ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1564 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31261 - 31280 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31261 | การรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การสวนยางกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อดำเนินงานตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ ส่วนค่าบริหารโครงการเห็นควรอนุมัติให้องค์การสวนยางใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามแผนการใช้จ่ายเงิน (เมษายน - กันยายน ๒๕๕๕) ภายในกรอบวงเงิน จำนวน ๑๔๘ ล้านบาท และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับแผนการดำเนินงานส่วนที่เหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อยางพาราแปรรูปและจำหน่ายในระยะเวลาที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพของตลาดอย่างต่อเนื่อง และควรดำเนินการให้ครอบคลุมสถาบันเกษตรกรทั่วทั้งประเทศที่กระจายตัวอยู่ในภาคต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. อนุมัติให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะบรรจุเงินกู้ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
31262 | มาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ | พน | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดเป้าหมายของมาตรการลดใช้พลังงานลงให้ได้อย่างน้อย ๑๐% ๑.๒ มาตรการระยะสั้น ๑.๒.๑ ให้ตัวชี้วัด (Key Performance Index : KPI) “ระดับความสำเร็จของการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงาน” เป็นหนึ่งในกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการต่อไป โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๑ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดให้ผลการประหยัดพลังงานเป็นตัววัดประสิทธิภาพของปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงาน รวมถึงรัฐวิสาหกิจ องค์การปกครองท้องถิ่น หน่วยงานตุลาการ หน่วยงานรัฐสภา และโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๒ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมินผล ๑.๒.๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๒.๒ ลดการใช้พลังงานลงอย่างน้อยร้อยละ ๑๐ ๑.๒.๒.๑ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ ๑๐ โดยเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒.๒.๒ ถ้าหน่วยงานใดมีผลการใช้ไฟฟ้าและหรือน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้น จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยไม่มีเหตุผลสมควร หน่วยงานนั้นต้องลดการใช้พลังงานลง ๑๕% จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและหรือน้ำมันเชื้อเพลิงของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๒.๒.๓ ดำเนินการตามแนวทางประหยัดพลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ๑.๒.๒.๔ มาตรการลดใช้ไฟฟ้า ได้แก่ การจัดซื้ออุปกรณ์/เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดต้องเป็นอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน การกำหนดเวลาเปิดปิดเครื่องปรับอากาศ เช่น ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. และปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่ ๒๕ - ๒๖ องศาเซลเซียส รวมถึงตั้งงบประมาณล้างเครื่องปรับอากาศเป็นประจำทุก ๖ เดือน โดยห้ามปรับเปลี่ยนงบประมาณไปใช้ในเรื่องอื่น และการกำหนดการใช้ลิฟต์ให้หยุดเฉพาะชั้น เช่น การหยุดเฉพาะชั้นคู่หรืออาจจะสลับให้มีการหยุดเฉพาะชั้นคี่ และปิดลิฟต์บางตัวในช่วงเวลาที่มีการใช้งานน้อย และรณรงค์ขึ้น - ลงชั้นเดียวไม่ใช้ลิฟต์ ๑.๒.๒.๕ มาตรการลดใช้น้ำมัน ได้แก่ ให้มีระบบ Car Pool : หน่วยราชการระดับกรมที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันให้จัดระบบการใช้รถแบบรวมศูนย์เพื่อให้มีการใช้รถอย่างประหยัดและประสิทธิภาพสูง กำชับพนักงานขับรถยนต์ให้ขับรถในอัตราความเร็วยานพาหนะที่พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนด รวมทั้งรถเบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจทุกคันในจังหวัดที่มีก๊าซโซฮอล์จำหน่าย ต้องใช้ก๊าซโซฮอล์ และหากมี NGV จำหน่ายให้ติดตั้ง NGV ควบคู่ไปด้วย โดยเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มี NGV ให้เติม NGV และอยู่นอกพื้นที่ให้เติมก๊าซโซฮอล์ ๑.๓ มาตรการระยะยาว ๑.๓.๑ กำหนดให้ “อาคารของรัฐที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุม” ก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประมาณ ๘๐๐ แห่ง เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไม่ให้เกิน “ค่ามาตรฐานการจัดการใช้พลังงาน” ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นตัวอย่างในการจัดการอาคารของเอกชนที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุม ๑.๓.๒ ให้สำนักงบประมาณจัดทำข้อกำหนดและเงื่อนไขเพื่อหน่วยงานราชการสามารถจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือยานพาหนะใหม่มาใช้ทดแทนของเดิมที่มีอายุการใช้งานมานาน เสื่อมสภาพ และสิ้นเปลืองพลังงาน รวมถึงการจัดการอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือยานพาหนะเดิม เพื่อมิให้มีการนำไปใช้ในที่อื่น โดยการจัดการนั้นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นถือปฏิบัติและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือภาคเอกชนในการประหยัดการใช้พลังงานด้วย ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ การลดการใช้พลังงานมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เกิดความประหยัดเท่าที่จำเป็น โดยมิได้มุ่งที่จะตัดทอนรายการค่าใช้จ่ายโดยตรง ๒.๒ การใช้วิธีการเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอายุใช้งานมานาน เสื่อมสภาพ หรือชำรุดแทนวิธีการซ่อมบำรุงของเดิมอาจช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ๒.๓ กรณีหน่วยงานใดพบว่ามีอัตราการใช้พลังงาน (เช่น ค่าน้ำและค่าไฟฟ้า) เพิ่มสูงขึ้นมากเป็นลำดับ ควรเร่งตรวจสอบอุปกรณ์และระบบสาธารณูปโภคของหน่วยงาน แล้วดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อลดการใช้พลังงานต่าง ๆ โดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31263 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศกระทรวงการคลังฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ปรับปริมาณค่ากำมะถันของน้ำมันดีเซล ในประเภทที่ ๐๕.๐๑ (๑) จากเดิมที่มีปริมาณกำมะถันเกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก เป็นที่มีปริมาณกำมะถันเกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก และ (๒) จากเดิมที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก เป็นมีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ๒. ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซล ในประเภทที่ ๐๑.๐๕ (๒) น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ ซึ่งจะต้องปรับปริมาณค่ากำมะถันในครั้งนี้เป็นไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราตามปริมาณลิตรละ ๐.๐๐๕ บาท และ (๕) น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราตามปริมาณลิตรละ ๐.๐๐๕ บาท ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
