ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 53 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 1041 - 1060 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1041 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานการตรวจติดตามสภาพปัญหาแนวตลิ่งพังบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดนครสวรรค์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ตรวจติดตามสภาพแนวตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่พังทลายในบริเวณตำบลไทรน้อย ตำบลบ้านกุ่ม และตำบลบางชะนี อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมอบหมายให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน และให้กรมโยธาธิการและผังเมือง เร่งก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในบริเวณพื้นที่วิกฤติ ๒. วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ส่งมอบโครงการน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ โรงเรียนพรานกระต่ายพิทยาคม หมู่ ๑ ตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร และได้ส่งมอบระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลดื่มได้ภาคสนาม จำนวน ๓ เครื่อง ให้กับเทศบาลตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย เทศบาลตำบลลานกระบือ อำเภอลานกระบือ และองค์การบริหารส่วนตำบลเพชรชมภู อำเภอโกสัมพีนคร จังหวัดกำแพงเพชร นอกจากนี้ ได้ตรวจติดตามสภาพปัญหาภัยแล้ง การเจาะน้ำบาดาล และการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านสหกรณ์ หมู่ ๓ ตำบลทรงธรรม อำเภอเมืองกำแพงเพชร บ้านคลองขุด หมู่ ๔ ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอปางศิลาทอง และบ้านบ่อถ้ำ หมู่ ๓ ตำบลบ่อถ้ำ อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมทั้งตรวจติดตามสภาพปัญหาลำน้ำคลองขลุงและแนวทางแก้ไข ตำบลหินดาด อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร ๓. วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ตรวจโครงการสูบน้ำจากเหมืองแร่เก่าไปพื้นที่เกษตรกรรม (นาข้าว) บ้านทุ่งทอง หมู่ที่ ๓, ๗, ๙, ๑๑ และ ๑๓ ตำบลทุ่งทอง อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมทั้งตรวจการเจาะน้ำบาดาลและการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหลักสิบเก้า หมู่ ๑๔ ตำบลอุดมธัญญา อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์
|
|||||||||||||||||||||
1042 | ขอแก้ไขชื่อสกุลข้าราชการการเมือง (นางสาวเพ็ญชิสา หงษ์อุปถัมภ์ชัย) | ทส | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เห็นชอบแต่งตั้งนางสาวเพ็ญชิสา หงส์อุปถัมภ์ชัย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยที่ชื่อสกุลของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อน จึงขอแก้ไขชื่อสกุลให้ถูกต้องจาก "หงส์อุปถัมภ์ชัย" เป็น "หงษ์อุปถัมภ์ชัย"
|
|||||||||||||||||||||
1043 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดยโสธร ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านสะแนน หมู่ ๘ ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร และบ้านกระจาย หมู่ ๑๓ ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒. จังหวัดอำนาจเจริญ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านโปโล หมู่ ๔ ตำบลไก่คำ อำเภอเมือง โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดมุกดาหาร ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองแวงน้อย หมู่ ๓ ตำบลโชคชัย อำเภอนิคมคำสร้อย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๔. จังหวัดนครพนม ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านโพนสาวเอ้ หมู่ ๑๑ ตำบลเรณูนคร อำเภอเรณูนคร และหมู่ ๑ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๖. จังหวัดเลย ตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง แบบบูรณาการโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนำเครื่องสูบน้ำระยะไกลสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร และเกษตรกรนำเครื่องยนต์เอนกประสงค์ที่ใช้กับรถไถนาเดินตามมาสูบน้ำจากบ่อน้ำบาดาลเข้าพื้นที่การเกษตร ณ บ้านเมี่ยง หมู่ ๘ ตำบลหนองผือ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านศรีสองรัก หมู่ ๑๑ ตำบลศรีสองรัก อำเภอเมือง จังหวัดเลย และตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนบ้านหนองใหญ่ หมู่ ๑ ตำบลผาอินแปลง อำเภอเอราวัณ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๗. จังหวัดหนองบัวลำภู ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และมอบถุงยังชีพให้ประชาชนผู้ประสบภัย ณ บ้านกุดกระสู้ใต้ หมู่ ๑๓ ตำบลเก่ากลอย อำเภอนากลาง และบ้านทรายงาม หมู่ ๔ ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมือง โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
|
|||||||||||||||||||||
