ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 51 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 1001 - 1020 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1001 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรแร่ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลไทยกับกระทรวงพลังงานและแร่ภายใต้รัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย | ทส | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรแร่ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพลังงานและแร่ภายใต้รัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการทางด้านการจัดการธรณีวิทยาและทรัพยากรแร่ของราชอาณาจักรไทยและสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือกระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการเดินทางเยือนสหสาธารณรัฐแทนซาเนียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
1002 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการท่องเที่ยวภายใต้รัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย | ทส | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการท่องเที่ยวภายใต้รัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหสาธารณรัฐแทนซาเนียในการจัดการอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าโดยอยู่บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันและได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือกระทรวงการต่างประเทศ สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการเดินทางเยือนสหสาธารณรัฐแทนซาเนียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓๐ กรกฎาคม-๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
1003 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าดงใหญ่ ในท้องที่ตำบลโคกมะม่วง ตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ ตำบลโนนดินแดง และตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. .... (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่) | ทส | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าดงใหญ่ ในท้องที่ตำบลโคกมะม่วง ตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ ตำบลโนนดินแดง และตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าดงใหญ่ ในท้องที่ตำบลโคกมะม่วง ตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ ตำบลโนนดินแดง และตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาย่า อำเภอศรีบรรพต และตำบลชะมวง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ....) เกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน หรือร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องกำหนดแนวเขตที่ดินเพื่อดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินต่อคณะรัฐมนตรี โดยประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) ให้ได้ข้อยุติเกี่ยวกับแนวเขตในการดำเนินการตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ว่าเป็นแนวเขตที่สามารถเข้าดำเนินการได้และไม่ทับซ้อนกับแนวเขตที่ได้มีการกำหนดไว้เป็นพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมายอื่น แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
1004 | รายงานผลการประชุม COBSEA Intergovernmental Meeting ครั้งที่ 21 | ทส | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมกลุ่มผู้ประสานงานแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Coordination Body on the Seas of East Asia : COBSEA) Intergovernmental Meeting : IGM of COBSEA ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบตามที่ฝ่ายเลขานุการได้รายงานสถานะการเงินของ COBSEA ซึ่งเรียกเก็บจากสมาชิกในปี ๒๕๕๖ เป็นจำนวนเงิน ๑๕๔,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ผ่านมา COBSEA มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ที่ประสบผลสำเร็จ เพื่อการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในภูมิภาคทะเลเอเชียตะวันออก ได้แก่ การดำเนินงานสร้างศักยภาพในการปฏิบัติงาน (National Capacity Building) การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในการประเมินสถานภาพของมหาสมุทรโลก (World Ocean Assessment หรือ UN Regular Process) ในพื้นที่ทะเลจีนใต้ การจัดประชุม International Water Science Conference 2012 ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งให้ดีขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนความร่วมมือของประเทศสมาชิกในการจัดการแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมทางทะเลที่เปลี่ยนแปลงในภูมิภาค และการดำเนินการอื่น ๆ เช่น ด้านการประสานงานความร่วมมือกับองค์กรอื่น และการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐบาลประเทศสมาชิกเพื่อการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล ๒. เนื่องจาก COBSEA มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างน้อยปีละ ๓๔๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ที่ประชุมจึงได้พิจารณาแนวทางเลือกต่าง ๆ และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ให้คงการดำเนินงานของ COBSEA ต่อไป โดยคงสถานะการเป็นองค์กรระหว่างประเทศภายใต้การดำเนินงานของสหประชาชาติ หรือ UNEP ส่วนการดำเนินงานที่ต้องเพิ่มเงิน Trust Fund ให้เพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ประเทศสมาชิกนำไปปรึกษากับรัฐบาลของแต่ละประเทศในการเพิ่มเงินสนับสนุนให้กับ COBSEA และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานเลขาธิการ COBSEA ทราบภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ อัตราการเพิ่มเงินสนับสนุน สมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่า ควรเพิ่มให้อัตราส่วนผสมระหว่างอัตราส่วนตามมาตรฐานสหประชาชาติรวมกับระดับการสนับสนุนในปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของประเทศไทยจะเพิ่มจาก ๒๐,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น ๔๒,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับแนวทางเลือกที่ให้ประเทศสมาชิกใดประเทศหนึ่งเสนอเป็นเจ้าภาพสนับสนุนที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการและสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของสำนักงาน ที่ประชุมยังเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกพิจารณา หากประเทศใดสนใจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพขอให้แจ้งผลการพิจารณาภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