31264 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๑๑๕,๑๔๙.๙๗๓ ล้านบาท โดยมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม (ตุลาคม ๒๕๕๔ - กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) จำนวน ๔๑,๘๐๘.๖๙๕ ล้านบาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการแล้ว มีการเบิกจ่ายสะสม จำนวน ๓๗,๒๑๒.๒๙๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๐๑ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ๑.๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ ๑.๑.๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๒๓ หน่วยงาน และส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๕ หน่วยงาน ๑.๑.๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๑๐ หน่วยงาน จำนวน ๔๘๘.๖๓๘๗ ล้านบาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๗ หน่วยงาน จำนวน ๔๘๓.๐๔๔๓ ล้านบาท และส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑๑๖.๙๓๕๐ ล้านบาท ๑.๑.๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๑๒ หน่วยงาน วงเงิน ๓๖,๑๑๒.๖๓๘๑ ล้านบาท ๑.๒ ให้รัฐมนตรี ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยได้อย่างเหมาะสม ๑.๒.๒ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และ/หรือทำสัญญา รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้ และหากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงโดยด่วนภายในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในกรณีที่วงเงินจัดซื้อจัดจ้างต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับจัดสรร ให้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณคืนสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน ๑.๒.๔ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมิได้ดำเนินการบันทึกข้อมูลการลงนามในสัญญาจัดซื้อ หรือ Purchase Order : PO ในระบบระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์” หรือ ระบบ Government Fiscal Management System : GFMIS ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสากิจดังกล่าวดำเนินการบันทึกข้อมูลการลงนามในสัญญา (PO) ในระบบ GFMIS โดยด่วนภายใน ๓ วัน เพื่อใช้ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการในลำดับต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ จังหวัด และผู้เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบันทึกข้อมูลในระบบการติดตามความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยผ่านเว็บไซต์ www.pmocflood.com ให้เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้ประมวลผลและบูรณาการข้อมูลดังกล่าวกับแผนของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการต่อคณะรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ โดยให้ส่งเรื่องถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันศุกร์เพื่อดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวาระปกติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31265 | สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยาฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจาก กฟย. | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาทบทวนแผนงาน/โครงการฟื้นฟู เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยกเลิกไม่ดำเนินการโครงการที่มีความซ้ำซ้อน ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเป็นภารกิจปกติของหน่วยงานในงานทางที่มีวงเงินสูงและเป็นลักษณะปรับปรุงขนาดใหญ่ จำนวน ๓,๘๘๖.๐๘๓๒ ล้านบาท ๒. โครงการที่เห็นควรนำไปเสนอเพื่อใช้เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๗,๘๔๔.๒๒๖๙ ล้านบาท ได้แก่ โครงการลักษณะก่อสร้างใหม่ หรือปรับปรุงให้มีสถานะดีขึ้น และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาลักษณะยั่งยืน ๓. โครงการที่เห็นควรใช้จากโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และสาธารณภัย วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ตั้งงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน ๑,๕๗๑.๔๗๕๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการที่ดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. โครงการที่ขอให้จังหวัดพิจารณาทบทวน วงเงิน ๕,๐๒๐.๐๔๒๒ ล้านบาท ได้แก่ งานด้านน้ำที่มีลักษณะดำเนินการเป็นจุด ๆ ซึ่งจะไม่มีผลต่อการระบายน้ำในภาพรวมของลุ่มน้ำสาขาและลุ่มน้ำย่อย และโครงการที่มีลักษณะดำเนินการในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
31266 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ จังหวัดภูเก็ต และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๘ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ โครงการขยายถนนฝั่งอันดามัน (ทางหลวงหมายเลข ๔) ให้เป็นถนน ๔ ช่องทางจราจรทั้งระบบ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเร่งรัดดำเนินการโครงการดังกล่าว ตั้งแต่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร - ระนอง - พังงา - ตรัง เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔๐๔ - หมายเลข ๔๑๖ และหมายเลข ๔๑๘๔ - ด่านวังประจัน จังหวัดสตูล โดยให้ยึดเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคำนึงถึงหลักความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและประชาชน ๒.๑.๒ โครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการพัฒนาเร่งรัดระบบโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาระบบรางและรถไฟความเร็วสูงที่กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาไว้ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๑.๓ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ที่ประชุมมีมติให้ สทท. ศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายละเอียดของโครงการทั้งปริมาณการขนส่ง ผู้โดยสารและสินค้า ความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๒.๑.๔ การศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาสนามบินในกลุ่มพื้นที่อันดามัน (สนามบินนานาชาติภูเก็ต สนามบินกระบี่ และสนามบินตรัง) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาความแออัดและการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร การจัดเตรียมอัตรากำลังของภาครัฐที่เหมาะสม การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของท่าอากาศยาน รวมทั้งการบริหารจัดการของท่าอากาศยาน และความเป็นไปได้ในการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกมาให้บริการ โดยให้ สทท. จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการดำเนินงานของคณะทำงานต่อไป ๒.๑.