ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1563 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31241 - 31260 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31241 | ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยและจีนในโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย | พน | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายจีนและฝ่ายไทยในโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย โดยสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้กำหนดความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลไทยและจีนในการดำเนินโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย โดยรัฐบาลจีนจะมอบอุปกรณ์การผลิตก๊าซชีวภาพพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่อพ่วง จำนวน ๓๐๐ ชุด โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของอุปกรณ์พร้อมค่าขนส่งระหว่างประเทศ และส่งช่างเทคนิคมาให้การอบรมการติดตั้ง ตรวจสอบแก้ไข และบำรุงรักษาอุปกรณ์ ส่วนรัฐบาลไทยจะรับผิดชอบการดำเนินการด้านศุลกากรและการขอยกเว้นค่าธรรมเนียม การเดินทางเข้าและออกของเจ้าหน้าที่เทคนิค และพาหนะของจีน การดำเนินการติดตั้งระบบตามคำแนะนำของจีน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำดังกล่าวได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาข้อสังเกตจากที่ประชุม เรื่อง รัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ อาทิ เทคโนโลยีการก่อสร้าง การคัดเลือก และกำหนดพื้นที่ก่อสร้างที่มีศักยภาพและคุ้มค่าในการดำเนินการและการฝึกอบรมเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผล และบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ในการคัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการควรส่งเสริมการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบ่อก๊าซชีวภาพให้กับชุมชนและครัวเรือนเพิ่มเติมล่วงหน้า และให้ความสำคัญในเรื่องการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งและบำรุงรักษาบ่อก๊าซชีวภาพจากเจ้าหน้าที่เทคนิคจีน โดยจัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในด้านเทคนิค และรู้ประเด็นปัญหาของการติดตั้งบ่อก๊าซชีวภาพในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และขอคำปรึกษาด้านการติดตั้งและบำรุงรักษาบ่อก๊าซชีวภาพ และนำองค์ความรู้ที่ได้มาถ่ายทอดให้กับชุมชนและครัวเรือน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการคัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการควรพิจารณาคัดเลือกจากชุมชนที่มีความพร้อมและสมัครใจเพื่อให้โครงการบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อการขยายผลโครงการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31242 | ขออนุมัติค่าสมาชิกสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย - แปซิฟิก (Asia - Pacific Economic Cooperation - APEC) | กต | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปค (ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย - แปซิฟิก) (Asia - Pacific Economic Cooperation - APEC) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙๔,๗๐๐ ดอลลาร์สิงคโปร์ และ ๑๑,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากเงินงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้ตั้งรองรับไว้แล้ว ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายงบประมาณจากหมวดเงินอุดหนุนตามอัตราค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคในแต่ละปี เพื่อชำระเงินค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคประจำปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวให้เป็นไปตามความกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||
31243 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองราชบุรี พ.ศ. .... | มท | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองราชบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหลุมดิน ตำบลโคกหม้อ ตำบลเจดีย์หัก ตำบลพงสวาย ตำบลหน้าเมือง ตำบลบ้านไร่ และตำบลดอนตะโก อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31244 | การรับรองร่างแถลงการณ์กรุงโซลของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ณ กรุงโซล | กต | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์กรุงโซลของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำที่เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ปี ๒๕๕๕ (2012 Nuclear Security Summit : NSS) ณ สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ และเพื่อลดภัยคุกคามจากการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองแถลงการณ์กรุงโซลฯ (โดยไม่มีการลงนาม) ในที่ประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ๓. หากจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการรับรอง ก็อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก |
||||||||||||||||||||||||
