ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1028 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 20541 - 20560 จากข้อมูลทั้งหมด 124193 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20541 | ขอความเห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารเรียน ศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน อาคารฝ่ายอำนวยการและสิ่งก่อสร้างประกอบ พร้อมครุภัณฑ์ ของสถาบันการบินพลเรือน | คค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้สถาบันการบินพลเรือนดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารเรียนศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน อาคารฝ่ายอำนวยการและสิ่งก่อสร้างประกอบ พร้อมครุภัณฑ์ของสถาบันการบินพลเรือน ในระยะที่ ๑ (ยกเว้นอาคารกีฬา วงเงิน ๗๔.๗ ล้านบาท) ในกรอบวงเงิน ๑, ๒๕๕.๔๘ ล้านบาท สำหรับอาคารกีฬาและการดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือ เห็นควรให้ชะลอการลงทุนไปจนกว่าสถาบันการบินพลเรือนจะมีความพร้อมในด้านฐานะทางการเงินโดยให้พิจารณาการลงทุนในส่วนที่มีความสำคัญและจำเป็นที่จะสามารถสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจของสถาบันการบินพลเรือนให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ตามความเห็นของประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและสถาบันการบินพลเรือนรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นว่า โครงการนี้เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ควรให้ความเห็นชอบในการดำเนินโครงการในระยะแรกก่อน ส่วนโครงการในระยะที่สองให้พิจารณาการลงทุนในส่วนที่มีความสำคัญและจำเป็นที่จะสามารถสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจของสถาบันการบินพลเรือนให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงบประมาณในการพิจารณาแหล่งเงินทุนโครงการให้เกิดความเหมาะสม โดยให้พิจารณาจากสภาพคล่องที่มีอยู่ของสถาบันการบินพลเรือนเป็นลำดับแรกแต่ต้องไม่กระทบกับสภาพคล่องในการดำเนินกิจการปกติขององค์กร นอกจากนี้ สำนักงบประมาณ กระทรวงคมนาคม สถาบันการบินพลเรือน และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยควรร่วมกันกำหนดแผนธุรกิจในระยะยาวและปรับอัตราค่าเล่าเรียนให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงบประมาณในการพิจารณาแหล่งเงินทุนโครงการให้เกิดความเหมาะสมต่อไป โดยขอให้พิจารณาจากสภาพคล่องที่มีอยู่ที่ปราศจากภาระผูกพันของสถาบันการบินพลเรือนเป็นลำดับแรกแต่ต้องไม่ให้กระทบกับสภาพคล่องในการดำเนินกิจการปกติขององค์กรต่อไปได้ ตามความเห็นของประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย) และกระทรวงกลาโหม (กองทัพอากาศ) เร่งรัดการจัดทำแผนการผลิตนักบินให้สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศโดยพิจารณาร่วมกับสถาบันด้านการบินของทั้งภาครัฐ กองทัพอากาศ และภาคเอกชน โดยเฉพาะในส่วนของปริมาณและประเภทนักบินที่ต้องการ รวมทั้งการแบ่งภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการระหว่างภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการผลิตนักบินให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๙ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20542 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 11 | กห | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑๑ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทย และพลเอก เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยมีประเด็นหารือ ๒ ด้าน สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน ได้แก่ จุดผ่านแดนและการสัญจรข้ามแดน ความร่วมมือด้านแรงงาน ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติด ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมอื่น ๆ ในพื้นที่ชายแดน ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การส่งเสริมความปลอดภัยทางทะเล และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยกับหน่วยทหารและตำรวจของกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน ๒. ความร่วมมือด้านอื่น ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านการค้าบริเวณชายแดน ความร่วมมือด้านการเกษตร ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ความร่วมมือด้านการบรรเทาสาธารณภัย และความร่วมมือแก้ไขปัญหาที่อาจเป็นข้อขัดแย้งซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา (ระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ) และประเด็นอื่น ๆ เช่น การสนับสนุนการดำเนินการตามผลการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๕ ที่ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินความร่วมมือในเรื่องต่าง ๆ และสนับสนุนผลการประชุมร่วมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างคณะรัฐมนตรี (Joint Cabinet Retreat : JCR) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๒ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดให้สามารถเปิดเดินรถไฟระหว่างกันภายในปี ๒๕๕๙ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20543 | การจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างปี พ.