๕ การอำนวยพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เข้า - ออก ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) ซึ่งมีมติให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และ สทท. แก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาภาพรวมการปรับปรุงการให้บริการ ณ จุดตรวจคนเข้าเมือง โดยพิจารณารูปแบบ เทคโนโลยี และกำลังพลที่เหมาะสม และให้หารือกับกระทรวงคมนาคมในเรื่องความเพียงพอของพื้นที่กายภาพที่จะให้บริการ ๒.๑.๖ โครงการบ้านปลาเฉลิมพระเกียรติทะเลไทย (ปะการังเทียม) ฝั่งอันดามัน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการโครงการดังกล่าวและข้อเสนอของภาคเอกชนทั้งในเรื่องการกำหนดพื้นที่ เทคนิคการวางปะการัง งบประมาณที่เหมาะสม และการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒.๑.๗ การเร่งรัดดำเนินการ เรื่อง แนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกใบอนุญาตและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒.๑.๘ กลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติและหวังผลได้ในกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดยการจัดตั้ง “คณะกรรมการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวจังหวัดเชิงปฏิบัติการ” ทำหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของงานด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเสนอโครงการต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ที่ประชุมมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบของกลไกที่สามารถขับเคลื่อนการบูรณาการการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวม และระดับพื้นที่/กลุ่มจังหวัด ๒.๒ ข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๒.๑ การแก้ปัญหาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะด้านความเพียงพอและคุณภาพการให้บริการ ๒.๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาความแออัดของสนามบินภูเก็ต การให้บริการ และการบริหารจัดการสนามบิน ๒.๒.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดรับไปดำเนินการในเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดขยะ รวมทั้งเรื่องน้ำประปาไม่เพียงพอ ๒.๒.๒ การแก้ไขปัญหาหลอกลวงเอาเปรียบนักท่องเที่ยวและปัญหาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นคุกคามผู้ประกอบการ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ โดยเร่งพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ๒.๒.๓ การแก้ปัญหาการบุกรุกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และคุณภาพของชายหาดและน้ำทะเลของชายหาดสาธารณะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัดอันดามัน ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพื้นที่ (จังหวัด ท้องถิ่น และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ๒.๒.๔ การสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามันเพื่อตอบสนองแนวโน้มการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยเห็นควรส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเลในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมอันดามัน (ภูเก็ต - กระบี่ - พังงา) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวระดับบน และส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ๒.๒.๕ การแก้ปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนเริ่มเสื่อมโทรม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กรภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และมาตรการดูแลและป้องกันผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ป่าชายเลนในพื้นที่ ๒.๓ เรื่องอื่นที่ ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๒.๓.๑ การเร่งรัดการขยายด่านศุลกากรสะเดา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกระบวนการเจรจาความตกลงกับประชาชนและจ่ายค่าผลอาสินโดยเร็ว เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการของด่านศุลกากรสะเดาต่อไป ๒.๓.๒ การขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๓.๓ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ โดยคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒.๓.๔ การจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ ๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31267 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน รวม 5 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ 20 มีนาคม 2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และระนอง) รวม ๕ จังหวัด จำนวน ๑๑๗ โครงการ ประมาณการวงเงินรวม ๘๔,๐๖๔ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑.๑ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/เกษตร วงเงิน ๗,๖๓๘ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) ทรัพยากรน้ำ วงเงิน ๔,๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำดิบ และโครงการป้องกันปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง และ (๒) สิ่งแวดล้อมและเกษตร วงเงิน ๓,๐๖๐ ล้านบาท เป็นโครงการเพิ่มศักยภาพชุมชนในการสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์การเกษตรที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตในพื้นที่ การฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล การบำบัดน้ำเสีย และกำจัดกากตะกอนจุลินทรีย์ รวมถึงขยะมูลฝอยในชุมชนแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๑.๑.๒ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ วงเงิน ๕๙,๓๕๘ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) ระบบขนส่งทางบก วงเงิน ๓๑,๗๑๓ ล้านบาท เป็นโครงการด้านการพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมระหว่างจังหวัด ปรับปรุงประสิทธิภาพทางหลวง ก่อสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสาร (๒) ระบบขนส่งทางราง วงเงิน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนาดเบารอบเกาะภูเก็ตและเส้นทางสนามบิน (๓) ระบบขนส่งทางอากาศ วงเงิน ๕๙๕ ล้านบาท เป็นการปรับปรุงท่าอากาศยานในภูมิภาค จำนวน ๒ แห่ง ได้แก่ โครงการศึกษาการพัฒนาทางวิ่ง (Runway) ท่าอากาศยานภูเก็ต และโครงการงานขยายลานจอดเครื่องบินและก่อสร้างทางขับท่าอากาศยานตรัง (๔) ระบบขนส่งทางน้ำ วงเงิน ๓๕๗ ล้านบาท เป็นโครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว ๒ แห่ง (จังหวัดพังงา และระนอง) และโครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต และ (๕) ระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ วงเงิน ๑,๖๙๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาระบบประปาหรือท่อส่งน้ำ และโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการก่อสร้างศาลากลางจังหวัด ๑.๑.