1005 | ความก้าวหน้าผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคี ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | ทส | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม ในขอบเขตความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การควบคุมมลพิษและเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการสนับสนุนการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ณ นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการตามกรอบความร่วมมือฯ โดยตั้งงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในการสนับสนุนการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้แก่ สปป.ลาว เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างสองประเทศอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นในการเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาพื้นที่การเกษตร และไฟไหม้ป่า เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดมาตรการเพื่อลดผลกระทบปัญหาหมอกควัน โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในช่วงฤดูแล้ง ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างในการสนับสนุนการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบกึ่งถาวร ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยการประกวดราคาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และได้ผู้รับจ้างสำหรับดำเนินการแล้ว รวมทั้งได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การมอบสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบกึ่งถาวร เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และอธิบดีสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว จะเป็นผู้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๓. การดำเนินการในขั้นตอนต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ จะประสานกับสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว เพื่อการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างอธิบดีกรมควบคุมมลพิษฝ่ายไทย กับอธิบดีสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฝ่าย สปป.ลาว รวมถึงประสานกับผู้รับจ้างเพื่อการลงนามในสัญญาจ้างดำเนินการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ และส่งมอบให้แก่ สปป.ลาว ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1006 | การประชุมชี้แจงแนวทางและขั้นตอนการดำเนินโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2555 | ทส | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมชี้แจงโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำและโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษา มหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดอุดรธานี สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคัดเลือกพื้นที่เป้าหมายในการปลูกป่า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมป่าไม้ และอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ลงนามรับรองขนาดพื้นที่และพิกัดของแปลงปลูกเป็นรายแปลง ๒. การส่งและรับกล้าไม้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบกล้าไม้ที่จะรับมอบไปดำเนินการตามโครงการฯ และให้หน่วยงานที่เพาะชำกล้าไม้ไว้ ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดทำบัญชีกล้าไม้และแผนการจัดส่ง เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการปลูกและผู้ว่าราชการจังหวัดเตรียมแปลงปลูกและสถานที่รับส่งกล้าไม้ รวมทั้งให้หน่วยงานที่ส่งและรับกล้าไม้จัดทำแบบรายงานการส่ง-รับกล้าไม้ เพื่อยืนยันความถูกต้องและครบถ้วน ๓. การดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการบริหารและควบคุมกำกับโครงการทั้งหมดภายในพื้นที่จังหวัด รวมทั้งกำกับหน่วยงานในพื้นที่และภาคเอกชนที่ร่วมโครงการให้ร่วมกันรับผิดชอบ โดยการดำเนินงานต้องมีแผนปฏิบัติและการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามความก้าวหน้าของงาน (การเตรียมพื้นที่ปลูก การปลูก การดูแลรักษา) มีระบบติดตามและรายงานตามแผนงานและเป้าหมายที่กำหนด พร้อมมีแบบรายงานทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้ และตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งนี้หากผู้ว่าราชการจังหวัดย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นหรือเกษียณอายุราชการจะต้องส่งมอบงานและความรับผิดชอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ ๔. มีกลไกตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินงานโดยคณะกรรมการตรวจสอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการตรวจสอบของกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการตรวจสอบของสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการตรวจสอบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ควบคู่กับการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๕. ระยะเวลาดำเนินการปลูกป่าตามแผนงานปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1007 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นางสุญาณี เวสสบุตร) | ทส | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งนางสุญาณี เวสสบุตร เป็นผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อ.ส.พ.) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ๒. สำหรับการกำหนดอัตราค่าตอบแทนให้เป็นไปตามความเห็นกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๒.๑ ผลตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยในระหว่างอายุสัญญาผู้ว่าจ้างจะปรับขึ้นค่าตอบแทนคงที่ทุกวันที่ ๑ ตุลาคมของทุกปี ในอัตราไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๐ ของค่าตอบแทนคงที่ที่ได้รับ ซึ่งขึ้นกับผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการ อ.ส.พ. สำหรับครั้งแรกจะขึ้นค่าตอบแทนคงที่ให้ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ ค่าตอบแทนพิเศษประจำปีในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของอัตราค่าตอบแทนรวมในแต่ละปี ตามผลประกอบการของ อ.ส.พ. และผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการ อ.ส.พ. ๒.๓ สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามเอกสารแนบท้ายสัญญาจ้างผู้อำนวยการ อ.ส.พ.
