ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 58 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 1141 - 1160 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1141 | การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | ทส | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยกรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมควบคุมมลพิษ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่วันที่ ๑๓ - ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดขบวนคาราวานแจกน้ำดื่มช่วยเหลือผู้ประสบภัยครอบคลุมพื้นที่ ๓๐ เขตในกรุงเทพมหานคร ๒. จัดประชุมประเมินสถานการณ์น้ำและวางแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ๓. ลงพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยและตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ของราษฎรและร่วมกิจกรรมทำความสะอาดถนน ซอย เก็บและขนขยะในเขตบางพลัด บริเวณถนนจรัลสนิทวงศ์ ซอยจรัลสนิทวงศ์ ๔๖, ๖๕, ๖๘, ๗๑, ๗๓ และ ๗๕ ซอยสิรินธร ๑ และ ๓ ถนนสิรินธร (ตั้งแต่บริเวณแยกบางพลัดถึงสถานีขนส่งสายใต้เก่า) เขตจตุจักร บริเวณสี่แยกรัชโยธิน ถนนรัชดาภิเษก [ตั้งแต่บริเวณศาลฎีกา กรมส่งเสริมการส่งออกถึงหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่] บริเวณหมู่บ้านเสนานิคม ถนนลาดปลาเค้า และบริเวณรอบสี่แยกวังหิน ถนนพหลโยธิน (บริเวณโรงภาพยนตร์เมเจอร์รัชโยธิน) เขตบางเขน ถนนพหลโยธิน (บริเวณกรมวิทยาศาสตร์ทหารบกและกรมป่าไม้) และเขตลาดพร้าว บริเวณหมู่บ้านเสนานิเวศน์ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานเปิดโครงการ "โฟม ๒๐ ใบ แลก ไข่ ๑ ฟอง" และปล่อยขบวนช่วยเหลือแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่อุทกภัยเคลื่อนที่ โดยลงพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในเขตบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ตั้งจุดโครงการขยะโฟมแลกไข่ ณ ตลาดกระโจมทอง พร้อมแจกน้ำจุลินทรีย์ ตรวจวัดคุณภาพน้ำ การใช้จุลินทรีย์น้ำบรรเทาน้ำเสียในพื้นที่ และให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะมูลฝอยในศูนย์อพยพชุมชน
|
||||||||||||||||||||||||
1142 | รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีราษฎรร้องทุกข์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย | ทส | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีราษฎรร้องทุกข์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ ภูทับฟ้า ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เนื่องจากมีการพบว่ามีปริมาณสารปรอทสูง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. กรมควบคุมมลพิษได้ตรวจสอบและวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ พบว่าตัวอย่างน้ำที่เก็บจากบริเวณห้วยเหล็ก ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีปริมาณสารไซยาไนด์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด แต่มีปริมาณสารหนูเกินมาตรฐานน้ำผิวดิน และไม่พบว่ามีสารปรอทในตัวอย่างน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด ๒. กรมทรัพยากรธรณีได้ตรวจสอบการปนเปื้อนของมลสาร ระหว่างเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยเก็บตัวอย่างดินและตะกอนท้องน้ำ จำนวน ๔๑ ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์ปริมาณธาตุ As, Cd, Co, Cr, Cu, Fe, Mn, Ni, Pb และ Zn ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างดินและตะกอนท้องน้ำ จำนวน ๒๐ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุ As อยู่ระหว่าง ๓๐ - ๓๘๕ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม และตัวอย่างดิน จำนวน ๑ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุแคดเมียม ๑๐.๙๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม ทั้งนี้ ตัวอย่างดินทั้งหมด จำนวน ๔๑ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุปรอทไม่เกินมาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม ๓. กรมทรัพยากรน้ำบาดาลรายงานว่า บริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพแร่สูง จึงอาจพบการปนเปื้อนของสารหนูหรือไซยาไนด์ในธรรมชาติอยู่แล้ว และไซยาไนด์สามารถย่อยสลายได้ง่ายเมื่อสัมผัสแสงแดด ดังนั้น โอกาสที่ปนเปื้อนในน้ำบาดาลจึงเป็นไปได้น้อยมาก ๔. สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้พิจารณารายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่โครงการจัดส่งเป็นระยะ ๆ และแจ้งผลให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ทราบ ทั้งนี้ ในส่วนการตรวจสอบกำกับการทำเหมืองของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เป็นหน้าที่ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่สามารถกำหนดให้เพิ่มความถี่และจุดเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อเฝ้าระวังคุณภาพน้ำให้มากขึ้นได้ แต่ไม่ควรเปลี่ยนจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำอยู่เสมอ เนื่องจากจะไม่สามารถเปรียบเทียบผลได้ ๕. กรณีที่ราษฎรในพื้นที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเห็นว่าควรระงับการขอขยายพื้นที่ใหม่หรือการขอประทานบัตรของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด แปลงประทานบัตรที่ ๑๐๔/๒๕๓๘ นั้น เป็นอำนาจของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานอนุญาตตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งมีอำนาจโดยตรง และยังมีอำนาจในการกำกับดูแลให้โครงการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มเติมมาตรการที่เห็นว่าสำคัญให้แก่โครงการในการนำไปปฏิบัติ
|
||||||||||||||||||||||||