๓ ด้านเศรษฐกิจ วงเงิน ๑,๔๐๓ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) การค้าการลงทุน วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ได้แก่ การก่อสร้างศูนย์ประสานงานและบริการด้านการต่างประเทศและเทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อรองรับการท่องเที่ยว และการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ และ (๒) การท่องเที่ยว วงเงิน ๖๐๓ ล้านบาท เป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวกแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และแหล่งเรียนรู้ทางระบบนิเวศ ๑.๑.๔ ด้านสังคม วงเงิน ๑๔,๓๐๒ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) ด้านสาธารณสุข วงเงิน ๔,๒๘๔ ล้านบาท เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ป่วย และการให้สวัสดิการแก่บุคลากรทางการแพทย์ (๒) ด้านการศึกษา วงเงิน ๘,๙๘๑ ล้านบาท เป็นการพัฒนาและยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และ (๓) ด้านสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม วงเงิน ๑,๐๓๗ ล้านบาท เป็นการก่อสร้างสนามกีฬา/ลานกีฬา ก่อสร้างอนุสรณ์สถาน อนุรักษ์/พัฒนาโบราณสถาน ปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ก่อสร้างศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลาม และอาคารหอศิลปวัฒนธรรม ๑.๑.๕ ด้านความมั่นคง วงเงิน ๑,๓๖๓ ล้านบาท เป็นการจัดหาอุปกรณ์ระบบสื่อสาร และระบบความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับประชาชน บุคคลสำคัญ และนักท่องเที่ยว รวมทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ๑.๒ เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๓ โครงการ วงเงินรวม ๖๒๘ ล้านบาท ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ท่ามาเนาะห์) ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (๒) โครงการพัฒนาเกาะสุกรเป็นแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน (๓) โครงการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (๔) โครงการบริหารจัดการน้ำรองรับการท่องที่ยวฝั่งอันดามัน (๕) โครงการแก้มลิงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำจังหวัดภูเก็ต (๖) โครงการระบบท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำบ้านบางโจไปยังท่าอากาศยานภูเก็ต (๗) โครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต (๘) โครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านพระยาวิชิตสงคราม ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต (๙) โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง ถนนเจ้าฟ้าตะวันออก (๑๐) โครงการพัฒนาระบบตรวจจับรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดและระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในเขตจังหวัดภูเก็ต (๑๑) โครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา (๑๒) โครงการก่อสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์อนุสรณ์สถานเรือ ต. ๘๑๓ (๑๓) โครงการปรับปรุงเส้นทางสายเพชรเกษม ช่วงเขาหลัก - บางเนียง (๑๔) โครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยทางธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว (๑๕) โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ท่องเที่ยวเขาช้างหาย (๑๖) โครงการการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (๑๗) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำจังหวัดตรัง (๑๘) โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างยั่งยืน (๑๙) โครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะพยาม (๒๐) โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของสถาบันเกษตรกร (๒๑) โครงการบูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัย (๒๒) โครงการจัดระบบป้องกันและการสื่อสารเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ฝั่งทะเล และเกาะแก่งจังหวัดระนอง (ระนองโมเดล) และ (๒๓) โครงการส่งเสริมและเพิ่มพูนรายได้เศรษฐกิจชุมขนโดยการจัดสร้างลานปาล์มชุมชน โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ยกเว้นโครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ สำหรับแผนงาน/โครงการที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันเสนอในส่วนที่เหลือ ให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดส่งรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และนำเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป เช่น โครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง โครงการก่อสร้างทางลอดทางยกระดับในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนาดเบารอบเกาะภูเก็ตและเส้นทางสนามบิน ให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการ และโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ให้จังหวัดกระบี่หารือภาคเอกชนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เป็นต้น ๑.๔ กรณีโครงการของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เช่น โครงการเพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมระหว่างเส้นทาง ๒ ฝั่งทะเล โครงการพัฒนาและก่อสร้างสนามบินอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี มอบให้กระทรวงคมนาคม และโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ มอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป เป็นต้น ๒. ในส่วนของจังหวัดตรัง เห็นชอบให้เพิ่มโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีอีก ๑ โครงการ คือ โครงการก่อสร้างสะพาน คสล. ปากคลองลำขัน หมู่ที่ ๕ บ้านท่าเขา ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง วงเงิน ๓.๒๕ ล้านบาท และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31268 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดภูเก็ต ๑.๑.๑ เห็นชอบโครงการแก้มลิงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการขุดลอกขุมน้ำเฉลิมพระเกียรติ และขุมน้ำราชภัฏพร้อมก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ ๑.๑.๒ เห็นชอบหลักการโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียบริเวณพื้นที่สามกอง เทศบาลนครภูเก็ต วงเงิน ๖๐ ล้านบาท โดยให้เทศบาลนครภูเก็ตบรรจุโครงการไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ๑.๑.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียระยะที่ ๔ วงเงิน ๙๕ ล้านบาท โดยให้กองทุนสิ่งแวดล้อมเร่งรัดพิจารณาการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการ และโครงการก่อสร้างอาคารกำจัดกากตะกอนจุลินทรีย์ วงเงิน ๖๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบโครงการระบบท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำบ้านบางโจไปยังท่าอากาศยานภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๕ ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ ๔๙.๖๘ ล้านบาท งบประมาณที่เหลือ จำนวน ๒๔.๖๘ ล้านบาท ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมทบงบประมาณดำเนินการ ๑.๑.๕ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท และให้มีการประชาสัมพันธ์การให้บริการแบบ One Stop Service ๑.๑.