31245 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2555 ของไตรมาส 1 | ทก | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของไตรมาสที่ ๑ โดย GCC 1111 ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญของรัฐบาลให้เป็น Call Center ของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดยใช้หมายเลข ๑๑๑๑ กด ๕ ซึ่งประเด็นที่ประชาชนสนใจสอบถามเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ หลังจากสถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลาย ได้แก่ การช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐ ซึ่ง GCC 1111 ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการประชาชนอย่างเร่งด่วน รวมทั้งการสอบถามถึงโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี การทำบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการใช้สิทธิกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา การพยากรณ์อากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน GCC 1111 ยังเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือสังคม เช่น การรับเรื่องร้องเรียน รับแจ้งเบาะแส และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เช่น รับแจ้งเบาะแสยาเสพติดและประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือตลอด ๒๔ ชั่วโมง
|
||||||||||||||||||||||||
31246 | ขออนุมัติตั้งด่านตรวจยานพาหนะชุมพร อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร | ตช | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้มีการตั้งด่านตรวจยานพาหนะชุมพร บนเส้นทางคมนาคมถนนเพชรเกษม บริเวณพื้นที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๔๑๔ ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๔๖๖ - ๔๖๗ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เพื่อดำเนินการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไปสู่พื้นที่ภาคใต้ และสกัดกั้นการนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดนภาคใต้ไปยังพื้นที่ภาคอื่น ๆ ๑.๒ อนุมัติเป็นหลักการให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติการตั้งด่านตรวจยานพาหนะ เพื่อสกัดกั้นและจับกุมการลักลอบลำเลียงยาเสพติดบนทางหลวงแผ่นดินได้ โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๐๔ (เรื่อง การตั้งด่านตรวจและเครื่องกีดขวางบนทางหลวงแผ่นดินเป็นกรณีพิเศษ) ๒. ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติการตั้งด่านตรวจยานพาหนะเพื่อสกัดกั้นและจับกุมการลักลอบลำเลียงยาเสพติดบนทางหลวงแผ่นดิน โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๐๔ เป็นกรณีพิเศษ นั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผลอันสมควรในการดำเนินการ ควรกำหนดหลักเกณฑ์เป็นแนวทางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไว้ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31247 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๒,๓๕๐.๒๖๖ ล้านบาท และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๒๖๓.๔๔๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗(๓) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. และ ขสมก. นำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในคราวประชุมพิจารณาข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ รฟท. และ ขสมก. เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ไปดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งรัดการปรับโครงสร้างราคาค่าเดินรถ ค่าบริการที่สะท้อนต้นทุน การพิจารณาเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ และการควบคุมค่าใช้จ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับไปพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวม โดยเน้นการเพิ่มรายได้ การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพ และการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพย์สินของ รฟท. ให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น แล้วจัดทำเป็นแผนงาน/โครงการให้ชัดเจน โดยให้หารือรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป โดยแผนฟื้นฟูดังกล่าวอาจแบ่งออกเป็นระยะ (Phase) และให้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมาะสมคุ้มค่าของทางเลือกในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ชัดเจนและครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น กรณีการเช่า การซื้อ และการให้เอกชนเข้ามาดำเนินการรถประจำทาง (outsource) เป็นต้น ทั้งนี้ หากการดำเนินการตามแผนเรื่องใดมีความจำเป็นเร่งด่วนและมีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ให้กระทรวงคมนาคมนำเรื่องนั้นเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะเรื่องก่อนได้ |
||||||||||||||||||||||||
31248 | การขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย รวม 90 วัน สำหรับกรณีเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาล | สธ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของการขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย รวม ๙๐ วัน สำหรับกรณีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าราชอาณาจักรเพื่อมารับการรักษาพยาบาล ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับเรื่องนี้ไปบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งเรื่องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์และการบริการด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย (Medical Hub) และการส่งเสริมการท่องเที่ยว และอาจปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานในการหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๖ วรรคสอง ที่บัญญัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี |
||||||||||||||||||||||||
31249 | ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์ พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อให้เทศบาลนครภูเก็ตสามารถดำเนินการโครงการก่อสร้างถนนสายหลักทางด้านใต้ (PH-RB-3A) ส่วนถนนยกระดับ (ระยะทางประมาณ 600 เมตร) | มท | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันให้เทศบาลนครภูเก็ตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนคลองเกาะผี ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เพื่อการดำเนินงานโครงการก่อสร้างถนนสายหลักทางด้านใต้ (PH-RB-3A) ส่วนถนนยกระดับ (ระยะทางประมาณ ๖๐๐ เมตร) โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนมาบังคับใช้เป็นการเฉพาะราย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (เทศบาลนครภูเก็ต) ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างถนนสายหลักทางด้านใต้ (PH-RB-3A) ส่วนถนนยกระดับ (ระยะทางประมาณ ๖๐๐ เมตร) ตามโครงการพัฒนาเมืองหลักรอบที่ ๒ ระยะแรก ของเทศบาลนครภูเก็ตอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (เทศบาลนครภูเก็ต) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการในการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ พร้อมทั้งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมป่าชายเลนบริเวณข้างเคียง การบูรณการแผนงาน/โครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการเพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาการขนส่งและจราจรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสงสุด การกำกับดูแลการก่อสร้าง และการปฏิบัติตามมาตรการลดผลกระทบทางสุขภาพที่มีต่อชุมชน โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์อย่างเคร่งครัด รวมทั้งการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โครงการโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ป่าชายเลนคลองเกาะผีที่เหลืออยู่อย่างเคร่งครัด การกำหนดให้มีการฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่ดังกล่าวภายหลังก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31250 | โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนการเสนอโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตลอดจนข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์พิจารณาทบทวนผลการศึกษารายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ โดยกำหนดสมมติฐานที่ใช้ในการประมาณการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการปรับปรุงประมาณการวงเงินลงทุนโครงการ รายได้ และผลตอบแทนของโครงการ การพิจารณารูปแบบธุรกิจที่สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันและความต้องการของตลาด การบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการระหว่างภาครัฐและเอกชน ทางเลือกของรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่ของโครงการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและจราจรที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานกระทรวงคมนาคมในเรื่องการใช้พื้นที่โครงการสำหรับการพัฒนาสถานีขนส่งรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด เพื่อให้การศึกษาความเหมาะสมของโครงการมีความชัดเจน และสามารถกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31251 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปันแต และตำบลแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปันแต และตำบลแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปันแต และตำบลแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31252 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การมุ่งเน้นอัตลักษณ์พื้นถิ่นอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย" | สสป | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมุ่งเน้นอัตลักษณ์พื้นถิ่นอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การค้นหา กำหนดอัตลักษณ์ การทำให้เป็นที่ประจักษ์ และการรักษาอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้คงอยู่สืบไป ได้แก่ ๑.๑ กำหนดองค์ประกอบการในการค้นหาอัตลักษณ์พื้นถิ่นและกระบวนการที่ต้องดำเนินการให้มีความชัดเจน โดยร่วมค้นหาโดยเน้นบทบาทความร่วมมืออย่างมีส่วนร่วมจากในพื้นที่เป็นหลัก ร่วมกันกำหนดประเด็นหลักของอัตลักษณ์พื้นถิ่นนั้น ๆ ทั้งพื้นที่ เพื่อให้เป็นเป้าหมายหลักเดียวกัน ร่วมกันกำหนดแผน กิจกรรม งบประมาณ และผู้รับผิดชอบ โดยใช้ความร่วมมือจาก ๕ ภาคีในพื้นที่ และร่วมกันชำระอัตลักษณ์ และขึ้นทะเบียน ๑.