ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1563 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 31241 - 31260 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31241 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
31242 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีควรมีจำนวนเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาเหมาะสมกับระยะเวลาที่ใช้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้ง เพื่อให้การตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะไม่ควรเสนอเรื่องมาเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นวาระจร ยกเว้นเฉพาะเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเกี่ยวกับการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ รวมทั้งการแต่งตั้งผู้บริหาร ประธานกรรมการ กรรมการในหน่วยงานของรัฐ และเรื่องที่มีผลกระทบหรือมีความอ่อนไหว (sensitive) ที่ไม่อาจเปิดเผยล่วงหน้าได้ หรือเรื่องที่เป็นความลับของทางราชการเท่านั้น ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าแต่เนิ่น ๆ และให้ถือปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31243 | ขอความเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี 2556 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สมาคมหนังสือพิมพ์และองค์กรสื่อสิ่งพิมพ์โลกได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีขอให้ประเทศไทยพิจารณารับเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมดังกล่าว ซึ่งในการประชุมประจำปีของสมาคมฯ จะมีบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์ ผู้บริหารองค์กรสื่อทั่วโลกกว่า ๑,๐๐๐ คน เข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างเครือข่าย ส่งเสริมคุณภาพและเสรีภาพของสื่อ โดยทางสมาคมฯ ได้แจ้งเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับประเทศเจ้าภาพที่จะต้องสนับสนุนการประชุมซึ่งเน้นเสรีภาพในการแสดงออก รวมทั้งการสนับสนุนด้านการรักษาความปลอดภัย ยานพาหนะ การอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตรา และการใช้สถานที่สำคัญ ๆ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของสมาคมฯ จะเป็นโอกาสที่ดีในการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านองค์กรสื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพของสื่อ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับการจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ |
||||||||||||||||||||||||
31244 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31245 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นควรอนุมัติโครงการของกรมชลประทานที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) แล้วเพิ่มเติม จำนวนเงิน ๖๕๓ ล้านบาท (ทำให้กรอบวงเงินที่ยังไม่ได้จัดสรรเพิ่มขึ้นจาก ๔๒,๘๙๑.๒๖๑๓ ล้านบาท เป็นเงิน ๔๓,๕๔๔.๒๖๑๓ ล้านบาท) ๒. เห็นควรชะลอโครงการ จำนวน ๗๔ โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๐,๔๔๖.๓๑๙๑ ล้านบาท เนื่องจาก ๒.๑ ส่วนราชการไม่สามารถเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณได้ภายในกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งรัดเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณต่อสำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ ครบกำหนดในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๒.๒ ส่วนราชการขอรับจัดสรรงบประมาณต่ำกว่ากรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๒.๓ สำนักงบประมาณพิจารณาปรับลดค่างานตามหลักเกณฑ์การคำนวณค่างาน ๒.๔ ส่วนราชการแจ้งว่าเป็นโครงการที่หมดความจำเป็น ๓. เห็นควรจัดสรรงบประมาณในกรอบวงเงินที่ยังไม่ได้รับจัดสรร จำนวน ๓๘,๑๘๒.๙๙๑๖ ล้านบาท ได้แก่ ๓.๑ โครงการที่ผ่านการพิจารณาของ กยน. เป็นเงิน ๙,๒๐๖.๙๑๑๙ ล้านบาท ๓.๒ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยในคราวที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจราชการพื้นที่ลุ่มน้ำ ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง เมื่อวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕,๐๘๕.๐๔๙๔ ล้านบาท ๓.๓ โครงการที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันพิจารณาความจำเป็น ความเหมาะสมและความคุ้มค่าของแผนงานโครงการแล้ว มีมติเห็นควรให้ดำเนินการได้ เป็นเงิน ๒๓,๘๙๑.๐๓๐๓ ล้านบาท ๔. เนื่องจากสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปแล้วทั้งสิ้นวงเงิน ๘๑,๒๒๙.๐๘๓๐ ล้านบาท หากรวมกับวงเงินที่เห็นควรจัดสรรเพิ่มเติมอีกจำนวน ๓๘,๑๘๒.๙๙๑๖ ล้านบาท จะเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑๑๙,๔๑๒.๐๗๔๖ ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าวงเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ที่ตั้งงบประมาณไว้จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท อยู่จำนวน ๕๘๗.๙๒๕๔ ล้านบาท แต่เนื่องจากยังมีโครงการสำคัญที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) แล้ว เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ อีกจำนวน ๕,๙๕๒.๔๒๗๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (กรมส่งเสริมการเกษตร) วงเงิน ๑,๙๖๒.๔๒๗๖ ล้านบาท และโครงการฟื้นฟู ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยของกองทัพอากาศ วงเงิน ๓,๙๙๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ดังนั้น จึงขาดงบประมาณอีกจำนวน ๕,๓๖๔.