1143 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม 2 ฉบับ | ทส | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจเกี่ยวกับการเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการของกระทรวงในการพัฒนายุทธศาสตร์และแปลงนโยบายของกระทรวงเป็นแผนการปฏิบัติงาน จัดสรรทรัพยากรและบริหารราชการทั่วไปของกระทรวง ให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ราชการบริหารส่วนกลาง มี ๖ สำนัก ๑ ศูนย์ ๑๖ สำนักงาน และราชการบริหารส่วนภูมิภาค ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๔ กำหนดให้มีกลุ่มกฎหมาย กลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่อปลัดกระทรวง และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๔๕ ๒.๒ กำหนดให้กรมทรัพยาธรณี มีภารกิจเกี่ยวกับการสงวน การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการบริหารจัดการด้านธรณีวิทยา ทรัพยากรธรณี ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและธรณีพิบัติภัย โดยการสำรวจ ตรวจสอบ และวิจัยสภาพธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี การประเมินศักยภาพแหล่งทรัพยากรธรณี การกำหนดและกำกับดูแลเขตพื้นที่สงวน อนุรักษ์ทรัพยากรธรณี และพื้นที่เสี่ยงต่อธรณีพิบัติภัย เพื่อการพัฒนาทรัพยากรธรณี คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุด และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ๔ สำนัก ๑ สำนักงาน ๒ กอง ๑ ศูนย์ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒.๔ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มนิติกร และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่ออธิบดีกรมทรัพยากรธรณี และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด |
||||||||||||||||||||||||
1144 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็กแปลงที่หนึ่ง และป่าดงพญาเย็น ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง ตำบลหนองย่างเสือ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย) | ทส | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็กแปลงที่หนึ่ง และป่าดงพญาเย็น ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง ตำบลหนองย่างเสือ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็กแปลงที่หนึ่ง และป่าดงพญาเย็น ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง ตำบลหนองย่างเสือ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1145 | ขอความเห็นชอบในหลักการการพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพยากรน้ำบาดาลและสำนักสำรวจธรณีวิทยาแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์กและกรีนแลนด์ | ทส | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และสำนักสำรวจธรณีวิทยาแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์กและกรีนแลนด์ ซึ่งบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาล และการดำเนินงานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำบาดาลอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมนโยบายรัฐบาลอันได้แก่ นโยบายส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ โดยการจัดให้มีการบริหารจัดการน้ำในระดับประเทศ ทั้งน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินอย่างมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงศักยภาพของลุ่มน้ำ จัดหาและจัดสรรน้ำให้เพียงพอต่อการใช้ประโยชน์ด้วยการบูรณาการระบบน้ำในประเทศทั้ง ๒๕ ลุ่มน้ำ สนับสนุนเกษตรกรทำแหล่งน้ำในไร่นา พร้อมการผันน้ำจากลุ่มน้ำอื่น ๆ และการจัดสร้างระบบโครงข่ายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพทั่วถึงตามศักยภาพของพื้นที่เพื่อสนองความต้องการของภาคเศรษฐกิจและการอุปโภคบริโภค และเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศและส่งเสริมการเติบโตทางวิชาการน้ำบาดาลอีกด้วย ๒. อนุมัติให้อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ ฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในบันทึกความเข้าใจ ฯ ดังกล่าว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก |
||||||||||||||||||||||||
1146 | แถลงการณ์ของผู้นำอาเซียน (ASEAN Leader's Statement on Climate Change) สำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 17 และการประชุมภาคีพิธีสารเกียวโต ครั้งที่ 7 (COP 7/CMP 7) | ทส | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ของผู้นำอาเซียน (ASEAN Leader’s Statement on Climate Change) สำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๗ และการประชุมภาคีพิธีสารเกียวโต ครั้งที่ ๗ (COP 7/CMP 7) ที่เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐอัฟริกาใต้โดยร่างแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ต้องการเน้นย้ำความสำคัญของการดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเน้นย้ำให้มีการดำเนินงานตามข้อมติ 1/CP.16 หรือ ข้อตกลงแคนคูนซึ่งได้รับความเห็นชอบในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๖ ที่เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก โดยต้องยึดมั่นตามหลักการของอนุสัญญาฯ และหลักการของการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการแสดงความตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการที่จะนำไปสู่ผลลัพท์ของการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๑๗ และการประชุมภาคีพิธีสารเกียวโต ครั้งที่ ๗ และตกลงที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อดำเนินการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1147 | ผลการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 13 การประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+3 ครั้งที่ 10 