ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 57 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 1121 - 1140 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1121 | Input for Compilation Document ของประเทศไทย | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่าได้จัดทำ Input for Compilation Document ซึ่งที่ประชุม PrepCom 2 เมื่อวันที่ ๗ - ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้เชิญชวนให้ประเทศสมาชิก องค์กรของสหประชาชาติ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดส่งข้อเสนอ Inputs for Compilation Document ให้สำนักเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ เพื่อใช้ประกอบเป็นฐานในการจัดเตรียมร่างเอกสาร (Zero - draft of the outcome document) ซึ่งจะเป็นผลลัพธ์ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการเตรียมการสำหรับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ โดยมีประเด็นสำคัญคือ หลักการพื้นฐาน ซึ่งกล่าวถึงผลลัพธ์จากการประชุม Rio + 20 ควรยืนยันหลักการที่ได้กำหนดไว้ในปฏิญญาริโอ (Rio Declaration) เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๒ และควรให้รัฐบาลให้คำมั่นอีกครั้งที่จะดำเนินการตามหลักการดังกล่าว ดังนั้น การประชุม Rio + 20 จึงไม่ควรเจรจาหลักการใหม่ ๆ แต่ควรหาบทสรุปร่วมกันเพื่อลดช่องทางการดำเนินงานที่ผ่านมา รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ ได้แก่ เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดความยากจน และกรอบสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Institutional Framework for Sustainable Development : IFSO) เกี่ยวกับการเพิ่มขีดความสามารถของเสาหลักด้านสิ่งแวดล้อม ทางเลือกในการปฏิรูปของ IFSO และบทบาทของคณะกรรมการระดับภูมิภาคขององค์การสหประชาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
1122 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ เพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน เนื้อที่ ๘๓๖ ไร่ ๒ งาน ๘๑ ตารางวา ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามที่กำหนดไว้โดยพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าดอยสุเทพ ในท้องที่ตำบลโป่งแยง ตำบลแม่แรม ตำบลแม่สา ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม ตำบลบ้านปง ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง และตำบลช้างเผือก ตำบลสุเทพ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๔ เพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ ๘๓๖ ไร่ ๒ งาน ๘๑ ตารางวา ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์พื้นที่หลังการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๔๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1123 | รายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2554) | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ ๑๓ - ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำในภาพรวม ๑.๑ สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณร้อยละ ๘๙ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยเขื่อนในภาคใต้ต้องพร่องน้ำเพื่อบริหารจัดการรับอุทกภัย ๑.๒ เขื่อนที่มีน้ำล้นอาคารระบายน้ำ มีจำนวน ๖ แห่ง ประกอบด้วย เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จังหวัดเชียงใหม่ เขื่อนกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง เขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำแซะ จังหวัดนครราชสีมา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี และเขื่อนกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี สำหรับเขื่อนที่มีน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดีมาก มีจำนวน ๒๑ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๕๑ - ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดี มีจำนวน ๕ แห่ง และเขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๓๑ - ๕๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำพอใช้ มีจำนวน ๑ แห่ง ส่วนสภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง ๒. สถานการณ์อุทกภัยในรอบสัปดาห์ มีพื้นที่ที่เกิดเหตุน้ำท่วม ๑๐ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี พัทลุง และปัตตานี ๓. การเตรียมรับสถานการณ์อุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓.๑ สภาพภูมิอากาศในสัปดาห์หน้า คาดว่าวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ความกดอากาศสูงกำลังแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป มีฝนตกกระจายและอาจจะมีฝนตกหนักบางแห่ง ๓.๒ สถานีเตือนภัยล่วงหน้าของกรมทรัพยากรน้ำมีการแจ้งเตือนภัยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน ๔ สถานี ครอบคุลม ๑๕ หมู่บ้าน ใน ๒ จังหวัด โดยแบ่งออกเป็นการเตือนภัยในระดับเตรียมอพยพ ๒ สถานี ครอบคลุม ๗ หมู่บ้าน ใน ๒ จังหวัด คือ ที่อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง และการเตือนในระดับเฝ้าระวัง ๒ สถานี ครอบคลุม ๘ หมู่บ้าน ที่อำเภอพิปูน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช ๓.