ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 65 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 1281 - 1300 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1281 | ร่างปฏิญญากรุงเทพด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม | ทส | 16/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบสาระสำคัญในร่างปฏิญญากรุงเทพด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะให้การรับ รองปฏิญญากรุงเทพด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่มีการลงนาม ในการประชุมนานาชาติด้านการขน ส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 5 ในระหว่างวันที่ 23-25 สิงหาคม 2553 ณ กรุงเทพมหานคร โดยสาระสำคัญ ของร่างปฏิญญาดังกล่าว เป็นการแสดงเจตนารมณ์จากผู้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่ง แวดล้อม ครั้งที่ 5 ที่จะมีความร่วมมือกันในการจัดการระบบการขนส่งที่ปลอดภัย สนองตอบความต้องการ และเป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานในการรับรองปฏิญญากรุง เทพด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่มีการลงนาม และให้สามารถปรับเปลี่ยนถ้อยคำได้ตามความเหมาะ สม
|
|||||||||||||||||||||
1282 | แนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรทรายของประเทศ | ทส | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 9
มิถุนายน 2552 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรทรายในการปรับปรุงการ บริหารจัดการภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพ โดยให้กรมที่ดินในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะ กรรมการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทราย (ทรายในแม่น้ำ) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ทรายในที่ดินกรรมสิทธิ์ของ เอกชน) เป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระบบระเบียบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ 2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ตามข้อ 1 โดย 2.1 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประมวลการปรับปรุงกฎหมายที่จะต้องรองรับการ เปลี่ยนแปลงกฎหมายปัจจุบันเพื่อให้ทรัพยากรทรายเป็นแร่ โดยไม่กระทบต่อหลักการของกฎหมายที่ใช้อ้างอิง หรือ อาจพิจารณาดำเนินการให้มีกฎหมายเป็นการเฉพาะ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทรายในอนาคต 2.2 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลผลการศึกษาจากโครงการวางแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมจากการ ใช้ทรัพยากรทราย ที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ศึกษาไว้แล้ว ไปใช้พิจารณา ประกอบการดำเนินงานต่อไป 2.3 ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติงบประมาณเป็นกรณีพิเศษในการดำเนินงานตามแนวทางการ บริหารจัดการทรัพยากรทรายฯ และให้หน่วยงานหลักเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี หลังจากมีมติคณะ รัฐมนตรี |
|||||||||||||||||||||
1283 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 34 : กรณีปราสาทพระวิหาร และการเสนอขอเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 36 | ทส | 03/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม -3 สิงหาคม 2553 ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล 1.2 เห็นชอบให้ราชอาณจักรไทยในฐานะคณะกรรมการมรดกโลก (วาระปี ค.ศ. 2009-2013) รับเป็น เจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 36 ในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) เพื่อแสดงบท บาทและศักยภาพความพร้อมของไทยในเวทีโลก รวมทั้งเพื่อสร้างสัมพันธภาพและความร่วมมือกับกรรมการมรดกโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกโลกจากประเทศต่าง ๆ 2. เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง เห็นควรจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อกำกับดูแลและติดตามการดำเนิน การในเรื่องดังกล่าวโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ ผู้แทน จากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนัก งานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น เป็นกรรมการ และอาจมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการด้วย ทั้งนี้ ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณากำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะ กรรมการดังกล่าวในรายละเอียด แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1284 | การรับรองข้อตกลงการเป็นพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก - ออสเตรเลีย (Partnership for the Conservation of Migratory Waterbirds and the Sustainable Use of their Habitats in the East Asian - Australasian Flyway) | ทส | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ซึ่งคณะกรรมการฯ มีมติดังนี้ 1.1 เห็นชอบในการรับรองข้อตกลงการเป็นพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย 1.2 มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานประสานงานกลางโครงการความร่วมมือพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นก อพยพ และการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย (Partnership for the Conservation of Migratory Waterbirds and the Sustainable Use of their Habitats in the East Asian-Australasian Flyway) 1.3 เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำที่มี ความสำคัญระดับนานาชาติของประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 และวันที่ 3 พฤศจิกา ยน 2552 เป็นพื้นที่เครือข่ายอนุรักษ์นกอพยพตามโครงการความร่วมมือฯ 2. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ดังนี้ 2.1 การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของโครงการความร่วมมือฯ เป็นความสมัครใจในการดำเนินงานและไม่มี การจ่ายเงินบริจาค 2.2 พันธกิจที่สำคัญ คือ การเสนอพื้นที่เข้าเป็นเครือข่ายนกอพยพ การอนุรักษ์นกอพยพและถิ่นที่อยู่ อาศัย คือ พื้นที่ชุ่มน้ำด้วยการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอย่างยั่งยืนภายในประเทศของตนโดยทางโครงการ ความร่วมมือฯ อาจสนับสนุนงบประมาณดำเนินงานผ่านทางองค์กรพัฒนาเอกชนหรือหน่วยงานในพื้นที่ 2.3 โครงการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทาง การบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลียจะมีส่วนสนับสนุนเจ้าหน้าที่องค์กรที่เข้าร่วมเป็นภาคีและประชาชนในพื้นที่ให้ มีความรู้ และเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งที่อยู่อาศัยของนกอพยพ มีการสร้างกลไกการทำงานร่วม กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้มีการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัย คือ พื้นที่ชุ่มน้ำโดยมีการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด และ กำหนดให้พื้นที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่อนุรักษ์ 2.4 โครงการความร่วมมือฯ จะช่วยสนับสนุนการดำเนินการภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำและ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีลำดับที่ 110 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2541 โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานประสานงานกลาง |
|||||||||||||||||||||
1285 | ปัญหาความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการของบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) | ทส | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินการแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการของบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตาม ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 2. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณ สุข และกระทรวงมหาดไทย (จังหวัดสระบุรี) ดำเนินการตรวจสอบ ติดตามการประกอบกิจการของบริษัทฯ ในส่วนที่ เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับน้ำเสียและกลิ่นเนื่องจากยังมีปัญหาข้อร้องเรียน อยู่มาก |
|||||||||||||||||||||
1286 | ร่างปฏิญญาเจจูด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในการประชุมรัฐมนตรีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 2 | ทส | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบต่อสาระสำคัญในร่างปฏิญญาเจจูด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Jeju Declaration on Environ ment and Health) ก่อนที่จะให้การรับรองร่างปฏิญญาเจจูฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีด้านอนามัย และสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 2 (The Second Ministerial Forum on Environment and Health in South-East and East Asian Countries) ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 ณ เกาะเจจู สาธารณรัฐเกาลี และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาให้การรับรองปฏิญญาเจจูฯ และให้สามารถปรับเปลี่ยนถ้อยคำได้ตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้ มีการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งศูนย์การวิจัยและฝึกอบรมด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการปฏิบัติการ ของฝ่ายเลขานุการของเวทีการประชุมและคณะทำงานต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการ 2. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้พิจารณาให้การรับรองปฏิญญาเจจูฯ เพียงผู้เดียว เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมติดภารกิจสำคัญทำให้ไม่สามารถเดินทางไปเข้า ร่วมในการประชุมรัฐมนตรีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมฯ ได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเสนอเพิ่มเติม |