๖ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบตรวจจับรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดและระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในเขตจังหวัดภูเก็ต โดยจัดลำดับความสำคัญของจุดติดตั้งระบบตรวจจับความเร็วรถยนต์ในพื้นที่ถนนหลัก จากเดิม ๖ จุด ลดเหลือ ๓ จุดที่สำคัญ และปรับลดวงเงินเหลือ ๑๗ ล้านบาท ๑.๑.๗ เห็นชอบในหลักการโครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจราจร วงเงิน ๕,๕๕๖.๐๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมเพิ่มเติม และให้เทศบาลเมืองป่าตองหารือกับท้องถิ่นใกล้เคียงในการพิจารณากำหนดสัดส่วนเงินสมทบของท้องถิ่นในการลงทุนก่อสร้างอุโมงค์ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน และการกำหนดอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสม ๑.๑.๘ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ตหลังใหม่ โดยให้คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนแม่บทตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๑.๑.๙ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างถนนสี่ช่องจราจรถนนวิชิตสงคราม (ระยะที่ ๔) กม. ๑๑+๙๕๐ - กม. ๑๓+๓๐๐ และ กม. ๑๓+๗๔๕ - กม. ๑๔+๕๔๖ วงเงิน ๗๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการแก้ปัญหาจราจรในเมืองภูเก็ต โดยบูรณาการแผนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๑๐ เห็นชอบโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านพระยาวิชิตสงคราม โดยสนับสนุงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙.๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๑๑ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอนุสรณ์สถานเมืองถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดภูเก็ตหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อบูรณาการการทำงานและจัดทำแผนแม่บท โดยมีรายละเอียดกิจกรรม งบประมาณและแผนบริหารจัดการโครงการที่ระบุหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานที่ชัดเจน ๑.๒ จังหวัดพังงา ๑.๒.๑ สนับสนุนงบประมาณโครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา วงเงิน ๓๕ ล้านบาท โดยให้เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ และจัดทำข้อตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงอันดามัน (Hub & Double Main Corridors) รวม ๓๕ โครงการ วงเงิน ๑๗,๑๐๗.๘๒ ล้านบาท โดยให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม บรรจุโครงการไว้ในแผนแม่บทระยะ ๕ ปี และจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางเพื่อเสนอขอรับการจัสรรงบประมาณประจำปี ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันดามัน วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โดยเร่งรัดให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒.๔ เห็นชอบโครงการปรับปรุงเส้นทางสายเพชรเกษม ช่วงเขาหลัก - บางเนียง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ เห็นชอบโครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ท่ามาเนาะห์) ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกระบี่ ๑.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจและออกแบบเพื่อการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองกระบี่ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนดำเนินการก่อสร้างต่อไป ๑.๓.๒ เห็นชอบการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการสัญจรไปยังเกาะลันตา ส่วนการแก้ปัญหาโดยการขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเทียบแพขนานยนต์ข้ามฟากเกาะลันตา เห็นควรให้เปลี่ยนจากการขุดลอกร่องน้ำ เป็นการขยายการก่อสร้างสะพานเพื่อให้แพขนานยนต์สามารถเข้าเทียบท่าได้ตลอดเวลา ๑.๓.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙๙.๓๔ ล้านบาท ๑.๓.๔ รับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับจังหวัดกระบี่ศึกษาโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ จังหวัดตรัง ๑.๔.๑ เห็นชอบโครงการการพัฒนาแหล่งน้ำจังหวัดตรัง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๖๔ ล้านบาท โดยทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังจัดทำแผนการบริหารท่าเรือและบำรุงรักษาในระยะยาว โดยใช้งบประมาณท้องถิ่น และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาแหล่งงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อไป ๑.๔.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการขยายลานจอดเครื่องบินและก่อสร้างทางขับท่าอากาศยานตรัง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมที่มีระบบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการบริการผู้โดยสาร รวมทั้งพิจารณาอุดหนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สนับสนุนการดำเนินการต่อไป ๑.๔.๔ เห็นชอบโครงการพัฒนาเกาะสุกรเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดามัน โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ดังนี้ ๓.๑ จังหวัดภูเก็ต ๓.๑.๑ ให้แขวงการทางภูเก็ต สำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) จัดทำโครงการปรับปรุงเรขาคณิตของทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ (บริเวณโค้งคอเอน) เพิ่มเติม เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฉลอง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกบำบัดรักษาโรงพยาบาลฉลอง วงเงิน ๑๐๒ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างอาคารบ้านพักแพทย์/พยาบาล เจ้าหน้าที่ ๒๐ ยูนิต ๖ ชั้น รพ.สต.ฉลอง วงเงิน ๘๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการต่อไป ๓.๑.๓ เห็นชอบหลักการโครงการของโรงพยาบาลถลาง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ วงเงิน ๑๐๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และโครงการก่อสร้างแฟลตพยาบาล ๗ ชั้น ๘๐ ยูนิต วเงิน ๖๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