1044 | ขออนุมัติการดำเนินโครงการบำบัดน้ำเสียรวม พื้นที่เทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร | ทส | 06/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ เห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร โดยให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ลงทุนเฉพาะในระยะที่ ๑ วงเงินลงทุน ๒,๗๕๐.๖๓ ล้านบาทก่อน ส่วนการลงทุนในระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นการผูกพันงบประมาณระยะยาวถึงปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ควรประเมินผลการดำเนินการในระยะที่ ๑ รวมทั้งศึกษาทบทวนข้อสมมติต่าง ๆ ก่อนเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับลดระยะเวลาในการบริหารจัดการเดินระบบบำบัดจาก ๒๕ ปี เป็น ๑๕ ปี เพื่อเร่งถ่ายโอนภารกิจให้เทศบาลนครอ้อมน้อย ๑.๒ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร และเทศบาลนครอ้อมน้อย ร่วมลงทุนในโครงการฯ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโครงการฯ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างความเป็นเจ้าของโครงการฯ โดยให้ อจน. เร่งเจรจาและจัดทำข้อตกลงเรื่องสัดส่วนการร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลนครอ้อมน้อยโดยเร็ว โดยเงินร่วมลงทุนดังกล่าว ให้หักจากเงินอุดหนุนประจำปีที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งสอง ๑.๓ ให้ อจน. เร่งประสานเทศบาลนครอ้อมน้อยให้มีการตราเทศบัญญัติในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งจัดทำข้อตกลงกับเทศบาลนครอ้อมน้อยให้รับภาระค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งส่วนที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย โดยต้องมีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนพร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้ อจน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จากการให้บริการจัดการน้ำเสียและเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อลดการต่อต้านในการจัดเก็บค่าบริการและเพื่อลดภาระจากการพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดิน และให้ อจน. จัดเตรียมแผนและดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ให้กับเทศบาลนครอ้อมน้อยในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเทศบาลนครอ้อมน้อยให้พร้อมรับถ่ายโอนภารกิจได้ภายในระยะเวลาของโครงการฯ ๑.๕ ให้ อจน. ร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกรมควบคุมมลพิษ ในการติดตามตรวจสอบและบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบระบายมลพิษลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมในการจัดการน้ำเสียโรงงานและการชำระค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ๒. เห็นควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติโครงการ ให้เทศบาลนครอ้อมน้อยต้องรับผิดชอบในการสมทบเงินค่าใช้จ่ายในการเดินระบบและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย หากการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนได้ไม่เพียงพอ รวมทั้งให้มีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ๓. สำหรับการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในระยะที่ ๒ หรือระยะต่อไป ให้พิจารณาจากความต้องการและความจำเป็นโดยพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหาหรือปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด หากปริมาณน้ำเสียมีมากขึ้นจึงค่อยพิจารณาขยายระบบต่อไป โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการบำบัดน้ำเสียและระยะเวลาในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการบำบัดน้ำเสีย |
|||||||||||||||||||||
1045 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 06/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดลพบุรีและสระบุรี ตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนท่าวุ้งวิทยาคาร ตำบลท่าวุ้ง อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี และตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง พร้อมปล่อยขบวนคาราวานรถเจาะน้ำบาดาล ส่งมอบบ่อน้ำบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำภาคสนาม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลโคกใหญ่-หรเทพ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ๒. จังหวัดกาฬสินธุ์ ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองคอนเตรียม หมู่ ๓, ๙ ตำบลหลักเหลี่ยม อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดอุดรธานี ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านเชียงกรม หมู่ ๑๔ ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม และบ้านหนองไผ่น้อย หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการสูบน้ำระยะไกลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองไผ่ หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งตรวจการสูบน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ และบ้านหนองบุ่งหวาย หมู่ ๑๓ บ้านจอมตาลใต้ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำ ๔. จังหวัดสกลนคร ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านใต้ อำเภอสว่างแดนดิน และตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านดอนดู่ หมู่ ๓ ตำบลนาตงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และนำรถผลิตน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายแก่ประชาชน ณ บ้านโพนแคใหญ่ หมู่ ๒ ตำบลนาดงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๕. จังหวัดบึงกาฬ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ วัดสอนเจริญราษฎร์ หมู่ ๑ ตำบลนาสิงห์ อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๖. จังหวัดหนองคาย ตรวจการแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยจัดทำจุดจ่ายน้ำ และสาธิตการสูบน้ำระยะไกล ณ บ้านดงคำพี้ หมู่ ๗ ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย และจัดทำจุดจ่ายน้ำ และแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชน ณ บ้านเบิด หมู่ ๖ ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านน้ำสวย หมู่ ๑๑ ตำบลสระไคร อำเภอสระไคร จังหวัดหนองคาย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