๓ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เขื่อนขนาดใหญ่ของกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีปริมาณน้ำลดลงเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณฝนลดลง สำหรับพื้นที่ภาคใต้ยังอยู่ในช่วงปลายฤดูฝน แต่เนื่องจาก กฟผ. ได้ควบคุมน้ำในเขื่อนบางลางไว้แล้ว ทำให้สามารถรองรบสถานการณ์น้ำหลากได้ ๓.๔ สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติภายในสัปดาห์นี้ ส่วนพื้นที่ลุ่มการเกษตรจะยังคงมีน้ำท่วมขังบ้าง ๓.๕ กรมควบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักที่รองรับน้ำหลากลงสู่ทะเลอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดปทุมธานีลงไป และแม่น้ำท่าจีนตั้งแต่จังหวัดนครปฐมลงไป ๓.๖ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ติดตามสถานการณ์น้ำและการประสานงานด้านการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสนับสนุนระบบประปาสนาม รถบรรทุกน้ำ รถบรรทุก และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัย การซ่อมแซมบ่อบาดาล การประสานเครือข่ายแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ๓.๗ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และ กฟผ. เร่งการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Rule Curve) ให้สอดคล้องกับสภาพทางอุทกวิทยาในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งพิจารณาบริหารการระบายน้ำแบบองค์รวม เช่น ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ต้องพิจารณาแยกเป็นพื้นที่ ประกอบด้วย ๔ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ด้านเหนือเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ พื้นที่ท้ายเขื่อนทั้งสองถึงเขื่อนเจ้าพระยา พื้นที่จากเขื่อนเจ้าพระยาถึงปากแม่น้ำ และระดับน้ำทะเลหนุนในช่วงเวลาต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
1124 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ และระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ การดำเนินการระยะที่ ๑ เป็นการระบายน้ำลงทะเล ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ปัจจุบันการดำเนินการได้เสร็จสิ้นลงแล้วเนื่องจากสถานการณ์น้ำได้เข้าสู่ภาวะปกติสามารถไหลผ่านแม่น้ำและลำคลองได้ตามปกติ สูบน้ำได้ทั้งสิ้น ๒๔,๔๘๗,๙๕๓ ลูกบาศก์เมตร ๑.๒ ศูนย์สนับสนุนการดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๓๓ เครื่อง ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพุทธมณฑล ระบายน้ำจนแห้งแล้ว ๗๘ แห่ง เป็นปริมาณน้ำ ๒๑,๐๑๐,๕๓๔ ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันได้นำเครื่องสูบน้ำกลับแล้ว ๒๑๙ เครื่อง จำนวนเครื่องสูบน้ำที่มีการติดตั้งในจังหวัดนนทบุรีและนครปฐม จำนวน ๑๑๔ เครื่อง ได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๖๘ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำได้ ๕๐๘,๐๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมมอบให้กรมอุตุนิยมวิทยาติดตามสถานการณ์ฝนและพายุอย่างต่อเนื่องเน้นการพยากรณ์ล่วงหน้า และให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Rule Curve) ให้สอดคล้องกับสภาพทางอุทกวิทยาในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้บริหารการระบายน้ำแบบองค์รวม ๓. การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำชี เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมได้มีการนำเสนอปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำชี โดยเน้นการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นแก้มลิง ป้องกันน้ำท่วมและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง และเสนอให้พิจารณาสร้างเขื่อนในพื้นที่ต้นน้ำชี เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำชี เช่น เขื่อนโปร่งขุนเพชร เขื่อนชีบน เขื่อนยางนาดี เขื่อนผาคะเฮ้า ๔. การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำเจ้าพระยา ป่าสักและสะแกกรัง และการสำรวจศักยภาพลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยและแนวทางการแก้ไขของจังหวัดนครสวรรค์ รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและเสนอแนวทางการป้องกันปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและแนวทางการป้องกันภัยปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก และรายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขป้องกันปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง รวมทั้งการนำเสนอโครงการสำรวจศักยภาพลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ๕. การตรวจติดตามปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจติดตามสภาพปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลจังหวัดสงขลา ซึ่งมีความเสียหายรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทรัพยากรชายฝั่งทะเล ทรัพย์สินของประชาชน และของราชการเสียหายเป็นจำนวนมาก ๖. การแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแบบบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีหลายมิติได้ควบคู่กันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยขอให้ขุดลอกปรับปรุงคลองระบายน้ำให้ระบายลงทะเลได้มากขึ้น เพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำและพื้นที่รับน้ำในบริเวณต้นน้ำ และขอให้แก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำจากน้ำเสียชุมชน น้ำเสียอุตสาหกรรม และสารพิษปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1125 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย จำนวน ๗ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ นายชเยนทร์ คำนวณ เป็นประธานกรรมการ ๑.๒ นายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา เป็นกรรมการ ๑.๓ นายชัยวัธน์ จุลมนต์ เป็นกรรมการ ๑.๔ นายวีรวัฒน์ ยมจินดา เป็นกรรมการ ๑.๕ นายอมรินทร์ ผจญยุทธ เป็นกรรมการ ๑.๖ นายวิบูลย์ เพิ่มอารยวงศ์ เป็นกรรมการ ๑.๗ นางสาวประกายดาว เขมะจันตรี เป็นกรรมการ ๒. สำหรับนายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการมีมติอนุมัติเป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
1126 | การลงนามในสัญญาเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (European Union) ภายใต้โครงการการสร้างกลไกการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยการบูรณาการทุกภาคส่วน (Holistic Approach of Public Partnership for Environment : HAPPEN) | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อม ภาคที่ ๑ (เชียงใหม่) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการการสร้างกลไกการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยการบูรณาการทุกภาคส่วน (Holistic Approach of Public Partnership for Environment : HAPPEN) ในการลงนามในสัญญาเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (European Union) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1127 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างทบวงกิจการทางมหาสมุทรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างทบวงกิจการทางมหาสมุทรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือทางด้านทะเล แทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโอกาสที่นายสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีจีน เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย - จีน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ในการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนาม
|
||||||||||||||||||||||||
1128 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับ ICE WaRM | ทส | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เครือรัฐออสเตรเลีย [International Centre of Excellence in Water Resources Management (ICE WaRM)] โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการแสดงความสนใจและเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายที่จะดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการในการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยการจัดการน้ำร่วมกันเพื่อประโยชน์แก่ภาคีคู่สัญญา โดยมีขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ กิจกรรมด้านการศึกษาและการฝึกอบรม การค้นคว้าวิจัย สิ่งพิมพ์ และการประชุมทางวิชาการ การควบคุมดูแลการศึกษา/ค้นคว้า และโครงการด้านอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ด้านการศึกษาและการค้นคว้าวิจัย การแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการ รวมทั้งกิจกรรมอื่น ๆ ที่พิจารณาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่โปรแกรมการศึกษา การฝึกอบรม และการค้นคว้าวิจัยของภาคีคู่สัญญา ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นผู้ลงนามในบันทึกความใจฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ภายใต้ขอบเขตการร่วมมือตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีกิจกรรมเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาแนะนำโครงการศึกษาและวิจัยด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาคอุตสาหกรรมรวมอยู่ด้วย จึงเห็นควรที่จะได้มีการความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณาดำเนินโครงการที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมด้วย และในขั้นตอนการตกลงในรายละเอียดความร่วมมือ ควรกำหนดประเด็นความร่วมมือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ และพัฒนาบุคลากรในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนให้เป็นรูปธรรมในสถานการณ์อุทกภัยและภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเชื่อมโยงกับประเด็นการบริหารจัดการน้ำที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกำหนด อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยีการพยากรณ์น้ำ การกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและการจัดการเขตอุตสาหกรรมให้เหมาะสม การจัดการน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน การจัดการความขัดแย้งที่ทุกฝ่ายยอมรับ การให้ความเป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลกระทบ การปรับปรุงกฎหมายและกลไกการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อนิเวศสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1129 | ขอความเห็นชอบโครงการ Sustainable Management of Biodiversity in Thailand's Production Landscape (การบริหารจัดการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรจากฐานชีวภาพอย่างยั่งยืน) | ทส | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ดำเนินการตามโครงการ Sustainable Management of Biodiversity in Thailand’s Production Landscape โดยการบูรณาการการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพในการผลิตและการตลาดของสินค้าจากทรัพยากรชีวภาพ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอนุรักษ์ฐานทรัพยากรเพื่อเป็นแหล่งรายได้และความมั่นคงของชีวิต ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘) งบประมาณดำเนินการ ประกอบด้วย งบประมาณสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ๑.๙๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๕๘.๒ ล้านบาท) และการสมทบงบประมาณจากรัฐบาลไทย (in - kind) ๕.๕๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๑๖๕.๕๔ ล้านบาท) ๑.๒ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ลงนามในเอกสารโครงการฯ ร่วมกับผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme - UNDP) ประจำประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาติดตามประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะ และศึกษาโอกาสในการขยายการดำเนินงานให้แพร่หลายและครอบคลุมกิจกรรมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอื่น ๆ ในประเทศ สนับสนุนการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม รวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1130 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 รายการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านแม่รำพัน จังหวัดสุโขทัย | ทส | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้กรมทรัพยากรน้ำ เปลี่ยนแปลงรายการ จากรายการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านแม่รำพัน จังหวัดสุโขทัย วงเงินทั้งสิ้น ๑๒๖,๔๙๙,๘๘๒ บาท โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๙๒,๖๔๘,๐๐๐ บาท เป็น
๑. รายการค่าทดแทน ค่าขนย้าย ค่ารื้อย้าย ในการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านแม่รำพัน จังหวัดสุโขทัย จำนวน ๑๒๑,๐๔๖,๖๘๒ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๙๑ ,๕๑๕,๕๐๐ บาท ที่เหลืออีกจำนวน ๒๙,๕๓๑,๑๘๒ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ๒. รายการค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านแม่รำพัน จังหวัดสุโขทัย จำนวน ๕,๔๕๓,๒๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๑๓๒,๕๐๐ บาท ที่เหลืออีกจำนวน ๔,๓๒๐,๗๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1131 | การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | ทส | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในส่วนของการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ของกรมทรัพยากรน้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการระยะที่ ๑ จากปฏิบัติการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๑๑๕ เครื่อง เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ สามารถสูบน้ำเพื่อเร่งการระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ทั้งสิ้น ๒๓,๖๗๘,๕๔๓ ลูกบาศก์เมตร มีผลทำให้พื้นที่ดำเนินการเข้าสู่สภาพปกติแล้ว ประกอบด้วย พื้นที่คลอง ๑๒ และคลอง ๑๓ เขตหนองจอก โรงกษาปณ์รังสิต โครงการบางชัน (คลองหลอแหล) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ปัจจุบันได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเดินเครื่องสูบน้ำในพื้นที่โรงผลิตน้ำประปามหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา โครงการชลประทานภาษีเจริญ ดอนเมือง และวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิตร (บางเขน) รวมเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๑๐๐ เครื่อง จากจำนวนเครื่องสูบน้ำที่ยังคงปฏิบัติการ จำนวน ๑๑๕ เครื่อง โดยได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๕๗ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำ จำนวน ๓๔๒,๓๗๒ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การดำเนินการระยะที่ ๒ ได้ดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๒๓๙ เครื่อง ในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๑๖๒ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำ ๑,๐๓๔,๕๘๔ ลูกบาศก์เมตร/วัน ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่สูบได้ของการดำเนินการระยะที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ สูบน้ำได้ทั้งสิ้น ๑๐,๐๑๖,๘๘๐ ลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว จำนวน ๔๒ แห่ง ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๓๒ แห่ง ปทุมธานี จำนวน ๒ แห่ง และสมุทรสาคร จำนวน ๘ แห่ง
|
||||||||||||||||||||||||
1132 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ | ทส | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ จำนวน ๘ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป สำหรับบุคคลในลำดับที่ ๗ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการอนุมัติเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ เป็นประธานกรรมการ ๒. พลเอก ภัทรินทร์ ลีลายุทธ เป็นกรรมการ ๓. นายไพรัช ชัยชาญ เป็นกรรมการ ๔. นายถิรเดช พรหมศริน เป็นกรรมการ ๕. นางมิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์ เป็นกรรมการ ๖. นายสุพันธุ์ มงคลสุธี เป็นกรรมการ ๗. นายเดชอุดม วีระวานิช เป็นกรรมการ ๘. นายปิยะ ยอดมณี เป็นกรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||
1133 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำและระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำพร้อมปฏิบัติการติดตั้งและสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยปัจจุบันได้ติดตั้งและเดินเครื่องสูบน้ำในพื้นที่โรงผลิตน้ำประปามหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา โครงการชลประทานภาษีเจริญ และดอนเมือง รวมจำนวน ๑๐๖ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำ จำนวน ๒๗๘,๒๖๒ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๑.๒ กรมทรัพยากรน้ำได้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชน เพื่อรวบรวมเครื่องสูบน้ำในพื้นที่และมอบบุคลากรดูแลเครื่องสูบน้ำระหว่างสูบระบายน้ำในการกู้พื้นที่ประสบอุทกภัยในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร จำนวน ๒๑๙ เครื่อง โดยได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๑๓๙ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำได้ ๘๒๖,๐๒๘ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ดำเนินการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด โดยมีผลการปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้แก่ การฟื้นฟูเก็บขยะและทำความสะอาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร บางเขน บางพลัด นนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา การจัดเตรียมอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การซ่อมแนวกระสอบทราย และสร้างแนวกระสอบทราย รวมทั้งการขนย้ายสิ่งของที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เป็นต้น ๓. แผนการเตรียมการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยภายหลังน้ำลด ประกอบด้วย ภารกิจหลัก ได้แก่ การแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย การระบายน้ำ ภารกิจสนับสนุน ได้แก่ การดำเนินโครงการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและจัดหาน้ำดื่มสะอาด การเตรียมการในการฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยนำเสนอโครงการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งมาตรการอื่นในการช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ การนำไม้ของกลางมาช่วยบูรณะซ่อมแซมบ้านพัก และการเว้นค่าธรรมเนียมการต่อใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1134 | สรุปผลการประชุม The Asian and Pacific Regional Preparatory Meeting for the United Nations Conference on Sustainable Development เมื่อวันที่ 19 - 20 ตุลาคม 2554 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุม The Asian and Pacific Regional Preparatory Meeting for the United Nations Conference on Sustainable Development ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปผลการประชุมฯ ได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมที่สำคัญคือ “ผลลัพธ์โซล (Seoul Outcomes)” ซึ่งเป็นข้อสรุปจากข้อคิดเห็นของประเทศที่เข้าร่วมประชุม และจะใช้เป็นข้อเสนอของกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิกต่อการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เน้นย้ำถึงหลักการต่าง ๆ ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ให้การรับรองไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่ระบุไว้ในปฏิญญาริโอ (Rio Declaration on Environment and Development) และแผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) รวมทั้งกลไกต่าง ๆ ที่ได้รับรองโดยประชาคมโลก เช่น แผนปฏิบัติการ ๒๑ และแผนการดำเนินงานโจฮันเนสเบอร์ก ๑.