ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1116 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 22301 - 22320 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22301 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ตามมาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 | กษ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๙๗๑,๙๗๙,๙๓๖ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการที่ ๑ การส่งเสริมความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน จำนวน ๔ โครงการ ในกรอบวงเงินรวม ๙๗๑,๙๗๙,๙๓๖ บาท ประกอบด้วย ๑.๑.๑ กรมส่งเสริมเกษตรกร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากพืชทดแทนนาปรัง จำนวน ๓๕๖,๙๒๐,๙๐๐ บาท ๑.๑.๒ กรมปศุสัตว์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากปศุสัตว์ในฤดูแล้ง จำนวน ๔๔๒,๗๙๓,๗๓๖ บาท ๑.๑.๓ กรมประมง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากประมงในฤดูแล้ง จำนวน ๑๖๓,๑๒๙,๘๐๐ บาท ๑.๑.๔ กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน จำนวน ๙,๑๓๕,๕๐๐ บาท ๑.๒ สำหรับมาตรการที่ ๒ ค่าใช้จ่ายโครงการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เห็นสมควรที่จะจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร สัญญากู้ระยะสั้น ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๖ เดือน ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒๐๖,๒๓๓,๐๐๐ บาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดมูลหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ตามผลการดำเนินงานประจำปี และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ละหน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รายละเอียดค่าใช้จ่าย โดยขอทำความตกลงเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในทันต่อฤดูเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ และรายงานจำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าวด้วย ๓. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐติดตามการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ให้เกิดความโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22302 | ขอทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2558/59 | พณ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังกำกับให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรรับผิดชอบและบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ โดยไม่ทำสัญญาในลักษณะที่ก่อให้เกิดภาวะต่อเกษตรกร ทั้งนี้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์พิจารณากำหนดมาตรการในการชดเชยค่าใช้จ่ายกรณีเกิดภาวะขาดทุนจากการดำเนินโครงการฯ และเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22303 | การจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (Thailand Countdown 2016) | กก | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (Thailand Countdown 2016) ภายในกรอบวงเงิน ๑๑๘,๖๙๐,๐๐๐ บาท แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ จึงขอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การบูรณาการ และประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนที่จะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งจัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22304 | การปรับเงื่อนไขของแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามที่ขออนุญาตทำงานได้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 | รง | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเงื่อนไขของแรงงานต่างด้าวที่ขออนุญาตทำงานได้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) และการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ข้อ ๘.๒ แนวทางการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ข้อ ๘.๒.๑ ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามทำงานได้ชั่วคราว ข้อ ๘.๒.๑.๒ เงื่อนไขของแรงงานต่างด้าวที่ขออนุญาตทำงานได้ (๒) จากเดิมที่กำหนดให้ต้องเดินทาง “เข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายครั้งสุดท้ายก่อนวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ปรับเป็น เข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายครั้งสุดท้ายก่อนวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๘” สำหรับรายละเอียดและการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปเช่นเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) และการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาดำเนินการโดยให้คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและผู้ประกอบการในประเทศไม่ให้เกิดผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานเป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากกระทรวงแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่า มีความจำเป็นต้องให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามอยู่ทำงานต่อในประเทศไทยอีก อาจพิจารณาขอขยายระยะเวลาได้อีก ๖ เดือน ตามที่นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ร้องขอต่อนายกรัฐมนตรีในโอกาสการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ ๓. มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ครบถ้วน รวมทั้งเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ทั้งนี้ ให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวและการพิสูจน์สัญชาติดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีทุก ๖ เดือน |
|||||||||||||||||||||
22305 | การแต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ (นายวิทัศน์ เตชะบุญ) | พม | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต กรรมการผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งนายวิทัศน์ เตชะบุญ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ แทนนายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
22306 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายผดุงศักดิ์ อมาตยกุล) | นร06 | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายผดุงศักดิ์ อมาตยกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22307 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 3 ราย 1. นายบรรสาน บุนนาค ฯลฯ) | กต | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ในจำนวนนี้เป็นการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน ๒ ราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายบรรสาน บุนนาค ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ๒. นายธงชัย ชาสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๓. นายวราวุธ ชูวิรัช ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการกงสุล
|
|||||||||||||||||||||
22308 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 3 ราย 1. นางบุษยา มาทแล็ง ฯลฯ) | กต | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นางบุษยา มาทแล็ง ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ๒. นางรัตติกุล จันทร์สุริยา ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน ๓. นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี
|
|||||||||||||||||||||
22309 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นลำดับที่ ๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
|
|||||||||||||||||||||
22310 | ขอรับการจัดสรรเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (สำนักงานอัยการสูงสุด) | นร07 | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอว่า นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาบรรจุข้าราชการฝ่ายอัยการ จำนวน ๖๐๐ อัตรา ระยะเวลา ๓ เดือน กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๙ ในวงเงิน ๔๔,๔๘๕,๐๐๐ บาท ก่อน ซึ่งการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีไปตั้งจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร เพื่อกำหนดอัตราเงินเดือนตั้งใหม่เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๗ และหากไม่เพียงพอก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22311 | การเสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งเห็นชอบรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ จำนวน ๕ ราย และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้
๑. นายกิตติ ลิ้มชัยกิจ ประธานกรรมการ ๒. นายจีระรัตน์ นพวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการ ๓. พลตำรวจเอก จรัมพร สุระมณี กรรมการ ๔. พลเอก ชัยรัตน์ ชีระพันธุ์ กรรมการ ๕. นายอนุสิษฐ คุณากร กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
22312 | การกำหนดประเด็นการปฏิรูปประเทศ | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รายงานว่า ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศประสานขอให้รัฐบาลกำหนดประเด็นวาระการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ๑๒ ด้าน เพื่อให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศนำไปประกอบการพิจารณาดำเนินการเพื่อให้การปฏิรูปสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินการของรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้ ได้ประสานกรอบการดำเนินการในการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของคณะรัฐมนตรี (Roadmap) ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ระยะ ให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศปรับกรอบการดำเนินการให้สอดคล้องด้วยแล้ว ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินทั้ง ๖ คณะ พิจารณากลั่นกรองประเด็นวาระการปฏิรูปในขอบเขตความรับผิดชอบเพื่อส่งให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศใช้เป็นกรอบในการดำเนินการปฏิรูปเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการปฏิรูปของรัฐบาล โดยให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรวบรวมและสรุปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ก่อนส่งให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22313 | การเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ จึงเห็นควรให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และภาคประชาชน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสดังกล่าวอย่างสมพระเกียรติ
|
|||||||||||||||||||||
22314 | การเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ของนายกรัฐมนตรี | กต | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการเข้าร่วมการประชุม ของนายกรัฐมนตรี สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๑.๑ สาระสำคัญของการประชุมแบ่งเป็น ๒ วาระ ๑.๑.๑ วาระที่ ๑ : การเติบโตอย่างครอบคลุม (Inclusive Growth) ผ่านเศรษฐกิจที่บูรณาการ ฝ่ายไทยได้ผลักดันประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การเจริญเติบโตที่มีคุณภาพและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย (๒) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบการจัดทำความตกลงการค้าเสรีของเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Agreement for Asia-Pacific : FTAAP) (๓) การสร้างความเข้มแข็งจากภายในของแต่ละเขตเศรษฐกิจโดยการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ และ (๔) การเติบโตโดยก้าวเดินหน้าไปพร้อมกัน ๑.๑.๒ วาระที่ ๒ : การเติบโตอย่างครอบคลุมผ่านชุมชนที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น ฝ่ายไทยได้เสนอประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๒) การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งในด้านคุณธรรม จริยธรรม และด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (๓) การสร้างสังคมที่เท่าเทียมและไม่ทอดทิ้งผู้ด้อยโอกาส และ (๔) การเตรียมรับมือกับความท้าทายในอนาคต เช่น ความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น ๑.๒ การประชุมเอเปคครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญ คือ การสร้างโอกาสเพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ภายใต้แนวคิด “การเติบโตอย่างครอบคลุม หรือ Inclusive Growth” โดยฝ่ายไทยได้นำเสนอปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งสอดคล้องกับวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๕๙ ประเทศไทย ในฐานะประธานกลุ่ม G77 จะผลักดันวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเต็มที่ ๑.๓ นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับผู้นำปาปัวนิวกินี สาธารณรัฐโคลอมเบีย สหพันธรัฐรัสเซีย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐเปรู และได้พบปะสนทนากับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายืนยันว่า ยินดีที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งได้หารือกับกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก (Pacific Alliance) ในประเด็นความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน และความร่วมมือระดับประชาชน ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เข้าเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ของกลุ่ม Pacific Alliance โดยในปี ๒๕๕๙ จะปฏิบัติหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานของอาเซียนกับกลุ่มดังกล่าว และได้หารือกับผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council : ABAC) ถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และผู้ประกอบการรายย่อย ๒. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ๒.๑ ผู้นำทั้ง ๑๐ ประเทศได้ประกาศเจตนารมณ์แสดงความพร้อมจัดตั้งประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งได้มีการประกาศวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ และแผนงานประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา (ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน) ระยะ ๑๐ ปี ระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ นอกจากนี้ อาเซียนยังได้ประชุมกับประเทศคู่เจรจาที่มีบทบาทสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐอินเดีย และสหประชาชาติ โดยได้ยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐอเมริกาและประเทศนิวซีแลนด์ด้วย ในโอกาสนี้ ประเทศไทยได้ผลักดันทิศทางประชาคมอาเซียนให้มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประชาชนทุกคนก้าวหน้าไปด้วยกัน และทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนร่วมกัน โดยจะแสวงหาความร่วมมือเพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวและการเชื่อมโยงในภูมิภาค อาทิ ปัญหาหมอกควันข้ามแดน ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ภัยพิบัติ การโยกย้ายถิ่นฐานอย่างไม่ปกติ และอาชญากรรมออนไลน์ รวมทั้งส่งเสริมความเป็นเอกภาพและความแข็งแกร่งจากภายในของอาเซียน เพื่อให้อาเซียนสามารถเป็นแกนกลางในภูมิภาคในการรับมือกับประเด็นท้าทายต่าง ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๒.๒ นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และได้หารืออย่างไม่เป็นทางการกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามและนายกรัฐมนตรีอินเดีย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
22315 | การเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการระหว่างไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 2 | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการระหว่างไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๒ ที่จะมีขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ในการกำหนดประเด็นการเจรจาให้เป็นไปตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ด้านการต่างประเทศ ที่มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการจัดการประชุมร่วมในระดับคณะรัฐมนตรีกับประเทศกลุ่มเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (เช่น สหพันธรัฐรัสเซีย สิงคโปร์) เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า เพิ่มบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมทั้งพิจารณาการจัดทำข้อตกลงร่วมทางด้านการค้า (เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรของไทยกับสินค้าของประเทศกลุ่มเป้าหมาย) และความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||
22316 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | อื่นๆ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. เห็นชอบให้รับร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... (นายมณเฑียร บุญตัน กับคณะ เป็นผู้เสนอ) มาพิจารณาก่อนรับหลักการและส่งคืนร่างพระราชบัญญัติฯ พร้อมข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ๒๐ วันนับแต่ได้รับแจ้งจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๓. เห็นชอบรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ จำนวน ๕ คน และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๔. เห็นชอบการเสนอขอแก้ไขชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ....” เป็น “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. ....” ตามที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. .... สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติและอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พร้อมให้แก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||
22317 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒธรรม พ.ศ. ..... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอขอแก้ไขชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ....” เป็น “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. ....” ตามที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. .... สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติและอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พร้อมให้แก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||
22318 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เร่งรัดการเจรจาในระดับผู้นำเกี่ยวกับการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของไทยให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้โดยเร็วต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้เร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล ซึ่งได้มีการเจรจาความร่วมมือด้านประมงไว้แล้ว เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี ศรีลังกา รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการทำประมงร่วมกับเวียดนามซึ่งมีความสนใจที่จะจัดทำความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับไทยให้เกิดผลโดยเร็วต่อไปด้วย ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนและการกำกับติดตามการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนแก้ไขปัญหาการค้างชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และกำหนดแนวทางการดำเนินการสำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่ให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนอาจพิจารณาดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการดำเนินการของไทยในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่าเป็นการดำเนินการภายใต้สนธิสัญญา ข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นการดำเนินการที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเหตุผลความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐในการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการและประเด็นภารกิจสำคัญสำหรับส่งต่อรัฐบาลต่อไปตามกรอบระยะเวลา (Roadmap) การบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล โดยให้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจัดให้มีหน่วยส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในระดับพื้นที่เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ต่อไป ๓.๓ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักประสานกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยในประเทศไทย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือนด้วย ๓.