|||||||||||||||||||||
1287 | ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 34 | ทส | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 ในหลักการให้ดำเนินการโน้มน้าว (Lobby) ประเทศภาคีสมาชิกในอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ให้เห็นด้วยกับราชอาณาจักรไทยว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารก่อให้เกิดปัญหาข้อขัดแย้งและการกระทบ กระทั่งอย่างรุนแรงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา จึงควรชะลอการพิจารณาแผนการจัดการ พื้นที่ (Management Plan) ปราสาทพระวิหารของราชอาณาจักรกัมพูชาไปก่อน จนกว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องแนว เขตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาจะเสร็จสิ้น โดยให้ประสานงานกระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการดังกล่าว 1.2 เห็นชอบอนุมัติวงเงินงบประมาณ 10,000,000 บาท สำหรับผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่จะเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม-3 สิงหาคม 2553 ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เสนอให้ มีการหารือเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณา ท่าทีไทยอย่างรอบด้านและรอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย โดยในส่วนของค่า ใช้จ่ายในการเข้าร่วมประชุม ฯ ให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท ตามที่เสนอ โดยขอทำความตกลง ในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
1288 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) | ทส | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมอบหมายให้นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่ไม่มีผู้ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตาม มาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (13 กรกฎาคม 2553) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
1289 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (เพิ่มเติม) (พลตำรวจตรี ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ และนายอภิชัย ชวเจริญพันธ์) | ทส | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรม
ป่าไม้ เพิ่มเติม จำนวน 2 คน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1. พลตำรวจตรี ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ 2. นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์
|
|||||||||||||||||||||
1290 | รายงานการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 15 (CITES CoP15) | ทส | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอรายงานการประชุม
ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Conference of the Parties to the CITES Convention) ครั้งที่ 15 (CoP15) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-25 มีนาคม 2553 ณ เมืองโดฮา รัฐกาตาร์ โดยมีนายภิมุข สิมะโรจน์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้า คณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม โดยมีสาระสำคัญของการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบบทบาทการเป็นผู้นำของประเทศไทยในการอนุรักษ์เสือโคร่ง โดยการเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชียด้านการอนุรักษ์เสือโคร่ง ครั้งที่ 1 (The 1st Asia Ministerial Conference on Tiger Conservation : The 1st AMC) ระหว่างวันที่ 27-30 มกราคม 2553 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งผลจากการ ประชุมได้บรรลุข้อตกลงและประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการอนุรักษ์เสือโคร่ง (Hua Hin Declaration) และรับ ทราบถึงมาตรการของประเทศไทยในการควบคุมการค้างาช้างภายในประเทศและการรณรงค์หยุดการลักลอบนำ งาช้างและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากงาช้างออกนอกประเทศ 2. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในการเพิ่มมาตรการในการอนุรักษ์เสือโคร่งและสัตว์อื่น ๆ ในกลุ่ม Asian Big Cat โดยเพิ่มมาตรการการรายงานการค้าเสือ และควบคุมการเพาะพันธุ์เสือในปริมาณที่เหมาะสมต่อการอนุรักษ์ เสือในธรรมชาติเท่านั้น 3. ที่ประชุมลงมติไม่รับข้อเสนอของประเทศแทนซาเนียและแซมเบียในการขอลดบัญชีช้างแอฟริกา จาก บัญชี 1 ลงมาเป็นบัญชี 2 เพื่อสามารถค้าช้างและงาช้างระหว่างประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย 4. ที่ประชุมลงมติไม่รับข้อเสนอในการขอขึ้นบัญชี Blue Fin Tuna ในบัญชี 1 ตามที่กลุ่มประเทศยุโรป และอเมริกาสนับสนุน เนื่องจากเห็นว่ามีประชากรลดลงอย่างรวดเร็วและใกล้สูญพันธุ์ 5. ที่ประชุมลงมติไม่รับข้อเสนอในการขอขึ้นทะเบียนปลาฉลาม จำนวน 4 ชนิด ได้แก่ ฉลามหัวค้อน หยัก (Sphyrna lewini) ฉลามหัวค้อนยักษ์ (Sphyrna mokarran) ฉลามหัวค้อนดำ (Sphyrna zygaena) และ ฉลามครีบด่าง (Carcharhinus longimanus) ในบัญชี 2 ของอนุสัญญาไซเตส 6. ที่ประชุมมีมติไม่รับการขอขึ้นทะเบียนสัตว์บัญชี 1 ที่ได้จากการเพาะพันธุ์เพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ (นก กระตั้วและนกแก้วมาคอว์) 7. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการแก้ไขแนวทางการยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสัตว์บัญชี 1 ที่ได้จากการเพาะพันธุ์ เพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ ตามที่เลขาธิการ CITES เสนอ 8. ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการด้านพืช ที่ให้ทบทวนคำอธิบายแนบท้ายของพืชตระกูล Cactaceae และ Orchidaceae ที่มีอยู่เดิมว่า สามารถควบคุมการค้าชนิดพันธุ์พืชตามรูปแบบที่มีในตลาดได้หรือไม่ โดยพิจารณาการค้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของ Cibotium barometz, Cistanche deserticola, Dionea muscipula และ Euphorbia spp. ซึ่งผลการประชุมเห็นชอบให้แก้ไขคำอธิบายแนบท้ายโดยยกเว้นผลิตภัณฑ์สำเร็จ รูปที่มีส่วนผสมของ Euphobia antisyphylitica (Candellilar wax) ออกจากการควบคุมของอนุสัญญา 9. ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม CoP 16 ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นใน ปี พ.ศ. 2556
|
|||||||||||||||||||||
1291 | การจัดทำโครงการ Linking communities in Southeast Asia to forestry-related voluntary carbon markets | ทส | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 การจัดทำเอกสารโครงการ Linking communities in Southeast Asia to forestry-related voluntary carbon markets ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือทางวิชาการของ Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO ภายใต้โครงการ TCP/RAS/3210 (D) จัดทำขึ้นโดย FAO สำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก มีวัตถุ ประสงค์ เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการพัฒนาศักยภาพของประเทศทั้งใน ระดับชาติและระดับภูมิภาคในด้านตลาดคาร์บอน (carbon markets) และจัดทำแนวทางและระบบสารสนเทศเพื่อช่วย ให้ชุมชนสามารถพัฒนาโครงการด้านป่าไม้สำหรับการเข้าสู่ตลาดคาร์บอน 1.2 ให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้ลงนามเอกสารโครงการฯ ดังกล่าว และเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว ให้ กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจ (Full Powers) เพื่อให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้แทนรัฐบาลลงนามใน ความตกลงดังกล่าวต่อไป 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นควรให้ กรมป่าไม้เชื่อมโยงองค์ความรู้รวมถึงประสบการณ์ที่จะได้รับภายใต้ความร่วมมือทางวิชาการกับ FAO ภายใต้โครงการ Linking communities in Southeast Asia to forestry-related voluntary carbon markets กับมาตรการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่า และการเสื่อมสภาพของป่าในประเทศกำลังพัฒนา (Reducing Emissions from Deforestation and Degradation in Developing Countries : REDD+) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียดภายใต้ กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ด้วย โดยกรมป่าไม้อาจศึกษาแนว ทางความเป็นไปได้ติดตามพัฒนาการ และร่วมมือ/แลกเปลี่ยนข้อมูลกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุพืช เพื่อ ประโยชน์ในการประมวลท่าทีสำหรับผลักดันและรักษาผลประโยชน์ของไทยในเวทีการประชุมระหว่างประเทศดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1292 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2553 | ทส | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่
