ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1117 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 22321 - 22340 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22321 | การประชุมคณะรัฐมนตรี (วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2558) | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ (COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๑ (CMP 11) ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ ดังนั้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) จะทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมแทน ทั้งนี้ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๑๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน
|
|||||||||||||||||||||
22322 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารหอพักนิสิต แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข โรงพยาบาลชลประทาน ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ | ศธ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและดำเนินการ รายการอาคารหอพักนิสิต แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขโรงพยาบาลชลประทาน ภายในกรอบวงเงิน ๕๑๑,๕๕๘,๘๐๐ บาท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นกรณีเฉพาะราย แต่เนื่องจากรายการก่อสร้างดังกล่าวมีการปรับแบบรูปรายการนอกเหนือจากที่ตั้งงบประมาณไว้ อาทิ ระบบเครื่องปรับอากาศ และราคาค่าก่อสร้างค่อนข้างสูง จึงเห็นสมควรที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจะต้องพิจารณาทบทวนรายละเอียดของแบบรูปรายการและวงเงินค่าก่อสร้างอีกครั้ง โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนประกวดราคาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของการใช้งบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22323 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาด้วยความรวดเร็วและเป็นมาตรฐานสากล ส่วนการคัดเลือกผู้พิพากษามาปฏิบัติหน้าที่ควรยึดความรู้ความเชี่ยวชาญในคดีชำนัญพิเศษที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ และการจัดตั้งหรือเปิดทำการของศาลยุติธรรมในแต่ละแห่ง สำนักงานศาลยุติธรรมและคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติควรร่วมกันเร่งรัดดำเนินการให้มีการบริหารจัดการ การประสานงาน และบูรณาการเพื่อเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านการจัดเตรียมที่ดิน อาคารสถานที่ อัตรากำลัง และงบประมาณเพื่อรองรับการจัดตั้งหรือเปิดทำการของศาลดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพต่อไป ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงยุติธรรมเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22324 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รอบ 12 เดือน (ตุลาคม 2557 - กันยายน 2558) | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รอบ ๑๒ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๗-กันยายน ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภาพรวมการเบิกจ่าย ณ สิ้นไตรมาสที่ ๔ เบิกจ่ายได้ ๑๑,๕๑๐.๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒ ของงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร และเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุน ณ สิ้นไตรมาสที่ ๔ จำนวน ๓๗๑.๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๔ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่ได้รับจัดสรร ๒. การเจรจาหรือทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาภายใต้กรอบอาเซียน การเจรจาภายใต้กรอบการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) การเจรจาภายใต้กรอบเอเปค การประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) และการหารือทวิภาคี ๓. การแก้ไขปัญหาราคาข้าวและการระบายข้าว ได้ขยายตลาดการส่งออกข้าวไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการระบายข้าว และตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการ การทำสัญญาให้รัดกุมและกำหนดหลักเกณฑ์การรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ๔. การแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรที่กำลังออกตามฤดูกาล มีการจัดตั้งศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตรระดับจังหวัด ดูแลราคาและบริหารจัดการผลผลิตที่ออกสู่ตลาดตามฤดูกาล และส่งเสริมการแข่งขันและขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ โดยพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้รักษาคุณภาพ ความสดใหม่ได้นาน ๕. การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprise : SMEs) ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro-active) สร้างองค์ความรู้การประกอบธุรกิจ (Entrepreneurship) สร้างระบบการบริหารจัดการที่ดี (Standard and Governance) และสร้างโอกาสการตลาดและขยายเครือข่ายทางธุรกิจ (Marketing and Networking) ๖. เรื่องอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน ได้แก่ การดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าครองชีพ การลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน และการสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||
22325 | รายงานการดำเนินงานแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ และมัคคุเทศก์ขาดแคลน | กก | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ และมัคคุเทศก์ขาดแคลน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และประสานงานให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ๑.๑ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจและมัคคุเทศก์ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน (ไกด์เถื่อน) พบผู้กระทำความผิด จำนวน ๔๔ ราย ซึ่งได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและขยายผลไปยังบริษัทนำเที่ยวที่ใช้ไกด์เถื่อน พบผู้กระทำความผิด จำนวน ๖ ราย จึงได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ๑.