ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1021 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 20401 - 20420 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20401 | รายงานผลการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๖-๗ เมษายน ๒๕๕๙ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการประชุมร่วมกัน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ฝ่ายกัมพูชายินดีที่ฝ่ายไทยตอบรับคำเชิญและจัดให้มีประชุมทวิภาคีในระดับรัฐมนตรี โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันผ่านการพูดคุยหารือเพื่อให้บันทึกความเข้าใจ (MOU) และข้อตกลงด้านการจ้างงาน (Agreement on Employment) ได้รับการกำหนดแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ๒. ทั้งสองฝ่ายรับทราบผลการประชุมหารือในระดับคณะทำงานวิชาการไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ เสียมราฐ ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเรื่องค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการนำเข้าแรงงานจากกัมพูชา การอำนวยความสะดวกแก่แรงงานตามฤดูกาลและแรงงานไปกลับตามแนวชายแดน การจัดทำข้อตกลงด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน การให้ความคุ้มครองด้านแรงงานและสิทธิประโยชน์ของแรงงานกัมพูชาเทียบเท่าแรงงานไทย กระบวนการนำแรงงานกัมพูชาที่ผิดกฎหมายเข้าสู่สถานะที่ถูกต้อง และการจัดตั้งคณะทำงานระดับเทคนิคเพื่อหารือแนวทางดำเนินการในเรื่องต่อไปนี้ให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน ได้แก่ (๑) การจัดตั้งศูนย์รับส่งแรงงานเพื่อเป็นศูนย์ประสานความต้องการจ้างงานระหว่างนายจ้างไทยและแรงงานกัมพูชา และ (๒) การพิจารณากำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมสำหรับการจ้างงานภายใต้ MOU รวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้บริการจัดหางานของเอกชน ๓. การหารือเพิ่มเติมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีประเด็นที่ได้รับการพิจารณาร่วมกัน ได้แก่ ฝ่ายกัมพูชาขอให้ไทยช่วยเหลือในการแจกจ่ายเอกสารประจำตัวแรงงานกัมพูชาให้ถึงมือแรงงานที่มีรายชื่ออยู่ และรับพิจารณาแรงงานกัมพูชาที่อยู่ในกลุ่มที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติและอยู่ระหว่างรอรับเอกสารประจำตัว แต่ไม่ได้รับเนื่องจากโยกย้ายที่อยู่หรือเปลี่ยนนายจ้าง และอาจไม่สามารถติดตามตัวมารับเอกสารประจำตัวได้ โดยให้แรงงานกลุ่มนี้สามารถทำงานได้โดยไม่ถูกจับกุม รวมทั้งขอให้ไทยแจ้งจำนวนความต้องการแรงงานต่างด้าวของไทยและโควตาที่ไทยให้กับแรงงานกัมพูชาเพื่อพัฒนาการจัดส่งแรงงานเข้ามาทำงานในไทยให้ดีขึ้น โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานขอให้กัมพูชาดำเนินการจัดฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานกัมพูชาก่อนเดินทางมาทำงานในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||
20402 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 18 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2558 - 31 มีนาคม 2559) | นร04 | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๘ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๘-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ มีประชาชนเข้ารับบริการศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ ๒,๖๗๐,๐๑๖ เรื่อง แก้ไขแล้วเสร็จ ๒,๕๘๘,๕๑๔ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๙๕ ส่วนการดำเนินงานในระยะต่อไปยังคงเน้นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์ การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศในภาพรวม ๒. การปฏิรูปประเทศ การดำเนินการเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) ได้ดำเนินการพิจารณาประเด็นข้อเสนอการปฏิรูป รวม ๑๙ ประเด็น ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรและการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การประชุม G77 การประชุมผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงของประเทศกลุ่ม ๗๗ ว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา การประชุมจัดการประชุมประจำปีระหว่างประธานและผู้ประสานงานของกลุ่ม ๗๗ ครั้งที่ ๔๗ การเข้าร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ ของนายกรัฐมนตรี การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
20403 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกระสอบ ตำบลบางน้ำผึ้ง ตำบลบางยอ ตำบลบางกะเจ้า และตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และข้อเสนอเชิงนโยบาย | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกระสอบ ตำบลบางน้ำผึ้ง ตำบลบางยอ ตำบลบางกะเจ้า และตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกระสอบ ตำบลบางน้ำผึ้ง ตำบลบางยอ ตำบลบางกะเจ้า และตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยกำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม มาตรการห้ามกระทำการหรือกิจกรรม มาตรการบริหารจัดการและกำกับดูแลผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการจัดทำแผนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมดังกล่าวต้องคำนึงถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งจากภาครัฐและเอกชน และต้องมีอุตสาหกรรมการบริการและเพื่อการสาธารณูปโภคสำหรับรองรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวและสำหรับการบริการเพื่อความสะดวกของประชาชนในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบข้อเสนอเชิงนโยบาย ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่บางกะเจ้า การจัดการระบบนิเวศน์ การดำเนินการเกี่ยวกับผังเมือง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อเสนอฯ ในประเด็นการสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่บางกะเจ้า ที่จะไม่ละทิ้งพื้นที่และช่วยรักษาต้นไม้และระบบนิเวศน์ โดยการลดค่าใช้จ่ายในการใช้สาธารณูปโภค การสนับสนุนด้านการสาธารณสุขในการเข้าไปรักษาพยาบาลของรัฐในกรุงเทพมหานคร การชดเชยที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินเพื่อให้ประชาชนไม่ละทิ้งพื้นที่และช่วยรักษาต้นไม้และระบบนิเวศน์ดังกล่าว รวมทั้งข้อเสนอฯ ในประเด็นรัฐบาลควรมีนโยบายที่จะย้ายโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าออกจากพื้นที่บางกะเจ้า ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20404 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา กรมทางหลวงได้แบ่งการดำเนินการก่อสร้างออกเป็น ๔๐ ช่วง เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ระยะทางรวมทั้งสิ้น ๒๐๕.