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๓ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๖ - ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายพิทยา พุกกะมาน) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมระหว่างรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมจากประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อพบปะหารือ และทบทวนความร่วมมือต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการในด้านสิ่งแวดล้อมของอาเซียน ซึ่งได้รับการพิจารณากลั่นกรองจากระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม (ASEAN Senior Official on Environment - ASOEN) ในประเด็นที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการทรัพยากรน้ำ สิ่งแวดล้อมศึกษา มลพิษหมอกควันข้ามแดน และการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้กรอบความร่วมมือกับประเทศอาเซียน + ๓ ๒. เห็นชอบแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน - จีน ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ (ASEAN - China Environmental Cooperation Action Plan 2011 - 2013) และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยหากมีความจำเป็น โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ อาเซียนได้รับรอง The China-ASEAN Strategy on Environmental Protection Cooperation เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และยุทธศาสตร์ดังกล่าวจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแผนปฏิบัติการความร่วมมือ (Action Plan) ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการปฏิบัติงาน จึงขอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนพิจารณาร่างฉบับแรกของแผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗ [the first draft ASEAN - China Environmental Cooperation Action Plan (2011 - 2013)] ซึ่งยกร่างโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน ๒.๒ แผนปฏิบัติการฯ ระบุประเด็นความร่วมมือที่สำคัญเกี่ยวกับ (๑) ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมเชิงนโยบายระดับสูง ได้แก่ การจัดประชุมระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน-จีน การประชุมในกรอบความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน-จีน (๒) การพัฒนาและดำเนินโปรแกรมทูตสิ่งแวดล้อมอาเซียน-จีน (the ASEAN - China Green Envoys Program) อาทิ การฝึกอบรมเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ทูตสิ่งแวดล้อมอาเซียน-จีน การสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมสู่สาธารณะ (๓) ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อม อาทิ การส่งเสริมการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อมอาเซียน-จีน การศึกษาความเป็นไปได้และส่งเสริมให้มีการรับรองฉลากสิ่งแวดล้อมร่วมกัน การพัฒนาโครงการนำร่องด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๔) โครงการวิจัยร่วม อาทิ การจัดทำและเผยแพร่รายงานด้านสิ่งแวดล้อมในทัศนะอาเซียน-จีน การพัฒนาและจัดการการศึกษาด้านนโยบายร่วม (Joint Policy Studies) ๒.๓ การดำเนินตามแผนปฏิบัติการฯ ได้แก่ (๑) การจัดการด้านองค์กรที่แต่ละฝ่ายจะมอบหมายผู้ประสานงานอย่างเป็นทางการ (National Focal Point : NPF) สำหรับความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน-จีน และทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งฝ่ายเลขานุการปฏิบัติการความร่วมมือ (Joint Implementation Secretariat : JIS) ซึ่งฝ่ายจีนรับผิดชอบโดยศูนย์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียนจีน (The China - ASEAN Environmental Cooperation Center : CAEC) และฝ่ายอาเซียนโดยสำนักเลขาธิการอาเซียนฝ่ายสิ่งแวดล้อม (๒) การสนับสนุนด้านการเงิน โดยระบุแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่สำคัญซึ่งไม่จำเพาะเจาะจงเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว ได้แก่ กองทุนความร่วมมืออาเซียน-จีน (ASEAN - China Cooperation Fund) การสนับสนุนจากคู่เจรจานานาชาติ รัฐบาลจีน รัฐบาลจากประเทศสมาชิกอาเซียน และแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ-เอกชนอื่น (Public - Private Partnership) |
||||||||||||||||||||||||
1148 | การจัดทำความตกลงระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านการป่าไม้ (Agreement between ASEAN and ROK on Forest Cooperation) | ทส | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำความตกลงระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านการป่าไม้ (Agreement between ASEAN and ROK on Forest Cooperation) โดยความตกลงนี้ เป็นความตกลงที่รัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีจัดทำเพื่อเป็นเวทีให้ประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีเจรจาในเรื่องการก่อตั้งองค์การความร่วมมือด้านการป่าไม้เอเชีย และอำนวยความสะดวกเรื่องความร่วมือทางด้านการป่าไม้ ผลักดันโครงการต่าง ๆ พร้อมกับแปลงนโยบายป่าไม้ที่มีความเหมาะสมและเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองแล้วไปสู่การปฏิบัติ เพื่อการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมโทรมของป่าไม้ในบริบทของการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และกำหนดให้การปฏิบัติตามความตกลงเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับภายในของคู่ภาคีแต่ละฝ่าย ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามความตกลงดังกล่าวในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
||||||||||||||||||||||||
