ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 50 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 981 - 1000 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
981 | แต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (จำนวน 8 คน 1. นายสันทัด สมชีวิตา ฯลฯ) | ทส | 06/05/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ จำนวน ๘ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่ประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นายสันทัด สมชีวิตา กรรมการมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (ด้านบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม) ๒. นายพยุง นพสุวรรณ กรรมการมูลนิธิรักษ์โลก (ด้านทรัพยากรป่าไม้) ๓. รองศาสตราจารย์ ศิรินธรา สิงหรา ณ อยุธยา รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี (ด้านสาธารณสุขและสุขภาพ) ๔. นายอัชพร จารุจินดา ประธานกรรมการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ด้านกฎหมาย) ๕. นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ด้านบริหารจัดการ) ๖. นายสมหวัง ดำรงพงศาวัฒน์ ข้าราชการบำนาญ (ด้านสิ่งแวดล้อมเมืองและผังเมือง) ๗. นายเจนกิจ นภาวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอาเคอร์บัน จำกัดและบริษัทอาร์เชน จำกัด (ด้านสถาปัตยกรรม) ๘. นายสุธา ขาวเธียร อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ด้านมลพิษสิ่งแวดล้อม)
|
||||||||||||||||||
982 | การให้ความเห็นชอบร่างปฏิญญานครโฮจิมินห์ ค.ศ. 2014 | ทส | 01/04/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบว่าสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ (2nd MRC Summit) ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๕๗ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๒. โดยที่ปัจจุบันคณะรัฐมนตรีอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามนัยมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว จึงให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณามอบหมายข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้องไปร่วมการประชุมตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าร่วมการประชุมต้องไม่ดำเนินการใด ๆ ที่จะก่อให้เกิดผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปอันเป็นข้อห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||
983 | ผลการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury | ทส | 11/03/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ซึ่งจัดโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) ระหว่างวันที่ ๗-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองมินามาตะ จังหวัดคุมาโมโต ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนายพิทยา พุกกะมาน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม Preparatory meeting for the Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ระหว่างวันที่ ๗-๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ได้มีการจัดเตรียมเอกสารข้อมติ (resolutions) ประกอบด้วย แนวทางการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ในระหว่างที่อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยการจัดการสารปรอท ยังไม่มีผลบังคับใช้ แนวทางการเตรียมการด้านกลไกทางการเงิน แนวทางความร่วมมือกับอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสารเคมีและองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ และการชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นในฐานะประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวจะมีการนำเสนอในการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury เพื่อให้มีการรับรองสำหรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการในระหว่างที่อนุสัญญามินามาตะฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้ต่อไป ๒. การประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ ให้การรับรอง (adopting) เอกสารข้อมติ (resolutions) กรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) ซึ่งเป็นรายงานสรุปผลการประชุมตามวาระการประชุมฯ และอนุสัญญามินามาตะฯ ๒.๒ มีการลงนาม (signature) กรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) และอนุสัญญามินามาตะฯ โดยผู้แทนประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้ มีผู้แทนจาก ๒๑ ประเทศ ที่ลงนามเฉพาะกรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) และมีผู้แทนจาก ๙๑ ประเทศ และสหภาพยุโรป ลงนามในอนุสัญญามินามาตะฯ ๒.๓ ประเทศไทยได้ให้การรับรอง (adopting) เอกสารข้อมติ (resolutions) กรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) และอนุสัญญามินามาตะฯ โดยยังไม่ลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว ทั้งนี้ แม้ว่าการลงนามในอนุสัญญามินามาตะฯ จะเป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองในทางนโยบายของประเทศไทยในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ ซึ่งจะยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายให้ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ ก็ตาม แต่เนื่องจากอนุสัญญาฉบับนี้มุ่งเน้นให้มีการจัดการสารปรอท ทั้งวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่การผลิต การนำเข้า-ส่งออก การใช้ รวมทั้งการบำบัดและกำจัดสารปรอท อนุสัญญามินามาตะฯ จึงมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของหน่วยภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน ดังนั้น ก่อนการพิจารณาการลงนามในอนุสัญญามินามาตะฯ จึงควรหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ เพื่อจัดเตรียมความพร้อมในการรองรับอนุสัญญาดังกล่าวต่อไป โดยหน่วยงาน UNEP ยังเปิดให้การลงนามในอนุสัญญามินามาตะฯ ได้เป็นระยะเวลาอีก ๑ ปี หรือภายในวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ๓. ประเทศไทยได้แสดงความมุ่งมั่นด้านการจัดการสารปรอทและสารเคมี รวมทั้งยินดีที่จะร่วมมือกับประชาคมโลกในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว
|
||||||||||||||||||
984 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2555 | ทส | 28/01/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงคุณภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ประเด็นปัญหาสำคัญ และแนวโน้มสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ๑.๑ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๕๔ เศรษฐกิจของประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยสูงถึง ร้อยละ ๖ ต่อปี ในขณะที่จำนวนประชากรในประเทศเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จาก ๖๒ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็น ๖๔.๑ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คิดเป็นอัตราการเติบโต เฉลี่ยร้อยละ ๐.๕ ต่อปี โดยเฉพาะประชากรในเขตเทศบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเกือบทุกภูมิภาค นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุน การส่งออก จำนวนนักท่องเที่ยว เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน จากข้อมูลต่าง ๆ บ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะมีความต้องการใช้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งส่งผลให้เกิดของเสียและมลพิษเพิ่มมากขึ้นด้วย ๑.๒ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ มีประเด็นทางสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ที่น่าสนใจ ได้แก่ อุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สถานการณ์หมอกควันและไฟป่าในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย ๑.๓ แนวโน้มสถานการณ์ที่สำคัญในอนาคต ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำที่ต้องดำเนินการอย่างบูรณาการและให้ความสำคัญกับการจัดการทั้งด้านปริมาณและคุณภาพน้ำ และแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวที่กำลังเข้ามาเป็นเครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และข้อเสนอแนะด้านมาตรการหรือเครื่องมือ ๒.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ประกอบด้วย ระยะสั้น ได้แก่ การตั้งเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะต่าง ๆ อย่างชัดเจน การพัฒนาระบบช่วยการตัดสินใจ และระยะยาว ได้แก่ การลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจพอเพียง และการพัฒนาที่ยั่งยืน การสนับสนุนและส่งเสริมการบูรณาการทางความคิด การวางแผนงาน และการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ ๒.๒ ข้อเสนอแนะด้านมาตรการ ประกอบด้วย ระยะสั้น ได้แก่ การสร้างระบบตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานเฝ้าระวัง ติดตามจับกุมผู้กระทำผิด การพัฒนาระบบประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ และการใช้กลไกงบประมาณเพื่อเป็นเครื่องมือในการยกระดับความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมและป้องกันการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างหน่วยงานทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น และระยะยาว ได้แก่ การพัฒนาระบบบูรณาการทางข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ และการสนับสนุนการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||
985 | แนวทางการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในกระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และความคืบหน้า | ทส | 03/12/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าเรื่อง การลดระยะเวลาการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) และความรับผิดชอบของคณะกรรมการแต่ละชุด โดยยุบรวมคณะกรรมการที่ทำหน้าที่พิจารณาโครงการภาครัฐและเอกชนแต่รับผิดชอบในเรื่องเดียวกันเข้าด้วยกัน และกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการแต่ละชุดให้เหมือนกันเพื่อสร้างมาตรฐานในการพิจารณาให้เหลือเพียงมาตรฐานเดียว ๑.๒ จัดทำแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการหรือกิจการที่ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการและโครงการหรือกิจการที่ไม่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และแนวทางพิจารณารายงาน EIA สำหรับ คชก. โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเร่งรัดตรวจสอบรายงาน EIA และเอกสารที่เกี่ยวข้องที่เสนอมา หากรายงานที่เสนอมามิได้จัดทำให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือมีเอกสารข้อมูลไม่ครบถ้วน ให้แจ้งบุคคลผู้ขออนุญาตที่เสนอรายงานทราบภายในกำหนด ๗ วันทำการ ๑.๓ จัดทำวาระเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยเบื้องต้นกำหนดให้โครงการประเภทอาคารอยู่อาศัยรวมและโรงแรมซึ่งต้องจัดทำรายงาน EIA ที่มีความสูงน้อยกว่า ๒๓ เมตร และพื้นที่ใช้สอยรวมทุกอาคารน้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA โดยยินยอมปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA ของโครงการในลักษณะเดียวกันที่ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้แล้ว ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยกเว้นการทำรายงาน EIA โครงการประเภทที่อยู่อาศัยรวม หรือโรงแรมที่มีความสูงน้อยกว่า ๒๓ เมตร และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมน้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร ควรเปิดช่องทางการสื่อสารในรูปแบบสาธารณะให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะยื่นขอแบบอาคารพักอาศัยขนาดดังกล่าวได้รับทราบว่ามีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้แล้วในพื้นที่ใด และในการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงาน EIA เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบรายโครงการ จึงไม่สามารถตอบภาพรวมของการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ได้ รวมทั้งยังมีกิจการ และโครงการจำนวนมากตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม ที่จะขอยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จึงควรมีมาตรการหรือเครื่องมือที่สามารถสื่อสารกับทุกภาคส่วนให้เข้าใจตรงกันในมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ ควรมีการเก็บข้อมูลผลหรือเสียงสะท้อนของโครงการที่ไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จากการปฏิบัติตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม เพื่อนำไปสู่การพิจารณาเพิ่มเติมประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA และการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ ให้มีความเหมาะสมถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