๑๒ กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง ๖๙,๙๗๐ ล้านบาท โดยจะดำเนินการประกวดราคา และลงนามในสัญญาภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๕ ช่วง และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑๕ ช่วง ๒. โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี กรมทางหลวงได้แบ่งการดำเนินการก่อสร้างออกเป็น ๒๕ ช่วง เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ระยะทางรวมทั้งสิ้น ๑๐๖.๒๗ กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง ๔๓,๗๐๐ ล้านบาท โดยจะดำเนินการประกวดราคา และลงนามในสัญญาภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๗ ช่วง และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑๘ ช่วง ๓. การบริหารจัดการและบำรุงรักษา (0peration and Maintenance) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองทั้ง ๒ โครงการดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายให้ดำเนินการโดยให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๒๔ ทั้งนี้ คาดว่าจะคัดเลือกเอกชนผู้รับสัมปทานภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เริ่มก่อสร้างงานระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ และสามารถเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ |
||||||||||||||||||||||||
20405 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) สถานการณ์น้ำและการคาดการณ์ (๒) การจัดการน้ำในต่างประเทศ (ประเทศสิงคโปร์และประเทศอิสราเอล) (๓) แผนและผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙ และกรอบการดำเนินงานปี ๒๕๖๐-๒๕๖๙ และ (๔) ประชารัฐ : บริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริสู่ความยั่งยืน ๑.๒ เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) การปรับแผน (เพิ่มเติม) ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (๒) แนวทางการพิจารณาใช้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตรา ๔๔ (๓) โครงการผันน้ำหลากลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง (๔) โครงการบรรเทาอุทกภัยเขตเศรษฐกิจเมืองสุโขทัย (๕) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำ และ (๖) การเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันระหว่างคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ และคณะกรรมการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการในหลายพื้นที่ควรจะต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการและการบำรุงรักษาทางด้านเทคนิค เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของโครงการฯ สำหรับโครงการใดเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานให้ทันกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแต่ละโครงการ และดำเนินการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามนโยบายแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ดังกล่าว เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ผลการศึกษาจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และงบประมาณที่ชัดเจนแล้ว ให้หน่วยงานใช้จ่ายจากเงินเหลือจ่ายหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน รวมทั้งแหล่งงบประมาณอื่นตามนัยมติของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหากไม่เพียงพอ ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นเหมาะสม โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. กรณีเรื่องใดที่เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20406 | ขอความเห็นชอบให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมและการฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมและฝึกอบรม ๓ รายการ ได้แก่ ๑.๑.๑ การประชุม IAEA/RCA Mid-Term Progress Review Meeting ระหว่างวันที่ ๒๗ มิถุนายน-๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๑.๒ การฝึกอบรม Region Training Course on Taxonomy and Identification of Fruit Fly Pest Species Southeast Asia ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๑.๓ การฝึกอบรม Region Training Course on Management Options for Disused Sealed Radioactive Sources (DSRS) of Category 3-5, including a Practical Demonstration of Conditioning Procedure ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติดำเนินการประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ทราบและแจ้งทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ตามแนวทางปฏิบัติต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวกับการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่เห็นควรระบุยืนยันในหนังสือตอบรับของฝ่ายไทยว่า ไทยจะสามารถให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่บุคคลที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับความตกลงว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของ IAEA เท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องออกหรือแก้ไขพระราชบัญญัติเพื่อรองรับพันธกรณีในเรื่องนี้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20407 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 28/2559 เรื่อง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย | สลธ.