1149 | การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | ทส | 08/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานการระบายน้ำสู่ทะเล ได้มีการประสานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมและดูแลเครื่องสูบน้ำระหว่างปฏิบัติงานการระบายน้ำลงสู่ทะเล และกำหนดจุดติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อให้การสูบน้ำเป็นเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพ โดยให้กรมทรัพยากรน้ำบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำ พร้อมปฏิบัติการติดตั้งและสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานการระบายน้ำ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ศูนย์ประสานงานการระบายน้ำ ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๓๑ จังหวัด จำนวน ๑๖๙ เครื่อง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน ๕ เครื่อง และสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒๐ เครื่อง โดยได้นำเครื่องสูบน้ำดังกล่าวไปติดตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ รวมจำนวน ๑๐ จุด จำนวนเครื่องสูบน้ำ ๑๖๗ เครื่อง ประสิทธิภาพการสูบน้ำจากจำนวนเครื่องสูบน้ำที่ติดตั้งทั้งหมดรวม ๑๓๓ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำรวม ๗๙๕,๓๙๘ ลูกบาศก์เมตร/วัน และผลการดำเนินงานการสูบน้ำ จากการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สามารถสูบน้ำเพื่อช่วยการระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ทั้งสิ้น ๓,๖๒๘,๘๖๔ ลูกบาศก์เมตร ๒. การดำเนินการรื้อถอนประตูระบายน้ำแบบชั่วคราว (Stop Log) ได้มอบให้กรมทรัพยากรน้ำสำรวจและรื้อถอนประตูน้ำแบบชั่วคราวในลำคลองต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายน้ำทางตอนเหนือสู่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครในพื้นที่คลอง ๘ คลอง ๙ คลอง ๑๐ คลอง ๑๑ คลอง ๑๒ คลองลำหิน คลองหวังโต คลองแตงโม คลองเขมร และคลองลำเจดีย์บน รวม ๓๐ แผ่น ขนาดของ Stop Log รวมทั้งสิ้น ๑๘ เมตร ๓. การดำเนินการกำจัดวัชพืชและขยะมูลฝอย ได้มอบกรมทรัพยากรน้ำสำรวจและกำจัดวัชพืชและขยะมูลฝอยในลำคลองต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายน้ำ โดยดำเนินการพื้นที่คลอง ๑๒ รวมทั้งสิ้น ๓.๖ กิโลเมตร ๔. การบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ประสบอุทกภัยและพื้นที่น้ำท่วมขัง ได้จัดทำโครงการ “ภูมิรักษ์ พิทักษ์น้ำ” รวมพลัง รวมน้ำใจ ไล่น้ำเสีย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมแถลงข่าวโครงการดังกล่าวและทำพิธีปล่อยขบวนรถบรรทุกส่งดาสต้าบอล (DASTA BALL) และน้ำหมักชีวภาพ EM ไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัย ๕ จังหวัด คือ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และนครสวรรค์ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ร่วมกับกองทัพบก ซึ่งได้จัดส่งดาสต้าบอล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ลูก และน้ำหมักชีวภาพ EM จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ขวด ไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัยเป้าหมาย ๕. การผลิตและการบริการน้ำสะอาดแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ได้มีการเปิดจุดบริการน้ำบาดาลน้ำดื่มสะอาดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภายในบริเวณพื้นที่ท้องฟ้าจำลอง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร และอีก ๑๐ จุดบริการ ประกอบด้วย เขตจตุจักร ณ สวนจตุจักร เขตวังทองหลาง ณ วัดสามัคคีธรรม เขตบางกะปิ ณ แฟลต ๑๓ การเคหะคลองจั่น เขตบึงกุ่ม ณ โรงเรียนประภาสวิทยา เขตคลองเตย ณ ท้องฟ้าจำลอง เขตสะพานสูง ณ วัดลาดบัวหลวง เขตบางบอน ณ วิทยาลัยเทคนิคราชสิทธิ์ เขตพระโขนง ณ วัดวชิรธรรมสาธิต อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ณ โรงเรียนพูลเจริญวิทยาลัย อำเภอเมืองสมุทรปราการ ณ วัดตำหรุ นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำได้ติดตั้งเครื่องผลิตน้ำดื่มในพื้นที่คลองทวีวัฒนาและกรมทรัพยากรน้ำ ปัจจุบันได้ผลิตน้ำสะอาดแล้วรวมทั้งสิ้น ๓๙,๔๓๕ ลิตร สามารถช่วยเหลือประชาชนทั้งสิ้นประมาณ ๗,๘๘๗ คน ๖. การป้องกันน้ำไหลบ่า การอพยพประชาชน และการนำอาหาร น้ำดื่มช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัย กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ แพไม้ไผ่ และกระสอบบรรจุทรายเพื่อจัดทำคันกั้นน้ำ การช่วยเหลือในการอพยพประชาชน และการนำอาหารแห้ง อาหารสดปรุงสำเร็จ และน้ำดื่มเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยรุนแรง ๗. การกำจัดขยะมูลฝอยและบรรเทาปัญหามลพิษ กรมควบคุมมลพิษได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบรรเทาปัญหามลพิษในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอย สารเคมี และตรวจสอบคุณภาพน้ำ เร่งสำรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย รวมถึงการบรรเทาน้ำเสียและสารเคมีในน้ำ โดยแจกจ่ายน้ำจุลินทรีย์ พด. ๖ ก้อนจุลินทรีย์ และผงจุลินทรีย์ ให้แก่ผู้ประสบภัย
|
||||||||||||||||||||||||
