ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1115 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 22281 - 22300 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22281 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (จำนวน 3 คน 1. นายมนัส แจ่มเวหา ฯลฯ) | กค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน ๓ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นได้ขอลาออก ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายมนัส แจ่มเวหา ประธานกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) แทนนายนริศ ชัยสูตร ๒. นายวิเชฐ ตันติวานิช กรรมการอื่น แทนนายอภิชัย บุญธีรวร ๓. นายกำธร ตติยกวี กรรมการอื่นเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||
22282 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ) | คค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพิ่มเติม ตามนัยมาตรา ๒๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22283 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (จำนวน 5 คน พลอากาศเอก วิจิตร์ จิตร์ภักดี ฯลฯ) | คค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย จำนวน ๕ คน ตามนัยมาตรา ๑๕ แห่งพระราชกำหนดการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ พลอากาศเอก วิจิตร์ จิตร์ภักดี ผู้แทนกองทัพอากาศ ๑.๒ นายอภิชาต เพ็ญสุภา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารกิจการการบินพาณิชย์ ๑.๓ นายพงษ์ไชย เกษมทวีศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๑.๔ นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินหรือการคลัง ๑.๕ นายกงกฤช หิรัญกิจ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารจัดการ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๒๓ แห่งพระราชกำหนดการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเร็วเพื่อจะได้เร่งดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือนของไทยตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22284 | มาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) | กค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติตามมาตรา ๑๘ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการ ประกอบด้วย การจัดเตรียมโครงการ การเสนอโครงการ การคัดเลือกเอกชน และการคัดเลือกโครงการและกลไกการควบคุมมาตรการ PPP Fast Track และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมอบหมายผู้แทนเข้าร่วมในการจัดทำการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุน หน่วยงานดังกล่าวไม่ควรมีที่มาจากองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือกตามนัยมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คำปรึกษาและข้อแนะนำกับหน่วยงานเจ้าของโครงการในการจัดเตรียมข้อเสนอโครงการและข้อมูลอื่นที่หน่วยงานเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ประกอบการวิเคราะห์โครงการ และกรณีที่ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับข้อเสนอโครงการแล้ว ควรจัดประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการในประเด็นความครบถ้วนของข้อมูลร่วมกับหน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงเจ้าสังกัด รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เพื่อให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ พิจารณาได้ทันทีหลังจากคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเห็นชอบในหลักการของโครงการ หรือคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-ระยอง เพื่อขอบรรจุไว้ในแผนการดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22285 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ) | กษ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแต่งตั้งนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร แทนนายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คนเดิม ซึ่งพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร บริหารจัดการเงินทุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ในลักษณะการบูรณาการการวิจัยและพัฒนาให้เหมาะสมและชัดเจน โดยกำหนดสิ่งที่ต้องการวิจัย ห้วงระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อนำไปสู่การผลิตและสร้างรายได้ให้ประเทศ รวมตลอดถึงการกำหนดค่าตอบแทนให้แก่นักวิจัยด้วย
|
|||||||||||||||||||||
22286 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ) | นร04 | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยมีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22287 | ขอแต่งตั้งกรรมการและปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพิ่มเติม (พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร) | นร04 | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร เป็นกรรมการในคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพิ่มเติม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22288 | รายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ในระยะ 2 เดือน | นร | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองประธานกรรมการนโยบายแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมายรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ในระยะ ๒ เดือน โดยได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาสรุปผลการหารือกับคณะเจรจาสหภาพยุโรปและกำหนดมาตรการที่ต้องดำเนินการทันทีและระยะยาวในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไป ดังนี้
๑. มาตรการขั้นเริ่มต้น เกี่ยวกับเอกสาร ๓ ฉบับ คือ (๑) พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. .... (๒) แผนการบริหารจัดการประมงทะเล และ (๓) แผนระดับชาติในการป้องกัน ขจัดและยับยั้งการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับความเห็นชอบ และกรมประมงสามารถออกกฎหมายฉบับรอง ได้แก่ กฎกระทรวง ๑๑ ฉบับ ประกาศ ๕๖ ฉบับ และระเบียบ ๒ ฉบับ ให้แล้วเสร็จได้ทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ โดยจะออกกฎกระทรวง ๗ ฉบับ ประกาศ ๓๓ ฉบับ ที่ต้องบังคับใช้เร่งด่วนภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ ส่วนที่เหลือกฎกระทรวง ๔ ฉบับ ประกาศ ๒๓ ฉบับ และระเบียบ ๒ ฉบับ จะออกประกาศภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๒. มาตรการที่ต้องมีทันที (ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘) มี ๗ เรื่อง คือ (๑) การพัฒนาระบบติดตามควบคุมและเฝ้าระวัง (MCS) (๒) การปราบปรามการค้ามนุษย์ในเรือประมง (๓) การปรับสถานะแรงงานต่างด้าวในภาคประมงให้ถูกกฎหมาย (๔) การติดตามและควบคุมเรือประมงขนาด ๖๐ ตันกรอสขึ้นไปอย่างจริงจัง (๕) การตรวจสอบโรงงานแปรรูปอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ (๖) ใช้มาตรการลงโทษอย่างเคร่งครัด และ (๗) ดำเนินความร่วมมือกับประเทศที่สามในการแก้ปัญหา IUU ๓. การแถลงสาธารณะอย่างเป็นทางการเพื่อย้ำเจตจำนงทางการเมือง และนโยบายรัฐบาลที่จะปฏิรูปภาคประมงของไทยเพื่อการประมงที่ยั่งยืน โดยกำหนดให้มีการประชุมเร่งรัดและติดตามความคืบหน้าของทุกส่วนราชการที่รับผิดชอบทุก ๒ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||
22289 | การกำหนดอัตราค่าเช่า และค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ | กค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการกำหนดอัตราค่าเช่า และค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดสงขลา ค่าเช่า/ไร่/ปี (ปีแรก) (ปรับ ๑๕% ทุก ๕ ปี) ๔๐,๐๐๐ บาท ค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า/ไร่/๕๐ ปี ๓๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ จังหวัดตาก ค่าเช่า/ไร่/ปี (ปีแรก) (ปรับ ๑๕% ทุก ๕ ปี) ๓๖,๐๐๐ บาท ค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า/ไร่/๕๐ ปี ๒๕๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ จังหวัดสระแก้ว ค่าเช่า/ไร่/ปี (ปีแรก) (ปรับ ๑๕% ทุก ๕ ปี) ๓๒,๐๐๐ บาท ค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า/ไร่/๕๐ ปี ๒๒๕,๐๐๐ บาท ๑.๔ จังหวัดตราด ค่าเช่า/ไร่/ปี (ปีแรก) (ปรับ ๑๕% ทุก ๕ ปี) ๒๔,๐๐๐ บาท ค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า/ไร่/๕๐ ปี ๑๖๐,๐๐๐ บาท ๑.๕ จังหวัดมุกดาหาร ค่าเช่า/ไร่/ปี (ปีแรก) (ปรับ ๑๕% ทุก ๕ ปี) ๒๔,๐๐๐ บาท ค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า/ไร่/๕๐ ปี ๑๖๐,๐๐๐ บาท ๑.๖ จังหวัดหนองคาย ค่าเช่า/ไร่/ปี (ปีแรก) (ปรับ ๑๕% ทุก ๕ ปี) ๒๔,๐๐๐ บาท ค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า/ไร่/๕๐ ปี ๑๖๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้องกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดการพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22290 | รายงานผลการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ | อก | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยมีประเด็นปัญหา/ข้อเสนอแนะ และข้อสั่งการ สรุปได้ ดังนี้
๑. นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ๑.๑ ปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เทศบาลนครแหลมฉบัง และตำรวจในพื้นที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เส้นทาง ๑.๒ การต่อสัญญาเช่าพื้นที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังล่าช้าและไม่มีความชัดเจน มอบหมายให้ พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร ประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประสานกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยในการเร่งดำเนินการเรื่องการต่อสัญญาเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งจะหมดอายุในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อทำให้นักลงทุนในพื้นที่เกิดความมั่นใจ ๑.๓ ปัญหาการที่กรมศุลกากรมีการลงทุนอุโมงค์ X-RAY สำหรับตรวจตู้สินค้าที่มากับขบวนรถไฟบรรทุกสินค้า แต่พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ยอมขับรถไฟให้เนื่องจากกลัวรังสี X-RAY ให้ศุลกากรจังหวัดชลบุรีแจ้งอธิบดีกรมศุลกากรทราบถึงปัญหานี้ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการ ๑.๔ ปัญหาภาษีนำเข้าแม่พิมพ์ยาง และการส่งออกยาง COMPOUND จะรับไปพิจารณาในประเด็นปัญหาความล่าช้าหรือความซ้ำซ้อนของการปฏิบัติงานของหน่วยราชการไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๑.๕ ปัญหาการพิจารณาเรื่อง EIA มีความล่าช้า จะรับไปพิจารณาโดยจะนำประเด็นนี้ไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๒. นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑ ปัญหาผังเมืองรวมจังหวัดระยองและผังเมืองรวมมาบตาพุดยังไม่มีความชัดเจน มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมโยธาธิการและผังเมือง รับไปพิจารณาหารือร่วมกัน ๒.