ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1137 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 22721 - 22740 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22721 | การยกเว้นเงินสมทบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อดำเนินงานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) และปุ๋ยอินทรีย์ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในระดับจังหวัด | ทส | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเว้นเงินสมทบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อดำเนินงานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel : RDF) และปุ๋ยอินทรีย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ เนื่องจากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า อปท. หลายแห่งมีความสามารถในการสมทบเงินงบประมาณได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการยกเว้นเงินสมทบควรมีเงื่อนไขกรณีการปรับลดการสมทบงบประมาณในแต่ละโครงการว่า การปรับแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการ RDF และปุ๋ยอินทรีย์ จะต้องไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างหลักของระบบการจัดการขยะมูลฝอย และให้มีระบบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าว รวมทั้งการยกเว้นเงินสมทบควรเป็นมาตรการระยะสั้นตามความจำเป็นเร่งด่วน สำหรับระยะยาวให้ อปท. เข้ามามีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจ่ายค่าบริการในอัตราที่เหมาะสมสะท้อนต้นทุนที่เป็นจริง และควรมีการจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ระหว่าง อปท. ที่เข้าร่วมโครงการและมีกลไกการกำกับดูแลเพื่อให้มีปริมาณขยะเข้าสู่ระบบจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีกลไกการกำกับดูแลติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และในโอกาสต่อไปหากมีการแก้ไขกฎหมายหรือมีการกำหนดมาตรการจัดเก็บรายได้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และ อปท. สามารถจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้ อปท. มีส่วนร่วมในการใช้เงินรายได้สมทบงบประมาณค่าก่อสร้างระบบการจัดการน้ำเสียและมูลฝอยชุมชน ภายใต้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินงานโครงการ RDF และปุ๋ยอินทรีย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ซึ่งในครั้งนี้ อปท. ไม่ต้องสมทบงบประมาณในการดำเนินงานตามโครงการ รวมทั้งปัญหาการจัดเก็บขยะมูลฝอยของประเทศ เพื่อให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับ อปท. ในการจัดการขยะมูลฝอยต่อไป ๔. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการขยะของประเทศในภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้มีกลไกเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาขยะในภาพรวมให้เป็นเอกภาพ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติในเรื่องดังกล่าวแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอเรื่องนี้ต่อสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
22722 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติและ การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ | สม | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอ เรื่อง รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ และการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสภาการพยาบาล เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอ ดังนี้
๑. ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่ง ที่อาจเป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา รวมถึงการแต่งกาย ที่ไม่อยู่ในข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมือง และเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งกำชับหน่วยงานในความรับผิดชอบและเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบที่รองรับเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา รวมถึงการแต่งกายอย่างจริงจัง ๒. กำหนดแนวทางในการแต่งกายของพยาบาล นักเรียนและนักศึกษาพยาบาลที่นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อให้พยาบาล นักเรียนและนักศึกษาพยาบาลที่สังกัดในหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชนสามารถสวมผ้าคุลมศรีษะตามหลักศาสนาได้ในลักษณะเดียวกัน เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต่อไป ๓. สร้างความเข้าใจและสร้างความตระหนักในการเคารพสิทธิมนุษยชนให้แก่องค์กรธุรกิจในอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ โดยอาจมีมาตรการในการดำเนินการต่าง ๆ ทางนโยบายและทางกฎหมายเพื่อป้องกัน ส่งเสริม และเยียวยาความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการสวมผ้าคลุมศรีษะ (ฮิญาบ) ตามหลักศาสนา ๔. พิจารณาความเหมาะสมในการที่จะมีกฎหมายกลางที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมด้วยเหตุต่าง ๆ ตามที่รับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายไทย กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม ความคิดเห็นทางการเมือง ความคิดเห็นอื่นใด เผ่าพันธุ์แห่งชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน หรือสถานะอื่นๆ
|
||||||||||||||||||