1150 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะเลื่อยโซ่ยนต์และส่วนประกอบของเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. .... | ทส | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ลักษณะเลื่อยโซ่ยนต์และส่วนประกอบของเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดลักษณะเลื่อยโซ่ยนต์และส่วนประกอบของเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๒ กำหนดคำนิยามคำว่า “เลื่อยโซ่ยนต์” ให้หมายความถึงเครื่องมือสำหรับใช้ตัดไม้หรือแปรรูปไม้ที่มีฟันเลื่อยติดกับโซ่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องจักรกลที่ผลิตและประกอบสำเร็จรูปเพื่อการใช้งานที่มีต้นกำลังตั้งแต่ ๑ แรงม้า โดยมีแผ่นบังคับโซ่ที่มีขนาดความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้ว และเครื่องจักรกลต้นกำลังที่มีการออกแบบตัวเครื่องและอุปกรณ์ประกอบตัวเครื่องให้มีลักษณะหรือสภาพเพื่อนำมาประกอบเป็นเครื่องมือใช้งานโดยเฉพาะ ที่มีต้นกำลังตั้งแต่ ๑ แรงม้า โดยมีแผ่นบังคับโซ่ที่มีขนาดความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้ว ๑.๓ กำหนดให้ผู้มีเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ครอบครองต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรกำหนดลักษณะของเลื่อยโซ่ยนต์ให้ครอบคลุมถึงเลื่อยโซ่ยนต์ที่ใช้แผ่นบังคับโช่ ขนาดความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้วลงมา รวมทั้งเลื่อยโซ่ที่ใช้พลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานลม พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแผนและขั้นตอนในการปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงฯ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1151 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ รวม ๗ คน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป สำหรับบุคคลในลำดับที่ ๗ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการอนุมัติเป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสาคร ศิริชัย เป็นกรรมการ ๒. นายพงษ์ภัทร์ สุวรรณศิริเขต เป็นกรรมการ ๓. นายสุพจน์ สกลไชย เป็นกรรมการ ๔. นายอิทธิพล ปภาวสิทธิ์ เป็นกรรมการ ๕. นายเรวัต วิศรุตเวช เป็นกรรมการ ๖. นายสุพันธุ์ มงคลสุธี เป็นกรรมการ ๗. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ เป็นกรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||
1152 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ตามแผนบูรณาการการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลฯ) | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลโดยการสร้างปะการังเทียม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการติดตามการดำเนินการโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลโดยการสร้างปะการังเทียม ในช่วงระยะเวลา ๕ เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน - สิงหาคม ๒๕๕๔ พบว่ามีทั้งสิ้น ๓๑ แผนงาน/โครงการ ดำเนินการใน ๑๖ จังหวัด โดย ๑๙ หน่วยงาน ซึ่งแบ่งการดำเนินงานการติดตามข้อมูลตามเขตพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ ๑ - ๖ ประกอบด้วย ศูนย์ฯ ๑ (จังหวัดระยอง) ๓ แผนงาน/โครงการ ศูนย์ฯ ๒ (จังหวัดสมุทรสาคร) ๔ แผนงาน/โครงการ ศูนย์ฯ ๓ (จังหวัดชุมพร) ๘ แผนงาน/โครงการ ศูนย์ฯ ๔ (จังหวัดสงขลา) ๙ แผนงาน/โครงการ ศูนย์ฯ ๕ (จังหวัดภูเก็ต) ๔ แผนงาน/โครงการ และศูนย์ฯ ๖ (จังหวัดสตูล) ๓ แผนงาน/โครงการ สรุปรวม ๓๑ แผนงาน/โครงการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๔๒๐.๕๙ ล้านบาท ทำสัญญาแล้ว ๑๖ โครงการ โดยดำเนินการแล้วเสร็จและเบิกจ่ายแล้ว ๔ โครงการ รวมเป็นเงิน ๕๓.๙๗ ล้านบาท ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการโครงการฯ อาทิ การจัดทำปะการังเทียมมีความซ้ำซ้อน ไม่บูรณาการกันระหว่างหน่วยงานจัดสร้าง การจัดทำปะการังเทียมโดยไม่ขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองงบประมาณ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อการเดินเรือและการสัญจรทางน้ำ รวมทั้งขาดฐานข้อมูลที่ทันสมัยและพิกัดการจัดวางจริง ขาดการติดตามประเมินผลหลังการจัดวาง และการขออนุญาตการจัดวางใช้เวลานาน มีความซ้ำซ้อนและไม่มีความชัดเจน |
||||||||||||||||||||||||
1153 | ร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ที่ฝ่าฝืนการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง และผู้ที่ฝ่าฝืนการจัดตั้งและดำเนินกิจการสวนสัตว์สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี ต้องรับโทษทางอาญา ตามมาตรา ๔๘ สำหรับผู้ที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีแล้ว แต่มีกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงหรือเงื่อนไขในใบอนุญาต ให้ได้รับเพียงโทษทางปกครองโดยการพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต ตามมาตรา ๔๓ โดยไม่ต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา ๔๘ อีก ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1154 | ร่างพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังต่อไปนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมคำนิยามคำว่า “สวนป่า” เพื่อให้ที่ดินที่ปลูกไม้ทุกชนิดสามารถนำมาขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่าได้ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทที่ดินที่จะขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่าได้ตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแก้ไขเพิ่มเติมความใน (๔) และเพิ่มเติม (๖) และ (๗) ของมาตรา ๔ ๓. แก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ และเพิ่มเติมร่างมาตรา ๑๑/๑ เพื่อให้ผู้ทำสวนป่าตั้งโรงงานแปรรูปไม้ได้ และให้อธิบดีเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้ โดยให้รัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการออกใบอนุญาต ๔. แก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าภาคหลวง ค่าบำรุงป่า และค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ ๕. เพิ่มเติมร่างมาตรา ๑๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้การเก็บหาของป่าบางชนิดในสวนป่าได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าภาคหลวงและค่าบำรุงป่าตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ และกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ ๖. เพิ่มเติมร่างมาตรา ๒๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้มีมาตรการลงโทษทางปกครองในกรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการทำสวนป่า หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ๗. กำหนดบทกำหนดโทษ |
