ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1133 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 22641 - 22660 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22641 | โครงการส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนสมาชิก | กษ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนสมาชิก ระยะเวลา ๕ ปี (ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๒) งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๓,๑๘๓,๐๒๕,๐๐๐ บาท จำแนกเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการระยะนำร่อง ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ วงเงิน ๙๙,๖๗๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการระยะขยายผล ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ วงเงิน ๓,๐๘๓,๓๕๕,๐๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙๙,๖๗๐,๐๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนสมาชิก ระยะนำร่อง ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ จำนวน ๗๗๐,๐๐๐ บาท และเงินอุดหนุนสหกรณ์การเกษตรจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพื่อให้บริการแก่สมาชิกสหกรณ์ ๒๐ แห่ง จำนวน ๙๘,๙๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ในระยะขยายผล ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ จำนวน ๑๕,๐๑๕,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำรายละเอียดเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอน โดยสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรตามความจำเป็นตามผลการดำเนินโครงการที่เกิดขึ้นต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินโครงการในระยะขยายผล ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ วงเงิน ๒,๗๘๙,๔๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้สหกรณ์กู้ยืมตามโครงการฯ โดยให้ ธ.ก.ส. กำหนดอัตราดอกเบี้ยโครงการฯ เป็น MLR-1 เช่นเดียวกับโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปี ๒๕๕๗/๕๘ และโครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี ระยะเวลาชดเชย ๕ ปี นับตั้งแต่วันที่สหกรณ์กู้ยืม ในกรอบวงเงิน ๒๗๘,๙๔๐,๐๐๐ บาท ไม่รวมค่าใช้จ่ายชำระคืนเงินต้นและไม่รวมค่าชดเชยความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการดำเนินการลดต้นทุนการผลิต เช่น การเช่านา เป็นต้น และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการในระยะนำร่อง ควรให้มีการเผยแพร่หลักเกณฑ์การคัดเลือกให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้สหกรณ์ทุกแห่งได้รับทราบว่าการคัดเลือกเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาร้องเรียนจากสหกรณ์ที่ไม่ได้รับคัดเลือกในภายหลัง การถ่ายทอดความรู้ในเรื่องการรักษาและซ่อมบำรุงเครื่องจักรกลการเกษตรที่ถูกต้องให้แก่เจ้าหน้าที่สหกรณ์ การเลือกชนิดหรือประเภทของเครื่องจักรกลการเกษตรควรพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ สภาพของดินและชนิดพืชที่จะเพาะปลูก ตลอดจนศักยภาพการให้บริการของแต่ละสหกรณ์ และควรพิจารณาเครื่องจักรกลการเกษตรที่ดำเนินกิจการด้วยคนไทยเป็นทางเลือกแรก นอกจากนี้ ให้หารือกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อบูรณาการกลุ่มเป้าหมาย พื้นที่ดำเนินการ และวิธีดำเนินการตามโครงการฯ กับแผนงาน/โครงการการดำเนินมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน รวมทั้งติดตามและประเมินผลสำเร็จและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นของโครงการฯ เพื่อให้ได้ข้อมูลอันเป็นที่ยอมรับและนำมาใช้ในการแก้ไขปรับปรุงโครงการฯ ให้สมบูรณ์ เหมาะสมและเกิดความยั่งยืน ก่อนที่จะขยายผลโครงการฯ ในระยะต่อไป ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำทะเบียนเกษตรกรให้ชัดเจนเพื่อให้ความช่วยเหลือได้เหมาะสมและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ และ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกรเพื่อนำมากำหนดแนวทางการดูแลความเป็นอยู่และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน |
|||||||||||||||||||||
22642 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 3/2558 | กค | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ และมาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานของรัฐจัดทำโครงการที่อยู่ในกิจการที่สมควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-out) ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเท่านั้น และสำหรับโครงการที่อยู่ในกิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-in) ตามแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนเป็นลำดับแรก ๓. ในการให้เอกชนร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ กำหนดให้เอกชนลงทุนในโครงการในสัดส่วนที่มากขึ้น และหากโครงการมีผลตอบแทนทางการเงินต่ำและไม่จูงใจให้เอกชนเข้ามารับผิดชอบการลงทุนของโครงการทั้งหมด ให้พิจารณาขยายระยะเวลาของสัญญาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้แก่เอกชน รวมทั้งให้หน่วยงานของรัฐศึกษาและเสนอรูปแบบการสนับสนุนทางการเงินที่เหมาะสมให้แก่เอกชน ทั้งนี้ การสนับสนุนเงินลงทุนควรพิจารณาให้มีความเสี่ยงและภาระผูกพันในระยะยาวของรัฐอยู่ในระดับต่ำสุด ๔. กรณีโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ จะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อประกอบการพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดลักษณะของรายงานดังกล่าวเป็นแบบเบื้องต้นที่สามารถเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในการออกแบบได้ รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการพิจารณาให้กระชับและชัดเจนมากขึ้น ๕. มอบหมายให้กระทรวงการคลังปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ และที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินโครงการร่วมลงทุนตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ต้องใช้ที่ราชพัสดุ สำหรับโครงการที่เป็นกิจการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ และสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน โดยไม่ต้องส่งคืนที่ราชพัสดุให้แก่กรมธนารักษ์ และสามารถทำความตกลงร่วมกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการนำส่งรายได้จากโครงการเป็นรายได้แผ่นดิน ๖. มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในการติดตามและรายงานความคืบหน้าของมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ ได้แก่ มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้านของประชาชนผู้มีรายได้น้อย มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ ๗. มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในการติดตามและรายงานความคืบหน้าของมาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน ได้แก่ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS-5 มาตรการสนับสนุน SMEs ผ่านการร่วมลงทุน มาตรการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start-up)
|
|||||||||||||||||||||
22643 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย และแก้ไขเพิ่มเติมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้เพิ่มผู้แทนประกอบกิจการฮัจย์ จำนวน ๔ คน เป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และตัดผู้แทนบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกจากการเป็นกรรมการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรกำหนดให้กรมการศาสนาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำการดำเนินงาน และเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดให้โอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ อัตรากำลัง และบรรดาอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่งหรือมติคณะรัฐมนตรีของกองส่งเสริมกิจการฮัจย์ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมมาด้วย จึงเห็นควรให้ในชั้นการตรวจพิจารณา ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับประเด็นดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาด้วย นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่อยู่ในแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๗-ตุลาคม ๒๕๕๘) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และไม่อยู่ในการจัดลำดับความสำคัญร่างกฎหมายที่มีความสำคัญเร่งด่วน จำนวน ๓๗ ฉบับ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเสนอแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน) ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22644 | ร่างพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร08 | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับบริบทของสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถรักษาผลประโยชน์ของชาติและแจ้งเตือนภัยคุกคามรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และกำหนดทิศทางหรือแนวโน้มภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไปเพื่อเป็นหลักในการกำหนดแผนงาน โครงการ ของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติควรเป็นผู้รวบรวมวิเคราะห์ความเหมาะสมและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
22645 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และธรรมนูญของทบวงการพลังงานหมุนเวียน ระหว่างประเทศ เพื่อการสมัครเข้าเป็นภาคีสมาชิกทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency : IRENA) ของประเทศไทย | พน | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานว่า ทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศได้มีหนังสือแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศทราบว่าการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency : IRENA) ของราชอาณาจักรไทยได้รับการอนุมัติแล้ว ๒. เห็นชอบให้นำธรรมนูญของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ พร้อมทั้งร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22646 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. .... | กษ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามให้มีสภาพเป็นนิติบุคคลและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้เป็นไปตามความตกลงองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve : APTERR) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นการยกเว้นภาษีทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งการให้ความคุ้มครองแก่สำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบกรณีการนำเข้าและส่งออกข้าว และการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรการศึกษาต่าง ๆ ตลอดจนประสานเชื่อมโยงการทำงานกับคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว เพื่อให้การบริหารจัดการข้าวในภาพรวมของประเทศไทยเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้ ไปดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งเสนอความตกลงองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม และข้อเสนอของประเทศไทยในการขอจัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามในประเทศไทย ประกอบกับมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22647 | ร่างปฏิญญาร่วมปุตราจายาว่าด้วยความสำคัญภายหลังปี ค.