ศ. 2559 - 2562 | วธ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศให้ขยายผลยิ่งขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่องในระยะเวลา ๔ ปี ครอบคลุมกิจกรรมการแลกเปลี่ยนการเยือนและจัดกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกัน มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกันและมีศักยภาพ อาทิ ด้านโบราณคดี การอนุรักษ์โบราณสถาน ศิลปวัตถุและศาสนสถาน การจัดนิทรรศการด้านพุทธศาสนา การแลกเปลี่ยนการจัดการแสดงของคณะนาฏศิลป์และศิลปะการแสดงพื้นบ้าน รวมทั้งความร่วมมือในสาขาทัศนศิลป์ จดหมายเหตุ หอสมุด สื่อสิ่งพิมพ์ หัตถกรรมพื้นบ้าน และการแปลงานวรรณกรรม เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในแผนปฏิบัติการฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามในแผนปฏิบัติการฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20544 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ยูเครน | คค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ยูเครน ร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย-ยูเครน และหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและยูเครน ซึ่งมีสาระสำคัญในการเพิ่มข้อบทการปรับปรุงแก้ไขความตกลงฯ ได้แก่ ความปลอดภัยการบิน การกำหนดสายการบินและการอนุญาตดำเนินการ พิกัดอัตราค่าขนส่ง การปกป้องการแข่งขัน และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน รวมถึงการปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางบินให้เป็นแบบเปิด และเพิ่มสิทธิความจุความถี่จากเดิมเป็น ๓ เที่ยวต่อสัปดาห์เป็น ๒๑ เที่ยวต่อสัปดาห์ เพื่อให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์การบินในปัจจุบันและกฎหมายภายในของทั้งสองฝ่าย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในพิธีสารแก้ไขความตกลงดังกล่าว และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลบังคับใช้ของบันทึกความเข้าใจและพิธีสารแก้ไขความตกลงฯ ระหว่างไทย-ยูเครน ต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20545 | การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2555 - 2558 | กค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาการอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ รับทราบการรายงานผลการติดตามการก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๓ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ประกอบด้วย (๑) เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๙,๔๐๔.๐๙ ล้านบาท และ (๒) เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒,๖๙๕.๖๗ ล้านบาท ทั้งนี้ หน่วยงานใดไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณดังกล่าวได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้เงินงบประมาณนั้นพับไป ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ในกรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐส่งเรื่องรายการเงินงบประมาณดังกล่าวให้กระทรวงการคลังเพิ่มเติมในภายหลัง และให้กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายการที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวไปดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๑ ภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ เพื่อให้สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20546 | การเข้าร่วมงานนิทรรศการโลก Astana Expo 2017 ณ ประเทศสาธารณรัฐคาซัคสถาน | พณ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเข้าร่วมงานนิทรรศการโลก Astana Expo 2017 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐ มิถุนายน-๑๐ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงอัสตานา ประเทศสาธารณรัฐคาซัคสถาน โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบการเข้าร่วมงานฯ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นหน่วยงานสนับสนุนการเข้าร่วมงานฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ครอบคลุมครบถ้วนและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และเห็นควรให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการและสนับสนุนค่าใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20547 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20548 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๕๐ ท่าน โดยกำหนดสัดส่วนของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นกรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อจำนวนไม่เกิน ๑ ใน ๕ ของคณะกรรมาธิการฯ หรือจำนวนไม่เกิน ๑๐ ท่าน และกรรมาธิการในสัดส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ๔๐ ท่าน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20549 | แต่งตั้งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค (นายเสรี ศุภราทิตย์) | มท | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนาย เสรี ศุภราทิตย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ตามมติคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20550 | การรับโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี (นายรังสรรค์ มณีเล็ก) | นร | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายรังสรรค์ มณีเล็ก ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20551 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบประมาณทั้งสิ้น ๒,๗๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๑,๗๘๙,๐๗๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๕.๗๗ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ จำนวน ๑๖๘,๐๘๙ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๗๗ (เป้าหมายภาพรวม ร้อยละ ๖๕.๐๐) ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๑๗๕,๖๔๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๕๖๓,๘๑๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๑.๘๘ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๕๔๔,๓๕๔ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๒๕,๒๖๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๑.๓๘ ๒. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบประมาณทั้งสิ้น ๕๖,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๑๐,๗๗๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๙.๒๔ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๔๑,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๐,๗๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๖.๑๒ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๐.๔๓ ๓. เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๘ รวมทั้งสิ้น ๓๐๗,๘๕๑ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๘๔,๐๔๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๙.๗๘ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ จำนวน ๑๒,๘๙๙ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๖๔,๑๓๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๕.๘๐ ๔. นโยบายสำคัญของรัฐบาล ๔.๑ โครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัด) แล้ว จำนวน ๓๖,๔๖๒ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๘,๙๕๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๙.๔๒ มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๓๔,๕๘๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๘๔ ๔.๒ มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๓๗,๙๐๗ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๓๓,๓๒๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๗.๙๐ มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๓๔,๔๖๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๐.๙๓ ๔.๓ โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (หมู่บ้านละ ๒ แสนบาท) จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๔,๙๑๘ ล้านบาท โอนจัดสรรงบประมาณเข้าบัญชีหมู่บ้านแล้ว จำนวน ๑,๑๒๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗.๕๕ และหมู่บ้านเบิกจ่ายแล้ว ๑๘ โครงการ จำนวน ๓ ล้านบาท ๕. เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) แผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) จำนวน ๓๐๐,๕๓๐ ล้านบาท ณ สิ้นเดือนเมษายน ๒๕๕๙ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๗๑,๙๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๓.๙๕ ของแผนการลงทุนทั้งปี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20552 | การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 เรื่อง รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง และการแก้ปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) | อก | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เรื่อง รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแก้ไขปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ในรูปแบบวีดิทัศน์ โดยไม่มีเอกสารเสนอคณะรัฐมนตรี จึงให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวและมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรายงานในรูปแบบวีดิทัศน์ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ให้เป็นที่เข้าใจอย่างถูกต้องตรงกัน ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20553 | วีดิทัศน์เรื่อง รายงานการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีในการประชุม "SEP in Business : G77 Forum on the Implementation of the Sustainable Development Goals" | อื่นๆ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานด้วยวีดิทัศน์เกี่ยวกับการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีในการประชุม “SEP in Business : G77 Forum on