๕๐๒๒ ล้านบาท (๕,๙๕๒.๔๒๗๖ - ๕๘๗.๙๒๕๔ ล้านบาท) ในชั้นนี้จึงเห็นควรพิจารณาจัดสรรจากงบประมาณส่วนที่เหลือจ่ายจากโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไปแล้ว หรือโครงการที่เสนอขอจัดสรรเพิ่มเติมในครั้งนี้ หรือแหล่งเงินงบประมาณอื่น ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31246 | ขออนุมัติลงนามในบันทึกความเข้าใจสำหรับการอบรมเชิงปฏิบัติการการประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ - ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามคำเชิญของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ จะดำเนินการโอนงบประมาณสำหรับการจัดประชุมให้ประเทศไทยเมื่อได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมิน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเรียบร้อยแล้ว ๑.๒ เห็นชอบในบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วยประเด็นหลัก ดังนี้ ๑.๒.๑ รูปแบบการประชุมและการเตรียมการจัดประชุม ได้แก่ การกำหนดรูปแบบการจัดห้องประชุม อุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุม เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสำหรับการจัดประชุม ๑.๒.๒ เอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน และการอำนวยความสะดวก ได้แก่ การให้รัฐบาลไทยให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้แทนของรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ผู้แทนของทบวงการชำนัญพิเศษและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และพนักงานขององค์การสหประชาชาติ ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการเข้าพำนักและเข้าร่วมการประชุมของผู้แทนในประเทศไทย ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป ๒. อนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการภายใต้กฎเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) สำหรับการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจฯ (ร่างข้อ ๙.๒) ซึ่งหากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาอนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
31247 | รายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ทันกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรจะจัดหาพัสดุให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาว่าแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ.) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วัน แล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งานเพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ได้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ถือปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในสังกัดการบังคับบัญชาหรือการกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร
|
||||||||||||||||||||||||
31248 | ผลการติดตามการดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา และแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ระหว่างวันที่ 13 - 17 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการติดตามการดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา และแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา ได้แก่ เงินช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน จ่ายไปแล้ว ๑,๗๗๓,๐๒๓ ครัวเรือน จำนวนเงิน ๘,๘๖๕.๑๑๕ ล้านบาท เงินช่วยเหลือเกษตรกร จ่ายไปแล้ว ๕๐๔,๐๙๙ ราย จำนวนเงิน ๑๕,๐๐๓.๔๕๙ ล้านบาท และงบประมาณฟื้นฟูช่วยเหลือเยียวยาจังหวัด จังหวัดได้รับจากงบกลางแล้ว ๔๖,๑๙๒.๘๑ ล้านบาท ๑.๒ การดำเนินการป้องกันปัญหาอุทกภัยตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๑.๒.๑ พื้นที่ต้นน้ำ ๑๐ จังหวัด (จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน และพะเยา) ได้ติดตามผลการดำเนินงานและให้ความสำคัญกับการดูดซับน้ำและลดการพังทลายของดิน โดยการปลูกหญ้าแฝกและสร้างฝายชะลอน้ำ ปรับเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curves) โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้เกณฑ์ต่ำอยู่ในระดับร้อยละ ๔๕ ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และจัดระบบการรายงานข้อมูล พยากรณ์ และการเตือนภัย เช่น กำหนดขั้นตอนเตือนภัย กำหนดมาตรการเตือนภัยในช่วงระบายน้ำ และกำหนดเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำและการเตือนภัย ได้แก่ ศูนย์ข้อมูลการจัดการน้ำแห่งชาติ และระบบศูนย์เตือนภัย ๑.๒.๒ พื้นที่กลางน้ำตอนบน ๖ จังหวัด (จังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร กำแพงเพชร และชัยนาท) ได้ให้ความสำคัญกับการหน่วงน้ำ เพื่อชะลอการไหลของน้ำ โดยการจัดหาพื้นที่แก้มลิง ทั้งที่เป็นบึงธรรมชาติและพื้นที่เกษตรกรรม การผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำ โดยใช้ประโยชน์บึงธรรมชาติให้เต็มศักยภาพด้วยการเชื่อมบึงด้วยคลอง เชื่อมคลองสู่คลอง เชื่อมคลองสู่แม่น้ำและข้ามลุ่มน้ำ และการบริหารจัดการน้ำบริเวณเขื่อนเจ้าพระยา และประตูน้ำต่าง ๆ เช่น ซ่อมแซมประตูระบายน้ำบางโฉมศรี และประตูระบายน้ำพลเทพ เป็นต้น ๑.๒.