31269 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 15 มกราคม 2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. แผนงาน/โครงการในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบนฯ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๘ โครงการ วงเงินรวม ๗๙๔.๗๐๔ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ พร้อมแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางตัดใหม่ (Missing Link) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๗ - บรรจบทางหลวงหมายเลข ๑๐๐๑ วงเงิน ๑๐๐.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดลำพูน ได้แก่ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำลี้ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ๓ อำเภอ (อำเภอลี้ บ้านโฮ่ง และเวียงหนองล่อง) วงเงิน ๖๕.๐๐๐ ล้านบาท และกิจกรรมปรับปรุงสภาพและขุดลอกเปิดเส้นทางน้ำลำเหมืองร่องส้าว และลำเหมืองแม่ยาก ภายใต้โครงการป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ และสถานประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในบริเวณใกล้เคียง วงเงิน ๓๕.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ โครงการปรับปรุงซ่อมแซมถนนเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์จังหวัด วงเงิน ๓๓.๐๐๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาโครงข่ายสายทางคมนาคม เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับคุณภาพชีวิต การเกษตร และการท่องเที่ยวของประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน วงเงิน ๖๗.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ จังหวัดเชียงราย ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง วงเงิน ๑๕.๐๐๐ ล้านบาท การบูรณะลาดยางพร้อมไฟฟ้าแสงสว่าง ถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข ๑๒๐๗ - บ้านห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมือง วงเงิน ๒๐.๐๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำห้วยไม้ยาพร้อมระบบส่งน้ำ บ้านไม้ยา หมู่ที่ ๗ ตำบลไม้ยา อำเภอพญาเม็งราย วงเงิน ๔๓.๖๖๘ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมฝายน้ำล้นแม่ลาว บ้านหัวเวียง ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า วงเงิน ๒๒.๔๑๓ ล้านบาท ๑.๕ จังหวัดพะเยา ได้แก่ โครงการการแก้ไขและปรับปรุงทางเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจจังหวัดพะเยา วงเงิน ๑๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๖ จังหวัดแพร่ ได้แก่ โครงการชาวแพร่ร้อยใจปฏิบัติบูชาทุกภาคส่วนอาสาสร้างฝายถวายในหลวงแบบบูรณาการ วงเงิน ๘.๓๗๕ ล้านบาท โครงการบูรณาการในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันและบรรเทาการเกิดอุทกภัย ในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สอง ๑ ใน ๑๖ สาขาแม่น้ำยม วงเงิน ๒๖.๐๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านร่องบอน ตำบลปากกาง อำเภอลอง วงเงิน ๑๖.๐๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านม่อน ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง วงเงิน ๑๗.๒๒๖ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านร่องเสียว ตำบลน้ำชำ อำเภอสูงเม่น วงเงิน ๒๖.๖๘๙ ล้านบาท ๑.๗ จังหวัดน่าน ได้แก่ โครงการผันน้ำ น้ำมุ่น - ห้วยส้มป่อย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง วงเงิน ๘๕.๓๓๓ ล้านบาท และโครงการป้องกันอุทกภัยและการกัดเซาะฝั่งแม่น้ำ วงเงิน ๑๔.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๘ จังหวัดลำปาง ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลลำปางเฉลิมพระเกียรติฯ ๘๔ พรรษา ระยะที่ ๓ วงเงิน ๑๐๐.๐๐๐ ล้านบาท ๒. สำหรับงบประมาณดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลำดับที่ ๑.๒ - ๑.๘ เป็นเงิน ๖๙๔.๗๐๔ ล้านบาท สำหรับโครงการลำดับที่ ๑.๑ เนื่องจากเป็นงานดำเนินการเอง และจะใช้จ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้เพียงบางส่วน จึงเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๐.๐๐๐ ล้านบาท และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกเป็นเงิน ๖๐.๐๐๐ ล้านบาท โดยให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป โดยสรุปเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงินทั้งสิ้น ๗๓๔.๗๐๔ ล้านบาท และให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกเป็นเงิน ๖๐.๐๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
31270 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาลกาตาร์และรัฐบาลไทย (Agreement between the Government of the State of Qatar and the Government of the Kingdom of Thailand on Defence Cooperation) | กห | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงผู้ลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาลกาตาร์และรัฐบาลไทย (Agreement between the Government of the State of Qatar and the Government of the Kingdom of Thailand on Defence Cooperation) ฝ่ายไทย จาก ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการปรับแก้ถ้อยคำในร่างความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ข้อ ๓ ย่อหน้าที่ ๕ ควรเปลี่ยน “the directorate of the Office of Permanent Secretary on the Thai side” เป็น “the directorate of the Ministry of Defence on the Thai side” และเพิ่มคำว่า “of” หลังคำว่า “following - up” และข้อ ๗ ย่อหน้าที่ ๑ ควรเปลี่ยนเป็น “This Agreement shall enter into force on the date of signing” หากคู่ภาคีสามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันในความตกลงฯ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องดำเนินกระบวนการภายในอื่นใดเพิ่มเติมอีกหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมติให้ฝ่ายไทยลงนามได้แล้ว (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31271 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อก | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกเดือนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ค่าตอบแทนคงที่แต่ละปีปรับได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ตามระดับผลงาน และค่าตอบแทนพิเศษในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของค่าตอบแทนรวมในแต่ละปี ตามที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่กำหนดในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31272 | การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ [ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 6 มีนาคม 2555] | รง | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จำนวน ๒๒ สาขาอาชีพ ดังนี้
๑. สาขาอาชีพช่างสีรถยนต์ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๖๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๓๐ บาท ๒. สาขาอาชีพช่างเคาะตัวถังรถยนต์ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๒๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๙๐ บาท ๓. สาขาอาชีพช่างซ่อมรถยนต์ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๖๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๔๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๓๐ บาท ๔. สาขาอาชีพผู้ประกอบอาหารไทย ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท และระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๑๐ ไม่มีระดับ ๓ ๕. สาขาอาชีพพนักงานนวดไทย ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๔๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๘๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๗๒๐ บาท ๖. สาขาอาชีพนักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (หัตถบำบัด) ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๙๐ บาท และระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๕๐ บาท ไม่มีระดับ ๓ ๗. สาขาอาชีพช่างซ่อมไมโครคอมพิวเตอร์ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๐๐ บาท ๘. สาขาอาชีพช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๐๐ บาท ๙. สาขาอาชีพช่างไฟฟ้าอุตสาหกรรม ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๐๐ บาท ๑๐. สาขาอาชีพช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๐๐ บาท ๑๑. สาขาอาชีพช่างอิเล็กทรอนิกส์ (โทรทัศน์) ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท และระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐๐ บาท ไม่มีระดับ ๓ ๑๒. สาขาอาชีพช่างเขียนแบบเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๖๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๓๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๗๐ บาท ๑๓. สาขาอาชีพช่างเชื่อมแม็ก ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๐๐ บาท ๑๔. สาขาอาชีพช่างเชื่อมทิก ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๕๕ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๑๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๗๗๕ บาท ๑๕. สาขาอาชีพช่างไม้ก่อสร้าง ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๘๕ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๙๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๐๕ บาท ๑๖. สาขาอาชีพช่างก่ออิฐ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๔๕ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๖๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๘๕ บาท ๑๗. สาขาอาชีพช่างฉาบปูน ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๘๕ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๙๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๖๐๕ บาท ๑๘. สาขาอาชีพช่างอะลูมิเนียมก่อสร้าง ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๖๕ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๗๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๘๕ บาท ๑๙. สาขาอาชีพช่างเย็บ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๒๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๗๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐๐ บาท ๒๐. สาขาอาชีพช่างเครื่องประดับ (ประดับอัญมณี) ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๐๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๕๕๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๗๕๐ บาท ๒๑. สาขาอาชีพช่างเครื่องเรือนไม้ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๓๕ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๘๕ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๓๕ บาท ๒๒. สาขาอาชีพช่างบุครุภัณฑ์ ระดับ ๑ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๒๐ บาท ระดับ ๒ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๓๗๐ บาท และระดับ ๓ เป็นเงินไม่น้อยกว่าวันละ ๔๒๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
31273 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยและการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๕๒๒ ราย คิดเป็นร้อยละ ๖๒.๒๒ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๒. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัยซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๖,๐๗๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๒๐ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๖๗ ราย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ๓.๑ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักรอุปกรณ์ และวัตถุดิบนำเข้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๓๐๓ โครงการ มูลค่า ๘๐,๒๙๑ ล้านบาท ๓.๒ อนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม จำนวน ๑๘๓ บริษัท จำนวนคนต่างชาติ ๖๗๗ คน ๓.๓ เพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ โดยได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเรียบร้อยแล้ว และออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ ๑/๒๕๕๕ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง มาตรการด้านภาษีอากร เพื่อฟื้นฟูการลงทุนจากวิกฤตอุทกภัย มีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริม จำนวน ๗ โครงการ เงินลงทุน ๑,๙๒๘ ล้านบาท ๓.๔ ยกเว้นค่าบริการในการออกใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่สูญหาย จำนวน ๑๙ ราย คิดเป็นเงิน ๒,๐๓๓ บาท ๓.๕ ยกเว้นค่าบริการในการต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๕๕ ราย คิดเป็นเงิน ๕๘๘,๕๐๐ บาท ๓.๖ ยกเว้นค่าบริการในการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรทางอิเล็กทรอนิกส์ (e - PP & Paperless) ให้แก่ผู้ประกอบการในเขตประกอบการเสรี จำนวน ๓๓ ราย คิดเป็นเงิน ๔๖๖,๙๒๐ บาท ๓.๗ อนุญาตให้ผู้ประกอบการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่และทำงานได้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด โดยยกเว้นเป็นระยะเวลาตั้งแต่เกิดอุทกภัย จนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ราย เป็นช่างฝีมือ ๓๑ คน ที่อนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ๓.๘ บริการช่วยเหลือผู้ประกอบการในเขตประกอบการเสรีในการย้ายเครื่องจักร อุปกรณ์ วัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ ออกนอกเขตประกอบการเสรีไปยังสถานที่ประกอบการชั่วคราวโดยยังสามารถประกอบกิจการและปฏิบัติพิธีการศุลกากรได้ตามปกติ จำนวน ๓๓ ราย ๓.๙ ให้การรับรองการเป็นผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการประสบอุทกภัยและอนุมัติการนำเข้าเครื่องจักร เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรในเขตพื้นที่ประสบอุทกภัย ลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๕ และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการรับรองผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยและอนุมัติการนำเข้าเครื่องจักร ส่วนประกอบ และอุปกรณ์ประกอบเครื่องจักร รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ที่ใช้กับเครื่องจักรดังกล่าว เพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมความเสียหายอันเนื่องมาจากอุทกภัย ลงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒ ราย ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ๔.๑ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการรวม ๑๓๓ ราย จากเป้าหมาย ๑๐๐ ราย ประกอบด้วยสถานประกอบการอุตสาหกรรม ๗๐ ราย และวิสาหกิจชุมชน ๖๓ ราย มีการใช้พื้นที่แล้ว ๑๘,๒๔๐ ตารางเมตร จากพื้นที่ ๒๑,๖๔๐ ตารางเมตร คงเหลือพื้นที่สามารถรองรับสถานประกอบการได้อีก ๓,๔๐๐ ตารางเมตร ๔.