๔ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการ การบริหารจัดการ หรือการประเมินผลส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพและสามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศในระยะยาวต่อไป โดยหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๓.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการศึกษาเปรียบเทียบระบบการศึกษาในระดับต่าง ๆ ที่มีคุณภาพของต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ในระดับปฐมวัย ประเทศเกาหลีใต้ในระดับอาชีวศึกษา และประเทศฟินแลนด์ในระดับอุดมศึกษา เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการศึกษาของไทย โดยให้เชิญนักวิชาการ/ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศที่มีศักยภาพทางวิทยาการด้านต่าง ๆ มาร่วมหารือ ให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปประกอบการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้จัดทำรายงานสรุปเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓.๖ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงโดยด่วน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการลงโทษผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวให้เกิดความเหมาะสมต่อไปด้วย ๓.๗ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด เช่น การจัดพื้นที่ของทางราชการที่ไม่มีการใช้ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประกอบอาชีพหรือเป็นที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว นั้น ให้เพิ่มเติมกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพค้าขายในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจัดหาพื้นที่เปิดตลาดกลางคืน ถนนคนเดิน ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมดังกล่าวด้วย โดยให้จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขในการใช้พื้นที่ให้เกิดความชัดเจนต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
22319 | การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี | นร05 | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดแนวทางการเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวโดยเคร่งครัดต่อไป ดังนี้
๑. กรณีเรื่องทั่วไปที่เป็นเรื่องเร่งด่วน ให้ส่วนราชการส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ๗ วัน ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี ๒. กรณีเรื่องกฎหมายที่เป็นเรื่องด่วน ให้ส่วนราชการส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ๑๐ วัน ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี ๓. หากส่วนราชการมีความจำเป็นต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ตามข้อ ๑ และ ๒ ส่วนราชการจะต้องชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และสาเหตุที่ไม่สามารถเสนอเรื่องภายในกำหนดเวลาในหนังสือเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้ครบถ้วน รวมทั้งให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดรับผิดชอบในการตรวจสอบข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันศุกร์ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป ๔. กรณีเรื่องขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้ส่วนราชการเสนอเรื่องให้สำนักงบประมาณดำเนินการเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาก่อนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โดยเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||
22320 | รายงานการปฏิบัติภารกิจต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานเกี่ยวกับการเดินทางไปประชุมร่วมกับ United Nations World Tourism Organization (UNWTO) ณ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ และการร่วมงาน World Travel Mart ณ สหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ ๒-๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเปิดตลาดเอเชียใต้ บังกลาเทศ เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเมืองพุทธ องค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) ได้เสนอแนวคิดเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวเอเชียใต้กับอาเซียน เส้นทางพุทธศาสนาระหว่างสาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ราชอาณาจักรเนปาล ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ไปสู่อาเซียน เนื่องจากมีประชากรนับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมาก เป็นการเสริมสร้างการท่องเที่ยวให้แก่เอเชียใต้และการท่องเที่ยวแนวพุทธศาสนาซึ่งเป็นตลาดที่มีคุณภาพของประเทศไทยและอาเซียน ๑.๒ การพัฒนาตลาดยุโรป สหราชอาณาจักร โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่มหลัก คือ (๑) สร้างกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่โดยเจาะตลาดเมืองรอง เช่น แมนเชสเตอร์ และเบอร์มิ่งแฮม เป็นต้น และ (๒) รักษานักท่องเที่ยวที่มาซ้ำโดยนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ กิจกรรมใหม่ ๆ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้นำเสนอ ๑๒ เมืองต้องห้ามพลาดเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นกลุ่มเมืองที่มีเสน่ห์ มีอัตลักษณ์ และวิถีท้องถิ่นที่น่าสนใจ รวมทั้งแนะนำกิจกรรมการท่องเที่ยวใหม่ ๆ เชิงกีฬาและแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้หญิง (Ladies Destination) ๑.๓ การรีแบรนด์การท่องเที่ยวไทย โดยเน้นจุดขายที่แท้จริงในการดึงนักท่องเที่ยวให้กลับมาเที่ยวประเทศไทย คือ ความเป็นมิตรและการท่องเที่ยววิถีไทย ทั้งนี้ ได้มีการเบิดตัวโลโก้ใหม่ของ Amazing Thailand เป็นรูปดวงตา รอยยิ้ม และสีสันสดใส เพื่อสะท้อนถึงมิตรภาพความเป็นเพื่อนแท้ของคนไทย ๑.๔ เปิดตัวสินค้าใหม่ ได้แก่ (๑) การท่องเที่ยวเชิงกีฬา “Sport Tourism” เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น Sport Destination ตามแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ และเป็นการออกตัวสินค้าการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในงานระดับโลก World Travel Mart โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทยนำเสนอโอกาสในการท่องเที่ยวเชิงกีฬาแก่นักท่องเที่ยวที่สนใจกีฬาให้มาเล่นกีฬาหรือมาชมกีฬาในประเทศไทย และ (๒) การเสนอแหล่งท่องเที่ยวเพื่อผู้หญิง “Ladies Journey” โดยมีการเสนอสินค้าท่องเที่ยวรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงทำงานที่มีแนวโน้มการใช้จ่ายสูงกว่าผู้ชาย มีการเชื่อมโยงสินค้าที่เหมาะกับผู้หญิง ได้แก่ การเสริมความงาม สปา สอนทำอาหารไทย สอนรำไทย สอนมวยไทย สอนนั่งสมาธิในวัด และพาไปแหล่งซื้อของโดยเฉพาะหัตถกรรมไทย เป็นต้น ๒. มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องศึกษาและกำหนดแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเล เพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและก่อให้เกิดรายได้แก่ประเทศในระยะยาว
|
.....