22 มกราคม 2553 จำนวน 2 เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1. คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2552 และมอบหมาย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ไปปรับปรุงแก้ไขรายงานดังกล่าวให้มีความถูกต้องและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และนำเสนอ คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายฯ รับข้อเสนอของคณะกรรมการฯ เพื่อใช้เป็นแนวทางใน การจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2553 ต่อไป 2. คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางด่วนสายทาง พิเศษศรีรัช-ดาวคะนอง ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณา รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2552 และให้การทางพิเศษฯ นำความเห็นของคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1293 | รายงานผลการประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกโลก (Expert Working Group Meeting) | ทส | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุมผู้
เชี่ยวชาญด้านมรดกโลก (Expert Working Group Meeting) ระหว่างวันที่ 26-29 เมษายน 2553 ณ กรุงเทพมหา นคร โดยที่ประชุมได้ให้ข้อคิดเห็นต่อการปรับปรุงกระบวนการ "upstream processes" ดังนี้ 1. จุดมุ่งหมายของการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก (Strong focus upon World Heritage) ควรให้ ประเทศภาคีสมาชิกได้เข้าถึงกลไกทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติในการตระหนักและปก ป้องแหล่งมรดกและทางเลือกเบื้องต้นในการให้ประเทศภาคีสมาชิกเข้าร่วมโดยความสมัครใจเพื่อเข้ารับคำปรึกษา ในกระบวนการขึ้นทะเบียนมรดกโลก 2. ควรอธิบายขั้นตอนที่จำเป็นต่อการส่งบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Role of Tentative Lists) และรวบรวม เอกสารที่จะใช้ในการอธิบายไว้ในกระบวนการฝึกอบรมพัฒนาชุดเครื่องมือในการทำบัญชีรายชื่อเบื้องต้นและร่าง เอกสารการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพื่อรับการประเมินและผลตอบรับจากศูนย์มรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษา 3. ควรทำการแนะแนวแก่ประเทศภาคีสมาชิกในเรื่องการวิเคราะห์เปรียบเทียบและการศึกษาความเชื่อม โยง (Comparative analysis and thematic studies) ที่ชัดเจน และให้องค์กรที่ปรึกษามาช่วยเหลือประเทศภาคี สมาชิกในการพัฒนาการวิคราะห์เปรียบเทียบระหว่างกระบวนการเตรียมเอกสารการขึ้นทะเบียนมรดกโลก 4. ความชัดเจนและความซับซ้อน (Clarity and complexity) ควรพัฒนาวิธีการและคำอธิบายที่เข้าใจง่าย และคงความต่อเนื่องในการสร้างความเข้าใจแก่ประเทศภาคีสมาชิก โดยให้มีส่วนร่วมในการประชุมคณะกรรมการ มรดกโลก 5. ควรให้ความสำคัญต่อกระบวนการเสริมสร้างขีดความสามารถ (Capacity building) และควรพัฒนา กระบวนการให้ง่ายขึ้นเพื่ออนุสัญญาฯ สามารถเป็นที่เข้าใจแก่ประเทศภาคีสมาชิกได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีสื่อเพื่อการ อธิบายกระบวนการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก 6. การจัดการในอนาคต (Managing expectation) ควรมีเครื่องมือใช้สำหรับสื่อสาร และกระตุ้นเตือน อย่างต่อเนื่องและชัดเจนต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับบรรจุไว้ในแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น ในเว็บไซต์ของศูนย์มรดกโลก ในเอสารต่าง ๆ หรือโดยผู้เชี่ยวชาญ
|
|||||||||||||||||||||
1294 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าถึงและการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... | ทส | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ แห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าถึงและได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 ร่างระเบียบฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าถึงและได้รับ ประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพในราชอาณาจักรไทย ให้มีแนวทางการปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ระหว่างหน่วยงานของรัฐและบุคลากรของรัฐที่เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทาง ชีวภาพ 1.2 ร่างระเบียบฯ แบ่งออเป็น 2 ส่วน คือ 1.2.1 ส่วนที่ 1 หลักเกณฑ์การเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ 1.2.2 ส่วนที่ 2 การทำข้อตกลงการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ 1.2.3 ส่วนที่ 3 สิทธิและประโยชน์ตอบแทนกรณีขอเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ 1.2.4 ส่วนที่ 4 การตรวจสอบ ติดตาม กำกับดูแล และการรายงานผล 1.2.5 ส่วนที่ 5 อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ 1.2.6 ส่วนที่ 6 บทลงโทษ 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับร่างระเบียบฯ ไปพิจารณาทบทวนแล้วนำเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