๓ พื้นที่กลางน้ำตอนล่าง ๘ จังหวัด (จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี และนครนายก) ได้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงโครงข่ายน้ำ การกำหนดพื้นที่รับน้ำ และการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจ โดยการจัดทำแก้มลิง ทั้งที่เป็นแหล่งเก็บกักน้ำตามธรรมชาติและพื้นที่เกษตรกรรม การเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุและการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ การป้องกันอุทกภัยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม การปรับปรุงและบูรณะถนนเป็นคันกั้นน้ำไม่ให้เข้าท่วมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และนอกนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการบูรณะโบราณสถานให้สู่สภาพเดิม ๑.๒.๔ พื้นที่ปลายน้ำ ๗ จังหวัด (จังหวัดนนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา นครปฐม ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร) ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดด้วยระบบคูคลอง ระบบสูบน้ำ และลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการคันกั้นน้ำพระราชดำริ การปรับปรุงและติดตั้งเครื่องสูบน้ำบริเวณประตูระบายน้ำจุฬาลงกรณ์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเร่งระบายน้ำให้น้ำไหลลงทะเลได้เร็วที่สุดและป้องกันพื้นที่เฉพาะ โดยการเร่งระบายน้ำที่อยู่นอกพื้นที่ปิดล้อมทั้งตามแนวลำน้ำและการหลากน้ำให้จำกัดอยู่ในพื้นที่ที่มีผลกระทบน้อย รวมทั้งการปิดล้อมพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารประเทศ โดยใช้แนวคันกั้นน้ำเป็นชั้น ๆ และใช้ระบบคลองแนวขวางเพื่อระบายน้ำไปทางตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่ปิดล้อม รวมทั้งซ่อมแซมปรับปรุงประตูระบายน้ำ ๑.๒.๕ สำหรับพื้นที่แก้มลิง เป้าหมาย ๒ ล้านไร่ เพื่อรองรับน้ำหลาก จากการลงพื้นที่สามารถจัดหาพื้นที่ได้ประมาณ ๑.๔ ล้านไร่ สำหรับพื้นที่แก้มลิงที่ต้องจัดหาเพิ่มอีก ๐.๖ ล้านไร่ มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาสำรวจเพิ่มเติมและตรวจสอบพื้นที่จริงตามที่จังหวัดเสนอ รวมทั้งพิจารณาหลักเกณฑ์ในการชดเชย ๒. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ได้ให้ความเห็นชอบโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน จำนวน ๑๑๙ โครงการ กรอบวงเงิน ๕,๐๘๕.๐๔๙๔ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้จังหวัดจัดทำรายละเอียดประกอบคำขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ หากพ้นกำหนดระยะเวลาให้ถือว่าโครงการไม่มีความพร้อม และให้สำนักงบประมาณรายงานผลการจัดสรรงบประมาณต่อนายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
|
||||||||||||||||||||||||
31249 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (จังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย เลย บึงกาฬ) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒ (จังหวัดมุกดาหาร สกลนคร และนครพนม) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์) รวม ๑๒ จังหวัด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดเลย และจังหวัดมหาสารคาม
|
||||||||||||||||||||||||
31250 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง รวม 12 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดอุดรธานี วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (จังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย เลย บึงกาฬ) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒ (จังหวัดมุกดาหาร สกลนคร นครพนม) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์) รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๑๙๐ โครงการ วงเงินรวม ๑๘๗,๐๗๒ ล้านบาท ซึ่งมีโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงินรวม ๑,๕๙๕.๗๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ แผนงาน/โครงการด้านทรัพยากรน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำ การป้องกันปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตรกรรมที่เป็นโครงการขนาดเล็กที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และมีความพร้อม ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการพิจารณา สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาภาคเกษตรกรรมในระยะยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๒ แผนงาน/โครงการด้านสิ่งแวดล้อมและเกษตร ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ด้านเศรษฐกิจ และด้านบริการสังคม ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งศึกษาความเหมาะสมของโครงการและจัดทำรายละเอียดโครงการและแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติมโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมด้านพื้นที่ดำเนินการ บุคลากรเฉพาะทาง และการสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของประชาชนในพื้นที่เพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบจังหวัดหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามขั้นตอน ทั้งนี้ หากมีโครงการที่จำเป็นเร่งด่วน และได้เตรียมการจนมีความพร้อมทุกด้านแล้ว ก็สมควรที่จะปรับแผนปฏิบัติการและแบบการใช้จ่ายงบประมาณ ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดำเนินการ โดยหากต้องผูกพันงบประมาณ ก็ให้เสนอขอตั้งงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น การจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอุดรธานี ในวงเงิน ๓๐ ล้านบาท และโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาพื้นที่หนองแด เพื่อรองรับศูนย์วัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และสนามกีฬากลางจังหวัดอุดรธานี วงเงิน ๒๕ ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดส่งรายละเอียดของโครงการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินไม่เกิน ๑,๖๕๐ ล้านบาท ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31251 | ขอเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการที่พักอาศัยข้าราชการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ | พม | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ เพิ่มวงเงินค่าใช้จ่ายโครงการที่พักอาศัยข้าราชการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ จากวงเงิน ๒๑๒,๑๖๓,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๒๐,๕๔๔,๘๒๗ บาท เพิ่มขึ้น จำนวน ๘,๓๘๑,๘๒๗ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนค่าระบบไฟฟ้าภายนอก จำนวน ๔,๔๔๒,๔๕๐ บาท ไม่ได้รวมอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ขอความเห็นชอบโครงการที่พักอาศัยข้าราชการ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์) อนุมัติไว้เดิม เห็นควรให้การเคหะแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการอุดหนุนเป็นค่าทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและระบบสาธารณูปโภคภายนอกอาคารที่พักอาศัยข้าราชการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๓,๔๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกรมบัญชีกลางอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑,๐๓๒,๔๕๐ บาท และค่าก่อสร้างอาคารส่วนเพิ่ม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแบบรูปรายการให้เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริง จำนวน ๓,๙๓๙,๓๗๗ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๙๗๑,๘๒๗ บาท นั้น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31252 | วงเงินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๑ นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยขาดดุล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่กำหนดไว้ จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ได้แก่ รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๘๔,๓๖๐.๖ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๖๗,๐๐๐ ล้านบาท รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๔๘,๖๓๙.๔ ล้านบาท และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ไม่มีรายการที่ต้องเสนอตั้งงบประมาณ) รายได้สุทธิ จำนวน ๒,๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และงบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้ความสำคัญกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และนโยบายของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักปฏิบัติ โดยกำหนดนโยบายการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม และวางพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ โครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๓ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓.๑ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๑๖ ข้อ จุดเน้นของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการขยายตัว และประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ตลอดจนการดำเนินการตามแผนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และเตรียมความพร้อมในการใช้จ่ายงบประมาณโดยจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในลักษณะ Project-based ๑.๓.๒ ให้กระทรวง/หน่วยงานบูรณาการการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ทั้งในระดับกระทรวง/หน่วยงาน และระหว่างกระทรวงให้สอดคล้องเชื่อมโยง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบูรณาการในระดับพื้นที่ ระหว่างส่วนราชการ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ๑.๓.๓ จัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณ และกำหนดเป้าหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นและวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมทั้งศักยภาพและความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณของปีงบประมาณปัจจุบันและปีงบประมาณที่ผ่านมา ๑.๓.๔ ให้กระทรวง/หน่วยงาน พิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกการดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อนำงบประมาณดังกล่าวไปดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับสูง ๑.๓.๕ การดำเนินงาน/โครงการ ควรพิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๔ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างศักยภาพและเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สูงขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำทางการคลัง โดยจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ มีรายได้ที่เหมาะสมกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังของท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายและจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในด้านคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยรวมภารกิจตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับเบี้ยยังชีพคนชรา เบี้ยยังชีพคนพิการ เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำ และภารกิจที่เกี่ยวกับการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเห็นควรจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๓๖,๕๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับการจัดสรร ๒๒๑,๐๙๑.๘ ล้านบาท เป็นจำนวน ๑๕,๔๐๘.๒ ล้านบาท ๒. รับทราบประมาณการข้อเสนอความต้องการงบประมาณเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๑๖ ข้อ มีวงเงินความต้องการรวมทั้งสิ้น ๕๕๘,๓๔๖.๔ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
