ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1027 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 20521 - 20540 จากข้อมูลทั้งหมด 124193 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20521 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กรณีได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของรัฐบาลที่บังคับให้รถโดยสารสาธารณะต้องติดตั้งก๊าซธรรมชาติ NGV (Natural Gas for Vehicles) แต่มีเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติไม่เพียงพอ | สม | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กรณีได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของรัฐบาลที่บังคับให้รถโดยสารสาธารณะต้องติดตั้งก๊าซธรรมชาติ NGV (Natural Gas for Vehdes) แต่มีเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติไม่เพียงพอ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงยุติธรรมร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ประกอบการและเจ้าของรถได้รับประโยชน์จากการนำนโยบายที่บังคับให้รถตู้โดยสารสาธารณะต้องติดตั้งก๊าซธรรมชาติ NGV แล้ว โดยในช่วงปี ๒๕๔๘ ราคาน้ำมันดีเซลสูงกว่าราคาก๊าซธรรมชาติ NGV ทำให้ผู้ประกอบการและเจ้าของรถได้รับประโยชน์จากการเก็บค่าโดยสารที่สูงกว่าราคาต้นทุนของเชื้อเพลิงที่แท้จริง จึงไม่สมควรให้การเยียวยาแก่ผู้ประกอบการและเจ้าของรถแต่อย่างใด รวมทั้งการออกนโยบายที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในโอกาสต่อไปภาครัฐควรให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก่อน ประกอบกับคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้คงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติ NGV ที่ราคา ๑๐.๐๐ บาทต่อกิโลกรัม สำหรับในส่วนของราคาก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไป และปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารและกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิม โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น ร่างกฎหมายว่าด้วยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20522 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน รวม 5 ฉบับ | นร09 | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวง รวม ๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ภายในสำนักงานปลัดกระทรวงและกรมต่าง ๆ ของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงรวม ๕ ฉบับดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... ๔. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... ๕. ร่างกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... |
||||||||||||||||||||||||
20523 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 25/2559 เรื่อง การยกเลิกการห้ามบุคคลเดินทางออกนอกราชอาณาจักร | สลธ.คสช. | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๕/๒๕๕๙ เรื่อง การยกเลิกการห้ามบุคคลเดินทางออกนอกราชอาณาจักร สั่ง ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20524 | สรุปผลการเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) | ศธ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุม “2nd Strategic Dialogue for Education Ministers Meeting (SDEM)” พร้อมทั้งกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมดังกล่าวในฐานะประธานสภาซีเมค การหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย รวมทั้งประชุมหารือร่วมกับศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอทั้ง ๖ แห่งในอินโดนีเซีย สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมหารือกับผู้อำนวยการศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอทั้ง ๖ แห่งในอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๙ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละศูนย์กำลังดำเนินการ สิ่งท้าทายและอุปสรรค รวมถึงสิ่งที่ประธานสภาซีเมคจะสามารถให้การสนับสนุนการทำงานของศูนย์ได้ และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ภายหลังจากการนำเสนอของทุกศูนย์แล้ว จะได้มีข้อหารือและแลกเปลี่ยนถึงสิ่งท้าทายและประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในภาคการศึกษาของภูมิภาค นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ทุกศูนย์นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์เพื่อพิจารณาแนวทางที่จะบรรลุผลสำเร็จตามประเด็นสำคัญด้านการศึกษาของซีมีโอ อันจะนำไปสู่การพัฒนาด้านการศึกษาและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในภูมิภาคต่อไป ๒. การประชุม “2nd Strategic Dialogue for Education Ministers Meeting (SDEM)” เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ผู้แทนประเทศระดับรัฐมนตรีศึกษาได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม รวมทั้งแนวทางความร่วมมือ ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นสำคัญด้านการศึกษาของซีมีโอ ๗ ประการ เพื่อพัฒนาการศึกษาของภูมิภาคร่วมกัน โดยในระหว่างการประชุมฯ ที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาได้ให้การรับรองแถลงการณ์บันดุง (Bandung Statement) โดยเน้นการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกซีมีโอ การเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง การแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีและสิ่งท้าทายร่วมกันในเรื่องของการศึกษาปฐมวัย การศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การนำนวัตกรรมมาใช้ในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะพื้นฐาน การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาระหว่างภาครัฐ เอกชน โรงเรียน และชุมชน ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ โดยได้หยิบยกประเด็นการทำงานร่วมกันในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมค โดยประสงค์จะเห็นการทำงานที่เชื่อมโยงระหว่างศูนย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งใช้ความเป็นเลิศให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาภูมิภาค ตลอดจนส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชนเพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษา ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมของอินโดนีเซียตอบรับที่จะร่วมมือกับไทยในการวางแผนการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในภูมิภาค |
||||||||||||||||||||||||
20525 | การขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2553 รวม 3 ฉบับ ออกไปอีก 2 ปี | ทส | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม ๓ ฉบับ ซึ่งจะหมดอายุการใช้บังคับในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และขอขยายบังคับใช้ต่อไปอีก ๒ ปี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการออกประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดังกล่าวมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเห็นควรจัดทำแผนงานและเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดอายุการใช้บังคับ เพื่อให้การกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงในปัจจุบันและสามารถใช้บังคับตามกฎหมายได้อย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
20526 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยสำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางต้องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการส่งข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำผิดหรือทรัพย์สินให้กับต่างประเทศผู้ร้องขอโดยยึดหลักการปฏิบัติต่างตอบแทน และในการรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาจากต่างประเทศนั้น บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีกระบวนการทางกฎหมายที่รับรองและคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาหรือจำเลยตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ อยู่แล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20527 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำและร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) | กษ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าวแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันที่จะให้มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นกฎหมายกลางในการบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ควรผลักดันร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายโดยเมื่อใช้บังคับในระยะหนึ่ง หากเห็นว่ากลไกในกฎหมายมีข้อบกพร่องส่วนใด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดบทบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจตามกฎหมายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้านต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายเฉพาะนั้นได้ให้ไว้ การกำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมในกรณีแหล่งน้ำสาธารณะที่มีการเชื่อมโยงหรือติดต่อกับแหล่งน้ำที่มีหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแล ก่อนการอนุญาตให้ใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะจะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว การพิจารณารายได้จากการเก็บค่าน้ำเพื่อเข้ากองทุนแยกเป็นในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน การกำหนดคำจำกัดความของ “พนักงานเจ้าหน้าที่” ให้มีความชัดเจน การควบคุมและตรวจตราทรัพยากรน้ำตามมาตรา ๘๓ ๘๔ และ ๘๖ การมอบหมายให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ลุ่มนำสาขานั้น ๆ เป็นประธานในคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขาควรมอบหมายให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขานั้น ๆ และกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐระดับกรมจะต้องปฏิบัติตามหลักการและขั้นตอนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ที่ต้องเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวงและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งสำนักงาน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐจะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๗ และมีความสอดคล้องกับระบบการจัดตั้งกองทุนในปัจจุบัน รวมถึงบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20528 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ช่วงที่ 7 ตอนทางแยกต่างระดับสระบุรี | คค | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรณีกรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ช่วงที่ ๗ ตอนทางแยกต่างระดับสระบุรี ระยะทาง ๓.