ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 51 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 1001 - 1020 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1001 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 11 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 6 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 6 และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ 2 ของ 3 อนุสัญญาฯ | ทส | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ ๑๑ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ ๖ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ ๖ และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ ๒ ของ ๓ อนุสัญญาฯ ในระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๖-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๑ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้เพิ่มเติมรายชื่อของเสียที่ไม่เป็นอันตรายในภาคผนวก ๙ ของอนุสัญญาฯ จำนวน ๒ รายการ คือ “ชิ้นส่วนของพลาสติกซึ่งไม่สามารถแยกได้และชิ้นส่วนของพลาสติกอะลูมิเนียมซึ่งไม่สามารถแยกได้ที่เป็นของเสียบรรจุภัณฑ์สำหรับของเหลวจากการบำบัดเบื้องต้น” และ “ของเสียซึ่งมีลักษณะเป็นฉลากลามิเนตติดแน่นประกอบด้วยวัตถุดิบสำหรับการผลิตฉลาก” (๒) แต่งตั้งคณะทำงานระหว่างสมัยประชุมเพื่อพิจารณาปรับแก้ไขอภิธานศัพท์และคำศัพท์ที่ใช้ในอนุสัญญาฯ พร้อมกำหนดคำอธิบายเพิ่มเติม (๓) รับรองขอบเขตการดำเนินงานเพื่อเตรียมการสำหรับเครือข่ายความร่วมมือเพื่อป้องกันและต่อต้านการเคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย (๔) เห็นชอบการแก้ไขระเบียบวิธีการเกี่ยวกับการขยายขอบเขตของกองทุนเพื่อความรวดเร็วของกระบวนการภายใต้กลไกช่วยเหลือฉุกเฉิน และการเตรียมความพร้อมของประเทศภาคีสมาชิกต่าง ๆ เพื่อรับมือเหตุฉุกเฉินจากการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและของเสียอื่น และ (๕) เห็นชอบกรอบแผนงานและงบประมาณสำหรับการดำเนินงานของคณะทำงาน Open-ended Working Group (OEWG) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๖ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้บรรจุรายชื่อสารเคมี ๔ ชนิด คือ สาร azinphos-methyl สาร pentabromodiphenyl ether and pentabromodiphenyl ether commercial mixtures สาร octabromo-diphenyl ether commercial mixtures และ สาร perfluorooctane sulfonic acid, perfluorooctane-sulfonates, perfluorooctane sulfonamides, and perfluorooctanesulfonyls เพิ่มเติมเข้าไว้ในภาคผนวก III ของอนุสัญญาฯ (๒) รับรองการเสนอชื่อผู้เชี่ยวชาญชุดใหม่ในคณะกรรมการพิจารณาทบทวนสารเคมี (CRC) รวม ๑๗ ท่าน ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในคณะกรรมการ CRC ดังกล่าวด้วย และ (๓) รับรองแผนงานของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และงบประมาณดำเนินการ รวมทั้งแผนกิจกรรมให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิควิชาการ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๓. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๖ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก เอ ของอนุสัญญาฯ โดยบรรจุรายชื่อสาร hexabromocyclododecane เพิ่มเติม โดยให้มีข้อยกเว้นพิเศษสำหรับการผลิตและการใช้งานประเภท expanded polystyrene และ extruded polystyrene ในอาคาร (๒) รับรองกระบวนการเพื่อให้ที่ประชุมรัฐภาคีสามารถประเมินความก้าวหน้าของภาคีสมาชิกในการลดและเลิกใช้สารกลุ่ม brominated diphenyl ethers ในผลิตภัณฑ์ และให้มีข้อยกเว้นพิเศษและการใช้งานสำหรับวัตถุประสงค์ที่ยอมรับได้ต่อไปสำหรับสารกลุ่ม perfluorooctane sulfonic acid, its salts and perfluorooctane sulfonyl fluoride (๓) รับรองกรอบงานสำหรับการประเมินความมีประสิทธิผลของอนุสัญญาฯ และรูปแบบรายงานของประเทศ (national report) ฉบับปรับปรุงแก้ไข (๔) รับรองมติข้อตัดสินใจในประเด็นกลไกทางการเงินของอนุสัญญาฯ และ (๕) รับรองวิธีการประเมินผลศูนย์ระดับภูมิภาคของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สถานะของศูนย์ระดับภูมิภาคฯ เสนอชื่อเข้ามาใหม่ และการคงสถานะของศูนย์ระดับภูมิภาคฯ ที่มีอยู่เดิม ๔. ที่ประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ ๒ ของ ๓ อนุสัญญาฯ ได้พิจารณาและมีมติข้อตัดสินใจในประเด็นเกี่ยวกับการส่งเสริมการประสานงานและความร่วมมือระหว่าง ๓ อนุสัญญาฯ อาทิ (๑) การทบทวนการจัดการบูรณาการ (๒) ข้อเสนอการปรับโครงสร้างสำนักเลขาธิการร่วมของอนุสัญญาบาเซลฯ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ (๓) กิจกรรมร่วมและแผนงบประมาณสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ (๔) ผลลัพธ์ของกระบวนการหารือเกี่ยวกับทางเลือกด้านการเงินในการสนับสนุนการจัดการสารเคมีและของเสีย (๕) การส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานระหว่างคณะผู้เชี่ยวชาญและคณะกรรมการด้านเทคนิควิชาการภายใต้ ๓ อนุสัญญาฯ และ (๖) การอำนวยความสะดวกด้านทรัพยากรทางการเงินสำหรับการจัดการสารเคมีและของเสีย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1002 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงแก้ไขเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยกำหนดเครื่องหมายตำแหน่งบนกระบังหมวก และเครื่องหมายตำแหน่งบนอินทรธนู เสียใหม่ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