๒ ระบุอัตลักษณ์ในด้านต่าง ๆ ของแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน โดยอัตลักษณ์พื้นฐานที่ต้องระบุและกำหนดให้เป็นอัตลักษณ์ประจำท้องถิ่นตน อาจจะถูกค้นหามาจาก ๕ หมวดย่อย เช่น อัตลักษณด้านภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สถานภาพทางธรรมชาติ อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ตำนาน การละเล่น ดนตรี อัตลักษณ์ด้านโบราณสถาน โบราณวัตถุ และสถาปัตยกรรม อัตลักษณ์ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและสิ่งประดิษฐ์ และอัตลักษณ์ด้านวิถีความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต การแต่งกาย การใช้ภาษา วิธีคิด การตกแต่งบ้านและลักษณะรูปแบบที่พักอาศัย เป็นต้น ๑.๓ การรักษา สืบทอดอัตลักษณ์พื้นที่ถิ่นให้คงอยู่สืบไป โดยการแบ่งกลุ่มระดับในการพัฒนาอัตลักษณ์ให้ชัดเจนเพื่อกำหนดแผน รูปแบบในการพัฒนา ผู้รับผิดชอบ และงบประมาณ การให้บทบาทผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง ๕ ภาคีร่วมมือกันสืบทอดอัตลักษณ์พื้นที่ถิ่น การสร้างจิตสำนึก ความภูมิใจ โดยปลูกฝังความรู้ ความน่าชื่นชม น่าประทับใจ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์พื้นถิ่นในชุมชนทุกกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยในพื้นที่ การกำหนดเนื้อหาและความสำคัญของอัตลักษณ์พื้นถิ่นของพื้นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ลงในหลักสูตรการศึกษา การสร้างบทบาทผู้สืบทอดอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้แก่กลุ่มบุคคลต่าง ๆ ในชุมชน การจัดระดับผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาอัตลักษณ์พื้นถิ่น การสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักและจดจำ (Branding) รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และแผนที่อัตลักษณ์ไทยในพื้นถิ่นต่าง ๆ ๒. การใช้อัตลักษณ์พื้นถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้แก่ การส่งเสริมการสร้างผลิตภัณฑ์สินค้า ของที่ระลึกเกี่ยวกับอัตลักษณ์พื้นที่ที่มีลักษณะต่อยอด มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) การจัดแบ่งกลุ่มพื้นที่ (Zoning) เพื่อแสดงหรือสื่อถึงอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้ชัดเจน การสร้างความต่อเนื่องของกิจกรรมส่งเสริมอัตลักษณ์ให้สม่ำเสมอทุกปี โดยภาครัฐให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ท้องถิ่นในการสร้างกิจกรรมอันเป็นอัตลักษณ์พื้นถิ่นที่ได้ขึ้นทะเบียนรับรองแล้ว การสร้างคุณค่ามาตรฐานอัตลักษณ์พื้นถิ่นสู่คุณค่าอัตลักษณ์ระดับมาตรฐานสากล การสร้างพันธมิตรและเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมือระหว่างทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทั้งในด้านธุรกิจ การค้าการลงทุน และสาธารณประโยชน์แก่สังคมหรือชุมชน รวมทั้งการมุ่งเน้นใช้อัตลักษณ์พื้นถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในเวทีนานาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
31253 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ต่อขีดความสามารถการค้ายางพาราของประเทศและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ" | สสป | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ต่อขีดความสามารถการค้ายางพาราของประเทศและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กรมวิชาการเกษตร สถาบันวิจัยยาง และผู้แทนสภาที่ปรึกษาฯ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. พิจารณาทบทวนอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ที่เหมาะสม โดยไม่ควรจัดเก็บเกินอัตรากิโลกรัมละ ๑.๔๐ บาท โดยเปรียบเทียบจากอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน และผู้ประกอบการ คำนวณต้นทุนเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ได้ชัดเจน เพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการและเป็นการเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง และเนื่องจากพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไม่ผ่านการเห็นชอบในสภาผู้แทนราษฎร จึงควรพิจารณายกเลิกการเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ในอัตราการจัดเก็บตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การกำหนดอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง) ๒. พิจารณากำหนดมาตรการในการปราบปรามและแก้ไขการลักลอบการส่งออกยางพาราโดยไม่จ่ายเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ตามพรมแดนไทยทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้จากการเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) และให้เกิดความเป็นธรรมในการค้ายางพารา ๓. ปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. ๒๕๐๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมอบอำนาจให้สถาบันระดับประเทศที่เป็นนิติบุคคลเป็นผู้คัดเลือกแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับยางพาราเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนจากเกษตรกรที่แท้จริงในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรชาวสวนยาง และการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) เพื่อให้นโยบายเรื่องยางพาราและการใช้เงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) มีประสิทธิภาพและมีความเป็นธรรม ๔. แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๘ ให้สามารถใช้เงินเพื่อพัฒนาองค์กรเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับสวนยางให้เข้มแข็ง โดยมาตรา ๑๘ (๓) จำนวนเงินนอกจาก (๑) และ (๒) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ เป็นเงินที่จัดสรรไว้เพื่อสงเคราะห์เจ้าของสวนยามพระราชบัญญัตินี้ทั้งสิ้นและจะจ่ายเพื่อการอื่นใดมิได้ และจำนวนไม่เกินร้อยละ ๕ เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของสถาบันเกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับยางโดยตรง ให้เกษตรกรพึ่งพาตนเอง และส่วนที่เหลือให้นำไปพัฒนายางพาราให้ครบวงจรในการเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางอย่างเป็นระบบ ๕. แต่งตั้งและปรับโครงสร้างสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางชุดใหม่ ประกอบด้วยผู้ประกอบการและเกษตรกรเจ้าของสวนยางพาราในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อกำหนดนโยบายด้านยางพาราให้เป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับ และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
|
||||||||||||||||||||||||
31254 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี กรณีขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา) โดยให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๑ และให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้ แทน “๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ดำเนินการจ่ายเงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกรณีการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเจรจาขอผ่อนผันการชำระหนี้ดังกล่าวกับบริษัทผู้ฟ้องคดี เพื่อมิให้เกิดผลกระทบกับการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้และภาระดอกเบี้ยด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง" ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวข้างต้นเพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการละเมิด ตามนัยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และการดำเนินการไล่เบี้ยความเสียหายในการชำระหนี้ดังกล่าวจากเอกชนคู่สัญญาที่เป็นต้นเหตุของความเสียหายในครั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31255 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 | กต | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ สาธารณรัฐเกาหลี สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศฯ ๑.๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าสาธารณรัฐเกาหลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาร์ ได้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบกำหนดสาขาความร่วมมือ ได้แก่ (๑) การเชื่อมโยงประชาคมอาเซียน ซึ่งรวมถึงการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๒) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา โดยเน้นด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการน้ำ และ (๓) การพัฒนาโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งรวมถึงการพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาชนบทและความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ๑.๑.๒ ที่ประชุมชื่นชมที่สาธารณรัฐเกาหลีแสดงเจตนารมณ์ที่จะเพิ่มความช่วยเหลือให้อาเซียนเป็นสองเท่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และชื่นชมความมุ่งมั่นของไทยในการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๑.๓ ที่ประชุมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในโครงการความร่วมมือต่าง ๆ และมีการประสานความร่วมมือกับกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนและเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์สูงสุด ๑.๑.๔ ที่ประชุมเห็นชอบให้จัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีเป็นประจำทุกปีต่อเนื่องกับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง โดยสาธารณรัฐเกาหลีจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศฯ ทุก ๓ ปี และมีประเทศลุ่มน้ำโขง ๑ ประเทศกับสาธารณรัฐเกาหลีเป็นประธานร่วม ซึ่งการประชุมครั้งต่อไปจะจัดขึ้นต่อเนื่องกับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ประเทศกัมพูชา โดย สปป.ลาว จะทำหน้าที่ประธานร่วม (co - chair) ในส่วนของประเทศลุ่มน้ำโขง ๑.๑.๕ ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาแม่น้ำฮันเพื่อสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Han-River Declaration of Establishing the Mekong-ROK Comprehensive Partnership for Mutual Prosperity) ซึ่งเป็นเอกสารผลการประชุมที่กำหนดกรอบแนวทางความร่วมมือภายใต้ความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีในอนาคต โดยมอบหมายให้คณะเจ้าหน้าที่อาวุโสความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีไปหารือเกี่ยวกับการจัดทำร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ระบุในปฏิญญาฯ ๑.๑.