986 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... | ทส | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้พื้นที่ภายในบริเวณที่วัดจากจุดกึ่งกลางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในระยะ ๔๐ เมตร ออกไปทั้งสองฟาก ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ๒. กำหนดให้ในเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ห้ามการกระทำหรือการประกอบกิจกรรม ได้แก่ การตัด ฟัน โค่นต้นยางนาและต้นขี้เหล็ก การกระทำอันตรายต่อระบบรากหรือลำต้นของต้นยางนาและต้นขี้เหล็ก เป็นต้น รวมทั้งการห้ามก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคารให้มีลักษณะบางประการหรือให้เป็นอาคารบางประเภท ตลอดจนการกำกับควบคุมการใช้ยานพาหนะและการจราจร ๓. กำหนดให้เพื่อประโยชน์ในการสงวนรักษา การอนุรักษ์ การปกป้อง และการฟื้นฟูบูรณะและการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๔. กำหนดให้ร่างประกาศนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดระยะเวลาห้าปี |
||||||||||||||||||
987 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 และวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 | ทส | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
988 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 14 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 12/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๔ (14th Informal ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 14th IAMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๙ (9th Meeting of the Conference of the Parties to the ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution : COP-9) การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ (Special ASEAN-Japan Ministerial Dialogue) และการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEAN Plus Three Environment Ministers Meeting) ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยในส่วนของผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมให้การรับรองแผนปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยสิ่งแวดล้อมศึกษา (ASEAN Environmental Education Action Plan : AEEAP) พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ ที่สิ้นสุดลง เพื่อเป็นแนวทางส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ๒. ที่ประชุมให้การรับรองอุทยานแห่งชาติ Mt. Makiling Forest Reserve in Los Banos ของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียนแห่งที่ ๓๓ ๓. ที่ประชุมรับทราบว่าประเทศไทยให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียนว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Agreement on the Establishment of the ASEAN Centre for Biodiversity) เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๔. ที่ประชุมเห็นชอบต่อการจัดพิธีมอบรางวัลเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนอาเซียน ครั้งที่ ๓ (3rd ASEAN ESC Award) และการมอบใบประกาศเกียรติคุณ ครั้งที่ ๒ (2nd Certificate of Recognition) ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๕. ที่ประชุมให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม การดำเนินการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการดำเนินการเรื่องการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน รวมถึงกิจกรรมภายใต้กรอบการดำเนินงาน ๑๐ ปีว่าด้วยการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
|
||||||||||||||||||
989 | รายงานการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) | ทส | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ครั้งที่ ๑๖ (CITES CoP 16) เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้พิจารณาและรับรองรายงานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสที่รับผิดชอบการปฏิบัติตามอนุสัญญา CITES ประเด็นสำคัญประกอบด้วย สถานภาพและความสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือกันของอาเซียนด้านอนุสัญญา CITES อันได้แก่ ความก้าวหน้าและความสำเร็จ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน แนวทางและท่าทีร่วมกันของอาเซียน และความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนเกี่ยวกับประเด็นอนุสัญญา CITES ซึ่งประเด็นดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือและความพยายามร่วมกันของอาเซียน ความเป็นหุ้นส่วนและเครือข่าย และการดำเนินงานตามรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญา CITES ๒. แถลงการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน โดยผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนได้กล่าวถึงการสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือด้านอนุสัญญา CITES ในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ แต่ละประเทศได้ดำเนินการผ่านกิจกรรมการบังคับใช้กฎหมายสัตว์ป่าและพันธุ์พืชในประเทศของตน อีกทั้งได้แสดงการสนับสนุนเครือข่าย ASEAN-WEN และการดำเนินงานของสำนักงานศูนย์ประสานเครือข่าย ASEAN-WEN การแลกเปลี่ยนข้อมูลการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ การมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการส่งเสริมบทบาทของหน่วยงานพันธมิตร และผู้ให้ทุนสนับสนุนเพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอนุสัญญา CITES ตลอดจนการพัฒนาเครือข่าย ASEAN-WEN อย่างยั่งยืนต่อไป ๓. แถลงการณ์จากพันธมิตร ๓.