ศ. 2015 ที่มุ่งไปสู่การเป็นราชการที่มีพลเมืองอาเซียนเป็นศูนย์กลาง | นร10 | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมปุตราจายาว่าด้วยความสำคัญภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ที่มุ่งไปสู่การเป็นราชการที่มีพลเมืองอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (Putrajaya Joint Declaration on ASEAN Post-2015 Priorities towards an ASEAN Citizen-Centric Civil Service) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนผ่านการทำงานของภาคราชการที่มีความเป็นมืออาชีพ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตลอดจนมีธรรมาภิบาล ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22648 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย | ทส | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายความร่วมมือในสาขาการใช้และการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยมีขอบเขตความร่วมมือครอบคลุมในประเด็นการพัฒนายุทธศาสตร์ นโยบาย และการวางแผนทรัพยากรน้ำ การบริหารจัดการ การอนุรักษ์ และการป้องกันทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้เพื่อการบรรเทาภัยพิบัติจากการเกิดน้ำท่วมและน้ำแล้ง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางอุทกวิทยา การเสริมสร้างขีดความสามารถแก่ผู้จัดการและนักวิชาการด้านทรัพยากรน้ำ การประสานงานและความร่วมมือในการจัดกิจกรรมด้านน้ำระหว่างประเทศ รวมทั้งการฝึกอบรมทางวิชาการและการใช้องค์ความรู้ในสาขาทรัพยากรน้ำที่มีความสนใจร่วมกัน ๒. อนุมัติให้จัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๕. โดยที่ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สามารถดำเนินการได้ และมิได้ใช้ถ้อยคำที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีนี้จึงเป็นการทำความตกลงในระดับหน่วยงานมิใช่ระดับรัฐ และไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ รวมทั้งไม่จำเป็นต้องได้รับหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) สำหรับการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)] ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||
22649 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ฟินแลนด์ | คค | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจลับ (Confidential Memorandum of Understanding : CMU) ระหว่างไทย-ฟินแลนด์ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทย-ฟินแลนด์ โดยบันทึกความเข้าใจลับฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดสายการบิน การอนุญาต และการเพิกถอนใบอนุญาต การรักษาความปลอดภัยการบิน ความปลอดภัยการบิน การบริการภาคพื้น รวมทั้งพิกัดอัตราค่าขนส่ง ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||
22650 | ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อให้จังหวัดสงขลาก่อสร้างพุทธมณฑลจังหวัดสงขลา และศูนย์กีฬาและส่งเสริมสุขภาพตำบลน้ำน้อย | มท | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้จังหวัดสงขลาใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อการดำเนินโครงการก่อสร้างพุทธมณฑล จังหวัดสงขลา และศูนย์กีฬาและส่งเสริมสุขภาพตำบลน้ำน้อย โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนมาบังคับใช้เป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดสงขลา) ดำเนินการ ดังนี้
๑. ตรวจสอบว่าการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่โครงการฯ รวมถึงพื้นที่ที่เกี่ยวข้องของโครงการ เช่น การก่อสร้างถนนเข้าสู่โครงการฯ เป็นต้น เข้าข่ายจะต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือไม่ และหากมีความจำเป็นต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะดำเนินโครงการต่อไป ๒. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทน เพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||
22651 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดอ่างทอง ขนาด 14 บัลลังก์ 1 หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้าง ประกอบ | ศย | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดอ่างทอง ขนาด ๑๔ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากเดิมวงเงิน ๒๖๙,๘๔๖,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๘๑,๖๓๖,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไปถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นกรณีเฉพาะราย สำหรับค่าควบคุมงานก่อสร้างพิจารณาแล้ว เป็นวงเงิน ๔,๙๕๓,๗๐๐ บาท ซึ่งยังอยู่ภายในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๕,๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๒๒๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท และจำนวน ๔,๐๔๑,๒๐๐ บาท ตามลำดับ ส่วนที่เหลือ จำนวน ๕๒,๑๓๖,๐๐๐ บาท และจำนวน ๙๑๒,๕๐๐ บาท ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ไม่มีความพร้อมตั้งแต่ขั้นการเสนอโครงการ รวมทั้งได้ทำสัญญาจัดจ้างกับผู้รับจ้างที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้ส่วนราชการเสียประโยชน์ ในการทำสัญญาจัดจ้างครั้งใหม่ ควรตรวจสอบสถานะของผู้รับจ้างให้มีความน่าเชื่อถือและไม่เคยมีประวัติทิ้งงาน ทั้งนี้ การดำเนินการในทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
22652 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่เขตบางซื่อ เขตดุสิต และ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | มท | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่เขตบางซื่อ เขตดุสิต และเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท เพื่อประโยชน์ในด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22653 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีชาวโรฮิงญาที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยและกรณีสังหารหมู่แรงงานข้ามชาติชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า | สม | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอเรื่อง ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีชาวโรฮิงญาที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และกรณีสังหารหมู่แรงงานข้ามชาติชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ การจัดการแรงงานข้ามชาติชาว และเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาและแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งเสนอให้มีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยให้มีความชัดเจน เป็นต้น และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22654 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมขอแก้ไขเลขมาตราตามหนังสือกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ อก ๐๗๐๗/๔๘๖๖ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๘ จาก “๒. หากพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว ตามมาตรา ๘ (๒) ...” เป็น “๒. หากพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว ตามมาตรา ๘ (๑) ....” ๒. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และมีความเห็น ดังนี้ ๒.๑ การรายงานผลการดำเนินการของเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่อคณะกรรมการเพื่อรับทราบผลการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสามารถปฏิบัติตามข้อสังเกตดังกล่าวได้ เนื่องจากปัจจุบันได้มีการรายงานผลการดำเนินงานในเรื่องออกใบอนุญาต และในเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญต่อคณะกรรมการเพื่อทราบทุกเดือน ๒.๒ การกำหนดให้คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีอำนาจพิจารณากำหนด แก้ไข และยกเลิกมาตรฐานเพื่อเสนอรัฐมนตรี โดยอาจกำหนดให้ใช้หรืออ้างอิงมาตรฐานของต่างประเทศหรือมาตรฐานระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นอาจกำหนดให้ใช้หรืออ้างอิงมาตรฐานดังกล่าวที่เป็นภาษาต่างประเทศได้ ซึ่งจะมีผลให้การพิจารณากำหนด แก้ไข หรือยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นไปโดยรวดเร็วมากขึ้น ๒.๓ การทบทวนความเหมาะสมของอัตราโทษตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจะได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ ในครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22655 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยการประสานงานและร่วมมือเพื่อการค้นหาและช่วยเหลือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย | กต | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยการประสานงานและร่วมมือเพื่อการค้นหาและช่วยเหลือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย [Memorandum of Understanding between the Governments of the Member States of the Indian Ocean Rim Association (IORA) for the Coordination and Cooperation of Search and Rescue Services in the Indian Ocean Region] ในช่วงการประชุมสภารัฐมนตรี IORA ครั้งที่ ๑๕ ที่เมืองปาดัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22656 | การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 15 ที่เมืองปาดัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | กต | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการ ๑.๑.๑ ร่างปฏิญญาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือทางทะเล (IORA Maritime Cooperation Declaration) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของความร่วมมือและเสริมสร้างความร่วมมือทางทะเลในมหาสมุทรอินเดีย โดยส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งและเกาะขนาดเล็กอย่างยั่งยืนและมีความสามารถในการฟื้นตัว ส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทะเลที่มีความยั่งยืน ส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเลอย่างยั่งยืนและส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหาร สนับสนุนการกระชับความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อรับมือต่อความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับทางทะเลต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริมขีดความสามารถของภูมิภาคเพื่อการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติและเพื่อปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตลอดจนส่งเสริมการสร้างปฏิสัมพันธ์ให้มากขึ้นกับสถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางทะเล ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ปาดัง (Padang Communique) มีสาระสำคัญกล่าวถึงผลสำเร็จที่ผ่านมาของสมาคมแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association : IORA) และความมุ่งมั่นในการดำเนินงานในอนาคตของ IORA รวมถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียที่ไร้รอยต่อและเชื่อมโยงกันและรวมตัวกันอย่างครอบคลุม รวมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการจัดการประชุมรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการของ IORA ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ ๑๕ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ และเป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ และร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ และร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
22657 | การรายงานโครงการที่มีการจัดจ้างให้เอกชนผู้รับจัดงาน (Organizer) งานโฆษณา และงานประชาสัมพันธ์ที่มีวงเงินการจัดจ้าง ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป | สลธ.คสช. | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานโครงการที่มีการจัดจ้างให้เอกชนผู้รับจัดงาน (Organizer) งานโฆษณา และงานประชาสัมพันธ์ที่มีวงเงินการจัดจ้าง ตั้งแต่ ๕ ล้านบาทขึ้นไป โดยคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐได้รวบรวมสรุปรายงาน การโฆษณา และประชาสัมพันธ์ของส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐ ตั้งแต่เมษายน ๒๕๕๘ ถึงปัจจุบัน จำนวน ๑๖ หน่วยงาน ๑๔๑ รายการ วงเงิน ๑,๙๙๙,๗๘๗,๓๒๑.