|||||||||||||||||||||
1046 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางสาวเพ็ญชิสา หงส์อุปถัมภ์ชัย) | ทส | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นางสาวเพ็ญชิสา หงส์อุปถัมภ์ชัย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
1047 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (จำนวน 11 ราย 1. นางรตยา จันทรเทียร ฯลฯ) | ทส | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ จำนวน ๑๑ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป แทนกรรมการเดิมซึ่งได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสองปีตามวาระเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นางรตยา จันทรเทียร ๒. นายเสรี เวชชบุษกร ๓. นายนิวัติ เรืองพานิช ๔. นายสนิท อักษรแก้ว ๕. นายนิพนธ์ ตั้งธรรม ๖. นายสุรเชษฎ์ เชษฐมาส ๗. นายธวัชชัย จึงเจริญ ๘. นายชัยรัตน์ ชยามฤต ๙. นายวิลาศ ผิวเหมาะ ๑๐. นายฉกาจ ลาภานุพัฒน์ ๑๑. นางสาวดรรชนี เอมพันธุ์
|
|||||||||||||||||||||
1048 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนต่อการประชุมระดับสูง ระหว่างสมัยการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ 11 | ทส | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนต่อการประชุมระดับสูง ระหว่างสมัยการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ ๑๑ [DRAFT JOINT STATEMENT OF ASEAN ENVIRONMENT MINISTERS FOR THE ELEVENTH MEETING OF THE CONFERENCE OF THE PARTIES TO THE CONVENTION ON BIOLOGICAL DIVERSITY (CBD-COP11)] โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการเน้นย้ำถึงพันธะกิจและเจตนารมณ์ซึ่งสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ในการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาคในการดำเนินการเพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Blueprint) สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘ การให้การรับรองพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรม เสริมสร้างความตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนการบริการทางระบบนิเวศ และการบูรณาการเรื่องการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่การลดระดับความยากจน กระตุ้นให้มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปกป้อง อนุรักษ์ และใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของอาเซียนอย่างยั่งยืน โดยดำเนินตามแผนกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓ และเป้าหมายไอจิว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตระหนักว่าทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการดำเนินงานของภาคีอนุสัญญาฯ ให้บรรลุตามแผนกลยุทธ์เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ ๑ กับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมในระหว่างการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ ๑๑ ในระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองไฮเดอราบาด สาธารณรัฐอินเดีย |
|||||||||||||||||||||
1049 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 7 ราย 1. นายวิจารณ์ สิมาฉายา ฯลฯ) | ทส | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๗ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายวิจารย์ สิมาฉายา ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสันติ บุญประคับ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้ ๔. นายนพพล ศรีสุข ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๕. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๖. นายนิทัศน์ ภู่วัฒนกุล ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ๗. นายปราณีต ร้อยบาง ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี
|
|||||||||||||||||||||
1050 | การให้สัตยาบันในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียนว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ | ทส | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ให้ประเทศไทยให้สัตยาบันในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียนว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อแสดงเจตจำนงในการดำเนินการของประเทศไทยในฐานะสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และให้นำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียนว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๒.๑ ศูนย์อาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (ASEAN Centre for Biodiversity : ACB) เป็นโครงการร่วมภายใต้ความร่วมมือของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่เรียกว่า “อาเซียน” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและประสานความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน และมีการดำเนินการสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ โดยจะสนับสนุนประเทศสมาชิกอาเซียนในการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรในด้านการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ ๒.