22723 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship ครั้งที่ 4 | พณ | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับสิงคโปร์ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๔ โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) การอำนวยความสะดวกทางการค้าต่อการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของไทยไปยังสิงคโปร์ (๒) การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) การเชิญชวนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษและความร่วมมือด้านการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของไทย (๔) ความคืบหน้าของการจัดทำความตกลงการยอมรับร่วมกันในเรื่อง Authorized Economic Operator (AEO) (๕) การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทยและ Intellectual Property Office of Singapore (IPOS) (๖) การพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างกัน และ (๗) ความร่วมมือด้านการบินระหว่างไทยและสิงคโปร์ ๑.๒ หากในการประชุม STEER มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ ๑.๑ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับสิงคโปร์ โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม STEER ครั้งที่ ๔ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากในการประชุม STEER จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้นตามมาตรา ๔(๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
22724 | ขออนุมัติโครงการเพิ่มเติมภายใต้กรอบโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท | คค | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง ขออนุมัติโครงการเพิ่มเติมภายใต้กรอบโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท คืนไปเพื่อพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||
22725 | บริษัท เติมเอนยิเนียริ่ง จำกัด ขออนุญาตส่งยุทธภัณฑ์ออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ | กห | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการอนุญาตให้บริษัท เติมเอนยิเนียริ่ง จำกัด ส่งยุทธภัณฑ์ วัตถุระเบิด CAST BOOSTER จำนวน ๑๔๘,๘๐๐ นัด หรือน้ำหนักเท่ากับ ๕๙,๕๒๐ กิโลกรัม สายชนวน จำนวน ๒๔,๐๐๐ เมตร และแก็ปโนเนล จำนวน ๒๗๙,๔๑๔ ดอก ออกไปนอกราชอาณาจักร เพื่อจำหน่ายให้กับบริษัท PHU BIA MINING LIMITED สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อนำไปใช้ในเหมืองแร่ทองคำ ทองแดง และเงิน ระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ถึงกันยายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เส้นทางอนุมัติในการขนส่งสินค้าเพื่อส่งออกไป สปป.ลาว โดยให้บริษัท เติมเอนยิเนียริ่ง จำกัด ใช้เส้นทางอนุมัติไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ สายสระบุรี-หนองคายเท่านั้น และในการส่งออกยุทธภัณฑ์ดังกล่าวไปนอกราชอาณาจักรควรมีกระบวนการควบคุมและตรวจสอบอย่างเข้มงวดตลอดเส้นทางการขนส่ง เพื่อไม่ให้การส่งออกยุทธภัณฑ์รั่วไหลไปถึงกลุ่มผิดกฎหมายหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในประเทศเพื่อนบ้านอันอาจเป็นสาเหตุหนึ่งให้เกิดข้อห่วงกังวลในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๔ ให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต้องเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
22726 | ความคืบหน้าและการดำเนินการเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 27 มกราคม 2558 | กค | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ การดำเนินการของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และการปรับเงินนำส่งรวมคงเหลือ จำนวน ๒๘,๐๘๑.๑๕ ล้านบาท ๑.๑.๑ การปรับปรุง พัฒนาทุนหมุนเวียนที่ผลประเมินการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนได้พิจารณาเห็นชอบ “แผนทบทวนและฟื้นฟูประสิทธิภาพการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ระยะเวลา ๑ ปี” แล้ว สำหรับทุนหมุนเวียนที่อยู่ในข่าย “ปรับปรุง/พัฒนา” ระยะเวลา ๓ ปี อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฯ ดังกล่าว ๑.๑.๒ การนำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการนำเงินของทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นส่งเป็นรายได้แผ่นดินรวม ๒๘,๑๕๖.๘๕ ล้านบาท ณ วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๘ หน่วยงานของรัฐเจ้าของทุนหมุนเวียนนำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการฯ แล้ว ๒๖ ทุน เป็นเงินจำนวน ๑๗,๑๗๗.๑๐ ล้านบาท และมีทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้นำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการฯ ๓ ทุน เป็นเงินจำนวน ๑๐,๙๐๔.๐๕ ล้านบาท โดยกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อยู่ระหว่างการหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาความชัดเจนในการใช้อำนาจตามกฎหมายของกระทรวงการคลัง ขณะที่เงินทุนหมุนเวียนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่กำหนดให้นำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการฯ จำนวน ๑๑๕.๗๐ ล้านบาท มีความคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับภาระผูกพันในขั้นตอนจัดทำแผนปฏิบัติการฯ จึงปรับลดการนำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการฯ คงเหลือ ๔๐ ล้านบาท ทำให้ยอดรวมเงินนำส่งรวมตามแผนปฏิบัติการฯ เท่ากับ ๒๘,๐๘๑.