||||||||||||||||||||||||
1155 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การขออนุญาตและการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่า พ.ศ. .... | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การขออนุญาตและการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่า พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาต เช่น การยื่นคำขอ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขออนุญาต เป็นต้น ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสภาพป่า เช่น การขออนุญาตในพื้นที่ป่า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งเจ้าหน้าที่ออกไปทำการตรวจสภาพป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักจัดทรัพยากรป่าไม้ ภายใน ๑๕ วัน กำหนดระยะตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน และให้ขยายระยะเวลาออกไปได้อีกไม่เกิน ๓๐ วัน กำหนดพื้นที่ที่จะพิจารณาอนุญาตได้ เป็นต้น ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุญาต เช่น การอนุญาตเพื่อการสำรวจแร่ การอนุญาตเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ตามกฎหมายเหมืองแร่ การอนุญาตเพื่อการสำรวจปิโตรเลียม การอนุญาตเพื่อการอยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์ การอนุญาตเพื่อจัดสวนรุกขชาติหรือวนอุทยาน การอนุญาตเพื่อสร้างวัดหรือสำนักสงฆ์ การอนุญาตเพื่อประโยชน์ในการศึกษาและวิจัยทางวิชาการ เป็นต้น ๑.๔ กำหนดให้ไม้ที่จำเป็นต้องทำออกจากพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต ให้ผู้รับอนุญาตแจ้งเป็นหนังสือให้จังหวัดทราบ และให้จังหวัดแจ้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ดำเนินการทำไม้ออก ๑.๕ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต ๑.๖ กำหนดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม การชำระเงิน และบทเฉพาะกาล ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า การขออนุญาตและการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่า อาจมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกรมเจ้าท่า หากเป็นการเข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าที่มีลักษณะเป็นคลอง บึง ทะเล ที่ชายทะเล ซึ่งหากการอนุญาตตามร่างกฎกระทรวงฯ มีความเกี่ยวข้องหรือทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของกรมเจ้าท่า การพิจารณาอนุญาตก็ย่อมต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๕๔๖ ด้วย นอกจากนี้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ กำหนดนิยามคำว่า “ป่า” หมายถึง ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน แต่ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ ต้นไม้ในเขตทางหลวงเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวง ดังนั้น ในการก่อสร้าง บูรณะ บำรุงรักษาทางหลวง หากมีต้นไม้ซึ่งมิใช่ไม้หวงห้ามในเขตทางหลวงกีดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่องานทาง กรมทางหลวงมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ในการตัด ขุดล้อม ทำลายหรือกระทำด้วยประการใดโดยมิต้องขออนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1156 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตให้มีผลิต หรือนำเข้าเลื่อยโซ่ยนต์ และการเปลี่ยนแปลงเลื่อยโซ่ยนต์ให้มีกำลังเครื่องจักรกลเพิ่มขึ้น รวมทั้งคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตให้มี ผลิต หรือนำเข้าเลื่อยโซ่ยนต์ และการเปลี่ยนแปลงเลื่อยโซ่ยนต์ให้มีกำลังเครื่องจักรกลเพิ่มขึ้น รวมทั้งคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตให้มีเลื่อยโซ่ยนต์ต้องจัดหาเลื่อยโซ่ยนต์ภายในเวลาที่กำหนด หากพ้นกำหนดให้ถือว่าใบรับรองให้มีเลื่อยโซ่ยนต์นั้นสิ้นผล ๑.๒ กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ ที่ได้เลื่อยโซ่ยนต์มาจากการขายทอดตลาดหรือศาลสั่งริบหรือที่ตกเป็นของแผ่นดิน และการรับโอนมรดก สามารถขอรับอนุญาตได้ไม่ต้องมีใบรับรองให้มีเลื่อยโซ่ยนต์ ๑.๓ กำหนดให้มีการทำตัวเลขประจำเลื่อยโซ่ยนต์ ๑.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาตผลิตเลื่อยโซ่ยนต์ ๑.๕ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตนำเข้าเลื่อยโซ่ยนต์ ๑.๖ กำหนดเหตุแห่งการเพิกถอนใบอนุญาต ๑.๗ กำหนดแบบเครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ ๑.๘ กำหนดบทเฉพาะกาล ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรกำหนดลักษณะของเลื่อยโซ่ยนต์ให้ครอบคลุมถึงเลื่อยโซ่ยนต์ที่ใช้แผ่นบังคับโช่ ขนาดความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้วลงมา รวมทั้งเลื่อยโซ่ที่ใช้พลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานลม พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแผนและขั้นตอนในการปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงฯ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1157 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ป่ากงเกวียน และป่าพุยาง และป่าพุสามซ้อน ในท้องที่ตำบลอ่างหิน ตำบลทุ่งหลวง ตำบลยางหัก อำเภอปากท่อ และตำบลหนองพันจันทร์ ตำบลบ้านคา ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน) (อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน) | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ป่ากงเกวียน และป่าพุยาง และป่าพุสามซ้อน ในท้องที่ตำบลอ่างหิน ตำบลทุ่งหลวง ตำบลยางหัก อำเภอปากท่อ และตำบลหนองพันจันทร์ ตำบลบ้านคา ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ป่ากงเกวียน และป่าพุยาง และป่าพุสามซ้อน ในท้องที่ตำบลอ่างหิน ตำบลทุ่งหลวง ตำบลยางหัก อำเภอปากท่อ และตำบลหนองพันจันทร์ ตำบลบ้านคา ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมมิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนที่ต้องดำเนินการออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1158 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. 