๒ ข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียนว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศอื่น ๆ และระหว่างองค์กรต่าง ๆ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ ประเทศฟิลิปปินส์ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจ (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในการลงนามสัตยาบัน และเมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบต่อสัตยาบันข้อตกลงฯ แล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารมอบให้เลขาธิการอาเซียนต่อไป ๔. ให้สมทบงบประมาณสนับสนุนกองทุนความหลากหลายทางชีวภาพแห่งอาเซียน (ASEAN Biodiversity Fund) จำนวน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ |
|||||||||||||||||||||
1051 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นายทวี ไอศูรย์พิศาลศิริ) | ทส | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นางสาววิชญาณี โอชา เป็นกรรมการอื่น แทนนายพงษ์ทร ชยาตุลชาต ที่ลาออก ๒. นายทวี ไอศูรย์พิศาลศิริ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||
1052 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันงบประมาณข้ามปี งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | ทส | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมทรัพยากรน้ำโอนเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันงบประมาณข้ามปีงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แผนงานจัดการทรัพยากรน้ำ ผลผลิตการอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนาแหล่งน้ำ และบริหารจัดการน้ำ งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำที่เป็นงบประมาณผูกพันข้ามปี จำนวน ๑๔ รายการ จำนวน ๑๐๒,๐๒๒,๓๐๐ บาท เป็นรายการสิ่งก่อสร้างที่มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า ๑๐ ล้านบาท รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ จำนวน ๔๑ รายการ จำนวนเงิน ๑๐๒,๐๒๒,๓๐๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรประสานงานกับหน่วยงาน ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาความซ้ำซ้อน พร้อมทั้งตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังเช่นที่ผ่านมา คือ อยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้หรือพื้นที่อนุรักษ์ หรือราษฎรยังไม่ได้ให้ความยินยอม นอกจากนั้นควรกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานมิให้กระทบกับช่วงเวลาการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งของแหล่งน้ำต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1053 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นางสาววิชญาณี โอชา) | ทส | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นางสาววิชญาณี โอชา เป็นกรรมการอื่น แทนนายพงษ์ทร ชยาตุลชาต ที่ลาออก ๒. นายทวี ไอศูรย์พิศาลศิริ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||
1054 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (นายทรงพล พนาวงศ์ และนายฤทธิณรงค์ กุลประสูตร) | ทส | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้นายไพรัช ชัยชาญ พ้นจากตำแหน่งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖(๓) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๗ ๒. เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์แทนกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ได้แก่ ๒.๑ นายทรงพล พนาวงศ์ (เป็นผู้มีรายชื่อตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ๒.๒ นายฤทธิณรงค์ กุลประสูตร
|
|||||||||||||||||||||
1055 | ร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน | ทส | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน (Bangkok Resolution on ASEAN Environmental Cooperation) มีสาระสำคัญคือ เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อจัดการกับความท้าทายจากปัญหาสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยประเทศสมาชิกอาเซียนจะร่วมกันดำเนินการตามพันธสัญญาอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) ตลอดจนผลจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Rio+20) รวมถึงกระตุ้นให้มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปกป้อง อนุรักษ์และใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของอาเซียนอย่างยั่งยืน โดยดำเนินตามแผนกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ และเป้าหมายไอจิว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนส่งเสริมการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และเพิ่มความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นเพื่อป้องกันไฟป่าและลดมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน โดยการเฝ้าระวังและการดำเนินกิจกรรมป้องกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเสริมสร้างความร่วมมือในการฟื้นฟูสภาพป่าและลดการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อป้องกันความสูญเสียทางความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอนในภูมิภาค ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน กับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ ๑๒ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ประเทศสมาชิกเร่งรัดกระบวนการให้สัตยาบันต่อพิธีสารนาโงย่าว่าด้วยการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม และพิธีสารเสริมนาโงย่าว่าด้วยการรับผิดและการชดใช้ด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ นั้น เนื่องจากการเข้าร่วมในพิธีสารดังกล่าวจะทำให้ประเทศอื่นเข้าถึงทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันต่อพิธีสารดังกล่าว จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพภายในประเทศให้เข้มแข็งทั้งด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนากฎระเบียบและมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและกำกับติดตามเงื่อนไขการแบ่งปันผลประโยชน์ รวมทั้งสร้างความเข้าใจและความพร้อมให้กับชุมชนท้องถิ่นต่อกระบวนการและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจัดให้มีการฟังความคิดเห็นของประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันต่อพิธีสารดังกล่าวต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1056 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของอาคารนิทรรศการศาลาไทยในงาน Yeosu International Exposition 2012 ณ สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของอาคารนิทรรศการศาลาไทยในงาน Yeosu International Exposition 2012 ระหว่างวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ - ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองยอซู สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อาคารนิทรรศการศาลาไทยได้จัดแสดงนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์สวยงามของท้องทะเลไทย การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน รวมทั้งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีที่มีมาอย่างช้านาน และศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของไทย โดยเริ่มทดลองเปิดดำเนินการช่วงก่อนการเปิดงานอย่างเป็นทางการ เป็นเวลา ๔ วัน มีผู้เข้าชมในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวน ๒๘,๗๔๐ คน และหลังจากพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ - ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ รวมเวลา ๙๓ วัน อาคารนิทรรศการศาลาไทยได้รับการเยี่ยมเยียนจากผู้เข้าชมทั้งสิ้น ๙๙๕,๑๗๕ คน รวมจำนวนผู้เข้าชมอาคารนิทรรศการศาลาไทยตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการมีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๒๓,๙๑๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๓ ของผู้เข้าชมงานซึ่งเกินกว่าจำนวนที่ทางผู้ดำเนินงานคาดไว้ จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ คน ๒. อาคารนิทรรศการศาลาไทยยังมีจุดเด่นในเรื่องของการแสดงบนเวทีบริเวณหน้าอาคารนิทรรศการ ซึ่งจัดการแสดงวันละ ๔ รอบ และในวันศุกร์ - เสาร์ วันละ ๖ รอบ สามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้ไม่ต่ำกว่าวันละ ๗๐๐ คน รวมจำนวนผู้เข้าชมตลอดการจัดแสดงทั้งสิ้น ๘๔,๑๕๐ คน นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษ ได้แก่ วันเสมือนวันชาติไทย วันลอยกระทง วันเสมือนวันสถาปนาความสัมพันธ์ไทย - เกาหลี และวันสงกรานต์ เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้รู้จักและสัมผัสศิลปวัฒนธรรมประเพณีไทยมากยิ่งขึ้น ๓. อาคารนิทรรศการศาลาไทยได้รับรางวัลประเภท “Honorable Mention of Editor” จากนิตยสาร Exhibitor ของประเทศสหรัฐอเมริกา และหลังจากพิธีปิดงานเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ทางกิจการร่วมค้าอินเด็กซ์ ดี ๑๐๓ มาร์โก้ ได้ดำเนินการรื้อถอนวัสดุอุปกรณ์ โดยมีวัสดุอุปกรณ์บางส่วนจะนำไปติดตั้งที่สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต ได้แก่ หุ่นยนต์นางเงือกและชิ้นส่วนประดับตกแต่งห้องจัดแสดงที่ ๑ ซึ่งจะมีการขนย้ายเพื่อจัดส่งกลับประเทศไทยและติดตั้งต่อไป โดยจะแล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
1057 | สรุปผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2012 (United Nations Conference on Sustainable Development: UNCSD) หรือ Rio+20 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | ทส | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดย ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (United Nations Conference on Sustainable Development : UNCSD) หรือ Rio+20 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๓-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผู้นำของแต่ละประเทศได้กล่าวถ้อยแถลงโดยมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนและความท้าทายในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้เอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” และส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกนำไปปฏิบัติอีกด้วย ๑.๑.๒ กระบวนการจัดทำเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) จะต้องมีการหารืออย่างต่อเนื่องและต้องบูรณาการเรื่องสุขภาพของมนุษย์เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสหประชาชาติควรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างภูมิภาค ๑.๑.