1003 | ขอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2556 งบกลาง เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินงานโครงการกำหนดแนวทางการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่ว ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในคดีปกครองคดีหมายเลขดำ ที่ อ. 597/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 743/2555 | ทส | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๖,๐๐๓,๐๐๐ บาท ให้กรมควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินโครงการกำหนดแนวทางฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่วให้มีความเหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่ ตามนัยคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่ให้ดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ทุกฤดูกาล และต้องเปิดเผยผลการดำเนินการให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖) ที่กำหนดให้ส่วนราชการที่ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณานำเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อพิจารณาอนุมัติผ่อนผันต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแผน/มาตรการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพการเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมและการวิเคราะห์ตะกั่วในตัวอย่างสิ่งแวดล้อมไว้ในแผนการดำเนินงาน เช่น ข้อมูลการประเมินระดับความไม่แน่นอนในการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการ ผลการทดสอบ Cross-check โดยห้องปฏิบัติการอ้างอิง และผลการทดสอบตัวอย่างควบคุมเพื่อวัตถุประสงค์ในการประเมินคุณภาพผลการทดสอบ เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการประเมินความเชื่อถือได้ของผลการวิเคราะห์กรณีเกิดเหตุพิพาท/มีข้อโต้แย้งในอนาคต รวมทั้งให้มีการศึกษาผลกระทบหลังสิ้นสุดโครงการด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการคัดเลือกที่ปรึกษาและการกำกับการศึกษาด้วย เพื่อให้สามารถเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับจากประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1004 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2556 | ทส | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ รวม ๓ ฉบับ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อมูลและผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างที่ประกาศกระทรวงฯ สิ้นผลการบังคับใช้ โดยดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ เดือน และรายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมทั้งประสานจังหวัดเพื่อทราบ ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ รวมทั้งนำรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๓. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย) โดยให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและขยะติดเชื้อ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้กรมควบคุมมลพิษนำมาตรการฯ (ระยะสั้น) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จ โดยระบุว่าจะมีการนำมาตรการระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีในลำดับถัดไป ๔. เห็นชอบในหลักการแนวทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อการฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ โดยเป็นการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรร ข้อ ๑๕ (๒) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กับ อปท. ที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเป็นรายโครงการ และให้ อปท. ดำเนินการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าปรับ และนำมาหักส่งเข้ากองทุนฯ ตามอัตราที่คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมกำหนด รวมทั้งเห็นชอบให้มาตรการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ สิ้นสุดการบังคับใช้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ ๕. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ประจำปี ๒๕๕๗ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาทบทวนและให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อม การสรรหาแหล่งเงินทุน การจัดสรรเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การกำหนดสัดส่วนการสมทบเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น และการจัดเก็บเงินจากผู้ก่อมลพิษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และนำเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนาม ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||
1005 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (นายเริงชัย ประยูรเวช) | ทส | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเริงชัย ประยูรเวช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1006 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (จำนวน 3 คน 1.นายนภศูล อังคทะวานิช ฯลฯ) | ทส | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน ๓ คน แทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายนภศูล อังคทะวานิช ๒. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ (เป็นผู้มีรายชื่อตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง บัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ๓. ว่าที่ร้อยตรี เชิดศักดิ์ จำปาเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1007 | ความคืบหน้าการดำเนินงานเรื่องน้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเลจังหวัดระยอง | ทส | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง โดยผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณชายหาดท่องเที่ยวรอบเกาะเสม็ด เมื่อวันที่ ๓-๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ พบว่า มีคุณภาพน้ำพารามิเตอร์พื้นฐานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล สำหรับพารามิเตอร์อื่น ๆ เช่น โลหะหนัก ปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน (TPH) และโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) คาดว่า จะสามารถทราบผลภายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการทำความสะอาดชายหาดอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ สภาพหาดอ่าวพร้าวเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังพบคราบน้ำมันเป็นลักษณะฟิล์มบาง ๆ ในน้ำทะเลอยู่บ้าง สำหรับผลการสำรวจระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเล คือ ปะการัง หญ้าทะเล และสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ เช่น เต่าทะเล พะยูน โลมา และวาฬ ไม่พบผลกระทบโดยตรงและได้รับความเสียหายจากกรณีการรั่วไหลของน้ำมันที่ชัดเจน ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะดำเนินการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลในระยะยาวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็วอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งในส่วนขององค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เพื่อให้สอดคล้องและทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้คำนึงถึงขั้นตอนในการดำเนินงานให้อยู่ในระบบ single command และแบ่งการดำเนินการให้ชัดเจนออกเป็นการช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Response) ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน ส่วนการเยียวยา ฟื้นฟู (Recovery) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
1008 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจในการขยายความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสถาบันสมิทโซเนียน สหรัฐอเมริกา | ทส | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจในการขยายความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสถาบันสมิทโซเนียน สหรัฐอเมริกา (Memorandum of Understanding between the Ministry of Natural Resources and Environment, Thailand and Smithsonian Institution, USA) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์ให้เป็นความร่วมมือทางวิชาการที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ Smithsonian Conservation Biology Institute (SCBI) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ดำเนินการโดยใช้กฎ ระเบียบ รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีขอบเขตความร่วมมือ (Areas of Cooperation) ในการดำเนินการวิจัยร่วม การอนุรักษ์และการจัดการสัตว์ป่า เทคโนโลยีชีวภาพและการปรับปรุงพันธุ์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี เสริมสร้างศักยภาพ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และความร่วมมือสาขาอื่น ๆ ในเรื่องการอนุรักษ์สัตว์ป่าและวิทยาศาสตร์สัตวแพทย์ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยหากมีความจำเป็นโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สัตว์ป่าเป็นประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนที่ส่งผลกระทบทั้งต่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่และวิถีชีวิตของประชาชนโดยรอบ ควรมีการศึกษาผลกระทบในวงกว้างร่วมกับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องก่อน ทั้งในมิติด้านวิชาการและมิติด้านกฎหมาย และตามที่บันทึกความเข้าใจฯ ได้จัดทำเป็น ๒ ภาษา ได้แก่ ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในการตีความกรณีที่มีข้อความแตกต่างกัน ให้ถือตามฉบับภาษาอังกฤษเป็นหลัก ดังนั้น ก่อนการลงนามในสัญญา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรตรวจสอบบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทยที่จะมีการลงนามด้วยว่าถูกต้องและครบถ้วนตรงกับเนื้อความในฉบับภาษาอังกฤษ รวมถึงการตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้องทั้งหมดด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดังกล่าวในภายหลัง ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1009 | น้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเล จังหวัดระยอง | ทส | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบโอมาน (OMAN) ขนาด ๑๖ นิ้ว รั่วขณะขนถ่ายน้ำมันจากเรือขนส่งน้ำมันไปยังโรงกลั่นน้ำมันบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมัน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเหตุให้มีน้ำมันดิบโอมานรั่วไหลลงสู่ทะเลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ประมาณ ๕๐ ตัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ประชุมร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่งบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาธารณรัฐสิงคโปร์มาให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาและร่วมกันวางแผนการดำเนินการขจัดคราบน้ำมันดังกล่าว ซึ่งต่อมากรมควบคุมมลพิษได้รับแจ้งจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และไม่พบคราบน้ำมันบนผิวน้ำ ซึ่งจากการดำเนินงานเป็นเวลา ๒ วัน ได้ใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ ลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้สั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันว่าไม่พบคราบน้ำมันแล้ว และให้ดำเนินการวางทุ่น ๒ ชั้น ตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะเสม็ดเพื่อป้องกันคราบน้ำมันที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่เข้าสู่ชายฝั่ง ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ออกสำรวจสภาพพื้นที่ปัญหาคราบน้ำมันเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พบว่า บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด มีการปนเปื้อนของน้ำมันบริเวณหาดและหินตลอดแนวชายหาด ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดระยอง รวมทั้งกองทัพเรือได้สนับสนุนกำลังคนประมาณ ๓๕๐ คน เพื่อร่วมดำเนินการทำความสะอาดชายฝั่งและตักทรายที่ปนเปื้อนน้ำมันบรรจุลงถุง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำมันเพื่อนำไปกำจัด คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณสองสัปดาห์จึงจะแล้วเสร็จ สำหรับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จะนำน้ำมันและทรายปนเปื้อนน้ำมันไปกำจัดโดยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และกรมควบคุมมลพิษจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีข้อสั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพิ่มความระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และจัดทำมาตรการในการแก้ไขปัญหาให้เป็นระบบมากขึ้น และหากพบว่ามีสัตว์น้ำตาย ขอให้ดำเนินการจัดส่งให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งนำไปตรวจพิสูจน์ว่าสาเหตุการตายของสัตว์น้ำมาจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในครั้งนี้หรือไม่ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้ประกาศให้บริเวณอ่าวพร้าวเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางทะเล ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลที่จังหวัดระยอง และระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร่งด่วน และให้มีการเตรียมแผนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล แผนการเยียวยาและชดเชยความเสียหาย ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว ชาวประมง และผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด รวมทั้งให้จัดทำแผนการควบคุมและป้องกันปัญหาน้ำมันรั่วไหลจากการขนส่งน้ำมันในระยะยาว เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีก ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานประสานการดำเนินงานร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานกรรมการ และให้กระทรวงพลังงานกำกับดูแลให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินการแก้ไขปัญหาและรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1010 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บุคคลเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยให้เป็นไปตามลำดับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ๒. นายพีรพันธุ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
|
|||||||||||||||||||||||||||
1011 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายพิทยา พุกกะมาน) | ทส | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายพิทยา พุกกะมาน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1012 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1013 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรแร่ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลไทยกับกระทรวงพลังงานและแร่ภายใต้รัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย | ทส | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรแร่ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพลังงานและแร่ภายใต้รัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการทางด้านการจัดการธรณีวิทยาและทรัพยากรแร่ของราชอาณาจักรไทยและสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือกระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการเดินทางเยือนสหสาธารณรัฐแทนซาเนียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
1014 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการท่องเที่ยวภายใต้รัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย | ทส | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการท่องเที่ยวภายใต้รัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหสาธารณรัฐแทนซาเนียในการจัดการอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าโดยอยู่บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันและได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือกระทรวงการต่างประเทศ สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการเดินทางเยือนสหสาธารณรัฐแทนซาเนียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓๐ กรกฎาคม-๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