๒ การทบทวนกฎหมายและข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เช่น กฎหมายและข้อกำหนดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม กฎหมายเกี่ยวกับมาตรฐาน VOC คุณภาพอากาศให้เป็นสากลสามารถปฏิบัติได้รวมถึงการตรวจวัดค่า VOC และปัญหาความยุ่งยากในขั้นตอนการทำ EIA/EHIA จะรับไปพิจารณาโดยจะนำประเด็นนี้ไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๒.๓ ปัญหาสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนปิโตรเคมี มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับไปพิจารณาดำเนินการ ๒.๔ ปัญหาความล่าช้าในจุดให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับท่าเรือแหลมฉบังและการพิจารณาท่าเรือมาบตาพุดให้สามารถรองรับการขนถ่ายตู้สินค้า มอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และพลเอก วรพงศ์ สง่าเนตร ประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสานกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๕ ปัญหากระแสไฟตก มอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการแก้ไขและหาวิธีบริหารจัดการโดยเร่งด่วนที่สุดในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับที่ไม่ใช่จากอุบัติเหตุ เพื่อมิให้กระทบกับกระบวนการผลิต
|
|||||||||||||||||||||
22291 | ขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม พ.ศ. 2558 - 2562 และแผนการบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย นโยบายแห่งชาติด้านการจัดการประมงทะเล พ.ศ. 2558 - 2562 | กษ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ประกอบด้วย ๕ มิติ ได้แก่ (๑) ความรับผิดชอบของประเทศไทยในฐานะที่เป็นรัฐ (๒) ความรับผิดชอบของประเทศไทยในฐานะรัฐชายฝั่ง (๓) ความรับผิดชอบของประเทศไทยในฐานะที่เป็นรัฐเจ้าของธง (๔) มาตรการของประเทศไทยในฐานะรัฐเจ้าของท่าเรือ และ (๕) มาตรการด้านการตลาดที่สากลยอมรับ ๑.๒ แผนการบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย นโยบายแห่งชาติด้านการจัดการประมงทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ โดยกำหนดมาตรการการจัดการเฉพาะเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย รวมถึง (๑) การเสริมสร้างประสิทธิภาพมาตรการการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง โดยการปรับเปลี่ยนด้านองค์กรและเพิ่มการสนับสนุนด้านทรัพยากรและขีดความสามารถด้านการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง และ (๒) ปรับปรุงระบบการออกใบอนุญาตและการจดทะเบียนเรือประมง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพในการจัดทำแผนในลักษณะบูรณาการ เพื่อให้การดำเนินการจัดทำงบประมาณตามแผนดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งควรมีแผนและแนวทางในการจำกัดและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีเพื่อลดขนาดความรุนแรงและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจนยากต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมประมงทั้งระบบ โดยเริ่มต้นจากการเตรียมกระบวนการสำรวจ ติดตาม และศึกษาเพื่อระบุกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบทั้งในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รูปแบบและขนาดของผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลพิจารณากำหนดแผนและแนวทางในการบรรเทาและฟื้นฟูอุตสาหกรรมประมงของประเทศในระยะต่อไป และควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาและกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการโดยเฉพาะเป้าหมายการลดศักยภาพทางการประมงให้สอดคล้องกับระดับผลจับสูงสุดที่ยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลต่อระดับความเข้มข้นของมาตรการ การจัดหาบุคลากรและงบประมาณภาครัฐเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการ และความรุนแรงของผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมง โดยให้โอกาสภาคการประมงและนักวิชาการด้านประมงและในสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อการพิจารณาเป้าหมาย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และเกิดการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเกิดความคุ้มค่าในการดำเนินงานและไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเกินกว่าความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22292 | ความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินโครงการกลไกการหารือระดับภูมิภาคที่เพิ่มพูนระหว่างสหภาพยุโรป - อาเซียน (Financing Agreement of the Enhanced Regional EU-ASEAN Dialogue Instrument : E-READI) | กต | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินโครงการกลไกการหารือระดับภูมิภาคที่เพิ่มพูนระหว่างสหภาพยุโรป-อาเซียน (Financing Agreement of the Enhanced Regional EU-ASEAN Dialogue Instrument : E-READI) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการรวมตัวของอาเซียน ขจัดปัญหาความยากจน และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน มีความเป็นเอกภาพมากขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