๖ ที่ประชุมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสไปหารือเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามปฏิญญาฯ ทันการประชุมรัฐมนตรีครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ บทบาทของไทยในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศฯ ไทยได้ย้ำบทบาทของไทยในฐานะประเทศที่ให้ความช่วยเหลืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาประเทศลุ่มน้ำโขงอื่น ๆ ให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยใช้ไทยเป็นศูนย์ฝึกอบรม พร้อมทั้งขอบคุณสาธารณรัฐเกาหลี กัมพูชา และ สปป.ลาว ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในประเทศไทย และเสนอให้มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Green Growth) นอกจากนี้ ไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย การเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร โดยเสนอให้มีการถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีและประเทศลุ่มน้ำโขงในเรื่องดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมความมั่นคงมนุษย์ ซึ่งรวมถึงการร่วมมือกันแก้ไขผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการภัยพิบัติ การป้องกันยาเสพติด และยินดีกับพัฒนาการทางการเมืองในพม่าที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นภายหลังการเลือกตั้งและสนับสนุนกระบวนการสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีภายใต้กรอบการเจรจา ๖ ฝ่าย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการในทั้ง ๓ สาขา ตามปฏิญญาแม่น้ำฮันเพื่อสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และข้อเสนอของไทยในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันสถานะและบทบาทของไทยที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และบทบาทผู้มีส่วนพัฒนาร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีในกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี
|
||||||||||||||||||||||||
31256 | การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา | ศธ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ การเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาในครั้งนี้ เป็นการขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) เดิม จากการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เป็น การทำสัญญากับบริษัทที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนคัดเลือก ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ นั้น ไม่มีกฎหมายหรือนิยามกำหนดเป็นการเฉพาะไว้ จึงขึ้นอยู่กับความตกลงร่วมกันระหว่างประเทศที่ได้ทำความเข้าใจไว้ว่า จะดำเนินการในลักษณะใด ซึ่งกรณีนี้เป็นการดำเนินการจัดซื้อกับบริษัทที่สาธารณรัฐประชาชนจีนจัดส่งรายชื่อมาให้รัฐบาลไทยดำเนินการคัดเลือก และในท้ายที่สุดรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจะได้มีหนังสือรับรองและทราบการดำเนินการคัดเลือก และการจัดทำสัญญากับบริษัทดังกล่าว การดำเนินการจัดซื้อกับบริษัทโดยตรงจึงเป็นไปตามความประสงค์ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนและเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทย ซึ่งยังอยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย คณะรัฐมนตรีจึงสามารถเสนอรายชื่อมาให้คัดเลือกได้ แทนวิธีการจัดซื้อระหว่างรัฐต่อรัฐโดยตรงตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม ๑.๒ ในประเด็นเรื่องการจัดซื้อตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ นั้น เนื่องจากการจัดซื้อกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรณีนี้ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้ให้การยกเว้นไว้แล้ว การจัดซื้อจึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ เมื่อเป็นการจัดซื้อโดยคัดเลือกบริษัทที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอ โดยมีหลักเกณฑ์วิธีการในการดำเนินการจัดซื้อเป็นกรณีเฉพาะสำหรับกรณีนี้ ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงสามารถดำเนินการได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังมีส่วนอื่นที่ยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ เช่น การจัดหาหลักประกัน เป็นต้น ตามความเห็นของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ๒. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียนเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ที่เสนอโดยกระทรวงศึกษาธิการ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยให้เป็นไปตามรูปแบบที่เป็นผลจากการเจรจากับฝ่ายจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานต่อคณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียน กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำความเข้าใจในการดำเนินการเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรบุคคลในประเทศไทยในเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารและอุปกรณ์ทันสมัย [คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต)] โดยฝ่ายจีนตกลงที่จะจัดหา (Recommend) รายชื่อบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ตามคุณสมบัติเฉพาะ และขอบเขตของงาน (TOR) สำหรับการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เพื่อให้ฝ่ายไทยดำเนินการคัดเลือกบริษัทหนึ่งบริษัท และเมื่อฝ่ายไทยได้คัดเลือกบริษัทที่เหมาะสมหนึ่งบริษัทแล้ว ต้องแจ้งให้ทางการจีนทราบผลการคัดเลือก และหลังจากนั้นฝ่ายไทยจึงเจรจาจัดทำความตกลงจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) กับบริษัทนั้นโดยตรงต่อไป ๒.