๑๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการปฏิรูปทุนหมุนเวียนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ ในการควบรวม ยุบเลิกและคงสถานะทุนหมุนเวียน โดยให้หน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่อควบรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้น ๆ พร้อมทั้งนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ อนุมัติให้รวมทุนหมุนเวียน จำนวน ๒ ทุน และยุบเลิกทุนหมุนเวียน จำนวน ๒ ทุน ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ให้กระทรวงการคลังรายงานผลการพิจารณาทุนหมุนเวียนตามข้อเสนอของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในส่วนที่เหลือให้ครบถ้วน และให้เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ และ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๘) ที่ให้กระทรวงการคลังเสนอวิธีการนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่อง ส่วนที่เกินความจำเป็นไปใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในช่วง ๑ ปี ต่อคณะรัฐมนตรี และเร่งรัดการนำเงินทุนหมุนเวียนส่วนเกินในส่วนที่เหลือส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินให้ครบถ้วนโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
22727 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีและขอผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์คอมพิวเตอร์หลัก) | กค | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์คอมพิวเตอร์หลัก สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายในกรอบวงเงิน ๒๒๐,๗๒๔,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑๒๔,๑๑๔,๓๕๔ บาท และเงินฝากค่าใช้จ่ายเก็บภาษีท้องถิ่น ๑๐% สมทบ จำนวน ๙๖,๖๐๙,๖๔๖ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๒๖,๓๕๖,๐๐๐ บาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ เห็นชอบการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับรายการที่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ แล้ว ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๙๗,๗๕๘,๓๕๔ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
22728 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)] | กค | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยเป็นการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับกำไรสุทธิตั้งแต่สามแสนบาทขึ้นไปให้เสียภาษีในอัตราร้อยละสิบของกำไรสุทธิ เป็นเวลาสองรอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน ทั้งนี้ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
22729 | การจัดทำความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ โดยทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในประเทศไทยและดำเนินงานกลไกให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบในประเทศที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามความร่วมมือฝ่ายไทย ๑.๒ ร่างองค์ประกอบคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทย ๑.๓ ให้จัดตั้งสำนักเลขาธิการกลไก JCM (Thailand JCM Secretariat) เพื่อดำเนินงานดังกล่าวต่อไป โดยมอบหมายให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการกลไก JCM ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนเงินลงทุนแก่โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโครงการ JCM การถ่ายทอดองค์ความรู้และการพัฒนาความสามารถ/โครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในโครงการ JCM ภายใต้ร่างความร่วมมือ การกำหนดกลไกในการศึกษา รวบรวมข้อมูล และการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนการพิจารณาดำเนินโครงการ ภายใต้กลไก JCM การเพิ่มผู้แทนและระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานหลักในการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมฝ่ายไทย ให้ครอบคลุมการทำงานของแต่ละกิจกรรม และการปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการร่วมดังกล่าวในอนาคต เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับประเภทของโครงการที่จะเข้าร่วมภายใต้ความร่วมมือ โดยเฉพาะโครงการที่ประเทศไทยมีความพร้อมและความเหมาะสม ได้แก่ โครงการในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการจัดการของเสีย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
22730 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) | กค | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) โดยมีหลักการสำคัญเป็นการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวรจากอัตราร้อยละ ๓๐ ของกำไรสุทธิ เหลืออัตราร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นการถาวร ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังประเมินผลการดำเนินมาตรการลดอัตราภาษีในช่วงที่ผ่านมาทั้งการประเมินผลรายมาตรการและการประเมินผลในภาพรวม ให้ครอบคลุมทางด้านการขยายฐานภาษีการลงทุน การจ้างงาน และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อรายได้ภาครัฐและภาระหนี้สาธารณะในระยะปานกลาง และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
