ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1114 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 22261 - 22280 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22261 | การกำหนดมาตรการเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจำปี พ.ศ. 2558 | วธ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำหนดมาตรการเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายใต้แนวคิด “เทิดวัฒนธรรมประเพณี สืบทอดวิถีแห่งปวงประชา ร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมใจเที่ยวไทย ปลอดภัยวันลอยกระทง” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. มาตรการการจัดงานประเพณีลอยกระทง โดยยังคงรักษาประเพณีที่ดีงามของไทยอย่างถูกต้องและเหมาะสม ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ ๒. มาตรการห้ามไม่ให้มีการจำหน่ายและดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณสถานที่จัดงานเพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาท การล่วงละเมิดทางเพศ และอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น ๓. มาตรการลอยกระทงไร้มลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้กระทงที่ประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ และรณรงค์ให้ใช้กระทง ๑ ครอบครัวหรือ ๑ กลุ่ม ต่อ ๑ กระทง เพื่อลดจำนวนขยะหลังวันลอยกระทง ๔. มาตรการกวดขันวินัยจราจรอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทั้งทางบกและทางน้ำ พร้อมกับอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ประชาชน ๕. มาตรการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อป้องกันภัยจากอาชญากรรม และอันตรายจากการจุดพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิง การปล่อยโคมลอย และโคมควัน โดยขอให้ปล่อยโคมลอย หลังเวลา ๒๑.๐๐ น. ในช่วงเทศกาลลอยกระทงเท่านั้น และห้ามปล่อยโคมบริเวณพื้นที่ปลอดภัยโดยรอบสนามบิน |
|||||||||||||||||||||
22262 | ความเห็นต่อข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ ของไทย | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะของสภารูปแห่งชาติทั้งหมด ๑๔ ประเด็น มี ๑๑ ประเด็น ที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่หน่วยงานดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งสามารถดำเนินการต่อเนื่องและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นตามแนวทางที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอได้ อาทิ การกำหนดให้นโยบายการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยเป็นนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชาติ การใช้การเจรจาต่อรองในระดับ G to G ในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย เป็นต้น ๒. ประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่าควรต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ ๓ ประเด็น ได้แก่ ๒.๑ การกำหนดให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศของไทยเป็นองค์กรถาวรที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจเป็นประธาน มีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สมาคมธุรกิจ และผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ นั้น ในประเด็นนี้เห็นควรจัดตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนไทยในต่างประเทศ” เพื่อให้มีกลไกบูรณาการในระดับนโยบายในด้านการค้าและการลงทุน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ผู้แทนกระทรวง/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นเลขานุการร่วม ๒.๒ การเสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อรองรับการจัดตั้งองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของไทย (Thailand External Trade Organization : TETRO) ในประเด็นนี้มีข้อคิดเห็นว่ายังไม่ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานอย่างเป็นการถาวร ๒.๓ การเสนอให้รัฐบาล กระทรวงการคลัง สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รัฐวิสาหกิจ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธุรกิจร่วมทุนต่าง ๆ มีมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค/เงินทุน และ/หรือร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค นิคมอุตสาหกรรม และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอื่น ๆ ในประเทศเป้าหมายต่าง ๆ ในประเด็นนี้เห็นว่าการให้ภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจร่วมลงทุน นั้น ควรจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเหมาะสมและกลไกของหน่วยงานภาครัฐที่จะเข้าไปร่วมลงทุน รวมถึงแหล่งที่มาของเงินทุนซึ่งควรนำมาเป็นประเด็นในการพิจารณาภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนไทยในต่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่
|
|||||||||||||||||||||
22263 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship ครั้งที่ 4 | พณ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-สิงคโปร์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล สนับสนุนการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศ รวมถึงการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนร่วมกัน โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้มีการหารือถึงความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการลงทุน ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา และความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องและจะเป็นประโยชน์ร่วมกันในการขยายการค้าและการลงทุน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ไทยไปยังสิงคโปร์ นโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่ในรูปแบบคลัสเตอร์อุตสาหกรรม ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว ท่าอากาศยาน และรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการร่วมกันอย่างต่อเนื่องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเชิญชวนให้สิงคโปร์เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาของแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ซึ่งมีการกำหนดแผนงานโครงการลงทุนที่สำคัญอยู่ในกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework : RIF) และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยถือเป็นโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือเพื่อให้มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ทั้งสองประเทศได้ระบุไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22264 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 [เรื่อง การสร้างสังคมผู้ประกอบการ และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | อื่นๆ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ [เรื่อง การสร้างสังคมผู้ประกอบการและร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ซึ่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ดำเนินการจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอการปฏิรูปตามที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ สสว. อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยมีสถานะเป็นแผนการส่งเสริม SMEs ของประเทศ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม SMEs ทั้งส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์การเอกชนได้ใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาและส่งเสริม SMEs ในทิศทางเดียวกันและลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน ซึ่งแผนดังกล่าวมีความครอบคลุมการสร้างสังคมผู้ประกอบการ โดยจะนำข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติและความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนดังกล่าวและจะได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่ สสว. เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของ สสว. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22265 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... | ทก | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน ๘ ฉบับ ที่ใช้บังคับมาแต่เดิม เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันและสอดคล้องกับบทบาทและภารกิจของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22266 | การสมัครเข้าเป็นภาคีสมาชิกความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership : OGP) | กค | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การสมัครเข้าเป็นภาคีสมาชิกความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership : OGP) ของประเทศไทย เพื่อที่กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership Committee) มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีกรรมการ จำนวน ๑๑ คน โดยมีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นกรรมการและเลขานุการ ที่ปรึกษา/รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง และผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายการจัดซื้อโดยรัฐระหว่างประเทศเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลที่กระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการ ตามโครงสร้าง องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐอีกหน่วยงานหนึ่งด้วย นอกจากนี้ องค์ประกอบและการดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าวควรคำนึงถึงการเปิดเผยข้อมูลตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ และข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมายอื่น ๆ ของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานหรือข้อมูลภาครัฐที่เกี่ยวกับความมั่นคงด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เมื่อเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership : OGP) แล้ว หากมีการกำหนดเงื่อนไขหรือการดำเนินการใด ๆ ที่ส่งผลให้เกิดข้อผูกพันที่กำหนดให้ต้องมีการแก้ไขกฎหมายใหม่ ให้กระทรวงการคลังนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22267 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ | ศธ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จากวงเงิน ๑๒๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๓๒,๖๐๔,๗๘๑.๒๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าก่อสร้างส่วนที่เหลือ จำนวน ๕๘,๔๖๐,๐๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๓๐,๘๔๐,๓๔๔.๑๖ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๗,๖๑๖,๖๕๕.๘๔ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๗,๑๙๓,๓๔๔.๑๖ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๓,๖๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้วนั้น เห็นสมควรที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่จะต้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและวงเงินที่ได้รับการจัดสรรอย่างเคร่งครัดด้วย และหากความล่าช้าดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็สมควรที่จะพิจารณาตรวจสอบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อเรียกค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีที่ผู้รับจ้างรายเดิมไม่สามารถก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาด้วย |
|||||||||||||||||||||
22268 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 โดยไม่ถือเป็นวันลา | พศ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ในระหว่างวันที่ ๑-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (นับระยะเวลาตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) โดยไม่ถือเป็นวันลาเสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนปกติ ๒. การใช้สิทธิการลาตามข้อ ๑ ให้สิทธิแก่ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว และข้าราชการซึ่งเคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๕ รอบ ๖๐ พรรษา โดยไม่ถือเป็นวันลา) สามารถจะลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงใช้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๓. การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจนและมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนดในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||