๖๐๐ กิโลเมตร ในวงเงิน ๑,๕๐๙,๕๘๕,๓๑๒.๑๓ บาท โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20529 | รายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบมาตรการผ่านแดน - ถ่ายลำของประเทศต่อการจัดเก็บภาษีสินค้า ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง | สว | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบมาตรการผ่านแดน-ถ่ายลำของประเทศต่อการจัดเก็บภาษีสินค้า เพื่อหาแนวทางหรือมาตรการต่าง ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน และแก้ไขหรือป้องกันผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศและการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม รวมทั้งปกป้องผลประโยชน์ของชาติ พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้มีการนำของผ่านแดนมาซื้อขายภายในประเทศ รวมทั้งให้มีการตรวจสอบของผ่านแดนให้ครบถ้วนอย่างเข้มงวดและรัดกุม |
||||||||||||||||||||||||
20530 | การมีผลบังคับใช้ของความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Trade Agreement between the Government of the Islamic Republic of Iran and the Government of the Kingdom of Thailand) | พณ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Trade Agreement between the Government of the Islamic Republic of Iran and the Government of the Kingdom of Thailand) มีผลบังคับใช้ตามข้อ ๑๑ ของความตกลงฯ ที่ระบุว่า ความตกลงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายโดยภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งถึงภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งระบุว่าได้ดำเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบของตนเพื่อการมีผลบังคับใช้ของความตกลงนี้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลบังคับใช้ของความตกลงฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20531 | การประชาสัมพันธ์การจัดงาน Eco - Products International Fair 2016 | อก | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประชาสัมพันธ์การจัดงาน Eco-Products International Fair 2016 โดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และองค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย เป็นเจ้าภาพจัดงานดังกล่าวภายใต้แนวความคิด “24-Hour Eco Life รักษ์โลกง่าย ๆ ทำได้ ๒๔ ชั่วโมง” ระหว่างวันที่ ๘-๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ โถงนิทรรศการ ๑๐๖ (EH 106) ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงสินค้า นวัตกรรม และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากผู้ผลิตและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนนิทรรศการพิเศษในการให้ความรู้ และสร้างความตระหนักถึงผู้บริโภคในการเข้าถึงและหันมาสนใจใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย (๑) มหกรรมการแสดงนิทรรศการและการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๒) Eco-Kids นิทรรศการเพื่อการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับเด็กและเยาวชน (๓) สัมมนาวิชาการนานาชาติ (International Conference) และ (๔) การเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20532 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 (ครั้งที่ 14) | มท | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๕๓ ๑.๒ การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม ๐-๒-๓๗ ไร่ โดยส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างอาคารหลักทั้งหมดตั้งแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เหลือพื้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ๑๙-๒-๙๐.๕ ไร่ ๑.๓ ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ แบบรูปรายการและรายละเอียดตามสัญญาจ้างมีรายละเอียดขัดแย้งกันหรือแบบไม่สมบูรณ์ ทำให้ต้องใช้เวลาในการพิจารณามาก และโครงการก่อสร้างของหน่วยงานภายนอกที่กระทบกับรูปแบบและการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ๑.๔ ระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญา ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างมาแล้วถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ เป็นระยะเวลา ๑,๐๒๘ วัน คงเหลือระยะเวลาก่อสร้างอีก ๒๕๙ วัน ซึ่งผู้รับจ้างอยู่ระหว่างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้าง ครั้งที่ ๒ ออกไปอีก ๖๑๑ วัน เนื่องจากการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างไม่เป็นไปตามสัญญาและปัญหาอุปสรรคงานจากดิน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยคณะกรรมการตรวจการจ้าง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลและติดตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการแล้วเสร็จตามกำหนดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20533 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (มีนาคม พ.ศ. 2559) | ทก | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติด ตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยผลการสำรวจความคิดเห็นฯ พบว่า ประชาชนร้อยละ ๖๐.