|
|||||||||||||||||||||||||||
1008 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | ทส | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “แนวชายฝั่งทะเล” ๑.๒ กำหนดให้พื้นที่ที่ได้มีการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์และเขตควบคุมอาคารของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศนี้ โดยจำแนกพื้นที่ออกเป็น ๗ บริเวณ และในพื้นที่ดังกล่าวห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรมบางประการ ได้แก่ พื้นที่บริเวณที่ ๑ และพื้นที่บริเวณที่ ๗ (๒) ห้ามกระทำหรือประกอบกิจกรรมการทำเหมืองแร่ การขุดเจาะ ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และการถ่ายเทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิต เป็นต้น ๑.๓ กำหนดให้การก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร หรือดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ พื้นที่บริเวณที่ ๒ เขื่อน หรือกำแพง ต้องไม่ปิดกั้นทางลงสู่ทะเลหรือหาด หรือพื้นที่สาธารณประโยชน์อื่น เป็นต้น ๑.๔ กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่จะทำการก่อสร้างอาคาร หรือดำเนินการโครงการ หรือประกอบกิจการในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ นอกจากต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศนี้แล้ว ให้จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แล้วแต่กรณี ต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๕ กำหนดให้เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ ให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็น ๒ ระดับ คือ คณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด และคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่ และกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแต่ละระดับ ๑.๖ กำหนดข้อยกเว้นสำหรับอาคารที่ไม่ต้องดำเนินการตามประกาศนี้ ได้แก่ อาคารในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ ที่มีอยู่แล้วก่อน หรือในวันประกาศนี้ใช้บังคับ เป็นต้น และกำหนดให้การกระทำ กิจกรรม หรือกิจการใดที่ต้องห้ามตามประกาศนี้ ถ้าได้รับอนุญาตตามกฎหมายใดไว้ก่อนวันประกาศนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปได้ ๑.๗ กำหนดให้ประกาศนี้มีระยะเวลาการบังคับใช้ห้าปีนับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ตามร่างประกาศฯ ข้อ ๑ ได้กำหนดนิยามคำว่า “แนวชายฝั่งทะเล” หมายความว่า แนวที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดตามปกติทางธรรมชาติ แต่มาตรการของกรมประมงที่เกี่ยวข้องกับร่างประกาศฯ ระบุใช้ “ขอบน้ำตามแนวชายฝั่งขณะทำการประมง” อาจทำให้ชาวประมงสับสนได้ การเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังในที่สาธารณประโยชน์ในแต่ละจังหวัดมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำฯ ระดับจังหวัด และมีอำนาจหน้าที่พิจารณาในการกำหนดเขตและการขออนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณะ (กระชังเลี้ยงสัตว์น้ำ) ในเขตพื้นที่จังหวัด ทั้งนี้ ตามระเบียบกรมประมงว่าด้วยการยื่นคำขอและการอนุญาตให้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฉ) อาจเป็นการสร้างภาระแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น และตามร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฌ) ห้ามจับหรือครอบครองปลาสวยงามตามที่กำหนดในบัญชีท้ายประกาศ และปลิงทะเล โดยได้รับยกเว้นให้เฉพาะบางกรณี และต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมงหรือผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ มิได้กำหนดให้ต้องขออนุญาต มีเพียงระบบการรับรองมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงและการขึ้นทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกับกรมประมงเท่านั้น แต่บางกรณีอาจมีสัตว์น้ำดังกล่าวติดปะปนมาในขณะที่ทำการประมงตามปกติได้ นอกจากนี้ ร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฌ) (๔) ควรกำหนดนิยามคำว่า “การครอบครองของทางภาคเอกชนเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ” ให้มีความชัดเจนเพื่อการบังคับใช้ได้จริง รวมทั้งการกำหนดห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทุกประเภท ทุกขนาด ควรมีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนด้วยหรือไม่ และตามร่างประกาศฯ ห้ามใช้เครื่องมือประเภทลอบปูตาห่างน้อยกว่า ๒.๕ นิ้ว โดยมิได้ระบุเฉพาะท้องลอบเหมือนประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ ซึ่งควรกำหนดให้สอดคล้องกัน และโดยที่ร่างประกาศฯ จะมีระยะเวลาการบังคับใช้ ๕ ปี นับแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้ ดังนั้น ในอนาคตหากมีกิจกรรมหรือโครงการด้านพลังงานและด้านอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศหรือเป็นประโยชน์สาธารณะควรจะให้มีการพิจารณาทบทวนผ่อนผันให้ดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นในอนาคต ประกอบกับร่างประกาศฯ ได้มีการห้ามหรือควบคุมการดำเนินกิจกรรมไว้หลายประเภท ในอนาคตหากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ หรือหากมีโครงการหรือการประกอบกิจกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น เห็นควรให้มีการทบทวนประกาศฯ ดังกล่าวให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