๒ กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อมิให้เกิดความล่าช้า เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประโยชน์ต่อการศึกษาของชาติ เห็นชอบตามกระบวนการและขั้นตอนการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว ๒.๓ เห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำความตกลงจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) กับบริษัทผู้ขายของจีนที่ได้รับคัดเลือกตามกระบวนการและขั้นตอนที่ได้ดำเนินการไว้ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ลงนามเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๑๑ ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบของทางการไทยและจีน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารลงนามความตกลงจัดซื้อฯ ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาตรวจสอบแล้ว กับบริษัทจีนที่ได้รับคัดเลือก ๓. สำหรับกรณีการยกเว้นภาษีอื่น ๆ ทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการในครั้งนี้ รวมทั้งการขนส่งระหว่างประเทศและสถานที่จัดเก็บในประเทศไทย ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ในส่วนของร่างความตกลง/ร่างสัญญาซื้อขายเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) หากสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้วยังคงเป็นไปตามแนวทางตัวอย่างร่างสัญญาที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุกำหนด โดยไม่มีข้อแตกต่างในสาระสำคัญก็ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากสำนักงานอัยการสูงสุดได้แก้ไขร่างความตกลง/ร่างสัญญาฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการลงนามต่อไป โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาประกอบการลงนามในร่างความตกลง/ร่างสัญญาฯ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31257 | ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2555 | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการเพื่อกำกับดูแลราคาสินค้าและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดทำรายการสินค้าเฝ้าระวัง โดยคำนึงถึงแนวโน้มราคา ปริมาณที่ออกสู่ตลาด และปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพอากาศ เป็นต้น เพื่อให้สามารถมีมาตรการรองรับได้ทันท่วงที รวมทั้งศึกษาโครงการต้นทุนราคาสินค้าที่เป็นธรรม เพื่อให้ราคาสินค้าต้นทางและปลายทางมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยร่วมศึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน เป็นต้น ๑.๒ มอบกระทรวงพาณิชย์ดำเนินมาตรการกระจายสินค้าราคาประหยัด (ธงฟ้า) ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาสินค้าจำเป็นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และขอความร่วมมือภาคเอกชนในการชะลอการขึ้นราคาสินค้าจำเป็น และดำเนินการประกาศราคาที่เป็นธรรมให้ประชาชนได้ทราบอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที ๑.๓ มอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาสินค้าเกษตรเป็นรายสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลประกอบการประมาณการผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาดตามช่วงฤดูกาลต่าง ๆ และเฝ้าระวังเพื่อหามาตรการรองรับได้ทันท่วงที พร้อมทั้งปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงต่าง ๆ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อศึกษาความต้องการซื้อสินค้า และนำมากำหนดนโยบายการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ และร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อระบายวัตถุดิบทางการเกษตรกรณีสินค้าล้นตลาด โดยการจับคู่ระหว่างสินค้าเกษตรกับโรงงานที่ต้องการวัตถุดิบ เป็นต้น ๑.๔ มอบกระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโครงการฝึกอบรมเพิ่มทักษะให้แก่ผู้ประกอบการและแรงงาน เป็นต้น ๑.๕ มอบกระทรวงการคลังเร่งรัดพิจารณาและศึกษาโครงสร้างภาษีทั้งระบบ โดยอาจพิจารณาความจำเป็นในการปรับโครงสร้างภาษีของสินค้าประเภทฟุ่มเฟือย และพิจารณาขยายระยะเวลาของมาตรการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ๑.๖ มอบกระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักในการรณรงค์และสร้างความตระหนักของทุกภาคส่วนในการดำเนินมาตรการประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ ให้ภาครัฐเป็นหน่วยงานนำร่อง โดยขอให้ทุกกระทรวงดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานให้ได้อย่างน้อยร้อยละ ๑๐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๗ มอบสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเร่งรัดมาตรการการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายเงินให้กับระบบเศรษฐกิจ ๑.๘ มอบกรมประชาสัมพันธ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับทุกกระทรวงในการประชาสัมพันธ์มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการ รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน และสร้างจิตสำนึกของประชาชนในการประหยัดพลังงาน ๒. ในส่วนของมาตรการกระจายสินค้าราคาประหยัด (ธงฟ้า) ให้เปลี่ยนเป็นมาตรการกระจายสินค้าราคาประหยัด (ร้านถูกใจ)