1015 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าดงใหญ่ ในท้องที่ตำบลโคกมะม่วง ตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ ตำบลโนนดินแดง และตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. .... (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่) | ทส | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าดงใหญ่ ในท้องที่ตำบลโคกมะม่วง ตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ ตำบลโนนดินแดง และตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าดงใหญ่ ในท้องที่ตำบลโคกมะม่วง ตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ ตำบลโนนดินแดง และตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาย่า อำเภอศรีบรรพต และตำบลชะมวง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ....) เกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน หรือร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องกำหนดแนวเขตที่ดินเพื่อดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินต่อคณะรัฐมนตรี โดยประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) ให้ได้ข้อยุติเกี่ยวกับแนวเขตในการดำเนินการตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ว่าเป็นแนวเขตที่สามารถเข้าดำเนินการได้และไม่ทับซ้อนกับแนวเขตที่ได้มีการกำหนดไว้เป็นพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมายอื่น แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
1016 | รายงานผลการประชุม COBSEA Intergovernmental Meeting ครั้งที่ 21 | ทส | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมกลุ่มผู้ประสานงานแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Coordination Body on the Seas of East Asia : COBSEA) Intergovernmental Meeting : IGM of COBSEA ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบตามที่ฝ่ายเลขานุการได้รายงานสถานะการเงินของ COBSEA ซึ่งเรียกเก็บจากสมาชิกในปี ๒๕๕๖ เป็นจำนวนเงิน ๑๕๔,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ผ่านมา COBSEA มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ที่ประสบผลสำเร็จ เพื่อการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในภูมิภาคทะเลเอเชียตะวันออก ได้แก่ การดำเนินงานสร้างศักยภาพในการปฏิบัติงาน (National Capacity Building) การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในการประเมินสถานภาพของมหาสมุทรโลก (World Ocean Assessment หรือ UN Regular Process) ในพื้นที่ทะเลจีนใต้ การจัดประชุม International Water Science Conference 2012 ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งให้ดีขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนความร่วมมือของประเทศสมาชิกในการจัดการแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมทางทะเลที่เปลี่ยนแปลงในภูมิภาค และการดำเนินการอื่น ๆ เช่น ด้านการประสานงานความร่วมมือกับองค์กรอื่น และการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐบาลประเทศสมาชิกเพื่อการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล ๒. เนื่องจาก COBSEA มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างน้อยปีละ ๓๔๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ที่ประชุมจึงได้พิจารณาแนวทางเลือกต่าง ๆ และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ให้คงการดำเนินงานของ COBSEA ต่อไป โดยคงสถานะการเป็นองค์กรระหว่างประเทศภายใต้การดำเนินงานของสหประชาชาติ หรือ UNEP ส่วนการดำเนินงานที่ต้องเพิ่มเงิน Trust Fund ให้เพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ประเทศสมาชิกนำไปปรึกษากับรัฐบาลของแต่ละประเทศในการเพิ่มเงินสนับสนุนให้กับ COBSEA และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานเลขาธิการ COBSEA ทราบภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ อัตราการเพิ่มเงินสนับสนุน สมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่า ควรเพิ่มให้อัตราส่วนผสมระหว่างอัตราส่วนตามมาตรฐานสหประชาชาติรวมกับระดับการสนับสนุนในปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของประเทศไทยจะเพิ่มจาก ๒๐,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น ๔๒,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับแนวทางเลือกที่ให้ประเทศสมาชิกใดประเทศหนึ่งเสนอเป็นเจ้าภาพสนับสนุนที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการและสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของสำนักงาน ที่ประชุมยังเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกพิจารณา หากประเทศใดสนใจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพขอให้แจ้งผลการพิจารณาภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
1017 | ความก้าวหน้าผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคี ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | ทส | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม ในขอบเขตความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การควบคุมมลพิษและเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการสนับสนุนการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ณ นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการตามกรอบความร่วมมือฯ โดยตั้งงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในการสนับสนุนการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้แก่ สปป.