2551 จำนวน 5 ฉบับ | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดค่าธรรมเนียม ใบอนุญาตให้ขุดค้น เคลื่อนย้าย นำเอาไป ทำให้เสียหาย หรือทำลายซึ่งแหล่งซากดึกดำบรรพ์ หรือซากดึกดำบรรพ์ในเขตสำรวจและศึกษาวิจัย ฉบับละ ๑,๕๐๐ บาท ใบอนุญาตให้เข้าไปดำเนินการในแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนที่อยู่ในที่ดินของรัฐ ฉบับละ ๑๐,๐๐๐ บาท ใบอนุญาตให้ส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพหรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่นออกนอกราชอาณาจักร ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม หรือทำลายแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียน หรือซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียน หรือขุดค้นสิ่งใด ๆ หรือปลูกสร้างอาคารในแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียน และการซ่อมแซมเปลี่ยนแปลง หรือทำลายซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการซ่อมแซม เปลี่ยนแปลง หรือทำลายซึ่งซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนให้ยื่นขอรับใบอนุญาต่ออธิบดี ๒.๒ กำหนดการขอต่ออายุใบอนุญาต ๒.๓ กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นรับคำขอใบแทนใบอนุญาต แบบคำขอรับใบอนุญาต สถานที่การยื่นคำขอใบอนุญาต คำขอต่ออายุใบอนุญาต และคำขอรับใบแทนใบอนุญาต ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขุดค้น เคลื่อนย้าย นำเอาไป ทำให้เสียหาย หรือทำลายแหล่งซากดึกดำบรรพ์ หรือซากดึกดำบรรพ์ในเขตสำรวจและศึกษาวิจัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑ กำหนดการยื่นคำขอรับใบอนุญาตของผู้ประสงค์จะขุดค้น เคลื่อนย้าย นำเอาไป ทำให้เสียหาย หรือทำลายแหล่งซากดึกดำบรรพ์ รายละเอียดของโครงการและแผนปฏิบัติงาน ๓.๒ กำหนดอายุใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต แบบคำขอรับใบอนุญาต การยื่นคำขอรับใบอนุญาต ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าไปดำเนินการในแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนที่อยู่ในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๔.๑ กำหนดให้ผู้ประสงค์จะเข้าไปดำเนินการในแหล่งซากดึกดำบรรพ์ต้องได้รับอนุญาต รายละเอียดของโครงการและแผนปฏิบัติงาน การพิจารณาอนุญาตให้เข้าไปดำเนินการ ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของคำขอรับใบอนุญาต ๔.๒ กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาต แบบคำขอใบอนุญาต แบบใบอนุญาต แบบคำขอต่ออายุใบอนุญาต และแบบรับใบแทนใบอนุญาต การยื่นคำขอรับใบอนุญาต คำขอต่ออายุใบอนุญาต และคำขอรับใบแทนใบอนุญาต ๕. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพ หรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่นซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๕.๑ กำหนดลักษณะของซากดึกดำบรรพ์ที่จะได้รับใบอนุญาต วัตถุประสงค์ของการส่งซากดึกดำบรรพ์ออกนอกราชอาณาจักร ๕.๒ กำหนดการแจ้งผลการพิจารณาการขอรับใบอนุญาต กำหนดรายละเอียดของเงื่อนไขแก่ผู้ขอรับใบอนุญาต ๕.๓ กำหนดวัตถุประสงค์ของการออกใบอนุญาต การนำซากดึกดำบรรพ์กลับเข้ามาในราชอาณาจักร การยื่นคำขอรับใบแทน แบบคำขอรับใบอนุญาต แบบใบอนุญาตและแบบคำขอรับใบแทนใบอนุญาต สถานที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต |
||||||||||||||||||||||||
1159 | การติดตามสถานการณ์น้ำและการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามสถานการณ์น้ำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การตรวจติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมคณะได้ตรวจติดตามสภาพน้ำท่วมและน้ำเน่าเสียในบริเวณชุมชนฟ้าใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ พบว่ามีน้ำท่วมสูง ๐.๕๐ - ๑.๕๐ เมตร สภาพน้ำเริ่มเน่าเสียไปทั่วบริเวณ โดยได้ปล่อยจุลินทรีย์บอล เพื่อกำจัดน้ำเสียในบริเวณชุมชน พร้อมทั้งมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย และได้ประชุมรับฟังปัญหาและความต้องการของพื้นที่ ซึ่งได้เสนอให้เร่งรัดดำเนินการขุดลอกบึงบอระเพ็ด และแหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อเป็นแก้มลิงป้องกันอุทกภัยในระยะยาว ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมคณะได้ตรวจติดตามสภาพน้ำท่วมและน้ำเน่าเสียในบริเวณชุมชนวัดไผ่ขาด อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี พบว่ามีน้ำท่วมสูง ๐.๕๐ - ๒.๐๐ เมตร สภาพน้ำเริ่มเน่าเสียไปทั่วบริเวณ โดยได้ปล่อยจุลินทรีย์บอล เพื่อกำจัดน้ำเสียในบริเวณชุมชน พร้อมทั้งมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ๒. การตรวจติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมคณะได้ตรวจเยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัยและมอบอาหารปรุงสำเร็จ ณ บริเวณศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และตรวจติดตามสภาพน้ำท่วมในวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี และบริเวณชุมชนโดยรอบ รวมทั้งศาสนสถานในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งทางวัดสวนแก้วขอรับการสนับสนุนอาหาร น้ำดื่ม และยารักษาโรคสำหรับผู้ประสบภัยและผู้สูงอายุที่พักพิงอยู่ที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งอยู่ในความอุปการะของวัดสวนแก้ว ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมคณะได้ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหน่วยราชการในจังหวัด เพื่อรับทราบสถานการณ์น้ำท่วมและปัญหาน้ำเน่าเสียในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้มอบจุลินทรีย์บอลให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และแจกให้ประชาชนผู้ประสบภัยนำไปใช้ในการกำจัดน้ำเสียในพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||