๑ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้กล่าวแสดงความภาคภูมิใจของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ได้มีส่วนช่วยในการพัฒนาเครือข่าย ASEAN-WEN ซึ่งกลายเป็นแบบอย่างระดับโลกของการร่วมมือกันในระดับชาติเพื่อต่อต้านการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าข้ามชาติ และได้แสดงความต้องการที่จะติดตามความยั่งยืนของเครือข่าย ASEAN-WEN ด้วยการสร้างทรัพยากรทางการเงินและบุคคลเพื่อให้สามารถสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของภูมิภาค ๓.๒ ดร.ชำนาญ พงษ์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) ได้ให้ความเชื่อมั่นแก่ที่ประชุมว่าจะยังคงสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือการประมงขนาดเล็กและการพัฒนาการประมงในภูมิภาคอาเซียนต่อไปในอนาคต ๓.๓ นายวาน ซิงหมิง ผู้ประสานงานปฏิบัติการงูเห่า (Operation Cobra) และผู้อำนวยการกองบังคับใช้กฎหมายและฝึกอบรมการจัดการตามอนุสัญญา CITES แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวเน้นถึงความสำเร็จและข้อเสนอแนะจากปฏิบัติการ Cobra ว่าในปฏิบัติการนี้มีการจับกุมและยึดของกลางได้จำนวนมาก ทั้งยังได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นนวัตกรรมความร่วมมือ และเป็นความพยายามระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วระหว่างประเทศต่าง ๆ เป็นครั้งแรก พร้อมกันนี้ได้นำเสนอข้อเสนอแนะจากปฏิบัติการ Cobra ต่อการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญา CITES ด้วย
|
||||||||||||||||||
990 | การตรวจเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๖ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมและมอบถุงยังชีพพร้อมน้ำดื่มให้แก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยในเขตพื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ วัดธรรมาราม ตำบลบ้านป้อม อำเภอบางบาล ประกอบด้วย ถุงยังชีพ ๓๐๐ ชุด น้ำดื่มบรรจุขวด ๒,๑๐๐ ขวด และน้ำดื่มบรรจุแกลลอน ๕ ลิตร ๑,๙๐๐ แกลลอน และที่บ้านบางหัก ตำบลบางหัก อำเภอบางบาล ประกอบด้วย ถุงยังชีพ ๓๐๐ ชุด น้ำดื่มบรรจุขวด ๑,๑๐๐ ขวด และน้ำดื่มบรรจุแกลลอน ๕ ลิตร ๖๐๐ แกลลอน นอกจากนี้ ได้จัดรถปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลเคลื่อนที่ไปประจำอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๒ คัน สามารถผลิตน้ำดื่มได้วันละ ๒๕,๐๐๐ ลิตร ๒. วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมและมอบถุงยังชีพพร้อมน้ำดื่มให้แก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยที่บ้านหนองเอี่ยน ตำบลนาแขม อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วย ถุงยังชีพ ๒๕๐ ชุด น้ำดื่มบรรจุขวด ๓,๐๐๐ ขวด และน้ำดื่มบรรจุแกลลอน ๕ ลิตร ๖๕๐ แกลลอน รวมทั้งได้จัดรถปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลเคลื่อนที่ไปประจำอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๒ คัน สามารถผลิตน้ำดื่มเพิ่มได้วันละ ๒๕,๐๐๐ ลิตร และมีเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำนวน ๒๐ นาย มาช่วยดูแลและป้องกันปัญหาจากสัตว์ป่า นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรที่ประสบอุทกภัย โดยได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำนำเครื่องสูบน้ำไปช่วยสูบน้ำเพื่อเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังออกไปสู่แหล่งน้ำให้เร็วที่สุด ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำได้นำเครื่องสูบน้ำไปช่วยสูบระบายน้ำแล้ว จำนวน ๘๔ เครื่อง
|
||||||||||||||||||
991 | การรับรองอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยการจัดการสารปรอท | ทส | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับรอง (adoption) อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยการจัดการสารปรอท และเอกสารข้อมติ (resolutions) และกรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) ในการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เมือง Kumamoto/Minamata ประเทศญี่ปุ่น โดยจะยังไม่ลงนามในอนุสัญญาฯ ๑.๒ หากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอให้การรับรองเอกสารข้อมติและกรรมสารสุดท้ายอยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรตรวจสอบเนื้อหาสาระของอนุสัญญาฯ ว่าเป็นไปตามกรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับประชุมคณะเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่รัฐสภาเห็นชอบด้วย เนื่องจากการรับรองอนุสัญญาฯ ดังกล่าวจะนำไปสู่การลงนามและการแสดงเจตนาเข้าผูกพันกับประเทศไทยซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาต่อไปด้วย หากประเทศไทยมีนโยบายที่จะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ดังกล่าว นอกจากนี้ การดำเนินการด้านการจัดการสารปรอททั้งวัฏจักรชีวิตตั้งแต่การผลิต การนำเข้า การส่งออก การใช้การบำบัด และการจัดการสารปรอท ยังมีความจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากอีกหลายภาคส่วน และควรหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน รวมทั้งควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามพันธกรณีฯ เพื่อจัดเตรียมความพร้อมในการรองรับอนุสัญญาฯ ก่อนพิจารณาลงนามในอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
992 | ท่าทีประเทศไทยต่อระบบติดตามสถานการณ์หมอกควันของอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่าง (ASEAN Sub-Regional Haze Monitoring System : HMS) | ทส | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกับการใช้ระบบติดตามสถานการณ์หมอกควันของอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่าง (ASEAN Sub-Regional Haze Monitoring System : HMS) เป็นระบบร่วมในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์หมอกควันของประเทศอาเซียนตอนล่าง ๒. เห็นชอบให้ประเทศไทยเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียนให้นำประเด็นการแบ่งปันข้อมูลแผนที่พิกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนที่สัมปทานเข้าระบบ HMS กลับมาพิจารณาในรายละเอียดให้รอบคอบ โดยผ่านกลไกภายใต้ข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ทั้งนี้ หากประเทศไทยมีความจำเป็นต้องแบ่งปันข้อมูลใด ๆ เข้าระบบ HMS ต้องนำกลับมาหารือหน่วยงานในประเทศก่อน และจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย/ข้อบังคับของประเทศไทย ๓. หากในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม มีประเด็นเพิ่มเติมที่ไม่ใช่สาระสำคัญต่อการดำเนินงาน และไม่ขัดต่อกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||