1009 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (จำนวน 7 คน 1. นายบุญเรือง สายศร ฯลฯ) | ทส | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ พ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๗ คน และแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติใหม่แทน จำนวน ๗ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายบุญเรือง สายศร ๒. นายไพรัตน์ ธารไชย ๓. นายวิชิต พัฒนโกศัย ๔. นายชลธิศ สุรัสวดี ๕. นายชำนาญ พงษ์ศรี ๖. นายมาโนช การพนักงาน ๗. นายสำราญ รักชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1010 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งเอเชียและแปซิฟิก เรื่อง ความร่วมมือทางด้านวิชาการเพื่อสนับสนุนการพัฒนางานวนศาสตร์ชุมชนในประเทศไทย | ทส | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งเอเชียและแปซิฟิก เรื่อง ความร่วมมือทางด้านวิชาการเพื่อสนับสนุนการพัฒนางานวนศาสตร์ชุมชนในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนการจัดการป่าไม้โดยชุมชนเพื่อการพัฒนาอย่างเหมาะสม และเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งของชุมชนที่เป็นสมาชิกป่าชุมชนและชุมชนในประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกิจกรรมและปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ก่อนการลงนามต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดให้กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งเอเชียและแปซิฟิก (The Regional Community Forestry Training Center for Asia and the Pacific : RECOFTC) ร่วมกันนำความรู้ด้านการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และควรกำหนดความเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว เป็นสิทธิร่วมกันของ RECOFTC และกรมป่าไม้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเผยแพร่สู่สาธารณะและชุมชนโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1011 | ร่างแถลงการณ์เจนีวาว่าด้วยการจัดการสารเคมีและกากของเสียอย่างปลอดภัยในการประชุมระดับสูง (High - Level segment) ของการประชุมรัฐภาคีสมัยสามัญของอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 11 อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 6 และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 6 และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ 2 ของ 3 อนุสัญญาฯ | ทส | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างแถลงการณ์เจนีวาว่าด้วยการจัดการสารเคมีและกากของเสียอย่างปลอดภัย (draft Geneva Communique on the sound management of chemicals and waste) ในการประชุมระดับสูง (High-level segment) ของการประชุมรัฐภาคีสมัยสามัญของอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๑ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๖ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๖ และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษสมัยที่ ๒ ของ ๓ อนุสัญญาฯ ในระหว่างวันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยร่างแถลงการณ์เจนีวาฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่จะเกิดความพยายามและการดำเนินงานด้านการจัดการสารเคมีและกากของเสียอย่างปลอดภัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีความสอดคล้องกับเอกสารผลลัพธ์ The Future We Want ที่ได้รับการรับรองในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (Rio+20) เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญซึ่งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally binding) และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะองค์คณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเผยแพร่ผลบังคับใช้ของร่างแถลงการณ์เจนีวาฯ พร้อมทั้งเผยแพร่องค์ความรู้ในกรณีที่จะต้องมีการใช้สารเคมีชนิดอื่น ๆ หรือการจัดการกากของเสียอันตรายด้วยวิธีการอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีทางเลือกในการใช้และบริหารจัดการ ให้สามารถดำรงศักยภาพในการแข่งขันของตนอยู่ได้อย่างสอดคล้องกับข้อกำหนดของร่างแถลงการณ์เจนีวาฯ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1012 | ผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 19 และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 20 | ทส | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑ รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ มกราคม ๒๕๕๖ ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขง ได้แก่ การศึกษาการพัฒนาที่ยั่งยืนของลุ่มน้ำโขง และการศึกษาผลกระทบของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธาน (The Study on Sustainable Management and Development of the Mekong River including Impacts by Mainstream Hydropower Project) หรือ Council Study เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้ประเทศสมาชิกทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ จากโครงการพัฒนา ทั้งเชิงบวกและลบให้มีความชัดเจนก่อนการพัฒนาโครงการใด ๆ โดยการศึกษาประกอบด้วย ๖ เรื่อง คือ การชลประทาน การเกษตรและการใช้ที่ดิน การใช้น้ำในครัวเรือนและอุตสาหกรรม โครงสร้างการป้องกันน้ำท่วม ไฟฟ้าพลังน้ำ และการคมนาคมขนส่ง