๓ เนื่องจากเอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” มีลักษณะเป็นกรอบการดำเนินงานของประชาคมโลก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และเอกสารดังกล่าวยังเป็นการริเริ่มการดำเนินงานหลายประการ อาทิ กระบวนการในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) การจัดตั้งเวทีการหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-Level Political Forum on Sustainable Development) และกระบวนการในการเสริมสร้างสมรรถนะขององค์กรแห่งสหประชาชาติในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานตามผลลัพธ์ของการประชุม Rio+20 ครอบคลุมการดำเนินงานในสาขาต่าง ๆ ทั้งประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน และจำเป็นต้องมีกลไกภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการอนุวัตตามผลลัพธ์ดังกล่าวให้เกิดประสิทธิผล ๑.๑.๔ ที่ประชุมได้ให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” อย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเอกสารประกอบด้วย ๒๘๓ ข้อบท แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน ได้แก่ (๑) วิสัยทัศน์ร่วม (Our common vision) (๒) การยืนยันพันธกรณีทางการเมือง (Renewing political commitment) (๓) เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดปัญหาความยากจน (Green economy in the context of sustainable development and poverty eradication) (๔) กรอบสถาบันระหว่างประเทศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Institutional framework for sustainable development) (๕) กรอบแนวทางในการดำเนินงาน (Framework for Action and follow up) และ (๖) กลไกหรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน (Means of implementation) ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามผลลัพธ์จากการประชุม Rio+20 ในประเด็นต่าง ๆ ๑.๓ ให้จัดตั้งคณะกรรมการใหม่ หรือทบทวน “คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นคณะกรรมการระดับชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนและจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืน เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสามเสาหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เป็นไปได้อย่างสอดคล้องกัน และเพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาอย่างบูรณาการ ตลอดจนกำกับและขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการอนุวัตตามผลลัพธ์ของการประชุม Rio+20 อย่างเป็นระบบทั้งในส่วนของการดำเนินงานในระดับประเทศ และระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) ๒. การจัดตั้ง “คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมเป็นกรรมการ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีหน่วยงานหรือองค์กรหลักในการประสานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ และกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศเพื่อให้แต่ละสามเสาหลักให้สามารถพัฒนาไปได้อย่างสมดุล เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการกำหนดนโยบายสำหรับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่จะมีขึ้นภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นปีครบกำหนดการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals) ส่วนการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามผลลัพธ์จากการประชุม Rio+20 ในประเด็นต่าง ๆ เห็นควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในแต่ละประเด็นให้ครบถ้วนชัดเจน และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1058 | กรอบเจรจาภายใต้ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 | ทส | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (คณะที่ ๑) (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน)
ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาภายใต้ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ ๒-๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาต่อไป โดยสาระสำคัญของกรอบเจรจาฯ ได้แก่ ๑.๑ การจัดการประชุมสมัยภาคีอนุสัญญาครั้งที่ ๑๖ และข้อปฏิบัติด้านการเงิน ๑.๑.๑ รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดหาและจัดเตรียมสถานที่ พร้อมวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก การรักษาความปลอดภัย และการจัดหาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสนับสนุนการจัดประชุม ๑.๑.๒ รัฐบาลไทยต้องจัดหาค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมเป็นส่วนต่างระหว่างการดำเนินการจัดประชุมที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย กับการดำเนินการจัดประชุมที่สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ในสวิตเซอร์แลนด์ ๑.๑.๓ รัฐบาลไทยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนย้ายและประกันภัยเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการประชุม ๑.๑.๔ สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ จะส่งรายละเอียดบัญชีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงภายใน ๑๘๐ วัน หลังการประชุม และจะส่งเงินส่วนที่เหลือคืนให้กับรัฐบาลไทย ถ้าเกินกว่าที่ชำระไว้รัฐบาลไทยต้องชำระเพิ่ม ๑.๒ เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน ๑.๒.