ลาว เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างสองประเทศอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นในการเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาพื้นที่การเกษตร และไฟไหม้ป่า เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดมาตรการเพื่อลดผลกระทบปัญหาหมอกควัน โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในช่วงฤดูแล้ง ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างในการสนับสนุนการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบกึ่งถาวร ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยการประกวดราคาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และได้ผู้รับจ้างสำหรับดำเนินการแล้ว รวมทั้งได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การมอบสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบกึ่งถาวร เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และอธิบดีสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว จะเป็นผู้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๓. การดำเนินการในขั้นตอนต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ จะประสานกับสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว เพื่อการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างอธิบดีกรมควบคุมมลพิษฝ่ายไทย กับอธิบดีสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฝ่าย สปป.ลาว รวมถึงประสานกับผู้รับจ้างเพื่อการลงนามในสัญญาจ้างดำเนินการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ และส่งมอบให้แก่ สปป.ลาว ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1018 | การประชุมชี้แจงแนวทางและขั้นตอนการดำเนินโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2555 | ทส | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมชี้แจงโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำและโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษา มหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดอุดรธานี สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคัดเลือกพื้นที่เป้าหมายในการปลูกป่า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมป่าไม้ และอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ลงนามรับรองขนาดพื้นที่และพิกัดของแปลงปลูกเป็นรายแปลง ๒. การส่งและรับกล้าไม้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบกล้าไม้ที่จะรับมอบไปดำเนินการตามโครงการฯ และให้หน่วยงานที่เพาะชำกล้าไม้ไว้ ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดทำบัญชีกล้าไม้และแผนการจัดส่ง เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการปลูกและผู้ว่าราชการจังหวัดเตรียมแปลงปลูกและสถานที่รับส่งกล้าไม้ รวมทั้งให้หน่วยงานที่ส่งและรับกล้าไม้จัดทำแบบรายงานการส่ง-รับกล้าไม้ เพื่อยืนยันความถูกต้องและครบถ้วน ๓. การดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการบริหารและควบคุมกำกับโครงการทั้งหมดภายในพื้นที่จังหวัด รวมทั้งกำกับหน่วยงานในพื้นที่และภาคเอกชนที่ร่วมโครงการให้ร่วมกันรับผิดชอบ โดยการดำเนินงานต้องมีแผนปฏิบัติและการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามความก้าวหน้าของงาน (การเตรียมพื้นที่ปลูก การปลูก การดูแลรักษา) มีระบบติดตามและรายงานตามแผนงานและเป้าหมายที่กำหนด พร้อมมีแบบรายงานทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้ และตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งนี้หากผู้ว่าราชการจังหวัดย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นหรือเกษียณอายุราชการจะต้องส่งมอบงานและความรับผิดชอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ ๔. มีกลไกตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินงานโดยคณะกรรมการตรวจสอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการตรวจสอบของกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการตรวจสอบของสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการตรวจสอบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ควบคู่กับการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๕. ระยะเวลาดำเนินการปลูกป่าตามแผนงานปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1019 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นางสุญาณี เวสสบุตร) | ทส | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งนางสุญาณี เวสสบุตร เป็นผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อ.ส.พ.) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ๒. สำหรับการกำหนดอัตราค่าตอบแทนให้เป็นไปตามความเห็นกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๒.๑ ผลตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยในระหว่างอายุสัญญาผู้ว่าจ้างจะปรับขึ้นค่าตอบแทนคงที่ทุกวันที่ ๑ ตุลาคมของทุกปี ในอัตราไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๐ ของค่าตอบแทนคงที่ที่ได้รับ ซึ่งขึ้นกับผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการ อ.ส.พ. สำหรับครั้งแรกจะขึ้นค่าตอบแทนคงที่ให้ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ ค่าตอบแทนพิเศษประจำปีในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของอัตราค่าตอบแทนรวมในแต่ละปี ตามผลประกอบการของ อ.ส.พ. และผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการ อ.ส.พ. ๒.๓ สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามเอกสารแนบท้ายสัญญาจ้างผู้อำนวยการ อ.ส.พ.