22731 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) | กค | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยเป็นการสนับสนุนให้มีการลงทุนของบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและทรัสต์ ให้ประกอบกิจการเงินร่วมลงทุนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาตลาดการลงทุนในประเทศไทย และส่งเสริมให้มีการลงทุนในกิจการเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีหลักเป็นฐานในการประกอบกิจการตามประเภทอุตสาหกรรมที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กำหนด จึงได้กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่กิจการเงินร่วมลงทุนสำหรับการลงทุนในกิจการที่ใช้เทคโนโลยีหลักเป็นฐานในการประกอบธุรกิจเพื่อสนับสนุนให้เกิดกิจการเงินร่วมลงทุนที่สามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการประกอบการที่มีการสร้างนวัตกรรมเพื่อนำไปสู่การผลิตและการบริการที่ทันสมัย ก่อให้เกิดการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของระบบเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบให้กระทรวงการคลังและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการเงินร่วมลงทุน ควรมีกลไกหรือกระบวนการตรวจสอบกิจการที่จะได้สิทธิให้ชัดเจน การเร่งกำหนดหลักเกณฑ์การรับรองกิจการที่รัฐต้องการสนับสนุน โดยพิจารณาเพิ่มเติมธุรกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกำหนดไว้ การประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้ลงทุน บริษัทที่ประกอบการร่วมลงทุนและกิจการเป้าหมายในเรื่องของการดำเนินกิจการเงินร่วมทุน หลักเกณฑ์การรับรองกิจการฯ ที่ประกาศโดย สวทช. รวมทั้งสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กิจการร่วมลงทุนบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนการตรวจสอบการใช้สิทธิการลดหย่อนภาษีของผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว และมีการประเมินผลการดำเนินงานของมาตรการนี้ รวมถึงมาตรการสนับสนุนกิจการร่วมลงทุนอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไปแล้ว และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
22732 | ขออนุมัตินโยบายเร่งด่วนภายใต้แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2558 - 2561 และร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2559 - 2562 | ยธ | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนภายใต้แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ รวม ๖ ด้าน ได้แก่ การเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้แก่ประชาชน การบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ การพัฒนางานให้บริการของหน่วยงานของรัฐให้มีประสิทธิภาพ การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดและการช่วยเหลือดูแลผู้พ้นโทษ การพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางเลือก และการป้องกันอาชญากรรมให้มีประสิทธิภาพ ๑.๒ ร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ เพื่อใช้เป็นกรอบกำหนดนโยบาย จัดทำแผนยุทธศาสตร์ แนวทางการดำเนินงาน รวมทั้งแผนงาน โครงการ และงบประมาณของแต่ละหน่วยงานให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๒. หากมีภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นเพื่อดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนและแผนแม่บทดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ไปพิจารณาในประเด็นความซ้ำซ้อนของอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติที่เสนอขอแก้ไขกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการด้านกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓ และคณะกรรมการพัฒนากฎหมายตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
22733 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 (แก้ไขเพิ่มเติม เครื่องแบบพิเศษของข้าราชการกรมราชทัณฑ์) | ยธ | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ (แก้ไขเพิ่มเติมเครื่องแบบพิเศษของข้าราชการกรมราชทัณฑ์) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมราชทัณฑ์ ลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจและสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรปรับปรุงแก้ไขร่างในส่วนของการกำหนดอินทรธนูและส่วนประกอบบนอินทรธนูตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการกำหนดเครื่องแบบพิเศษของส่วนราชการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
22734 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแผนงานประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ค.ศ. 2025 | กต | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแผนงานประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ เพื่อทดแทนแผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ค.ศ. ๒๐๐๙-๒๐๑๕) ที่จะหมดอายุลงในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ และใช้เป็นแนวทางการสานต่อความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า (๒๕๕๙-๒๕๖๘) โดยร่างแผนงานฯ มีองค์ประกอบหลัก ๔ ประการ คือ (๑) การเป็นประชาคมที่อยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ (rules-based) มุ่งเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (people-centred) (๒) การเป็นประชาคมที่สามารถตอบสนองต่อปัญหาความมั่นคงทั้งในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการของความมั่นคงที่ครอบคลุมในทุกมิติ (comprehensive security) (๓) การรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนในสถาปัตยกรรมของภูมิภาค และ (๔) การมีสถาบันและกลไกอาเซียนรวมถึงสำนักเลขาธิการอาเซียนที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อทบทวน ปรับปรุง นโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนงาน และโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความมั่นคงที่กำหนดไว้ ให้ดำเนินการควบคู่ไปกับร่างแผนงานฯ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งให้ความเห็นชอบร่างแผนงานฯ ไปยังกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนภายในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงแก้ไขร่างแผนงานฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||