๑ รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการเพื่อให้ความคุ้มกันจากกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับคำพูดหรือข้อเขียนและการกระทำต่าง ๆ ในระหว่างการประชุมให้แก่ ผู้แทนของรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ผู้สังเกตการณ์ขององค์การสหประชาชาติ ผู้สังเกตการณ์จากหน่วยงานหรือองค์กรที่มีคุณสมบัติเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการคุ้มครอง การอนุรักษ์ หรือการจัดการเกี่ยวกับสัตว์ป่าหรือพืชป่า และคณะเจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และคณะเจ้าหน้าที่ที่รัฐบาลไทยจัดหาให้สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ๑.๒.๒ รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการเพื่อกำหนดให้สถานที่และอาณาบริเวณสำหรับการจัดประชุม ในระหว่างการประชุมจะต้องละเมิดมิได้ ๑.๒.๓ รัฐบาลไทยจะให้เอกสิทธิ์บางประการแก่ผู้เข้าร่วมประชุม เช่น การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับวีซ่า การยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าเอกสาร เป็นต้น ๑.๓ ความรับผิดชอบต่อความเสียหาย ๑.๓.๑ รัฐบาลไทยจะต้องรับผิดชอบต่อการปฏิบัติใด ๆ การเรียกร้อง หรือความต้องการอื่น ๆ ที่ต่อต้านสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ หรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่อาจเกิดความบาดเจ็บต่อร่างกาย และ/หรือความเสียหายหรือความสูญเสียซึ่งทรัพย์สินในสถานที่จัดการประชุม ที่มีสาเหตุหรือเกิดขึ้นในการใช้บริการคมนาคมที่รัฐบาลไทยจัดให้ และการจ้างบุคลากรสำหรับการประชุมฯ ของรัฐบาลไทย ๑.๓.๒ รัฐบาลไทยสามารถใช้มาตรการใด ๆ ตามสมควรในการป้องกันภัยที่อาจเกิดกับสถานที่ประชุม บุคคล และทรัพย์สินภายในสถานที่จัดประชุม ๑.๓.๓ รัฐบาลไทยจะต้องจ่ายค่าชดเชยและป้องกันภัยให้สำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาฯ และเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ การเรียกร้องหรือความต้องการใด ๆ ยกเว้นการปฏิบัติและข้อเรียกร้องดังกล่าวเกิดจากความเพิกเฉยหรือความจงใจของเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการฯ ที่เข้าประชุม ๑.๓.๔ แต่ละฝ่ายสงวนสิทธิ์สำหรับเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้น เช่น ความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือการสาธารณสุข ๑.๓.๕ ข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และรัฐบาลไทย ให้พิจารณาตามกฎอนุญาโตตุลาการ UNCITRAL ๑.๓.๖ ความตกลงและภาคผนวกทั้งหมดที่จะลงนามจะมีผลนับตั้งแต่วันที่รัฐบาลไทยแจ้งสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ทราบว่าได้เสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายภายในประเทศเพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้ว ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน เนื่องจากในการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ไม่เป็นการประชุมของ UNEP (United Nations Environmental Programme) จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๔ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1059 | แนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ | ทส | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่ และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับ สิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรทำการสำรวจและวิเคราะห์ถึงศักยภาพของภาคธุรกิจในประเทศไทยที่สามารถจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อปรับปรุง (ร่าง) แนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนและสามารถประเมินความเป็นไปได้จากการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจที่ได้กำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวคิดและแนวทางดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของภาคธุรกิจ และมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1060 | แนวทางการดำเนินงานด้านการสื่อสาร การให้การศึกษา และการเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (CEPA) เพื่อตอบสนองต่อทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. 2554-2563 | ทส | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานด้านการสื่อสาร การให้การศึกษา และการเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (CEPA) เพื่อตอบสนองต่อทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ ในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับสิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรดำเนินการบูรณาการรวบรวมและจัดทำกรอบประเด็นที่จะต้องรายงานต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ให้ครบถ้วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการปฏิบัติและการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งทำการประเมินสถานภาพของความตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีอยู่ในสังคมไทยอย่างแท้จริง พร้อมปรับวัตถุประสงค์กับตัวชี้วัดให้สอดคล้องกัน และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพื่อให้แนวทางการดำเนินการสามารถวัดผลได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และขอความร่วมมือภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานด้านการติดต่อสื่อสารฯ โดยกำหนดแผนงาน แนวทาง กฎระเบียบ และมาตรการสร้างแรงจูงใจให้กับภาคเอกชนในการเข้าร่วมที่ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
.....