๒ ยืนยันว่า วัตถุประสงค์หลักของการประชุม Rio + 20 คือ การยืนยันพันธกรณีทางการเมืองระหว่างประเทศในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการประเมินความก้าวหน้าและช่องว่างของการดำเนินงานตามพันธกรณีที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น โดยผลลัพธ์ของการประชุม Rio + 20 ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการริโอ ซึ่งรวมถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง โดยเน้นการลงมือปฏิบัติและสนับสนุนข้อริเริ่มที่เป็นหุ้นส่วน ๑.๓ เศรษฐกิจสีเขียวจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่สำคัญ ๒ ประการ คือ การพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดความยากจน โดยแนวทางเศรษฐกิจสีเขียวจะต้องคำนึงถึงหลักการริโอ ซึ่งรวมถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน และไม่ควรใช้เศรษฐกิจสีเขียวเป็นเครื่องมือ หรือมาตรการกีดกันทางการค้า โดยแนวทางเศรษฐกิจสีเขียวควรประกอบด้วยการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเพื่อขจัดความยากจน การสร้างโอกาสทางการค้าให้กับประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกำลังพัฒนา การบูรณาการ ๓ เสาหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การให้แต่ละประเทศควรมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนตามสภาพและระดับของการพัฒนาของประเทศ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และคำนึงถึงกลุ่มที่ด้อยโอกาสในสังคม เช่น สตรีและเด็ก รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการประดิษฐ์ คิดค้น และถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงเทคโนโลยีสีเขียว ๑.๔ มีความจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยพิจารณาแนวทางในการดำเนินงาน ได้แก่ การสร้างเอกภาพและส่งเสริมการประสานงาน การสร้างความเข้มแข็ง และการบูรณาการระหว่าง ๓ เสาหลัก และการส่งเสริมบทบาทขององค์การสหประชาชาติในทุกระดับ รวมทั้งระดับภูมิภาค และอนุภูมิภาค ๒. ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในฐานะองค์หัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้ทรงกล่าวถ้อยแถลงในเรื่อง เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดความยากจน โดยทรงกล่าวว่าประเทศไทยสนับสนุนหลักการของการพัฒนาที่ยั่งยืน และได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางจากการพัฒนาเศรษฐกิจด้านเดียวมาเป็นการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับเสาหลักด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น และให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพของประชาชนตามที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) ว่า “สุขภาพเป็นส่วนสำคัญของการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน” การส่งเสริมด้านเศรษฐกิจสังคม การที่จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดีจะต้องมีการให้การศึกษา จัดหาที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่าง ๆ เช่น ภาคธุรกิจ โรงเรียน มหาวิทยาลัย องค์กรศาสนา และองค์กรวัฒนธรรม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1135 | รายงานผลการประชุมสมัชชาภาคีสมัยสามัญ ครั้งที่ 18 (18th General Assembly of State Parties) และ การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 10 (10th Extraordinary Session of the World Heritage Committee) ระหว่างวันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน 2554 ณ สำนักงานใหญ่ องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส | ทส | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมสมัชชาภาคีสมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๘ (18th General Assembly of State Parties) และการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยวิสามัญ ครั้งที่ ๑๐ (10th Extraordinary Session of the World Heritage Committee) ระหว่างวันที่ ๗ - ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ สำนักงานใหญ่ องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายศักดา พุกกะมาน) และคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปผลการประชุม ดังนี้
๑. การประชุมสมัชชาภาคีสมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๘ (18th General Assembly of State Parties) ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่ประชุมได้มีการคัดเลือกกรรมการมรดกโลก จำนวน ๙ ที่นั่ง พิจารณาโดยใช้เสียงข้างมาก (ร้อยละ ๕๐) ของรัฐภาคีที่ออกเสียงทั้งหมด แบ่งออกเป็นรัฐภาคีที่ไม่มีแหล่งมรดกโลก จำนวน ๑ ที่นั่ง และรัฐภาคีที่มีแหล่งมรดกโลก จำนวน ๘ ที่นั่ง ผลการคัดเลือกรัฐภาคีที่ไม่มีแหล่งมรดกโลก ได้แก่ รัฐกาตาร์ และรัฐภาคีที่มีแหล่งมรดกโลก ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐโคลอมเบีย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐอินเดีย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐเซเนกัล และสาธารณรัฐเซอร์เบีย นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ รายงานการประชุมสมัชชาภาคีสมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๗ (17th General Assembly of State Parties) ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการมรดกโลก ผลการตรวจสอบบัญชีเงินกองทุนมรดกโลก สถานภาพและการให้เงินช่วยเหลือต่อรัฐภาคี การกำหนดวงเงินบริจาคให้กองทุนมรดกโลก ยุทธศาสตร์โลกในการเป็นตัวแทน ความสมดุลและน่าเชื่อถือของรายชื่อแหล่งมรดกโลกในประเด็นของการประเมินยุทธศาสตร์และการริเริ่มความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ (PACT) รวมทั้งแผนการตรวจสอบภายในศูนย์มรดกโลก กิจกรรมด้านมรดกโลกที่ดำเนินการโดยศูนย์ที่จัดตั้งโดยรัฐภาคี หรือ Category 2 Centres และแผนการดำเนินกิจกรรมอนาคตของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก รวมถึงการเฉลิมฉลอง ๔๐ ปีของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ๒. การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยวิสามัญ ครั้งที่ ๑๐ (10th Extraordinary Session of the World Heritage Committee) ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๒.๑ การประชุมหารือระหว่างผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย กับรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ โดยฝ่ายไทยได้กล่าวว่ารัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเพื่อนบ้าน และเห็นความสำคัญของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และจะยังคงเป็นสมาชิกที่ทำหน้าที่ดูแลปกป้อง รักษาแหล่งมรดกโลกอย่างเข้มแข็งต่อไป พร้อมกันนี้ได้หยิบยกประเด็นที่เป็นปัญหาร่วมกันระหว่างสองประเทศมาหารือ คือ กรณีน้ำท่วมใหญ่ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อแหล่งมรดกโลก และความพยายามที่จะฟื้นฟูแหล่งมรดกโลกที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ ที่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาหารือ ได้แก่ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศโดยเน้นด้านวัฒนธรรมนำหน้า (Cultural Cooperation) ประเด็นในเรื่องการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ๒.๒ การประชุมหารือระหว่างหัวหน้าคณะผู้แทนไทยกับผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ UNESCO ด้านวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแจ้งให้ UNESCO ทราบสถานภาพของไทยต่ออนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก โดยฝ่ายไทยได้ขอบคุณที่ UNESCO จะให้ความช่วยเหลือไทยในการฟื้นฟูแหล่งมรดกโลกจากที่ถูกน้ำท่วม พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้อำนวยใหญ่ UNESCO ทราบว่าคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกของไทย เห็นชอบให้ไทยคงสมาชิกภาพในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และกรรมการในคณะกรรมการมรดกโลกต่อไป นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร โดยผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ UNESCO แจ้งให้ทราบว่า UNESCO จะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีพื้นที่ทับซ้อน พร้อมนี้ได้แจ้งว่า UNESCO เห็นความจำเป็นที่จะต้องบูรณะปราสาทพระวิหารที่อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม โดยขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาให้คณะทำงานติดตามตรวจสอบสถานภาพแหล่งมรดกโลกเข้าไปสำรวจปราสาทพระวิหาร รวมทั้งพิจารณาให้การสนับสนุนร่างข้อมติการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ (United Nations General Assembly : UNGA) เรื่อง Culture and Development ที่ส่งเสริมให้ประเทศที่เป็นสมาชิกองค์กรระหว่างประเทศคำนึงถึงการส่งเสริมด้านวัฒนธรรมเพื่อให้บรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||
1136 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ และระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำ โดยศูนย์สนับสนุนการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๒๑๖ เครื่อง จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๔๖ จังหวัด จำนวน ๑๙๑ เครื่อง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน ๕ เครื่อง และสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒๐ เครื่อง และได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำจากการประสานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และกรุงเทพมหานคร โดยติดตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ รวมจำนวน ๑๓ จุด จำนวนเครื่องสูบน้ำ ๑๕๖ เครื่อง