|
|||||||||||||||||||||||||||
1020 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | ทส | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “แนวชายฝั่งทะเล” ๑.๒ กำหนดให้พื้นที่ที่ได้มีการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์และเขตควบคุมอาคารของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศนี้ โดยจำแนกพื้นที่ออกเป็น ๗ บริเวณ และในพื้นที่ดังกล่าวห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรมบางประการ ได้แก่ พื้นที่บริเวณที่ ๑ และพื้นที่บริเวณที่ ๗ (๒) ห้ามกระทำหรือประกอบกิจกรรมการทำเหมืองแร่ การขุดเจาะ ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และการถ่ายเทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิต เป็นต้น ๑.๓ กำหนดให้การก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร หรือดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ พื้นที่บริเวณที่ ๒ เขื่อน หรือกำแพง ต้องไม่ปิดกั้นทางลงสู่ทะเลหรือหาด หรือพื้นที่สาธารณประโยชน์อื่น เป็นต้น ๑.๔ กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่จะทำการก่อสร้างอาคาร หรือดำเนินการโครงการ หรือประกอบกิจการในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ นอกจากต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศนี้แล้ว ให้จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แล้วแต่กรณี ต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๕ กำหนดให้เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ ให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็น ๒ ระดับ คือ คณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด และคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่ และกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแต่ละระดับ ๑.๖ กำหนดข้อยกเว้นสำหรับอาคารที่ไม่ต้องดำเนินการตามประกาศนี้ ได้แก่ อาคารในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ ที่มีอยู่แล้วก่อน หรือในวันประกาศนี้ใช้บังคับ เป็นต้น และกำหนดให้การกระทำ กิจกรรม หรือกิจการใดที่ต้องห้ามตามประกาศนี้ ถ้าได้รับอนุญาตตามกฎหมายใดไว้ก่อนวันประกาศนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปได้ ๑.๗ กำหนดให้ประกาศนี้มีระยะเวลาการบังคับใช้ห้าปีนับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ตามร่างประกาศฯ ข้อ ๑ ได้กำหนดนิยามคำว่า “แนวชายฝั่งทะเล” หมายความว่า แนวที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดตามปกติทางธรรมชาติ แต่มาตรการของกรมประมงที่เกี่ยวข้องกับร่างประกาศฯ ระบุใช้ “ขอบน้ำตามแนวชายฝั่งขณะทำการประมง” อาจทำให้ชาวประมงสับสนได้ การเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังในที่สาธารณประโยชน์ในแต่ละจังหวัดมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำฯ ระดับจังหวัด และมีอำนาจหน้าที่พิจารณาในการกำหนดเขตและการขออนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณะ (กระชังเลี้ยงสัตว์น้ำ) ในเขตพื้นที่จังหวัด ทั้งนี้ ตามระเบียบกรมประมงว่าด้วยการยื่นคำขอและการอนุญาตให้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฉ) อาจเป็นการสร้างภาระแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น และตามร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฌ) ห้ามจับหรือครอบครองปลาสวยงามตามที่กำหนดในบัญชีท้ายประกาศ และปลิงทะเล โดยได้รับยกเว้นให้เฉพาะบางกรณี และต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมงหรือผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ มิได้กำหนดให้ต้องขออนุญาต มีเพียงระบบการรับรองมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงและการขึ้นทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกับกรมประมงเท่านั้น แต่บางกรณีอาจมีสัตว์น้ำดังกล่าวติดปะปนมาในขณะที่ทำการประมงตามปกติได้ นอกจากนี้ ร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฌ) (๔) ควรกำหนดนิยามคำว่า “การครอบครองของทางภาคเอกชนเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ” ให้มีความชัดเจนเพื่อการบังคับใช้ได้จริง รวมทั้งการกำหนดห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทุกประเภท ทุกขนาด ควรมีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนด้วยหรือไม่ และตามร่างประกาศฯ ห้ามใช้เครื่องมือประเภทลอบปูตาห่างน้อยกว่า ๒.๕ นิ้ว โดยมิได้ระบุเฉพาะท้องลอบเหมือนประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ ซึ่งควรกำหนดให้สอดคล้องกัน และโดยที่ร่างประกาศฯ จะมีระยะเวลาการบังคับใช้ ๕ ปี นับแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้ ดังนั้น ในอนาคตหากมีกิจกรรมหรือโครงการด้านพลังงานและด้านอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศหรือเป็นประโยชน์สาธารณะควรจะให้มีการพิจารณาทบทวนผ่อนผันให้ดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นในอนาคต ประกอบกับร่างประกาศฯ ได้มีการห้ามหรือควบคุมการดำเนินกิจกรรมไว้หลายประเภท ในอนาคตหากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ หรือหากมีโครงการหรือการประกอบกิจกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น เห็นควรให้มีการทบทวนประกาศฯ ดังกล่าวให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
.....