๒ ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว แก้ปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (nominee) พบผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่เข้าข่ายประกอบธุรกิจท่องเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวอำพราง (nominee) จำนวน ๖ ราย ซึ่งได้ดำเนินการส่งรายชื่อให้แก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการจดทะเบียนบริษัท และเมื่อพบมูลความผิดจะดำเนินการส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการต่อไป ๑.๓ จัดอาสาสมัครช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ๕ แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี และภูเก็ต เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และประสานงานให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. การแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ขาดแคลน ๒.๑ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามความร่วมมือในการผลิตมัคคุเทศก์ โดยเพิ่มเติมคุณสมบัติตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาด้านการท่องเที่ยวในระดับ ปวส. และอนุปริญญาสามารถรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ประเภททั่วไปได้ ๒.๒ จัดทำโครงการสร้างเสริมสมรรถนะและพัฒนาศักยภาพด้านภาษาต่างประเทศให้แก่มัคคุเทศก์และบุคลากรด้านการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและการพัฒนามัคคุเทศก์ให้มีทักษะด้านภาษาในการปฏิบัติหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในการอบรมภาษารัสเซีย จีน เวียดนาม มลายู เมียนมา ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เกาหลี และอังกฤษ จำนวน ๙ ภาษา ๒.๓ จัดการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพให้แก่มัคคุเทศก์ในเรื่องการนำเที่ยวตามรอยวิถีไทยเพื่อเสริมสมรรถนะ องค์ความรู้ ทักษะ ความสามารถในการทำงานให้แก่มัคคุเทศก์ รวมถึงเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว สามารถให้บริการนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ ดำเนินการแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ภาษาเกาหลีขาดแคลนระยะสั้น โดยจัดอบรมให้แก่ชาวเกาหลีในด้านทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทย เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้แก่นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเท่านั้น และร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวใช้การเรียนรู้โดยการทำงาน (learning by doing) ร่วมกับการใช้ผู้ประสานงานต่างชาติสอนมัคคุเทศก์ไทย (coaching) เพื่อให้มัคคุเทศก์ไทยได้ฝึกภาษาและเรียนรู้การทำงานและทดลองปฏิบัติหน้าที่บนรถ ๒.๕ ร่วมกับสำนักพระราชวังดำเนินการฝึกอบรมผู้ที่ได้รับใบอนุญาตมัคคุเทศก์เฉพาะ (ต่างประเทศ-เฉพาะพื้นที่) เพื่อพัฒนาศักยภาพมัคคุเทศก์สำหรับปฏิบัติงานในเขตพระบรมมหาราชวัง ในการยกระดับความรู้ ความสามารถ และการให้บริการของมัคคุเทศก์
|
|||||||||||||||||||||
22326 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอ ท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช 2488 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | คค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงคมนาคมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ฉบับใหม่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำหรับบทบัญญัติว่าด้วยการคืนทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนภายในกำหนดระยะเวลานั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าควรรอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่กำลังยกร่างว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์กำหนดให้ต้องคืนทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไป ๒. พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ซึ่งเป็นกฎหมายกลางในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการเวนคืน ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิผู้ถูกเวนคืนที่จะร้องขอคืนทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนจากการรถไฟแห่งประเทศไทยหากไม่ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น พระราชบัญญัติการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ เพื่อสร้างทางรถไฟดังกล่าว จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
|
|||||||||||||||||||||
22327 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดอบรมเพื่อให้ความรู้และการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ขอความร่วมมือกับบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation : IFC) ในเครือธนาคารโลก (World Bank) เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ การให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจในประเทศต่าง ๆ จัดให้มีการประชุมหารือเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อรองรับการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ นอกจากนี้ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานเตรียมความพร้อมการรองรับภารกิจ รวมทั้งได้จัดให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการออกกฎหมายอนุบัญญัติและเพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูลประกอบการจัดทำร่างกฎหมายด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22328 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 33 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย | พน | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๓ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๓ (33rd AMEM) ๑.๑ ที่ประชุมได้รับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน ปี ๒๐๑๖-๒๐๒๕ (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation : APAEC) ฉบับใหม่ ภายใต้หัวข้อ “Enhancing energy connectivity and market integration in ASEAN to achieve energy security, accessibility, affordability and sustainability for all” ๑.๒ รัฐมนตรีอาเซียนแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และสาธารณรัฐสิงคโปร์ เห็นชอบให้มีโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ [Lao PDR, Thailand, Malaysia, Singapore (LTMS) Power Integration Project] เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ทางเทคนิคของการซื้อขายไฟฟ้าข้ามแดนขนาดไม่เกิน ๑๐๐ เมกะวัตต์ จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปสิงคโปร์ผ่านระบบเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าที่มีอยู่ โดยมีการแบ่งแผนการดำเนินงานของแผนปฏิบัติการดังกล่าวออกเป็น ๒ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑ (๒๕๕๙-๒๕๖๓) และระยะที่ ๒ (๒๕๖๔-๒๕๖๘) ๑.