|
||||||||||||||||||||||||
31258 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) สำหรับใช้ในกรณีที่ รฟท. อาจขาดเงินทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะการเงิน เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายลงเพื่อบรรเทาภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว และเนื่องจาก รฟท. มีโครงการที่จะต้องดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว โดยใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากทั้งโครงการปรับปรุงทาง โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง จึงเห็นควรเร่งรัดพิจารณาแผนการปรับโครงสร้างองค์กร แผนการปรับปรุงประสิทธิภาพและศักยภาพการให้บริการ และแผนการบริหารจัดการหน่วยธุรกิจของ รฟท. เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ที่เพียงพอกับการชำระหนี้ที่มีอยู่เดิมและภาระการลงทุนในอนาคต แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31259 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย | พณ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ประกอบด้วย โครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” และโครงการมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ระยะเวลา ๖ เดือน ในช่วงเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๕ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑,๖๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จำนวน ๑,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโครงการมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” เห็นควรกำหนดวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถกระจายสินค้าให้แก่ประชาชนให้ทั่วถึงมากที่สุด และป้องกันมิให้เกิดการกักตุนสินค้า กำหนดวิธีการคัดเลือกร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการที่ชัดเจน โปร่งใสและเป็นธรรม และพิจารณาถึงผลกระทบต่อรายได้ของร้านค้าในชุมชนอื่นที่ไม่ได้รับคัดเลือก รวมทั้งเห็นควรประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจผู้เข้าร่วมโครงการโดยใช้หลักการ Corporate Social Responsibility : CSR หรือการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดีโดยรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับไกลและใกล้อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ยึดหลักการ ดังนี้ ๒.๑ การพิจารณากำหนดรายการสินค้าควรเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าหมวดของใช้ ๘ รายการ ได้แก่ สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ผงซักฟอก แป้งผงโรยตัว น้ำยาล้างจาน ผ้าอนามัย ยากำจัดยุงและแมลง ต้องมีความยืดหยุ่นในการพิจารณารายการสินค้าดังกล่าวให้เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง และต้องดำเนินการให้สินค้าที่จำเป็นดังกล่าวมีราคาจำหน่ายถูกกว่าราคาจำหน่ายปลีกในตลาด รวมทั้งมีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนด้วย ๒.๒ การคัดเลือกร้านค้าเข้าร่วมโครงการต้องมีกระบวนการและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เป็นธรรม และทั่วถึง เพื่อให้สินค้าต่าง ๆ เข้าถึงประชาชนผู้บริโภคอย่างแท้จริง และให้พิจารณาใช้ร้านโชห่วย ร้านค้าชุมชน ตลอดจนช่องทางการกระจายสินค้าที่มีอยู่เดิมด้วย ทั้งนี้ หากร้านค้าใดปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดก็ต้องดำเนินการยกเลิกและมีบทลงโทษด้วย ๒.๓ โครงการดังกล่าวจะมีการจ้างบุคลากรในการติดตามดูแลการจำหน่ายของร้านโชห่วยและร้านอาหาร จำนวน ๑,๐๐๐ คน จึงควรมีการจัดการฝึกอบรม ชี้แจง ทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกัน เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ การดำเนินโครงการจะต้องกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนและเป็นการดำเนินการชั่วคราวในระยะสั้น เพราะในระยะยาวจะส่งผลกระทบเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการแล้วรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทุกเดือนด้วย ๓. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพประชาชน โดยให้พิจารณากำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวให้ถูกต้อง ครบถ้วน และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31260 | เอกสารแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมไทย - เกาหลีใต้ ที่ฝ่ายเกาหลีใต้ได้ส่งให้ไทยเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๕ และนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเยือนเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยจะรับรองเอกสารแถลงข่าวร่วมฯ กับฝ่ายเกาหลีใต้ในช่วงการเยือนดังกล่าว ทั้งนี้ เอกสารผลลัพธ์การเยือนดังกล่าวมีสาระสำคัญเพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและการแสดงความมุ่งมั่นของผู้นำทั้งสองฝ่ายที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ใกล้ชิดมากขึ้น และมุ่งที่จะส่งเสริมความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองแถลงข่าวร่วมฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
.....