๘ ระบุว่ายังมีปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีสาเหตุเกิดจากการมีผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติด และผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่ไม่ปราบปรามอย่างจริงจัง รองลงมาคือปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ซึ่งประชาชนร้อยละ ๕๘.๔ ระบุว่ามีปัญหา และปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ประชาชนร้อยละ ๓๒.๐ ระบุว่ามีปัญหา โดยพบว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าวมากที่สุดในเรื่องการลักขโมย ปล้น จี้ ขณะที่ประชาชนเพียงร้อยละ ๘.๗ ระบุว่ามีปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดในโรงเรียน/สถานศึกษา และประชาชนถึงร้อยละ ๘๒.๐ ระบุว่าไม่มีปัญหา นอกจากนี้ประชาชนให้ข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกัน/แก้ไขปัญหายาเสพติดที่สำคัญ ๕ อันดับแรก คือ การปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (ร้อยละ ๖๑.๒) การใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด (ร้อยละ ๕๓.๑) การให้ทหารช่วยดูแลปราบปรามอย่างจริงจัง (ร้อยละ ๑๖.๔) การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด (ร้อยละ ๑๕.๙) และการลงโทษผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติดด้วยวิธีประหารชีวิต (ร้อยละ ๑๔.๙)
|
||||||||||||||||||||||||
20534 | รายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวา ประจำปี 2559 | มท | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลความก้าวหน้าการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวา ประจำปี ๒๕๕๙ โดยผลการกำจัดผักตบชวา ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลางตอนล่าง กรมโยธาธิการและผังเมือง กำจัดได้ปริมาณ ๑๒๐,๘๐๐ ตัน กรมเจ้าท่า กำจัดได้ปริมาณ ๗๙,๑๐๘ ตัน สำหรับพื้นที่บริเวณประตูระบายน้ำในแม่น้ำสายหลัก แม่น้ำป่าสัก และคลองในระบบชลประทาน กรมชลประทาน กำจัดได้ปริมาณ ๑,๒๑๔,๗๖๔ ตัน และในส่วนของแหล่งน้ำขนาดเล็กและแหล่งน้ำเชื่อมโยงในพื้นที่ขนาดเล็ก กรมการปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานทหาร และภาคประชาชน กำจัดได้ปริมาณ ๒,๒๓๙,๕๐๑ ตัน สรุปผลการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวาประจำปี ๒๕๕๙ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ สามารถกำจัดได้จำนวน ๓,๖๕๔,๑๗๓ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๗๑ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยวิธีการในการกำจัดวัชพืชในแหล่งน้ำโดยเฉพาะผักตบชวา เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้นต่อไป ทั้งนี้ จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแหล่งน้ำด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
20535 | การยกเลิกและผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2231 (ค.ศ. 2015) | กต | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๒๓๑ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เกี่ยวกับการยกเลิกและผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งเป็นการรับรองแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (Joint Comprehensive Plan of Action : JCPOA) ซึ่งจำกัดขอบเขตการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และกำหนดขั้นตอนการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติเพื่อนำไปสู่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรในอนาคต ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยให้เป็นไปตามอำนาจและกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อมติฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าการดำเนินการตามข้อมติฯ เป็นการดำเนินการตามพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่ ตามข้อ ๒๕ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ในฐานะที่เป็นรัฐสมาชิก มิใช่การทำหนังสือสัญญาขึ้นใหม่ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติฯ แล้ว การดำเนินการตามข้อมติฯ จะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20536 | การปรับปรุงความตกลงที่ใช้ก่อตั้งกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ (Common Fund for Commodities: CFC) | กษ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงที่ใช้ก่อตั้งกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ (Common Fund for Commodities : CFC) ฉบับปรับปรุง โดยการแก้ไขปรับปรุงความตกลงฯ เป็นการปรับปรุงโครงสร้างของกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยลดขั้นตอนการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน ลดขนาดและภารกิจขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาเงื่อนไข รายละเอียด และติดตามประเมินผลการเข้าเป็นสมาชิกตามความตกลงฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาแนวทางความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20537 | การปรับปรุงอาคารศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหลังเดิมเป็นที่ทำการสำนักประธานศาลฎีกา | ศย | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง ข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยราชการในกรุงเทพมหานครและเมืองหลัก เรื่อง แผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานของรัฐในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) และเห็นชอบให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการปรับปรุงอาคารศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหลังเดิมเป็นที่ทำการสำนักประธานศาลฎีกา ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20538 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 ในส่วนความเห็นของกระทรวงการคลังและขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ย ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑๕,๘๑๕.