1160 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา | ทส | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รวบรวมผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นปัญหามลพิษทางน้ำ ระบบการจัดการน้ำเสียและระบบการจัดการขยะในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลนครสงขลา และโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองสะเดา การสนับสนุนส่งเสริมรูปแบบและแนวทางในการบำบัดน้ำเสียให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการฟื้นฟูคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤตแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยคลองอู่ตะเภา การตรวจสอบคุณภาพน้ำจากลำน้ำโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการพัฒนาระบบข้อมูลคุณภาพน้ำ : หนึ่งท้องถิ่น หนึ่งจุดเก็บตัวอย่างน้ำ และการจัดทำประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง เกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ การออกแบบการก่อสร้างและจัดการสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยชุมชนโดยการฝังกลบ การเผาในเตาเผา และการหมักทำปุ๋ย เป็นต้น ๒. ปัญหาการประมงจากการใช้เครื่องมือที่มีจำนวนมากเกินศักยภาพและการกีดขวางการสัญจรทางน้ำของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์น้ำที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ การจัดตั้งชุมชนเพื่อดูแลและอนุบาลสัตว์น้ำให้แข็งแรงก่อนที่จะใช้ประโยชน์ การจัดตั้งฟาร์มสัตว์น้ำชุมชนและควบคุมไม่ให้มีเครื่องมือประมงประเภทไซนั่งและโพงพางเพิ่มมากขึ้น และการเข้าร่วมในการกำหนดและจัดระเบียบเครื่องมือประมงในบริเวณทะเลสาบสงขลาตอนล่างเพื่อการสัญจรทางน้ำของกรมเจ้าท่า เป็นต้น ๓. ปัญหาความเสื่อมโทรมของป่าต้นน้ำและความตื้นเขินของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การผนวกพื้นที่บริเวณป่าผาดำและป่าสงวนแห่งชาติบริเวณใกล้เคียงให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง และดำเนินการปลูกป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และบำรุงป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๑ รวมเนื้อที่ ๑,๒๐๐ ไร่ การดำเนินการตามโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่นาร้างเพื่อการเกษตรแบบผสมผสาน เป็นต้น ๔. ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง และการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ ได้แก่ การตรวจสอบการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง รวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลแผนที่รูปแปลงที่ดินของรัฐในระบบภูมิสารสนเทศ การตรวจสอบพื้นที่ที่อ้างหนังสือสิทธิในที่ดินทั้งหมด ๓ จังหวัด ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย การตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดสงขลา และการจัดทำโครงการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๕. การขาดการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การสนับสนุนให้เครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเสนอยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... การดำเนินการบริหารจัดการเมืองโบราณหัวเขาแดง พร้อมพื้นที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ๒,๔๖๐ ไร่ การจัดทำระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการให้องค์กรเอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อรองรับการทำงานขององค์กรภาคเอกชน และการตราพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมีกลไกรองรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดเขตพื้นที่พัฒนา เป็นต้น ๖. ปัญหาการบริหารจัดการที่ขาดเอกภาพและความต่อเนื่อง และการจัดสรรงบประมาณที่ขาดการบูรณาการ ได้แก่ การจัดทำโครงการเร่งรัดการบังคับใช้ผังเมืองครอบคลุมพื่นที่รอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา การจัดทำกรอบแผนงบประมาณประจำปีของลุ่มทะเลสาบสงขลา โดยใช้แผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบเป็นหลัก และจัดทำโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น ๗. ปัญหาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การนำยุทธศาสตร์ที่ผ่านความเห็นชอบการจัดทำแผนนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการและจัดทำแผนงบประมาณสนับสนุน ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเพื่อจัดตั้งเขตพื้นที่พัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดให้แก่จังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช และการดำเนินโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานและการดำรงชีวิตของชุมชนโบราณในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๘. ปัญหาศักยภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ได้แก่ การจัดทำโครงการและศึกษาข้อมูลด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และการดำเนินการเตรียมการประกาศพื้นที่ที่มีระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์ และพื้นที่ที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเตรียมการเสนอพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เป็นต้น
|
.....