๒ โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย ทีมวิศวกรได้ออกปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ ดูแล ตรวจสอบ และแนะนำเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน การดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การกำจัดกากอุตสาหกรรมทั้งชนิดอันตรายและไม่อันตราย และแก้ไขการปนเปื้อนของสารพิษ สารเคมี มีสถานประกอบการได้รับการตรวจสอบแล้ว จำนวน ๑,๒๙๒ ราย ๔.๓ โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม โดยมุ่งเน้นสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม/เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ขณะนี้ได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์แล้ว ๖๙๕ ตัวอย่าง หรือร้อยละ ๕๘ ของตัวอย่างทั้งหมด (๑,๒๐๐ ตัวอย่าง) ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนมีความยาวโดยประมาณ ๑๓ กิโลเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการ เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนมีความยาวโดยประมาณ ๗๗.๖ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๒ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนมีความยาวโดยประมาณ ๑๑ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๑๓.๘๐ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนมีความยาวโดยประมาณ ๑๔ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๑๗.๔๐ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ก่อสร้างเขื่อนมีความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนมีความยาวโดยประมาณ ๘.๕ กิโลเมตร เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
31274 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31275 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๒๔ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒๕ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31276 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ) วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย) โดยให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กำกับติดตามให้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัดทั้งในส่วนของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ นั้น เนื่องจากปัญหาดังกล่าวยังไม่คลี่คลายลงเท่าที่ควร เพราะยังคงมีการจุดไฟเผาป่าและพื้นที่เพาะปลูก รวมทั้งมีหมอกควันจากการเผาป่าและพื้นที่เพาะปลูกของประเทศเพื่อนบ้านลอยเข้ามาปกคลุมพื้นที่ในประเทศไทยด้วย จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปประชุมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานและกำชับสั่งการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรมโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||
31277 | การแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดิน (โฉนดชุมชน) | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการในจังหวัดต่าง ๆ ได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับปัญหาที่ดินที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ (โฉนดชุมชน) ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์จากที่ดิน จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปพิจารณาในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ การจัดการที่ดินตามนโยบายของรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีโอกาสใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยไม่สามารถซื้อขายกรรมสิทธิ์ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31278 | การจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ รับทราบเรื่อง การจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ว่า ในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ จะไม่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ส่วนในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ จะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการในพื้นที่ภาคกลาง กลุ่มจังหวัดภาคตะวันตก (จังหวัดนครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เป็นต้น) โดยรายละเอียดเกี่ยวกับจังหวัดและวันที่จะจัดการประชุมจะได้ประสานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นเจ้าภาพหลัก แล้วแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง นั้น ขอรายงานเพิ่มเติมว่า การจัดประชุมนอกสถานที่อย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ กำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ ๒๑ - ๒๒ พฤษภาคม ส่วนการประชุมนอกสถานที่อย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ จะเป็นการประชุมนอกสถานที่อย่างเป็นทางการในพื้นที่ภาคตะวันออก ในวันที่ ๑๘ - ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลัก ทั้งนี้ รายละเอียดเกี่ยวกับจังหวัดและสถานที่จัดการประชุมจะได้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
31279 | การเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่าการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๖ - ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ประสบความสำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เป็นอย่างดี โดยนักลงทุนชาวญี่ปุ่นยังคงมีความเชื่อมั่นและยืนยันว่าจะลงทุนในประเทศไทยต่อไป แม้ว่าบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ผ่านมาก็ตาม และยืนยันที่จะเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันให้มากยิ่งขั้น โดยประเทศญี่ปุ่นได้เสนอให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่ประเทศไทยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในด้านเทคนิคการระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและการสร้างทางยกระดับวงแหวนรอบนอก และพิจารณาผ่อนปรนการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวไทยจาก Single entry visa ระยะเวลา ๓๐ วัน เป็น multiple entry visa ระยะเวลา ๙๐ วัน นอกจากนี้ ยังแสดงความสนใจในโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย โครงการรถไฟฟ้า รวมทั้งพิจารณาเพิ่มโควตาการส่งออกเนื้อหมูและเนื้อไก่ไปยังประเทศญี่ปุ่นด้วย ในการนี้ จึงมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดเตรียมข้อมูล ขอบเขตของโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงและรองรับกับโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในภาพรวมทั้งหมดเพื่อใช้ประโยชน์ในการชี้แจงทำความเข้าใจให้แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นที่สนใจเข้ามาลงทุนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเพิ่มโควตาการส่งออกเนื้อหมูและเนื้อไก่ไปยังประเทศญี่ปุ่น ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความจำเป็นเหมาะสมในการผ่อนปรนการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้สามารถพำนักอยู่ในประเทศไทยได้นานยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
31280 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... | นร | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
.....