31253 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนและออกหนังสือรับรองเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เกษตรกรที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ ให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะเกษตรกรที่เคยขึ้นทะเบียนในปี ๒๕๕๒/๕๓ โดยไม่เกินพื้นที่ที่เคยขึ้นทะเบียนปี ๒๕๕๒/๕๓ และไม่รับขึ้นทะเบียนรายใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว ๒. รับทราบราคา ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑ เป้าหมายการจ่ายเงินกู้ให้เกษตรกรตามโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินไม่เกิน ๙,๐๐๐ ล้านบาท โดยเกษตรกรแต่ละรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของมูลค่าหัวมันสด ส่วนที่ยังไม่ได้ขุดแต่ไม่เกินรายละ ๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การประเมินมูลค่าผลผลิตหัวมันสดส่วนที่ยังไม่ขุดให้คำนวณโดยใช้ราคาจำนำตามที่โครงการรับจำนำมันสำปะหลังกำหนดตามระยะเวลา คือ เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๘๐ บาท เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๘๕ บาท และเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๙๐ บาท ๒.๒ ระยะเวลาดำเนินการโครงการ ให้เงินกู้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - พฤษภาคม ๒๕๕๕ กำหนดระยะเวลาชำระเงินกู้เสร็จสิ้นภายใน ๓ เดือนนับถัดจากเดือนที่รับเงินกู้ ทั้งนี้ เมื่อเกษตรกรนำผลผลิตมันสำปะหลังเข้าร่วมโครงการรับจำนำมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ เกษตรกรต้องยินยอมให้ธนาคารหักชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการนี้ ๒.๓ หลักเกณฑ์การให้เงินกู้ ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR + 1 (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ ๓.๔๐๖ ต่อปี) ระยะเวลาไม่เกิน ๔ เดือน ๓. อนุมัติค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ให้แก่ ธ.ก.ส. ได้แก่ วงเงินชดเชยต้นทุนเงิน ๑๐๒.๑๘ ล้านบาท และค่าบริหารโครงการของ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ ๒.๕ ของต้นเงินคงเป็นหนี้ระยะเวลาไม่เกิน ๔ เดือน คิดเป็นวงเงินค่าบริหารโครงการ ๗๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรปี ๒๕๕๔/๕๕ หากไม่เพียงพอให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากงบกลางเพิ่มเติม ทั้งนี้ หากเกิดความเสียหายแก่ ธ.ก.ส. ในการดำเนินโครงการนี้ รัฐบาลจะดูแลชดเชยความเสียหายให้ตามที่เกิดขึ้นจริง
|
||||||||||||||||||||||||
31254 | มาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 | พณ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบกรอบชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และงบประมาณการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ๑.๒ รับทราบการแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตรรับขึ้นทะเบียนและออกหนังสือรับรองเกษตรกรให้แก่เกษตรกรที่เพาะปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และจะเก็บเกี่ยวข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ - ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นช่วงผลผลิตข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกมาจำนำตามโครงการ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ได้ และให้องค์การคลังสินค้า และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร รับฝากข้าวเปลือกของเกษตรกรไว้ก่อนและออกใบประทวนให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินให้เกษตรกร โดยใช้วงเงินค่าใช้จ่ายจากโครงการ ทั้งนี้ เกษตรกรที่นำข้าวเปลือกที่ได้จากการเพาะปลูกข้าวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ มาจำนำในโครงการ ช่วงวันที่ ๑ - ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ไม่สามารถนำข้าวเปลือกมาเข้าร่วมโครงการที่จะเริ่มรับจำนำในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ได้อีก ๑.๓ เห็นชอบงบประมาณดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้นำวงเงินงบประมาณที่ใช้ดำเนินการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ มาใช้ในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ไปก่อน หากไม่เพียงพอจึงขออนุมัติเพิ่มเติมในภายหลัง กรณีกระทรวงการคลังยังไม่สามารถจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. เพื่อนำมารับจำนำตามโครงการได้ทัน ให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินไปก่อน และให้สำนักงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ตามอัตราที่กำหนดไว้เดิม ๒. