สุด รองลงมาเป็นการแสดงม่านน้ำ กระเช้าราชพฤกษ์ลอยฟ้า และสวนเฉลิมพระเกียรติประเภทองค์กร ตามลำดับ |
||||||||||||||||||||||||
31376 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 ตุลาคม 2554 | สธ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕) กรณีการแต่งตั้งนายสมใจ โตศุกลวรรณ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข จากเดิมให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการ เป็นให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ ตุลาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31377 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) | นร | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ซึ่งได้แจ้งรายชื่อ ปคร. ที่แต่งตั้งใหม่จำนวนทั้งสิ้น ๒๒ คน ทั้งนี้ ยังคงเหลืออีก ๓ ส่วนราชการ ได้แก่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณารายชื่อ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31378 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ยศดาบตำรวจที่มีอายุ 53 ปีขึ้นไป เพื่อเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตรถึงยศร้อยตำรวจเอก | นร | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจชั้นประทวนยศดาบตำรวจที่มีอายุ ๕๓ ปีขึ้นไป เพื่อเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตรถึงยศร้อยตำรวจเอก ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สำหรับงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗๖,๒๖๗,๗๖๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมฯ ส่วนเงินปรับพอกสำหรับตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานในสายงานต่าง ๆ ที่มีเงินเพิ่มพิเศษ จำนวน ๗๓,๔๗๓,๖๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ งบบุคลากร รายการเงินเดือนในส่วนของอัตราว่างที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ประมาณ ๖๖๓ ล้านบาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ ก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการเพิ่มเติมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับการใช้เงินปรับพอกสำหรับตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานในสายงานต่าง ๆ ที่มีเงินเพิ่มพิเศษ ซึ่งมีผลให้ค่าใช้จ่ายด้านบุคคลเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีผลให้โครงสร้างอัตรากำลังของข้าราชการตำรวจเปลี่ยนแปลงไป เห็นควรดำเนินการบริหารจัดการภายในกรอบงบประมาณที่มีอยู่ เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนสามัญ หากส่วนราชการมีการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งให้เป็นตำแหน่งระดับสูงขึ้น ก็ต้องยุบเลิกตำแหน่งเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านบุคคลที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งนั้น รวมทั้งเพิจารณาจัดลำดับความสำคัญ การประเมินความคุ้มค่าของการฝึกอบรมโครงการพัฒนาบุคลากรต่าง ๆ เพื่อใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเพิ่มเติมว่า การเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตร จะทำให้เกิดผลกระทบต่ออัตรากำลังในชั้นประทวน ดังนั้น ในกรณีที่จะมีการเสนอขออัตรากำลังข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเพิ่มใหม่ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณากำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนให้มีประสิทธิภาพด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31379 | การบริจาคเงินเพิ่มทุนกองทุนพัฒนาเอเชีย (ADF) ครั้งที่ 10 ของกองทุน ADF XI | กค | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เข้าร่วมการบริจาคเพิ่มทุนกองทุนพัฒนาเอเชีย [Asian Development Fund (ADF)] ครั้งที่ ๑๐ ของกองทุน ADF XI ภายใต้ธนาคารพัฒนาเอเชีย [Asian Development Bank (ADB)] ทั้งนี้ เพื่อให้คงสัดส่วนเพิ่มทุนในกองทุน ADF ครั้งที่ ๑๐ ของกองทุน ADF XI ของประเทศไทยอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๐.๐๘ ของกองทุนทั้งหมด เนื่องจากประเทศไทยมีนโยบายที่จะให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาที่มีความยากจน ประกอบกับการเข้าร่วมการเพิ่มทุนของกองทุน ADF XI จะเป็นส่วนช่วยสำคัญต่อประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง [Greater Mekong Subregion (GMS)] เช่น ลาว กัมพูชา และพม่า โดยประเทศไทยจะมีบทบาทในการผลักดันให้ ADB เพิ่มความสำคัญให้แก่การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว ๑.๒ เห็นชอบให้บริจาคเงินในวงเงินไม่เกิน ๑๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้คงสัดส่วนการบริจาคส่วนบริจาคพื้นฐานไม่ต่ำกว่าการเพิ่มทุนกองทุน ADF ครั้งที่ ๙ ของกองทุน ADF X ๑.๓ เห็นชอบ Instrument of Contribution หรือ Promissory Note ของการบริจาคเงินเพิ่มทุนกองทุน ADF ครั้งที่ ๑๐ ของกองทุน ADF XI ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการประชุมเจรจาการเพิ่มทุนกองทุน ADF ครั้งที่ ๑๐ ของกองทุน ADF XI รอบที่ ๓ ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๗ - ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่ ADB กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ขอให้ประเทศไทยเน้นย้ำการพัฒนาที่จะสนับสนุนการรวมตัวของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงตามแผนแม่บทว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยและภูมิภาคอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31380 | การถอดถอนกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงกัวเตมาลา สาธารณรัฐกัวเตมาลา | กต | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถอดถอนนายหลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์ (Mr. Louis T. Leonowens) ออกจาตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงกัวเตมาลา สาธารณรัฐกัวเตมาลา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....