ซึ่งการศึกษาจะเริ่มในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยคณะทำงานด้านวิชาการของแผนงานพัฒนาลุ่มน้ำเป็นผู้ดำเนินการศึกษา ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดดำเนินกระบวนการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งได้อนุมัติงบประมาณบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ (Operation Expenses Budget for 2013) จำนวน ๓,๘๔๘,๔๔๒ ดอลลาร์สหรัฐ และสนับสนุนให้ประเทศภาคีสมาชิกเพิ่มการจ่ายเงินสนับสนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในอนาคต เนื่องจากมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๐ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. สถานที่จัดประชุมคณะมนตรีฯ ครั้งที่ ๒๐ ให้เปลี่ยนไปจัดที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว จำนวน ๙๓๗,๐๐๐ บาท ให้กรมทรัพยากรน้ำใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตามมติที่ประชุมคณะมนตรีฯ ครั้งที่ ๑๙ ที่เห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดดำเนินกระบวนการศึกษาผลกระทบของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธานโดยเร็วต่อไป โดยให้ติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการศึกษาในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1013 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. .... | ทส | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน” “คณะกรรมการ” และ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ๑.๒ กำหนดให้คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธานกรรมการ คนที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธานกรรมการ คนที่ ๒ ปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาคเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านกฎหมาย ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นกรรมการ และกำหนดให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ ๑.๓ กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระคราวละสี่ปี และกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๔ กำหนดให้คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมีอำนาจหน้าที่ ได้แก่ กำหนดนโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศให้ครอบคลุมมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ กำกับและขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการอนุวัตตามผลลัพธ์ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๒๑ (United Nations Conference On Sustainable Development : UNCSD) แผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) แผนการปฏิบัติการโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg Plan of Implementation : JPOI) และข้อตกลง/ผลลัพธ์จากการประชุมระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และเป้าหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กำหนดแนวทางและท่าทีการเจรจาในการประชุมสุดยอดของโลกที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการประชุมระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น ๑.๕ กำหนดให้ค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน รวมทั้งค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และที่ปรึกษา ให้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรอบแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนที่จะมีขึ้นต่อไป ควรบูรณาการกับยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ เพื่อให้การพัฒนาที่ยั่งยืนมีความสมดุลครอบคลุมทุกมิติและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนตัวแทนของภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานในลักษณะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (Partnership) ในการผลักดัน/ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และควรปรับปรุงหมวดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ โดยระบุให้การกำหนดนโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อให้นโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และยุทธศาสตร์ประเทศ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานรัฐและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและภาคประชาสังคม นอกจากนี้ การดำเนินงานของคณะกรรมการ ควรให้ครอบคลุมประเด็นที่มีความเร่งด่วน อาทิ การกำหนดแนวทางและท่าทีการเจรจาในการเข้าร่วมกระบวนการหารือในระดับรัฐบาลเพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และการหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ทันตามกรอบเวลาที่เวทีระหว่างประเทศกำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
1014 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2556 | ทส | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษาและออกแบบก่อสร้างสะพานเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรเลียบชายฝั่งทะเลในเขตผังเมืองรวมเมืองชลบุรีของจังหวัดชลบุรี โดยให้จังหวัดชลบุรีดำเนินการเกี่ยวกับการทบทวนการออกแบบตอม่อให้มีความเหมาะสม และกำหนดให้กรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และการขอผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าชายเลน เพื่อให้จังหวัดชลบุรีเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเป็นการถาวรเพื่อก่อสร้างโครงการ ๒. ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองรับผิดชอบในการตั้งงบประมาณปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ โดยดำเนินการร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๓. ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเตรียมงบประมาณปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมบนพื้นที่ดินเลนที่งอกใหม่จากการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