22293 | การลงนามพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 9 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | คค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน มีสาระสำคัญเป็นการเปิดตลาดการบริการผู้โดยสาร (Passenger Handling Services) โดยอนุญาตให้ผู้ให้บริการในอาเซียนเข้ามาลงทุนจัดตั้งธุรกิจโดยมีสัดส่วนถือหุ้นไม่เกินร้อยละ ๔๙ โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวอาเซียนเข้ามาลงทุนในประเทศได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ส่งผลให้มีการพัฒนาทักษะการทำงาน การจ้างงาน และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมกัน เกิดการแข่งขันในการให้บริการ และผลักดันให้มีการลงทุนภายในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มขึ้น โดยผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปลงทุนประกอบธุรกิจดังกล่าวในประเทศสมาชิกอาเซียนที่ยื่นข้อผูกพันเช่นเดียวกัน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ ก่อนแสดงเจตนาให้พิธีสารมีผลผูกพันต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ดังกล่าวให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว |
|||||||||||||||||||||
22294 | แนวทางในการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กษ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามแนวทางในการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ จำนวน ๔ โครงการ ที่ได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว นำมาดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้แก่ โครงการบล็อกยางปูพื้นในสนามฟุตซอล โครงการบล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (สนามเด็กเล่น) โครงการแผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ และโครงการจัดหายางรถยนต์ชนิดและขนาดต่าง ๆ สายสรรพาวุธ สายขนส่ง และสายช่าง ใช้ยางพาราปริมาณ ๔,๓๙๑ ตัน และโครงการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการจัดทำยางปูพื้นลู่วิ่งลานกรีฑาตามมาตรฐานสากลและยางปูพื้นลู่วิ่งลานกรีฑาตามมาตรฐานท้องถิ่น จำนวน ๑๔ สนาม ใช้ยางพารา ๓๔๑.๒๕ ตัน โดยให้หน่วยงานกำหนดให้ผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ยางตามโครงการซื้อยางพาราจากการยางแห่งประเทศไทยในอัตรากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า ๖๐ บาท ทั้งนี้ ให้หน่วยงานจัดทำรายละเอียดแผนงานโครงการ ขอความเห็นชอบขอใช้งบกลางจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำส่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อรวบรวมและนำเสนอต่อสำนักงบประมาณและคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๑.๒ รับทราบรายงานการจัดและปรับเปลี่ยนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกระทรวง ทบวง กรม ที่มีการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้น ปริมาณ ๒๑,๓๗๓.๙๘ ตัน ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม ๑๙,๓๐๐.๘๕ ตัน กระทรวงมหาดไทย ๑,๓๕๗ ตัน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๓๑๕ ตัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓๙๑.๗๕ ตัน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๙.๓๘ ตัน ๑.๓ กำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีโครงการสร้างถนนใหม่ บำรุงรักษาและซ่อมแซมถนนลาดยางมะตอย ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ทุกหน่วยงานปรับแก้โครงการให้มีการใช้ยางพาราร้อยละ ๕ สำหรับกรณีที่หน่วยงานได้เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างไปก่อนแล้วและสามารถปรับแก้ไขให้มีการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นได้ ให้สามารถปรับระยะเวลาตามนโยบายการเร่งรัดการใช้จ่ายของภาครัฐที่จะต้องลงนามในสัญญาภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ไปได้อีกจนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. รายละเอียดงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ก่อนในโอกาสแรก หากไม่เพียงพอจึงขอเสนอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฯ ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางและรายละเอียดที่ชัดเจนเสนอผ่านรัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำส่งให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาในภาพรวมของโครงการก่อน แล้วจึงรวบรวมเสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนแล้วแต่กรณีต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการดำเนินงานเพิ่มเติมเพื่อร่วมสนับสนุนและผลักดันการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้แก่ การติดตามและประเมินผลการนำผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปโดยใช้ยางพาราจากสต็อกของรัฐบาลไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งเร่งเผยแพร่องค์ความรู้ มาตรฐานและราคากลาง ตลอดจนระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพื่อให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการได้เรียนรู้และปรับระบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐ และมีความพร้อมในการร่วมกับภาครัฐในการสนับสนุนแนวทางดังกล่าวได้อย่างกว้างขวาง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22295 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 3/2558 และแนวทางดำเนินการตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ชาวสวนยาง | กษ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ในการปรับปรุงองค์ประกอบ กนย. โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางพารา โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง และเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธาน กนย. หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรชาวสวนยาง ทั้งนี้ การปรับปรุงองค์ประกอบ กนย. มอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ดำเนินการคัดเลือกผู้แทนคนกรีดยางอีก ๑ คน และเสนอให้ฝ่ายเลขานุการ กนย. ดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ๒ ๒. เห็นชอบแนวทางดำเนินการตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดย กยท. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางผู้มีเอกสารสิทธิ์ ประกอบด้วยเจ้าของสวนยาง และหรือผู้เช่า และคนกรีดยาง ในสัดส่วนร้อยละ ๖๐ : ๔๐ อัตราไร่ละ ๑,๕๐๐ บาท จำนวน ๘๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน และกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยมอบหมายให้ กยท. ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหาข้อยุติในประเด็นข้อกฎหมาย ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในส่วนของการใช้เงินจากกองทุนพัฒนายางพารา ให้ดำเนินการให้สอดคล้องตามนัยของพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้ กยท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการขึ้นทะเบียนบัญชีเจ้าของสวนยาง/ผู้เช่าสวนยาง และคนกรีดยางให้ชัดเจน และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวางแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อสนับสนุนให้เกิดการดำเนินการที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางทั้ง ๓ ด้าน คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในสวนยาง การปรับปรุงคุณภาพผลผลิตยางพารา และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนกรีดยาง รวมทั้งแนวทางการพัฒนายางด้านอื่น ๆ ที่จะสนับสนุนให้การพัฒนายางทั้งระบบของรัฐบาลเกิดความสมบูรณ์และยั่งยืน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากเงินกองทุนพัฒนายางพาราในการดำเนินการเป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22296 | เลื่อนวันประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคม ย่าน 900 MHz | กสทช | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม ในการประชุม (นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้เลื่อนวันประมูลคลื่นความถี่ ย่าน 900 MHz จากเดิมที่เคยกำหนดวันประมูลวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ กลับไปประมูลในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ตามกรอบเวลาเดิม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22297 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตรัง พ.ศ. .... | มท | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตรัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดตรัง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22298 | 88 ปี ใต้ร่มพระบารมี 5 ธันวาคม 2558 | นร | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) ได้เสนอวีดิทัศน์ “๘๘ ปี ใต้ร่มพระบารมี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘” ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุปเกี่ยวกับ ๘๘ ปี ใต้ร่มพระบารมีที่ปวงชนชาวไทยได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ การเสด็จพระราชดำเนินทั่วทุกภูมิภาคของประเทศเพื่อทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรชาวไทย และพระราชทานแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งนานาอารยประเทศร่วมเทิดพระเกียรติ
|
|||||||||||||||||||||
22299 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) และกรอบการขยายขอบเขตความคุ้มครองการปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม] ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||
22300 | การพัฒนาสถาบันการบินพลเรือน | คค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานการพัฒนาสถาบันการบินพลเรือน ดังนี้
๑. ตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ด้านการขนส่งทางอากาศ ซึ่งให้เร่งรัดการพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคเพื่อให้สามารถเสริมศักยภาพของท่าอากาศยานหลักของประเทศและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมการบินเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการซ่อมบำรุงอากาศยาน รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพของการขนส่งทางอากาศให้มีมาตรฐานเท่าเทียมสากล ประกอบกับการพยากรณ์ตลาดการบินโลกที่คาดว่าในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า จะมีการเจริญเติบโตทางการบินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการผลิตบุคลากรทางการบิน สถาบันการบินพลเรือนจึงมีการเตรียมความพร้อมในการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต โดยได้จัดทำแผนปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถาบันการบินพลเรือน ระยะ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๗) แบ่งเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ (๑) ระยะสั้น (๑-๓ ปี) เพื่อปรับปรุงหลักสูตรเดิมให้สอดคล้องกับความต้องการ (๒) ระยะกลาง (๓-๕ ปี) เพื่อพัฒนาบุคลากรและหลักสูตรให้รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและอุตสาหกรรมการซ่อมบำรุงอากาศยานของประเทศไทย และ (๓) ระยะยาว (๕-๑๐ ปี) เพื่อพัฒนาและรักษามาตรฐานสากลของสถาบันในการผลิตบุคลากรด้านการบินให้เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมการบินทั้งในและต่างประเทศ ๒. แผนเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คือ โครงการก่อสร้างอาคารเรียนศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน อาคารฝ่ายอำนวยการ และสิ่งปลูกสร้างประกอบครุภัณฑ์ ซึ่งเป็นอาคารสูง ๑๘ ชั้น ในวงเงินงบประมาณ ๑,๘๙๐.๔๖ ล้านบาท เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาบุคลากรด้านการบินในระดับภูมิภาค
|
.....