คสช. | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๘/๒๕๕๙ เรื่อง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๕ ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย สั่ง ณ วันที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่าคำสั่งนี้เป็นการดำเนินการในขณะที่มีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติหาวิธีการทำให้ยั่งยืนในรัฐธรรมนูญใหม่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
20408 | ผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคง รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2559 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัย และมั่นคง รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๘-๑๘ เมษายน ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. การอำนวยการด้านความสะดวกในการเดินทาง ระหว่างวันที่ ๘-๑๘ เมษายน ๒๕๕๙ รวมระยะเวลา ๑๑ วัน สามารถให้บริการรองรับการเดินทางของประชาชนได้อย่างเพียงพอและไม่มีผู้โดยสารตกค้าง โดยมีประชาชนเดินทางโดยใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทรวมทั้งสิ้น ๒๐,๒๖๔,๓๕๙ คน และได้ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ น. ของวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ เวลา ๒๔.๐๐ น. เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บเงินช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้คอยให้บริการตลอด ๒๔ ชั่วโมง ดูแลความสะอาด และจัดเพิ่มบริการรถ Taxi ให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสารภายในท่าเรือ สถานีขนส่ง ท่าอากาศยานและอาคารผู้โดยสาร สถานีรถไฟ และสถานีรถไฟฟ้า ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่ของศูนย์ความปลอดภัยคมนาคมคอยรับโทรศัพท์ (Call Center) สายด่วน ๑๓๕๖ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ประชาชน ๒. สถิติจำนวนอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ ๓,๔๔๗ ครั้ง เพิ่มขึ้นจากสงกรานต์ ๒๕๕๘ จำนวน ๗๔ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๒.๑๙ มีผู้เสียชีวิต ๔๔๒ คน เพิ่มขึ้นจากสงกรานต์ ๒๕๕๘ จำนวน ๗๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๔๓ และมีผู้บาดเจ็บ ๓,๖๕๖ คน เพิ่มขึ้นจากสงกรานต์ ๒๕๕๘ จำนวน ๙๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๒.๗๓ ๓. มาตรการที่จะดำเนินการต่อไป ได้ให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมดำเนินการในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มเติม เช่น การเพิ่มมาตรการเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในทุกช่วงเวลา ไม่เฉพาะช่วงเทศกาล และการปลูกฝังค่านิยมการขับขี่ที่ปฏิบัติตามกฎจราจรตั้งแต่ในระดับเยาวชน การประชาสัมพันธ์และรณรงค์การสร้างจิตสำนึกให้ตระหนักว่าอุบัติเหตุเป็นภัยใกล้ตัว การไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ขับรถเร็ว เมาแล้วขับ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะทำให้มีการสูญเสียชีวิตหรือพิการได้ การติดตั้งป้ายจำกัดความเร็วให้ชัดเจนและติดตั้งกล้องตรวจจับความเร็วบนถนน และการกำหนดให้เปิดไฟหน้าขบวนรถไฟในเวลากลางวันเพื่อให้ผู้ขับขี่รถยนต์หรือคนข้ามทางรถไฟสามารถสังเกตเห็นรถไฟได้อย่างชัดเจน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
20409 | มาตรการกำกับดูแลสินค้าสำคัญ 205 รายการ และบริการ 20 รายการ เดือนมิถุนายน 2559 | พณ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานมาตรการกำกับดูแลสินค้าสำคัญ ๒๐๕ รายการ และบริการ ๒๐ รายการ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งได้มีการประเมินและคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ด้านราคาและปริมาณของสินค้าและบริการ โดยได้ปรับเปลี่ยนการจัดระดับความสำคัญของสินค้า ๓ กลุ่ม เป็นดังนี้
๑. กลุ่ม Sensitive List (SL) หรือสินค้าและบริการมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ ติดตามราคาและภาวะเป็นประจำทุกวัน จากเดิม ๓๐ รายการ เป็น ๒๘ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นจาก Priority Watch List (PWL) ๑ รายการ ได้แก่ น้ำตาลทราย และปรับลดลงเป็น Priority Watch List (PWL) ๓ รายการ ได้แก่ สบู่ แชมพู และผงซักฟอก ๒. กลุ่ม Priority Watch List (PWL) หรือสินค้าและบริการที่ติดตามราคาและภาวะอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง จากเดิม ๕ รายการ เป็น ๘ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น Sensitive List (SL) ๑ รายการ ได้แก่ น้ำตาลทราย และปรับเพิ่มขึ้นจาก Watch List (WL) ๑ รายการ ได้แก่ ท่อพีวีซี และปรับลดลงจาก Sensitive List (SL) ๓ รายการ ได้แก่ สบู่ แชมพู และผงซักฟอก ๓. กลุ่ม Watch List (WL) หรือสินค้าและบริการที่ติดตามราคาและภาวะอย่างใกล้ชิดเป็นประจำทุกปักษ์ จากเดิม ๑๗๐ รายการ เป็น ๑๖๙ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น Priority Watch List (PWL) ๑ รายการ ได้แก่ ท่อพีวีซี
|
||||||||||||||||||||||||