the Implementation of the Sustainable Development Goals” ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีได้เปิดการประชุมประเทศสมาชิกกลุ่ม ๗๗ และนำเสนอเกี่ยวกับการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับภาคธุรกิจ โดยย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และย้ำถึงความพร้อมของไทยที่จะแบ่งปันประสบการณ์แก่ประเทศต่าง ๆ ในการพัฒนาประเทศตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยส่งเสริมการบริหารจัดการที่ยั่งยืนในภาคธุรกิจ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิรูประบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0” เพื่อหลุดพ้นจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” โดยใช้พลังกลไก “ประชารัฐ” ๑.๒ ที่ประชุมเห็นว่า แนวทางการพัฒนาประเทศตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความสอดคล้องกับ SDGs จึงสนับสนุนให้มีการนำไปปรับใช้ในประเทศต่าง ๆ ๑.๓ กิจกรรมอื่น ๆ เช่น (๑) การจัดเสวนาเกี่ยวกับการนำแนวทางการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในภาคธุรกิจโดยเฉพาะในบริษัทขนาดใหญ่ และ (๒) การจัดนิทรรศการอย่างมีส่วนร่วมในลักษณะ “World Cafe” ของมูลนิธิมั่นพัฒนา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีโอกาสเรียนรู้และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่ประสบความสำเร็จจากการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำเนินการ ๑.๔ ในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ประเทศไทยจะจัดการประชุมด้านเศรษฐกิจพอเพียงในระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศ ๗๗ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้มีการบรรจุหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในร่างปฏิญญาของรัฐมนตรีกลุ่มประเทศ ๗๗ ด้วย ๒. นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำข้อมูลและแนวทางในการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ที่องค์การสหประชาชาติใช้กำหนดทิศทางการพัฒนาของโลกในอีก ๑๕ ปีข้างหน้า (ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๓๐) และแจ้งให้ส่วนราชการทราบและดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20554 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | อื่นๆ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดินของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๑ (ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา) ได้จัดทำแผนการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา ได้แก่ ๑.๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย มีเป้าหมายให้คนไทยในอนาคตต้องมีศักยภาพเพียงพอ มีความมั่นคงในชีวิต มีครอบครัวที่อยู่ดีมีสุข ทุกภาคส่วนร่วมมือและรับผิดชอบต่อสังคม มีตัวชี้วัดในการประเมินและติดตาม ครอบคลุมเด็กและเยาวชน สตรีและครอบครัว คนพิการ ผู้สูงอายุ คนไร้ที่พึ่ง/ขอทาน/ผู้ด้อยโอกาส ๑.๒ ด้านการศึกษา มีเป้าหมายพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ประชากรทุกช่วงวัยเข้าถึงโอกาสและความเสมอภาค ผู้เรียนแต่ละระดับได้รับการพัฒนาขีดความสามารถ มีทรัพยากรและทุนเพียงพอ มีระบบบริหารและจัดการที่มีประสิทธิภาพ ๑.๓ ด้านแรงงาน มีเป้าหมายในการจัดหา คุ้มครอง พัฒนา และสร้างหลักประกันให้แก่แรงงาน เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีทักษะฝีมือ มีรายได้สูง ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกัน ๑.๔ ด้านปัจจัยแวดล้อม ประกอบด้วยด้านสังคม เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัยของโลก การพัฒนาศักยภาพและระดับคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การค้ามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่การค้าเสรีมากขึ้น มีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ๔.๐ ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ เช่น บทบาทประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคอาเซียน การสรรหาและพัฒนาข้าราชการที่มีคุณภาพทดแทนข้าราชการที่เกษียณอายุ เป็นต้น ๒. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานด้านกฎหมาย ระบบราชการ กระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ๒.๑ ด้านกฎหมาย ได้ดำเนินการเร่งรัดการออกกฎหมายโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน ๑๗๒ ฉบับ และดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือเร่งด่วนทางบริหารหรือนิติบัญญัติ โดยออกเป็นคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติซึ่งใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ รวมทั้งขับเคลื่อนกฎหมายสำคัญทางด้านกฎหมายเศรษฐกิจ กฎหมายที่ออกตามพันธกรณีระหว่างประเทศ กฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำ กฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการ มนุษยธรรมและแก้ปัญหาสังคม กฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ๒.