ซึ่งผลการดำเนินงานสูบน้ำ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สามารถสูบน้ำเพื่อช่วยระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ทั้งสิ้น ๑๗,๕๔๖,๖๘๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๒ กรมทรัพยากรน้ำ โดยศูนย์สนับสนุนการดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๒๕๓ เครื่อง ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำจากภาคเหนือ จำนวน ๔๔ เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๖๑ เครื่อง ภาคกลาง จำนวน ๑๑๘ เครื่อง ภาคตะวันออก จำนวน ๑๒ เครื่อง และภาคตะวันตก จำนวน ๑๘ เครื่อง โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำในการกู้พื้นที่ประสบอุทกภัย โดยประสานจังหวัดพื้นที่เป้าหมายที่ยังมีน้ำท่วมขัง รวมจำนวน ๑๓ จุด มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเสร็จแล้ว จำนวน ๑๒๒ เครื่อง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เป็นประธานเปิดงาน “ชาวปากน้ำร่วมใจ คืนคลองสวยน้ำใส ป้องกันภัยน้ำท่วม” เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ สถานีสูบน้ำสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในการนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กองทัพเรือ และประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการ ได้ร่วมมือในการกำจัดผักตบชวา จัดเก็บขยะมูลฝอย และขุดลอกคลองเลียบชายทะเลริมถนนสุขุมวิท ให้สามารถรองรับน้ำได้มากขึ้น เพื่อช่วยการระบายน้ำในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เดินทางไปตรวจติดตามสภาพความพร้อมเครื่องสูบน้ำที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ในการนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดและเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำได้นำเครื่องสูบน้ำไปติดตั้งในพื้นที่น้ำท่วมขังและเร่งระบายน้ำตามภารกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
1137 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | ทส | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายวิจารย์ สิมาฉายา ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ๒. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๓. นายนิทัศน์ ภู่วัฒนกุล ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี
|
||||||||||||||||||||||||
1138 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายชัยภัฎ สมบูรณ์ดำรงกุล ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ทั้งนี้ นายชัยภัฎ สมบูรณ์ดำรงกุล จะต้องลาออกจากการเป็นพนักงานขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ก่อนวันที่ลงนามในสัญญาจ้าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1139 | แต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายชวลิต ชูขจร ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ แทนนายเฉลิมพร พิรุณสาร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1140 | กรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการประชุมภาคีพิธีสารเกียวโต | ทส | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ใช้กรอบการเจรจาของการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ ๑๕ และการประชุมภาคีพิธีสารเกียวโตครั้งที่ ๕ (COP15/CMP5) ซึ่งรัฐสภาเห็นชอบแล้วเป็นกรอบการเจรจาสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ ๑๗ และการประชุมภาคีพิธีสารเกียวโตครั้งที่ ๗ (COP17/CMP7) ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกา ไปพลางก่อน โดยสาระสำคัญของร่างกรอบการเจรจา ประกอบด้วย ๑.๑ ยืนยันหลักการสำคัญ คือ หลักการของความเสมอภาค (Equity) ความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities) การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) การขจัดปัญหาความยากจน (Poverty Eradication) และหลักการภายใต้ข้อตกลงแคนคูนที่ได้รับการรับรองโดยที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๖ และที่ประชุมภาคีพิธีสารเกียวโต ครั้งที่ ๖ ๑.๒ ให้ประเทศที่พัฒนาแล้วสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในด้านการเงินและการลงทุน การเสริมสร้าง ถ่ายทอด และพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยี และการเสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากร ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น ๑.๓ เห็นควรสนับสนุนให้มีพันธกรณีต่อเนื่องสำหรับประเทศในภาคผนวกที่ ๑ ภายใต้พิธีสารเกียวโต รวมถึงสนับสนุนนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยในการต่อหรือยืดอายุของพันธกรณีแรก ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ร่างกรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการประชุมภาคีพิธีสารเกียวโตครั้งต่อ ๆ ไป ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอรับกลับไปพิจารณาทบทวนแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
.....