1295 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 | ทส | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2553 เมื่อวัน
ที่ 15 มิถุนายน 2553 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่ง ชาติเสนอ ดังนี้ 1. ให้กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการโครงการระบบเครือข่ายน้ำในพื้นที่วิกฤตน้ำ 19 พื้นที่ โดยทำการศึกษา ความเหมาะสมของโครงการฯ (Feasibility Study : FS) ศึกษาการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environ mental Assessment : SEA) ในระดับลุ่มน้ำโขง ชี มูล รวมเป็นเงินงบประมาณ 917 ล้านบาท โดยผูกพันงบประมาณ ข้ามปี พ.ศ. 2553-2555 ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 งบประมาณปี พ.ศ. 2553 ใช้งบประมาณจากการปรับแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2553 ของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 200 ล้านบาท 1.2 ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. 2554 จำนวน 400 ล้านบาท 1.3 ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. 2555 จำนวน 317 ล้านบาท 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกรมทรัพยากรน้ำ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับไปหารือและตกลงร่วมกันเกี่ยวกับโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการอีก 11 โครงการ รวมทั้งไปพิจารณาถึงขอบเขต บทบาท ภารกิจของหน่วยงานทั้งสองในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้าน นโยบาย การบริหาร การก่อสร้าง และอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดภารกิจและการปฏิบัติงานของแต่ ละหน่วยงานต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1296 | รายงานสถานการณ์ไฟป่าและการบุกรุกพื้นที่ป่าพรุควนเคร็ง จังหวัดนครศรีธรรมราช | ทส | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ไฟป่าและการบุกรุกพื้นที่ป่าพรุควนเคร็ง จังหวัดนครศรี
ธรรมราช และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟป่าและการบุกรุก พื้นที่ป่าพรุ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยรายงานสถานการณ์ไฟป่าและการบุกรุก พื้นที่ป่าพรุฯ สรุปได้ดังนี้ 1. สถานการณ์การเกิดไฟป่าบริเวณป่าพรุควนเคร็ง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เริ่มมีไฟไหม้ป่าตั้งแต่ช่วง เดือนเมษายน 2553 จนถึงปัจจุบัน สาเหตุจากปริมาณน้ำในป่าพรุลดลงเนื่องจากภัยแล้ง ประกอบกับการบุกรุก แผ้วถางและเผาป่าเสม็ด ปัจจุบันไฟไหม้ทำความเสียหายแก่ป่าพรุไปแล้ว 17,053 ไร่ อยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเล น้อยและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ่อล้อ ท้องที่อำเภอชะอวด อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอหัวไทร และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช 2. สภาพปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าพรุ พบการบุกรุกแผ้วถางป่าต้นเสม็ดขาว เพื่อปรับสภาพพื้นที่และขุด ร่องปลูกปาล์มน้ำมันเป็นบริเวณกว้าง ปัจจุบันพื้นที่ป่าพรุได้ถูกบุกรุกและถูกดำเนินคดีไปแล้วกว่า 3,000 ไร่ และ มีพื้นที่บุกรุกอีกจำนวนหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบเนื่องจากมีการอ้างเอกสารแสดงสิทธิการครอบครองที่ดิน อีกเป็นจำนวนมาก 3. แนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าและการบุกรุกพื้นที่ป่าพรุ อาทิ มอบให้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สนธิกำลังประสานหน่วยงานกรมป่าไม้ ฝ่ายปกครอง และกองทัพภาคที่ 4 จัดชุดลาดตระเวน ป้องกันและปราบปรามให้ครอบคลุมพื้นที่ เพื่อป้องกันการบุกรุกและการลักลอบจุดไฟเผาป่า และมอบให้ผู้ว่าราช การจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบแก้ไขปัญหาไฟป่าและการบุกรุกพื้นที่ป่าพรุควน เคร็งโดยดำเนินการตรวจสอบการถือครองพื้นที่ป่าพรุของราษฎรที่มีการอ้าง สค.1 สปก.4-01 นส. 3 นส. 3 ก และโฉนดที่ดินว่าเป็นเอกสารโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายว่า ด้วยการป่าไม้ในพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งโดยเฉียบขาด และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้อัยการร้องขอต่อศาลให้ริบของ กลางในคดีการกระทำผิดบุกรุกพื้นที่ป่าพรุและคดีเกี่ยวกับการป่าไม้ทุกคดี เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1297 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ รวม 8 ฉบับ (ร่างพระราชบัญญัติการยกเลิกการสงวนหวงห้ามที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของทางราชการ พ.