๒ ด้านระบบราชการ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาระบบราชการ โดยให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายทุก ๕ ปีที่กฎหมายใช้บังคับ ตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งวางหลักเกณฑ์ในการจัดทำแบบตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) รวม ๑๐ ประการ และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบราชการ โดยออกพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒.๓ ด้านกระบวนการยุติธรรม ได้มีการเร่งรัดนำคดีที่คั่งค้างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แก้ไขปัญหาด้านวิธีพิจารณาคดีให้รวดเร็วขึ้น โดยแก้ไขให้มีการโอนคดีได้ การให้คดีแพ่งสิ้นสุดในศาลอุทธรณ์ ให้มีการจัดตั้งแผนกคดีค้ามนุษย์ ยาเสพติด และให้มีการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งให้มีกองทุนยุติธรรมขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า ตามที่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น กรณีการเกิดเพลิงไหม้อาคาร ๗ ชั้น บริเวณซอยนราธิวาสราชนครินทร์ ๑๘ กรุงเทพมหานคร และกรณีเพลิงไหม้ที่พักนักเรียนหญิง โรงเรียนพิทักษ์เกียรติวิทยา อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่า อาคารที่เกิดเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ไม่มีระบบป้องกันหรือระงับอัคคีภัย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีมาตรการด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในอาคาร ได้แก่ ๓.๑ มีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาคารซึ่งจะบังคับใช้ในพื้นที่ที่กฎหมายกำหนด ๓.๒ การกำหนดประเภทของอาคารที่ต้องตรวจสอบ ๙ ประเภท เช่น อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน ซึ่งจะต้องจัดให้มีการตรวจสอบอาคารทุกปีและตรวจสอบใหญ่ในทุก ๕ ปี ตลอดอายุการใช้งาน หากผลการตรวจสอบไม่ผ่านหลักเกณฑ์จะต้องปรับปรุงแก้ไขอาคารเพื่อให้มีความปลอดภัยต่อการใช้งานได้ตามเกณฑ์มาตรฐานต่อไป กรณีมีการฝ่าฝืนกฎหมายได้กำหนดบทลงโทษไว้ ๓.๓ พื้นที่นอกเขตควบคุมอาคารที่ต้องตรวจสอบมี ๔ ประเภท ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน และโรงมหรสพ ไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ใดให้ถือว่าเป็นพื้นที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารด้วย ๓.๔ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครให้แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งให้สำรวจและแจ้งให้เจ้าของอาคารที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบตามกฎหมายดำเนินการตรวจสอบอาคารให้แล้วเสร็จทั้งหมดโดยเร็ว และรายงานผลให้กระทรวงมหาดไทยทราบภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ๓.๕ กรณีอาคารอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดัดแปลงหรือรื้อถอนอาคาร ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย หากพบการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัดต่อไป ๓.๖ กรณีอาคารเก่าที่เป็นอาคารสาธารณะ หรืออาคารที่มีผู้ใช้สอยจำนวนมาก ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสำรวจและตรวจสอบอาคาร หากพบว่ามีสภาพไม่ปลอดภัยให้สั่งให้แก้ไขอาคารหรือระบบอุปกรณ์ให้มีความปลอดภัยหรือห้ามใช้อาคารได้ ๓.๗ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดกำชับเจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบอาคารอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ที่อาจเกิดเหตุสาธารณภัย เช่น อัคคีภัยและวาตภัย ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20555 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการน้อมนำพระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับการทำนุบำรุงและพัฒนาแหล่งน้ำและป่าไม้ไปดำเนินการขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและสร้างการรับรู้แก่สาธารณชนต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการกำหนดมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อให้สามารถนำรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ได้จริงภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ในระยะแรกอาจให้เดินรถภายในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลก่อน โดยให้คำนึงถึงความสะดวกปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้บริการเป็นสำคัญด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการของหน่วยงาน กรณีขบวนการทำรถยนต์จดประกอบ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรฐานอาชีพให้ครอบคลุมทุกอาชีพที่มีลักษณะการปฏิบัติงานที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว เช่น ผู้ให้บริการหรือผู้ควบคุมเครื่องเล่น ผู้ขับขี่ยานพาหนะสาธารณะ ทั้งนี้ ในส่วนอาชีพที่มีการกำหนดมาตรฐานอาชีพอยู่แล้วให้พิจารณายกระดับมาตรฐานอาชีพตามความเหมาะสม รวมทั้งมีมาตรการในการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดต่อไป เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20556 | วีดิทัศน์ เรื่อง