๓ ที่ประชุมได้ผลักดันโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน โดยการเสริมสร้างการเชื่อมโยงภายในอาเซียนเพื่อความมั่นคงและการเข้าถึงพลังงานผ่านท่อส่งก๊าซและสถานีเปลี่ยนก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นก๊าซ ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๑๒ (12th AMEM+3) ที่ประชุมได้ขอให้ประเทศในกลุ่มอาเซียน ๑๐ ประเทศ+๓ (สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น) คงการสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ เช่น การแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในสถานการณ์พลังงานของโลกและอาเซียน+๓ การพัฒนาแนวทางการสำรองน้ำมันในอาเซียน และการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติในอาเซียน เป็นต้น ๓. การประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๙ (9th EAS EMM) ที่ประชุมได้ประกาศจุดยืนที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจังในสาขาพลังงานต่าง ๆ รวมทั้งให้ความสำคัญในการแบ่งปันการคาดการณ์อุปสงค์และอุปทานพลังงานของภูมิภาคเอเชียตะวันออก และยินดีต่อการเปิดตัวรายงานคาดการณ์พลังงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉบับปี ๒๕๕๘ ของทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ๔. รางวัล ASEAN Energy Awards จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีควบคู่กับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนด้านพลังงาน เพื่อเป็นกำลังใจและกระตุ้นการพัฒนาพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน และพลังงานถ่านหินในกลุ่มผู้ประกอบการของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยประเทศไทยได้รับรางวัลทั้งหมด ๒๖ รางวัล แบ่งเป็น (๑) ด้านอนุรักษ์พลังงาน ๑๒ รางวัล (๒) ด้านพลังงานทดแทน ๖ รางวัล และ (๓) ด้านถ่านหิน ๘ รางวัล
|
|||||||||||||||||||||
22329 | รัฐบาลสาธารณรัฐอาร์เจนตินาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายมาร์กอส อันโตนิโอ บีดัล ดัสเฟลด์ (Mr. Marcos Antonio Bidal d'Asfeld)] | กต | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมาร์กอส อันโตนิโอ บีดัล ดัสเฟลด์ (Mr. Marcos Antonio Bidal d’Asfeld) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอาร์เจนตินาประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางสาวอานา มารีอา รามีเรซ (Miss Ana Maria Ramirez) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22330 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กรณีการใช้อำนาจเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องของอธิบดีกรมศุลกากรหรือคณะกรรมการเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง กรมศุลกากรได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาและปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง เพื่อศึกษาและรวบรวมเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง พิจารณาและปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องให้ทันสมัยและเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็นในการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องให้เป็นไปโดยเรียบร้อย โดยคณะทำงานฯ จะเชิญผู้แทนจากกรมป่าไม้ และกรมการค้าต่างประเทศเข้าร่วมในการพิจารณากำหนดเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องดังกล่าวด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22331 | รายงานประจำปี 2557 และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557 | ศธ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๗ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ซึ่งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้พิจารณาแล้วเห็นว่า งบการเงินของ สสวท. แสดงฐานะทางการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และผลการดำเนินงานทางการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22332 | รายงานการพิจารณาศึกษายุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน | สว | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษายุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน และข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนาศักยภาพและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของสตรีไทย (๒) การพัฒนาศักยภาพ และเสริมสร้างภาวะผู้นำกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ ของสตรี (๓) การพัฒนาการเสริมสร้างความตระหนักรู้และยอมรับความเสมอภาคระหว่างเพศ (๔) การพัฒนาสุขภาวะ คุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิต และ (๕) การสร้างกลไกและพัฒนาศักยภาพองค์กรสตรีระดับชาติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สถาบันพระปกเกล้า สภาพัฒนาการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานการพิจารณาศึกษาดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22333 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องที่มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีการดำเนินงานของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อำเภอสำโรง (Samrong) และจงกัล (Chongkal) ในจังหวัดโอดอร์ เมียนเจย (Oddar Meanchey) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา | สม | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะ เรื่อง สิทธิมนุษยชน กรณีการดำเนินงานของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อำเภอสำโรง (Samrong) และจงกัล (Chongkal) ในจังหวัดโอดอร์ เมียนเจย (Oddar Meanchey) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกหรือกำหนดภารกิจการกำกับดูแลการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุนสัญชาติไทยให้เคารพต่อหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน โดยนำหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน : การปฏิบัติตามกรอบการคุ้มครอง เคารพ เยียวยา [United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights : Implementing the Protect, Respect, Remedy Framework (2554)] มาเป็นกรอบในการดำเนินการ ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22334 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลสามกระทาย อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลสามกระทาย อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลสามกระทาย อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครอง หรือใช้อสังหาริมทรัพย์ และส่งมอบพื้นที่เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟบริเวณทางหลวงชนบท ปข. ๑๐๑๔ เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22335 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลาลอย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลาลอย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลศิลาลอย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ และส่งมอบพื้นที่เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท ปข. ๑๐๒๑ เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22336 | การจัดงาน "ย่านธุรกิจสร้างสรรค์และสินค้าจีไอ" | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการจัดงาน “ย่านธุรกิจสร้างสรรค์และสินค้าจีไอ” ภายใต้แนวคิดหลัก “ตื่นตาสินค้าจีไอ ตื่นใจอัตลักษณ์ชุมชน” ระหว่างวันที่ ๑-๒๗ กันยายน ๒๕๕๘ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม โดยการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๕๐ ราย กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์สปาและเครื่องประทินผิว ของขวัญของตกแต่งบ้าน เสื้อผ้า สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง และเครื่องประดับ มูลค่าการจำหน่ายปลีกรวม ๓๔,๗๗๐,๐๐๐ บาท มูลค่าการสั่งซื้อมีผลการเจรจาธุรกิจรวมกว่า ๔๐๐ ล้านบาท ผู้เข้าเยี่ยมชมงานตลอด ๒๗ วันของการจัดงาน รวมทั้งสิ้น ๑๕๐,๗๔๓ ราย นอกจากนี้ ยังมีการให้คำปรึกษาการประกอบธุรกิจ และการบรรยายพิเศษ และกิจกรรมพิเศษอื่น ได้แก่ การจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในราคาพิเศษ อาทิ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย ไข่ไก่ ข้าวหอมกาญจน์ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน รวมทั้งการประกวดภาพถ่ายชิงรางวัลในกิจกรรมตลาดคลองผดุงกรุงเกษม โดยมีผู้ส่งภาพถ่ายเข้าร่วมประกวดผ่าน Facebook “ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม” รวมกว่า ๑๐๐ ภาพ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น จัดทำบัญชีรายการสินค้าที่มีศักยภาพของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตได้ในระดับชุมชนของแต่ละภูมิภาค เช่น น้ำหอม เครื่องสำอาง กระเป๋า เป็นต้น และให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าดังกล่าว เพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมสินค้าแบรนด์ไทยให้สามารถยกระดับเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ ทั้งนี้ ให้เน้นการประชาสัมพันธ์เพื่อให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ๓. ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาต ตรวจสอบ หรือรับรองมาตรฐานสินค้าต่าง ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนสินค้าที่มีศักยภาพของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ให้รายงานผลการออกใบอนุญาตฯ และผลการปฏิบัติงานให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๑ เดือน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๘ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
22337 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มี ความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ และส่งมอบพื้นที่เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท ปข. ๑๐๑๙ เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22338 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยทับทัน อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยทับทัน อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยทับทัน อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท ศก. ๔๐๐๓ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22339 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ตามรายงานการพิจารณาศึกษา ติดตาม และตรวจสอบการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ | ทช | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ตามรายงานการพิจารณาศึกษา ติดตาม และตรวจสอบการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้ดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ อาทิ การปรับปรุงกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเช่นเดียวกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐอื่น การนำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลมในการจ้างที่ปรึกษา การกำหนดหลักเกณฑ์การเดินทางไปต่างประเทศ การปรับลดจำนวนคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน จากเดิม ๑๐๐ กว่าคณะ คงเหลือเพียง ๔๐ กว่าคณะ การตรวจสอบการบริหารงบประมาณการใช้จ่ายเงินของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เน้นความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22340 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของ ผู้ต้องขังและสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขจากรัฐ กรณีการเข้าถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขของผู้ต้องขัง) | สม | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของผู้ต้องขังและสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุข กรณีการเข้าถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขของผู้ต้องขัง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือให้ผู้ต้องขังได้รับการรักษาอาการป่วยจากภาวะทางจิตและได้รับยาที่เหมาะสม และการให้ผู้ต้องขังในประเทศไทยได้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและประสิทธิภาพที่พึ่งจะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นสิทธิทางสุขภาพอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ กติการะหว่างประเทศหรือพันธกรณีระหว่างประเทศ ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แพทยสภา และสภาการพยาบาล เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....