22735 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ | กค | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการของมาตรการการเงินเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง และมาตรการการคลังเพื่อลดภาระให้กับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นมาตรการให้การช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้มากยิ่งขึ้น โดยการขอรับสินเชื่อที่มีเงื่อนไขพิเศษจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ กรณีการยกเว้นการให้สิทธิประโยชน์ของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Loan : NPL) ของลูกหนี้รายย่อย ให้กระทรวงการคลังหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนเริ่มดำเนินการตามมาตรการการเงินด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเพื่อลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้แก่ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๒.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กรณีห้องชุดตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๓. มอบหมายให้ ธอส. ประสานงานกับผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อหาแนวทางในการลดภาระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนและค่าธรรมเนียมการโอนให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยตามมาตรการนี้ ๔. ให้กระทรวงการคลังเร่งเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อคณะรัฐมนตรีตามหลักการของมาตรการการคลังในเรื่องนี้ เพื่อให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วด้วย |
||||||||||||||||||
22736 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ (เพิ่มเติม) | นร07 | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๘๒ ล้านบาท ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอาชีวะบริการซ่อมสร้างเพื่อชุมชน ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาให้นักเรียน นักศึกษา มีจิตอาสา มีทักษะในวิชาชีพที่เข้มข้นจากการปฏิบัติงานจริง และเป็นการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยให้บริการปรับปรุง ซ่อมแซมเครื่องมือ เครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตร เครื่องมือประกอบอาชีพและเครื่องใช้ในครัวเรือนให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ส่งผลให้ลดรายจ่ายและยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือเครื่องจักรในการประกอบอาชีพ ดำเนินการโดยสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ๓๖๘ แห่ง ซึ่งมีศูนย์อาชีวะบริการ จำนวน ๒,๐๐๐ ศูนย์ กระจายอยู่ในพื้นที่ ๗๗ จังหวัด ค่าใช้จ่ายศูนย์ละ ๑๙๑,๐๐๐ บาท ๒. การอนุมัติงบประมาณ ตามข้อ ๑ เป็นการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะวิชาชีพให้กับนักเรียน นักศึกษา โดยการไปปฏิบัติงานในพื้นที่ เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักรกลทางการเกษตร และเครื่องมือเครื่องใช้ รวมทั้งสิ่งก่อสร้าง สาธารณะประโยชน์อื่น ๆ ในชุมชน ในลักษณะโครงการเป็นการลงทุนเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการดำเนินรายการดังกล่าวเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพการผลิตของชุมชน ส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่
|
||||||||||||||||||
22737 | การแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ กปร. (นักบริหารระดับสูง) (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) (นายประสาท พาศิริ) | กร | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายประสาท พาศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ
|
||||||||||||||||||
22738 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) (นายยงยุทธ จันทรโรทัย และนายวีรศักดิ์ พึ่งรัศมี) | พน | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพลังงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. นายยงยุทธ จันทรโรทัย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ๒. นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ
|
||||||||||||||||||
22739 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม) (จำนวน 4 ราย 1. นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ฯลฯ) | วธ | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางพิมพ์รวี วัฒนวรางกูร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ๓. นายอนันต์ ชูโชติ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ๔. นายดำรง ทองสม ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||
22740 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (จำนวน 3 ราย 1. นายนิพนธ์ โชติบาล ฯลฯ) | ทส | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายนิพนธ์ โชติบาล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ
|
.....