รายงานผลการจัดงานแสดงสินค้าอาหาร 2559 (THAIFEX 2016) | พณ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รายงานด้วยวีดิทัศน์เรื่อง รายงานผลการจัดงานแสดงสินค้าอาหาร ๒๕๕๙ (THAIFEX 2016) ว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับหอการค้าไทยและโคโลญเมซเซ (Koelnmesse) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้จัดงาน THAIFEX-World of Food Asia 2016 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ ๓ ของเอเชีย ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าของอุตสาหกรรมอาหารไทยในตลาดโลก มีผู้เข้าแสดงสินค้า ๑,๙๑๙ บริษัท ในจำนวนนี้เป็นผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศ ๔๐ ประเทศ ภายในงานจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๕ กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ (๑) อาหารและเครื่องดื่มทุกประเภท รวมทั้งสินค้าอาหารฮาลาลและสินค้าเกษตรอินทรีย์ (๒) เทคโนโลยีการผลิตอาหาร (๓) การบริการจัดเลี้ยงและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (๔) ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม และ (๕) ธุรกิจค้าปลีกอาหารและแฟรนไชส์ ทั้งนี้ ตลอดการจัดงานทั้ง ๕ วัน มีผู้เข้าชมงานประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ คน จาก ๙๐ ประเทศ มีการจับคู่เจรจาธุรกิจ จำนวน ๓๒๖ คู่ สร้างมูลค่าการซื้อขายประมาณ ๖๐๐ ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายภายในงานรวมทั้งสิ้นกว่า ๙,๖๐๐ ล้านบาท ๒. นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการแปรรูปสินค้าเกษตรและส่งเสริมการตลาดให้เกิดความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน โดยให้นำกลไกประชารัฐมาใช้ในการดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20557 | วีดิทัศน์เรื่อง รายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนาครูแกนนำด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ "English Boot Camp" | ศธ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายงานด้วยวีดิทัศน์เรื่อง ความคืบหน้าในการจัดทำโครงการพัฒนาครูแกนนำด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ “English Boot Camp” ว่า โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกอบรมพัฒนาทักษะการสอนของครูสอนภาษาอังกฤษ โดยในเบื้องต้นมีครูสอนภาษาอังกฤษเข้ารับการฝึกอบรม จำนวน ๓๕๐ คน ซึ่งเมื่ออบรมแล้วเสร็จ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีการติดตามและประเมินผลการสอนของครูที่เข้ารับการฝึกอบรม โดยครูที่เข้ารับการฝึกอบรมจะต้องจัดทำวีดิทัศน์ตัวอย่างการสอนเพื่อใช้ประกอบการประเมินผลด้วย ทั้งนี้ ในระยะต่อไปจะนำครูที่เข้ารับการฝึกอบรมที่มีศักยภาพโดดเด่นมาพัฒนาเป็นวิทยากรในการฝึกอบรมเพื่อขยายผลโครงการให้สามารถฝึกอบรมครูสอนภาษาอังกฤษเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย ๒. นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ กำกับติดตามดูแลครูที่ผ่านการฝึกอบรมให้นำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปปฏิบัติอย่างจริงจัง และให้รายงานปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาเทคนิคการสอนต่อไป รวมทั้งให้มีการประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนที่เรียนกับครูที่ผ่านการฝึกอบรม ทั้งนี้ ให้พิจารณานำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการดำเนินการการจัดการเรียนการสอนดังกล่าวด้วย ๒.๒ จัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ รวมทั้งครูที่ผ่านการฝึกอบรมในระยะ ๖ เดือน และนำผลการประเมินมาปรับปรุงและขยายผลการดำเนินโครงการเพื่อให้ครูสอนภาษาอังกฤษได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวอย่างทั่วถึงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20558 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | อื่นๆ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑ ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๑.๒ เรื่อง ขอทราบความคืบหน้าการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและส่งข้อมูลการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายเพิ่มเติมของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตรากฎหมายลำดับรอง ตามร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ชุดที่ ๒) และชุดที่ (๓) รวมจำนวน ๕๐ ฉบับ และแจ้งผลการดำเนินงานตรากฎหมายลำดับรองไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20559 | พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20560 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 3 ราย 1. นายวีระวุฒิ ศรีเปารยะ ฯลฯ) | กค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระวุฒิ ศรีเปารยะ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๒. นายจำเริญ โพธิยอด ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ ๓. นายเอกวัฒน์ มานะแก้ว ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ |
.....