20410 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2558 | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ความเคลื่อนไหวที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลก ระดับอาเซียน และในประเทศไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเน้นการเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ๒. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา พบว่า สถานการณ์สิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ได้แก่ สถานการณ์มลพิษ มลภาวะจากฝุ่นละออง ขยะชุมชนและขยะตกค้างมีปริมาณลดลง รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง ได้แก่ การสูญเสียพื้นที่ป่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและการใช้ทรัพยากรอย่างเกินความพอดี ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการเกิดปัญหาภัยแล้ง ๓. สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษในประเทศไทย และการบริหารจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติ ๔. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ (๑) ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยควรยึดหลักการป้องกันไว้ก่อนในการกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม (๒) ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เศรษฐกิจสีเขียว และแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง (๓) สนับสนุนการบูรณาการทางความคิด การวางแผนงาน และการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ และ (๔) กำหนดให้มีการประเมินผลกระทบและผลได้ของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ ๕. ข้อเสนอแนะเชิงมาตรการ ได้แก่ (๑) พัฒนาระบบสารสนเทศและการจัดเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของหน่วยงาน โดยให้มีการรวบรวมเรื่องที่สำคัญอย่างสม่ำเสมอและเน้นการจัดเก็บข้อมูลตามสาขาสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ (๒) สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของภาคเอกชนและภาคประชาชน (๓) ใช้กลไกงบประมาณเพื่อเป็นเครื่องมือในการยกระดับความสำคัญของประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม และ (๔) พัฒนาเครื่องมือที่ทันสมัยในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||
20411 | สรุปผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ 17 - 20 พฤษภาคม 2559 | ยธ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของนายกรัฐมนตรีในระหว่างการเยือนนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับรัสเซียอย่างเป็นรูปธรรมและอย่างรอบด้าน ซึ่งถือเป็นประเทศแรกนอกภูมิภาคเอเชียที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนในลักษณะทวิภาคี ๒. การเข้าพบหารือข้อราชการกับ H.E. Mr. Igor ZUBOV รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยรัสเซีย ทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการลักลอบค้ายาเสพติด การลี้ภัย และการอพยพของมนุษย์อย่างผิดกฎหมาย โดยรัสเซียยืนยันว่าจะยังคงให้มีเจ้าหน้าที่ประสานงานด้านยาเสพติดอยู่ในประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการโอนตัวนักโทษระหว่างกัน ความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจด้านยาเสพติดระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของรัฐเซีย ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๙ และร่างแผนปฏิบัติการสำหรับความร่วมมือด้านยาเสพติดที่จะพิจารณาร่วมกันและจะมีการลงนามในอนาคต การแลกเปลี่ยนข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่ผลิตยาเสพติด เฮโรอีน และสารสังเคราะห์ การสนับสนุนในการออกคะแนนเสียงให้กับผู้แทนรัสเซียในองค์กรตำรวจสากล (INTERPOL) และการสนับสนุนบทบาทของรัสเซียในองค์กรตำรวจอาเซียน (ASEANAPOL) การส่งเสริมและผลักดันการทำงานผ่านคณะทำงานร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมไทย-รัสเซีย รวมทั้งการเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของไทยและคณะในการเดินทางเยือนรัสเซียเพื่อร่วมงานแสดงเทคโนโลยีเกี่ยวกับกิจการตำรวจ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ๓. การเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๖ (VI St. Petersburg International Legal Forum) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมแนวทางการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยขึ้นในสภาวะโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลที่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือทางกฎหมายเข้าไปช่วยดำเนินการ รวมทั้งมุ่งส่งเสริมแนวคิดแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งหวังให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปเป็นพื้นฐานในการปฏิรูป ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้หารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในประเด็นที่หลากหลายกับหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมจากประเทศต่าง ๆ รวมถึงได้เรียนรู้พัฒนาการใหม่ ๆ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของนานาประเทศเพื่อนำไปสู่การพัฒนากฎหมายที่สำคัญของประเทศไทยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20412 | สรุปผลการศึกษาดูงานคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย | กษ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการศึกษาดูงานคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้นำคณะทูตานุทูต ประจำประเทศไทย และสื่อมวลชนเดินทางไปจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ เพื่อศึกษาดูงานคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยของสินค้าเกษตรและอาหารของไทย เป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยของกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรของไทย ทั้งสินค้าพืชผักผลไม้ สินค้าประมง และสินค้าปศุสัตว์ รวมทั้งเผยแพร่แนวทางการดำเนินงานและนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ การลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าการผลิต และเผยแพร่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการเกษตรกับประเทศต่าง ๆ ๒. กิจกรรมการศึกษาดูงาน ประกอบด้วย (๑) การศึกษาดูงานการผลิตไก่สดและผลิตภัณฑ์ ณ บริษัท จีเอฟพีที นิชิเร (ไทยแลนด์) จำกัด จังหวัดชลบุรี (๒) การศึกษาดูงานการผลิตผลไม้ และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ณ สวนละไม จังหวัดระยอง (๓) การศึกษาดูงานโรงงานอาหารแปรรูปสัตว์น้ำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) จังหวัดระยอง และ (๔) การนำเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาทางการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างเส้นทางการเดินทาง