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า ขอตัดข้อความในหนังสือกระทรวงพาณิชย์ ด่วนที่สุด ที่ พณ ๐๔๑๔/๕๕๓ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ความว่า “... ทั้งนี้ เกษตรกรทุกรายจะจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี ๒๕๕๕ ได้ไม่เกินวงเงินรายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท” ออก ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปกำกับติดตามการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้มีการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ถูกต้องตรงตามพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณผลผลิตของเกษตรกรแต่ละราย ๔. โดยที่จะมีพื้นที่ซึ่งรวมพื้นที่เพาะปลูกด้วยจำนวนรวมประมาณ ๒ ล้านไร่ ที่ต้องใช้เป็นพื้นที่รองรับน้ำ (แก้มลิง) ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยด้วย จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับเรื่องนี้ไปประสานงานและบูรณาการการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ตลอดจนการดำเนินการโครงการรับจำนำพืชผลการเกษตรของรัฐบาลแล้วเสร็จทันก่อนการใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อรองรับน้ำต่อไป ทั้งนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและประชาชนทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31255 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) | ยธ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๙๘,๙๖๒,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นทุนประเดิมในการจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย จำนวน ๙๘,๙๖๒,๕๐๐ บาท และเป็นค่าดำเนินการอนุวัติข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขัง หรือ “Bangkok Rules” จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
31256 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2555 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ จังหวัดอุดรธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) รวม ๕ เรื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ - หนองคาย โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และโครงการปรับปรุงขยายช่องทางการจราจรเพื่อการคมนาคมและการท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำโขงเส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และเส้นทางหมายเลข ๒๑๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของ กกร. ไปพิจารณา ดังนี้ ๑.๑.๑ ศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ ระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กันไป ๑.๑.๒ ศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ศึกษาไว้ และเร่งเสนอโครงการฯ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๓ ศึกษารายละเอียดถึงความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๑.๑.๔ ศึกษาความเหมาะสมปรับปรุงโครงข่ายทางถนนบริเวณชายแดนไทย เส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และ ๒๑๒ เชื่อมโยงหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร เพื่อรองรับการลงทุนและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม และหนองคาย การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industrial Estate) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และการขยายเวลาเปิดด่านสากลจังหวัดนครพนม (ชายแดนไทย - ลาว) ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง และเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕) ๑.๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น ๑.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของการขยายเวลาเปิดทำการของจุดผ่านแดนถาวรจังหวัดนครพนมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับโครงการจัดการน้ำ โขง - เลย - ชี - มูล โดยแรงโน้มถ่วงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมและความสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และให้ดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ๑.๔ ข้อเสนอของ กกร. และ สทท. เกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย การพัฒนาระบบบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้มีความคล่องตัว และการพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการในกลุ่มพื้นที่ให้สามารถแข่งขันได้เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการเพื่อให้พิพิธภัณฑ์สิรินธรสามารถเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และค้นคว้าทางวิชาการ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณารูปแบบที่คล่องตัวในการบริหารที่เหมาะสม ๑.๔.๓ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสถาบันการศึกษาในพื้นที่พิจารณาจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนและการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาทักษะด้านภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในประเทศสมาชิกอาเซียนให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ๑.