22269 | การเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก (Global Green Growth Institute - GGGI) | ทส | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก (Global Green Growth Institute-GGGI) ๑.๒ เห็นชอบสัญญาในการจัดตั้งสถาบัน GGGI โดยมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ๑.๒.๑ วัตถุประสงค์ : เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศกำลังพัฒนา ประเทศเกิดใหม่ และประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยสนับสนุนและเผยแพร่กระบวนทัศน์ใหม่ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กำหนดเป้าหมายลักษณะสำคัญของประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ โดยความร่วมมือกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา และภาครัฐและเอกชน ๑.๒.๒ กิจกรรม : สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ด้วยการสร้างขีดความสามารถในการออกแบบและดำเนินการตามแผนการเจริญเติบโตสีเขียวในระดับชาติ ภูมิภาค หรือท้องถิ่น อำนวยความสะดวกให้มีความร่วมมือภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ สมาชิกภาพ : รัฐจะเป็นสมาชิกของสถาบัน GGGI โดยการเข้าเป็นคู่สัญญาในการจัดตั้งสถาบัน GGGI และให้สัตยาบัน โดยการจัดส่งตราสารแบบของการเข้าร่วมของสถาบัน GGGI ให้กับสถาบัน GGGI จะมีผลบังคับใช้วันที่สามสิบหลังจากการฝากตราสารฯ ให้กับผู้อำนวยการใหญ่สำนักเลขาธิการในฐานะผู้เก็บรักษาสัญญา ๑.๒.๔ การเงิน : สถาบัน GGGI จะได้รับแหล่งการเงินจากการให้เงินสนับสนุนโดยสมัครใจจากสมาชิก (ไม่จำเป็นต้องเสียค่าสมาชิก) ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำและส่งมอบตราสารแบบของการเข้าร่วมของสถาบัน GGGI ต่อผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักเลขาธิการ ในฐานะผู้เก็บรักษาสัญญา ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับคำนิยามสมาชิกใน Article 3 DEFINITIONS ได้แสดงลักษณะของสมาชิก ๒ ประเภท คือ Contributing member (สมาชิกที่สนับสนุนด้านการเงิน) และ Participating member (สมาชิกที่เข้าร่วม) โดยใช้การตัดสินใจของสมัชชา (Assembly) หรือ สภา (Council) ประกอบกับเนื้อหาใน Article 12 FINANCE ได้แสดงให้เห็นถึงความต้องการให้สมาชิกให้เงินสนับสนุนรายปีโดยสมัครใจ ดังนั้น การพิจารณาจึงต้องให้ครอบคลุมถึงงบประมาณในการสนับสนุนด้านการเงินแก่สถาบัน GGGI และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาขอบเขตความร่วมมือที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22270 | ร่างข้อบังคับคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการบริหารและจัดสรรเงินกองทุนพัฒนายางพารา พ.ศ. 2558 | กษ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการบริหารและจัดสรรเงินกองทุนพัฒนายางพารา พ.ศ. ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเรื่องการจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนายางพาราเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาสัดส่วนของรายจ่ายที่เกิดขึ้นในการบริหารกิจการของ กยท. ให้สอดคล้องกับสัดส่วนของเงินกองทุนที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปี และพิจารณาภาพรวมของงบลงทุนให้สอดคล้องกับแหล่งเงินทุนของ กยท. ตลอดจนพิจารณาถึงปัจจัยความเสี่ยงด้านการลงทุนและความคุ้มค่าของการลงทุนภายใต้วัตถุประสงค์ของ กยท. รวมทั้งกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และการจัดสรรเงินในหมวด ๔ ตามร่างข้อบังคับฯ ให้คณะกรรมการ กยท. กำหนดสัดส่วนในการจัดสรรเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ให้มีความสมดุลและเหมาะสมตามสถานการณ์ นอกจากนี้ การพิจารณาจัดสรรวงเงินเพื่องานศึกษาวิจัย ควรให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนาที่จะส่งผลให้เกิดการต่อยอดและขับเคลื่อนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและนวัตกรรมของสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพาราในหลากหลายช่องทางการตลาดได้อย่างเป็นรูปธรรม และเห็นควรให้ กยท. มีบทบาทหลักในการบูรณาการองค์ความรู้และข้อคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งจัดทำยุทธศาสตร์ยางพาราฉบับใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22271 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ | ศธ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จากวงเงิน ๑๕๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๕๙,๐๕๕,๗๘๖ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าก่อสร้างส่วนที่เหลือ จำนวน ๗๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๔๗,๐๕๑,๘๙๙ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๔,๕๔๘,๑๐๑ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๖,๘๗๓,๘๙๙ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐,๑๗๘,๐๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว โดยให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้วนั้น เห็นควรที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่จะต้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและวงเงินที่ได้รับการจัดสรรอย่างเคร่งครัดด้วย และหากความล่าช้าดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็สมควรที่จะพิจารณาตรวจสอบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อเรียกค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีที่ผู้รับจ้างรายเดิมไม่สามารถก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาด้วย |
|||||||||||||||||||||
22272 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ ๓ เดือนแรก ที่ใช้เงินกู้เหลือจ่ายจากโครงการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (ไทยเข้มแข็ง) กรอบวงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการยกเลิกรายการที่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติให้การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสำหรับรายการที่ลงนามในสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๓๖๐ วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา ทั้งนี้ หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จจะไม่มีการจัดสรรเงินเพื่อดำเนินการอีกต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน คือ เรียกค่าปรับ หากบริษัทไม่ยินยอมก็จะต้องมีการฟ้องร้องเรียกค่าปรับต่อไป ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๒. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่าย จำนวน ๑๖ รายการ วงเงิน ๔๗,๒๖๙,๙๒๑.๗๗ บาท ๓. เห็นชอบการปิดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และยุติการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๔. สำหรับแนวทางการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเมื่อปิดโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยหากปรากฏภายหลังว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความจำเป็นต้องขอรับการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ก็เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติหลักการให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง กรณีที่ต้องจ่ายค่า K ตามสัดส่วนแหล่งที่มาของวงเงินค่าก่อสร้าง เพื่อให้สามารถใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินรายได้ของหน่วยงานในการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย |
|||||||||||||||||||||
22273 | ร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ. .... | ทส | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเพื่อพัฒนากฎหมายในประเทศที่จะใช้ในการดำเนินการควบคุมดูแลการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ให้เกิดความปลอดภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพและคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ และสอดคล้องกับการดำเนินงานในระดับสากล ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีการรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายอันเป็นผลมาจากการประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่ไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมให้รวมถึงสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม การออกกฎหมายลูกที่รัดกุมหรือกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการรายงานการขนส่ง เคลื่อนย้าย การเก็บรักษา การบรรจุ การปิดฉลาก และการจัดทำเอกสารกำกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมในประเทศ และมีข้อยกเว้นในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยหรือการกระทำของผู้ได้รับความเสียหายเองด้วย การครอบครอง นำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่ไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมกำหนดให้แจ้งหรือขออนุญาตพร้อมแนบหลักปฏิบัติที่ชัดเจน การกำหนดหน่วยงานผู้รับผิดชอบมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมให้คำนึงถึงบทบาทภารกิจหลักและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กำหนดไว้เดิม รวมทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ปริมาณงานในความรับผิดชอบ จำนวนบุคลากรและผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายภาครัฐ การบัญญัติให้ชัดเจนในลักษณะที่ห้ามมิให้ผลิต นำเข้า หรือส่งออกสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมทุกชนิด เว้นแต่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการความปลอดภัยทางชีวภาพจะได้ประกาศยกเว้นไว้ และเพิ่มเติมมาตรการคุ้มครองระบบเกษตรกรรมอินทรีย์และเกษตรกรรมรายย่อยโดยเฉพาะกรณีเจ้าของหรือผู้ปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรมทำให้เกิดการปนเปื้อนทางพันธุกรรมกับพืชทั่วไป พืชที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ หรือทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศ ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22274 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการตามโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ปีที่ 3 | กษ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เหลือจ่ายตามโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ปีที่ ๒ จำนวน ๒๐๑,๒๙๕,๖๐๗.๓๑ บาท เพื่อจ่ายชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการฯ ปีที่ ๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรมีการประเมินผลความสำเร็จของโครงการฯ โดยเฉพาะผลการอุดหนุนฟื้นฟูอาชีพที่มีการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายของเกษตรกร ความสามารถในการชำระหนี้คืนสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และความสามารถในการออมเงินเพื่อสร้างฐานะและความมั่นคงให้กับครัวเรือนของเกษตรกร ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
22275 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (รายการก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพักสำนักตรวจเงินแผ่นดิน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม) | ตผ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพักสำนักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัด (สตจ.) จำนวน ๓ รายการ ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพัก สตจ. บุรีรัมย์ วงเงิน ๖๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๑,๓๗๖,๔๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๑,๖๒๓,๖๐๐ บาท ส่วนที่ขาด จำนวน ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณเหลือจ่ายของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๑.๒ ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพัก สตจ. กาฬสินธุ์ วงเงิน ๖๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ เบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๑,๓๗๖,๔๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๑,๖๒๓,๖๐๐ บาท ส่วนที่ขาด จำนวน ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณเหลือจ่ายของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๑.๓ ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพัก สตจ. มหาสารคาม วงเงิน ๖๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๑,๓๗๖,๔๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๑,๖๒๓,๖๐๐ บาท ส่วนที่ขาด จำนวน ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณเหลือจ่ายของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๒. ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินการก่อสร้างรายการดังกล่าวให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ การดำเนินการในทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องมีความโปร่งใสและพร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานและองค์กรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22276 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว หลักเกณฑ์การบังคับคดีผู้ประกัน และการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) | สว | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว หลักเกณฑ์การบังคับคดีผู้ประกัน และการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) ว่ารัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยของรัฐที่ออกนอกระบบศึกษาวิจัยและพัฒนาต่อยอดเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว รวมทั้งพัฒนาระบบบริหารจัดการ เพื่อให้อุปกรณ์ดังกล่าวมีคุณภาพที่ดีขึ้น และสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว และในการดำเนินการทำสัญญาเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว รัฐบาลควรทำความตกลงกับบริษัทเอกชนที่เข้าทำสัญญาต้องจัดให้มีศูนย์ควบคุมรวมเพื่อติดตาม ตรวจสอบการใช้อุปกรณ์ของผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราวมายังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22277 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและสถานะบุคคล อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปลดสิทธิกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิที่เคยได้รับสิทธิกองทุนหลักประกันสุขภาพ จำนวน 202,139 คน | สม | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและสถานะบุคคล อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปลดสิทธิกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิที่เคยได้รับสิทธิกองทุนหลักประกันสุขภาพ จำนวน ๒๐๒,๑๓๙ คน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะว่า กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขควรพิจารณากรณีที่มีการให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ เพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งยังมีกลุ่มบุคคลที่ตกหล่น คือ กลุ่มคนจีนโพ้นทะเลและคนที่ไม่มีสัญชาติไทยกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้จัดทำทะเบียนราษฎรไว้แล้ว ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ควรพิจารณากำหนดให้กลุ่มคนที่ตกหล่นดังกล่าวได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22278 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ การกำหนดรายการและการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้ง และการกำหนด ขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ การกำหนดรายการและการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้ง และการกำหนดขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ การกำหนดรายการและการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้ง และการกำหนดขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22279 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน 2558 | อก | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๓.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกันของปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ที่ลดลงร้อยละ ๘.๓ อุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง อาทิ HDD เครื่องนุ่งห่ม โทรทัศน์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และเบียร์ ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ๒. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ด้านการนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๙๒๑.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๒๓.๓ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๙๐๔.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๙.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ๓. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด จำนวน ๑๐,๑๐๐.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๐.๒๖ และเพิ่มขึ้นช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑.๕ โดยกิจการขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาและช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ส่วนกิจการขนาดกลางมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ๔. ภาวะการประกอบกิจการของโรงงาน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๔๙๘ ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒๘.๓๕ มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๓๓,๐๕๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๗.๖๙ แต่มีการจ้างงาน จำนวน ๑๑,๗๗๙ คน ลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑๑.๘ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ร้อยละ ๘.๑๒ และมียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๔๘ และมีการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๗ ๕. ภาวะการเลิกกิจการของโรงงาน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ จำนวน ๓๑๙ ราย มากกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒๖.๐๙ มีการเลิกจ้าง จำนวน ๑๖,๖๒๓ คน มากกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม ๗,๐๕๘ ล้านบาท น้อยกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๕๓.๑๗ มีการเลิกจ้างงานมากกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
22280 | การเป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 | รง | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ เพื่อเป็นโอกาสที่จะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมและศักยภาพในการรองรับงานระดับนานาชาติ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในความมีเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและทางสังคม วัฒนธรรมของประเทศไทยต่อประชาคมอาเซียน ตลอดจนช่วยเสริมสร้างโอกาสในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมายังอาเซียน เป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในการเป็นศูนย์กลางการประชุมและการจัดงานต่าง ๆ ทั้งในระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนและระดับนานาชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยส่วนของงบประมาณสำหรับการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์และภารกิจพื้นฐาน รวมถึงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่จะกำหนดขึ้นต่อไป ทั้งนี้ การเป็นเจ้าภาพงานดังกล่าวควรคำนึงถึงการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องด้วย และให้ใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะที่ประหยัด คุ้มค่า โดยการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานประสานงานกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่นักเรียนอาชีวศึกษาเพื่อต่อยอดศักยภาพแรงงานไทยในตลาดต่อไปและให้พิจารณาคัดเลือกนักเรียนอาชีวศึกษาที่มีศักยภาพเข้าร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียนด้วย |
.....