|
||||||||||||||||||||||||
20413 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้ว | สธ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมานิต ธีระตันติกานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป และให้มีวาระเท่ากับระยะเวลาที่เหลืออยู่ของคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบานแพ้วที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20414 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง | มท | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง ร้อยตำรวจเอก นิรุล รักษาเสรี เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง แทนนายกฤษฎา บุญราช ที่พ้นจากตำแหน่งกรรมการอื่น เนื่องจากลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20415 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการปกครอง | นร09 | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองชุดใหม่ แทนชุดเดิมที่ครบวาระ จำนวน ๑๐ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้
๑. นายกมลชัย รัตนสกาววงศ์ ประธานกรรมการ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๒. นายกฤษณ์ วสีนนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๓. นายเกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๔. นายเทพสิทธิ์ รักไตรรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๕. นายนิพนธ์ ฮะกีมี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๖. นายประสงค์ วินัยแพทย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๗. นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๘. นายยงยุทธ อนุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๙. นายสมยศ เชื้อไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๑๐. นายเอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์)
|
||||||||||||||||||||||||
20416 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2559) | นร | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20417 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | กค | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
20418 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑ เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑๐-๒๒/๒๕๕๓ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่ของประเทศ รวมถึงการประเมินคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ ประเมินสถานการณ์และพิจารณาขีดจำกัด รวมทั้งความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์พื้นที่ดังกล่าวเพื่อการทำเหมืองแร่ในภาพรวมให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20419 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เกี่ยวกับการให้องค์การมหาชนทั้ง ๓๙ หน่วยงาน จัดส่งร่างแก้ไขพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งมายังสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อนำเสนอ กพม. พิจารณา แล้วจึงตอบมติกลับไปยังองค์การมหาชนทุกแห่ง เพื่อนำส่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันทุกหน่วยงาน เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
20420 | การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 (ปรับปรุงใหม่) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 | กค | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ (ปรับปรุงใหม่) จากเดิม สิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน เป็น สิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ ๕ ยังคงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาต่อไปอีก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการทางการเงินผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในอนาคตด้วยความรอบคอบ โดยค้ำประกันสินเชื่อให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความจำเป็น ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง การคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการด้วยความระมัดระวังและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ การกระจายโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเข้าร่วมโครงการให้ทั่วถึงและไม่ซ้ำซ้อน การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการที่เหมาะสม การให้ บสย. เร่งประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การให้ความสำคัญกับการลดสัดส่วนหนี้ NPGs ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การประมาณการเป้าหมายการค้ำประกันสินเชื่อและวงเงินชดเชยที่ขอจัดสรรจากสำนักงบประมาณให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และการพิจารณากำหนดให้ บสย. นำรายได้จากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันมาร่วมสมทบจ่ายชดเชยค่าความเสียหายกรณีที่เป็น NPGs ด้วย เพื่อเป็นการลดภาระทางด้านงบประมาณของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการดำเนินการและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ ๕ (ปรับปรุงใหม่) เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
.....