๕ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... และนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาจัดเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการโอนทรัพย์สินและการบริหารจัดการทั้งบุคลากร และการเงิน รวมทั้งการเตรียมการด้านวิชาการ ส่วนโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น เห็นควรพิจารณาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในการลงทุนและการใช้ประโยชน์ โดยให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ - หนองคาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31257 | การออกกฎหมายต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่อง การออกกฎหมายต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย โดยหากมีความจำเป็นต้องออกกฎหมายใหม่ ให้นำความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพิจารณากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันว่ามีมาตรการทางกฎหมายเช่นใด และต้องดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงอย่างไร หรือไม่ และความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เกี่ยวกับกรณีที่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force on Money Laundering - FATF) กำหนดรายชื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีข้อบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เนื่องจากประเทศไทยยังขาดกฎหมายที่เป็นมาตรฐานสากลในด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ซึ่งการกำหนดรายชื่อประเทศไทยดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ และอาจเกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ไปพิจารณา โดยคำนึงถึงความเชื่อมั่นของนานาประเทศ และความเหมาะสมกับการใช้บังคับในประเทศไทยเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||
31258 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย | อก | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อนำมาช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๕๔ บาท และเห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศอีกกิโลกรัมละ ๕ บาท โดยให้นำเงินจากส่วนที่ปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายเป็นรายได้ของกองทุนฯ สำหรับนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเพิ่มค่าอ้อยให้กับชาวไร่อ้อย รวมทั้งให้กองทุนฯ ควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้กองทุนฯ บันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนฯ โดยมีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์ โดยให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๒.๓ ในการเตรียมการสำหรับฤดูกาลผลิตหน้า ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ให้มีการทบทวนสูตรการคิดต้นทุนการผลิตและการกำหนดราคาอ้อยให้สะท้อนความเป็นจริง เพื่อบรรเทาปัญหาการเรียกร้องของชาวไร่อ้อยและเพื่อมิให้กองทุนฯ มีภาระหนี้สินมากจนเกินควรและทบทวนการปรับระบบการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทั้งระบบ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดผลการศึกษาโครงสร้างราคาอ้อยและน้ำตาลเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) เพื่อนำมาประกอบการพิจารณากำหนดโครงสร้างราคาอ้อยและน้ำตาลให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒. ให้แก้ไขข้อความของมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ ในหนังสือฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖ (คกก.๔)/๑๑๒ ลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ หน้า ๑๑ จากเดิม “... เพื่อมิให้กองทุนฯ มีภาระหนี้สินมากจนเกินควรและทบทวนการปรับระบบการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทั้งระบบ ...” เป็น “ ...เพื่อมิให้กองทุนฯ มีภาระหนี้สินจนไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพของระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ดำเนินการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ...” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||
31259 | การเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๑๒ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ผู้แทกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นางอุไร ร่มโพธิหยก ผู้แทนกระทรวงการคลัง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี ๓. นายบุญนริศร์ สุวรรณพูล ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายประเสริฐ ตปนียางกูร ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ๕. นางวีรวรรณ ลือสุทธิวิบูลย์ ผู้แทนสำนักงบประมาณ นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ ๑ ๖. นางสาวจีรพรรณ โอฬารธนาเศรษฐ์ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้บริหารส่วน ส่วนเศรษฐกิจด้านอุปทาน ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ๗. นายชัยวัฒน์ คำแก่นคูณ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๘. นายเอกชัย อริยมงคลชัย ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๙. นายสุพรรณ ดวงจำปา ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๑๐. นายอิสระ ถวิลเติมทรัพย์ ผู้แทนโรงงาน ๑๑. นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้แทนโรงงาน ๑๒. นางสาวมณีรัตน์ ไชยพฤทธิพงศ์ ผู้แทนโรงงาน
|
||||||||||||||||||||||||
31260 | โครงการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมัน 1 ล้านไร่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปศึกษารายละเอียดโครงการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมัน ๑ ล้านไร่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หากผลการศึกษาพบว่าโครงการดังกล่าวมีความเหมาะสมและจำเป็น ให้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....