๘๖๘ ล้านบาท (ปรับโครงสร้างหนี้ โดยการไถ่ถอนพันธบัตรและชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๑๒,๔๖๙.๓๐๐ ล้านบาท และชำระดอกเบี้ยที่จะครบกำหนด จำนวน ๓,๓๔๖.๕๖๘ ล้านบาท) และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรเร่งรัดให้ ขสมก. ดำเนินการพิจารณาแนวทางปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ตลอดจนมาตรการในการบริหารจัดการหนี้ของ ขสมก. โดยเร็ว เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เพิ่มรายได้จากการบริการ และแก้ไขปัญหาด้านฐานะทางการเงินของ ขสมก. ในระยะยาว เพื่อลดภาระหนี้สินที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องทุกปี และเห็นควรให้ ขสมก. เร่งรัดดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว และให้กระทรวงคมนาคมกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนอย่างใกล้ชิด โดยหากมีปัญหาอุปสรรคที่อาจทำให้การดำเนินการไม่เป็นไปตามแผนให้รายงาน คนร. เพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขโดยเร่งด่วน นอกจากนี้ควรจัดทำแผนการฟื้นฟูกิจการเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20539 | การถอนข้อสงวนข้อบทที่ 4 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ | ยธ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ประเทศไทยถอนข้อสงวนข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination : CERD) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่ประเทศไทยได้รับไว้ในชั้นการนำเสนอรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๑ และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติแห่งสหประชาชาติซึ่งประเทศไทยต้องส่งรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ภายในปี ๒๕๕๙ ซึ่งการถอนข้อสงวนดังกล่าวจะเป็นพัฒนาการที่สำคัญอีกประการที่ประเทศไทยสามารถนำเสนอต่อเวทีโลกได้ อันจะส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการถอนข้อสงวนข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญา CERD ต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับความพร้อมของประเทศไทยต่อการถอนข้อสงวนข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญา CERD ซึ่งประเทศไทยสามารถถอนข้อสงวนดังกล่าวได้โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ โดยได้อ้างอิงถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นั้น โดยที่กฎหมายเหล่านั้นยังไม่ได้กำหนดฐานความผิดเฉพาะตามข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญา CERD อีกทั้งบทลงโทษระบุเพียงกว้าง ๆ ไม่ระบุโทษที่ชัดเจนตามความผิดที่ปรากฏในอนุสัญญา CERD แต่เป็นการระบุโทษสำหรับความผิดเกี่ยวกับการให้ร้ายและสร้างความเกลียดชัง จึงต้องอาศัยการตีความกฎหมายเหล่านั้นเป็นรายกรณีว่า รวมถึงการกระทำที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติหรือไม่ นอกจากนี้ เนื้อหาของอนุสัญญา CERD บางส่วนมีความละเอียดอ่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การทำความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จึงเห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกโดยเน้นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินการตามพันธกรณีที่อนุสัญญา CERD กำหนดภายหลังที่ประเทศไทยได้ถอนข้อสงวนดังกล่าวแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20540 | ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พน | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ของกระทรวงพลังงาน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ เพื่อกำหนดให้การให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีทางเลือกให้รัฐสามารถพิจารณานำระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือระบบสัญญาจ้างสำรวจและผลิตมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม นอกเหนือไปจากการพิจารณาให้สัมปทานปิโตรเลียมภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งแก้ไขบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับประโยชน์หรือสิทธิของผู้รับสัมปทานและบทบัญญัติเกี่ยวกับค่าภาคหลวงให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ เพื่อกำหนดผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น รวมถึงกำหนดอัตราและหลักเกณฑ์ในการคำนวณภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในระบบการทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังรับไปดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เกี่ยวกับโครงสร้างบรรษัทน้ำมันแห่งชาติและการจัดเก็บรายได้จากการปิโตรเลียมของประเทศไทยทั้งระบบ ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๔. ให้กระทรวงพลังงานเร่งเสนอกฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๔ เดือน และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษเพื่อพิจารณากฎหมายลำดับรองดังกล่าวต่อไป |
.....