ศ. ....) | ทส | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้ส่งคืนร่างพระราชบัญญัติการยกเลิกการสงวนหวงห้ามที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของทางราชการ พ.ศ. .... (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอ) รวม 8 ฉบับ ที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการไปยังสภาผู้แทน ราษฎรภายในกำหนดเวลา พร้อมแจ้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปด้วยว่า บทบัญญัติที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอ รวม 8 ฉบับดังกล่าวนั้น เป็นหลักการเดียวกันกับกรณีที่มีกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินหรือกฎหมายเฉพาะอื่น ซึ่งสามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว จึงเป็นการตรากฎหมายที่มีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่ให้อำนาจเหนือกว่าบรรดากฎ หมายอื่นที่มีบทบัญญัติในเรื่องเดียวกัน รวมทั้งเป็นการตรากฎหมายที่ขัดต่อหลักการตรากฎหมายที่ต้องมีผลใช้บังคับ เป็นการทั่วไป 2. เพื่อให้มีแนวทางในการใช้มาตรการทางการบริหารหรือเครื่องมืออื่นใดมาช่วยแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจนใน กรณีที่ไม่อาจดำเนินการออกกฎหมายในเรื่องนี้ได้ ประกอบกับเพื่อให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติได้มี ข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องนี้ จึงมอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับไปประสานกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาพิจารณาปรึกษาหารือร่วมกัน |
|||||||||||||||||||||
1298 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (จำนวน 11 ราย 1. หม่อมหลวงอนุพร เกษมสันต์ ฯลฯ) | ทส | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ จำนวน 11 คน เนื่องจากกรรมการเดิมได้ ดำรงตำแหน่งครบกำหนดสองปีตามวาระ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2552 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเสนอ 2. ให้แก้ไขชื่อสกุลของบุคคลที่เสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ในลำดับที่ 9 และลำดับที่ 10 ให้ถูกต้อง (ตามหนังสือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ด่วนที่สุด ที่ ทส 0910.802/ 10586 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2553) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1299 | การประชุมทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | ทส | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างสรุปบันทึกการประชุมทวิภาคีระดับรัฐมนตรี เรื่อง ความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากร น้ำและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 1 (Summary Record of the First Ministerial Meeting on Cooperation in Water Resources and Environment Management) โดยร่างสรุปบันทึกการประชุมฉบับนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทาง การเมืองระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือด้านการจัด การทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมระหว่างสองประเทศ โดยมีขอบเขตความร่วมมือ ดังนี้ 1.1 การจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ 1.2 การศึกษาร่วมด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม 1.3 การเสริมสร้างศักยภาพคณะกรรมการ/องค์กรลุ่มน้ำ 1.4 การจัดการทรัพยากรประมง 1.5 การไหลของน้ำและนิเวศวิทยาของแม่น้ำ 1.6 ความหลากหลายทางชีวภาพ 1.7 ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในสรุปบันทึกการประชุมฯ ในนามรัฐบาลไทย
|
|||||||||||||||||||||
1300 | การขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ | ทส | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการ
ทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอว่า ตามที่ได้แจ้งมติคณะรัฐมนตรี เรื่องโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณา การ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาทบทวนเรื่องดังกล่าวแล้วเสนอ คณะรัฐมนตรีภายใน 1 เดือน นั้น เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก ผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถ ดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติจึงขอขยายระยะเวลา ออกไป และจะเร่งรัดให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
.....