1015 | แนวทางเลือกเพื่อตัดสินอนาคตของ COBSEA | ทส | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเจราจาโดยกำหนดท่าทีของประเทศไทยในการลำดับทางเลือกเพื่อตัดสินอนาคตของแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Coordinating Body on the Seas of East Asia : COBSEA) ตามทางเลือกที่ ๒ ที่เสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ให้คงสถานะปัจจุบัน (Status Quo) และสนับสนุนเงินบริจาค จำนวน ๑๕๑,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ โดยค่าใช้จ่ายเป็นเงินบริจาคดังกล่าว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุมประจำปีระหว่างรัฐบาลขององค์กรผู้ประสานงานเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Intergovernmental Meeting : IGM of COBSEA) ครั้งที่ ๒๑ ให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1016 | ผลการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry | ทส | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบรายงานการประชุม Preparatory Senior Offcial Meeting on the Progress of ASEAN-ROK Forest Cooperation Activities ซึ่งนำเสนอโดยผู้แทนจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีความก้าวหน้าของกิจกรรม ได้แก่ การจัดตั้งองค์การความร่วมมือด้านการป่าไม้แห่งเอเชีย (Asian Forest Cooperation Organization : AFoCO) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการอนุรักษ์และป้องกันการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ สนับสนุนการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และการดำเนินโครงการความช่วยเหลือภายใต้องค์การ AFoCO ๒. ที่ประชุมรับรอง Ministerial Statement ซึ่งเป็นแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีด้านป่าไม้ของประเทศอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีที่มีความมุ่งมั่น และประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ การส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถและการดำรงชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาป่าไม้ การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมกิจกรรมด้านคาร์บอนต่ำ และเทคโนโลยีสีเขียวด้านการป่าไม้ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี การดำเนินการตามกลยุทธ์เชิงรุกจากความร่วมมือด้านป่าไม้ประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดตั้งองค์กรผู้แทนในระดับภูมิภาคเอเชีย และการสนับสนุนการจัดตั้งองค์การ AFoCO เพื่อดำเนินกิจกรรมด้านป่าไม้ภายใต้ความร่วมมือตามข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ๓. สำหรับท่าทีของประเทศไทยได้รับรองและสนับสนุนการจัดตั้งองค์การ AFoCO ที่ริเริ่มและผลักดันโดยประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งจากการประชุมดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวด้านป่าไม้ รวมทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนสำหรับดำเนินงานด้านการจัดการป่าไม้ในระดับประเทศและภูมิภาค
|
|||||||||||||||||||||||||||
1017 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (นายวีรวัฒน์ ยมจินดา) | ทส | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายวีรวัฒน์ ยมจินดา เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1018 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ) | ทส | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1019 | แจ้งผลคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 225/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 63/2556 ระหว่างนายสุวิช ชมพูนุทจินดา ผู้ฟ้องคดีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ 1 คณะรัฐมนตรี ที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | ทส | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ ๒๒๕/๒๕๕๒ คดีหมายเลขแดงที่ ๖๓/๒๕๕๖ ระหว่างนายสุวิช ชมพูนุทจินดา ผู้ฟ้องคดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ๑ คณะรัฐมนตรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
1020 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 | ทส | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อความ นิยาม “อุตสาหกรรมเหล็ก หรือเหล็กกล้า” ในประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำประกาศกระทรวงฯ ให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามดังกล่าว พร้อมกับให้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามต่อไป ๒. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ รวมทั้งให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา ตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป
|
.....