๖๕ บาท โดยส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการที่สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงานและดำเนินกิจกรรมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด สามารถดำเนินการได้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ตามที่ประธานกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22658 | สรุปผลการรายงานตัวมัคคุเทศก์และการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ | กก | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการรายงานตัวมัคคุเทศก์และการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มัคคุเทศก์ที่มารายงานตัวตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗-๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๐,๐๐๓ ราย จากจำนวนมัคคุเทศก์ที่ได้รับใบอนุญาต ณ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ ทั้งสิ้น ๕๔,๓๗๘ ราย คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๖๙ และจากสรุปผลการรายงานตัว โดยนำจำนวนมัคคุเทศก์มาเปรียบเทียบกับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยว ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่า ขาดแคลนมัคคุเทศก์ในสาขาภาษามลายู ภาษารัสเซีย ภาษาเกาหลี ภาษาฮินดี ภาษาเวียดนาม ภาษาตากาล๊อก และภาษาอินโดนีเซีย ๒. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ดำเนินการแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ขาดแคลน โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น ๓ ระยะ คือ ระยะสั้น (๓-๖ เดือน) เช่น การให้มัคคุเทศก์มารายงานตัว การอบรมเพิ่มศักยภาพให้แก่มัคคุเทศก์ ระยะกลาง (๖-๙ เดือน) เช่น การทดสอบมัคคุเทศก์ใหม่และมัคคุเทศก์ที่มาต่อใบอนุญาต การพัฒนามัคคุเทศก์ผ่านการทำงานจริง (Learning by doing) และระยะยาว (๙ เดือน-๑ ปี) เช่น การทำ Mega Campaign ให้มัคคุเทศก์มีความภูมิใจในอาชีพ และการสร้างความร่วมมือกับสมาคมหรือมหาวิทยาลัยต่างประเทศเพื่อส่งมัคคุเทศก์ไทยไปเรียนภาษาต่างประเทศ เป็นต้น รวมทั้งได้ดำเนินการแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์เถื่อน ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ และปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) ตลอดจนการพัฒนาบุคลากร โดยแบ่งเป็นการอบรมมัคคุเทศก์เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านภาษาและด้านอื่น ๆ เช่น การนำเที่ยวตามรอยวิถีไทย การอบรมเจ้าบ้านน้อย (Little Guide) ให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ ๓-๕ การอบรมเจ้าบ้านที่ดีภาคประชาชน
|
|||||||||||||||||||||
22659 | ขออนุมัติกรอบการหารือการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 13 การประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 4 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 7 | กต | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการหารือ (๑) การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission : JC) ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๑๓ (๒) การประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วม (Joint Development Strategy : JDS) สำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๔ และ (๓) การประชุม JDS สำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๗ โดยสาระสำคัญของกรอบการหารือ ได้แก่ ความร่วมมือด้านบุคคลสองสัญชาติและการตรวจคนเข้าเมือง การบริหารจัดการชายแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดนและผ่านแดน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพื้นที่ชายแดนเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงในพื้นที่ชายแดนและสนับสนุนการเป็นประชาคมอาเซียน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษา แรงงานไทยในมาเลเซีย อุตสาหกรรมฮาลาลและโครงการเมืองยางพารา ๑.๒ ให้คณะผู้แทนไทยหารือกับฝ่ายมาเลเซีย (ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘) ตามประเด็นที่อยู่ในกรอบการหารือ เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ของฝ่ายไทยและการส่งเสริมความสัมพันธ์กับมาเลเซีย และเมื่อได้จัดทำบันทึกการประชุมแล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับความร่วมมือด้านฮาลาล ควรมีการส่งเสริม สนับสนุนพิจารณาให้ครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากสินค้าฮาลาล เช่น การทำธุรกิจฮาลาล การบริการฮาลาล เป็นต้น และความร่วมมือด้านโครงการเมืองยางพารา ควรมีการผลักดันความร่วมมือดังกล่าวให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังในด้านการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายการผลิตระหว่างกัน การทำวิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพารา และการสร้างเสริมความเข้าใจระหว่างไทยและมาเลเซียให้เป็นพันธมิตรทางการค้าการผลิตมากกว่าคู่แข่งทางการค้า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
22660 | หนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงพิกัดศุลกากรของตารางภาษีศุลกากรความตกลงการค้าเสรี ไทย - ชิลี | พณ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงพิกัดศุลกากรของตารางภาษีศุลกากรความตกลงการค้าเสรี ไทย-ชิลี (Thailand-Chile Free Trade Agreement : TCFTA) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดการปรับเปลี่ยนพิกัดศุลกากรของตารางศุลกากรจากระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized System : HS) รอบปี ๒๐๐๗ เป็น ๒๐๑๒ ๒. อนุมัติการลงนามหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย รวมทั้งไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบ HS ดังกล่าวให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการของภาคอุตสาหกรรมไทยทราบและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง นอกจากนี้ ควรสร้างความรู้ความเข้าใจที่ตรงกันในการเปลี่ยนแปลงพิกัดศุลกากรต่อผู้ผลิต ผู้ประกอบการ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่มีการปรับปรุงพิกัดศุลกากรตามองค์การศุลกากรโลก ๕ ปี ซึ่งจะช่วยลดปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....