993 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2556 | ทส | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงรถยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศฯ ที่ปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กรมการขนส่งทางบกระบุความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดไว้ในสมุดทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่นับจากวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ๒. แนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียอันตรายที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซล ในการประชุมครั้งที่ ๓๖-๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และ ๔๐-๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ๒.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำแนวทางดังกล่าวเผยแพร่ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้สนใจทั่วไป และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๑ เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงข้อมูลด้านพลังงานในร่างรายงานฯ ให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์ร่วม และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ๔.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการ ๕. โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน ๕.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๕.๒ นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง ๖.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๖.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๗. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๓๐๗๖๙/๑๕๕๒๕ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๐๗๗๙/๑๕๗๙๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ๗.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุง หรือแต่งแร่ ซึ่งให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่สังกะสีฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการอนุญาตให้บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สอด เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้กรมป่าไม้และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบปีละ ๑ ครั้ง ๗.๒ ให้กรมป่าไม้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ๗.๓ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติสำหรับโครงการลักษณะเดียวกันทุกโครงการ ๗.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบกิจการโครงการเหมืองแร่ทุกโครงการดำเนินการตามขั้นตอนการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติล่วงหน้าได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี ก่อนที่อายุหนังสือขออนุญาตฯ จะสิ้นสุดลง และประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ๘. โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW 01 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๘.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่าฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๘.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๙. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครสวรรค์ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรมเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัด
|
||||||||||||||||||
994 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2556 | ทส | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง ๑.๑ รับทราบสถานการณ์เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง และการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชย์นาวี พ.ศ. ๒๕๒๑ ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหล ๑.๔ ให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นำแผนการแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคต และรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. แนวทางและขั้นตอนในการจัดทำและพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุมน้ำ ข้อ ๑๐ ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๒.๑ เห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ข้อ ๑๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เป็นดังนี้ “ให้มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ออกตามมาตรา ๔๔ (๓) และมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เรื่อง การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (๑๓ กันยายน ๒๕๓๗) ที่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแรมซาร์ ไซต์ (Ramsar site) พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ” และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทบทวนคำนิยาม (Definition) ของพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยให้เป็นไปตามความมุ่งหมายของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติให้มีความชัดเจนเหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินงานของประเทศ พร้อมทั้งทบทวนสถานภาพและปรับปรุงทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติให้มีความถูกต้องเหมาะสม และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้จัดทำแผนที่แสดงขอบเขตและแนวกันชน (Buffer Zone) สำหรับพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติที่ยังไม่มีขอบเขตชัดเจน ๒.๓ เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๒.๔ ให้เร่งรัดการดำเนินการตามมติทุกข้อ เนื่องจากพบว่ามีปัญหาการบูรณะแหล่งน้ำธรรมชาติจากน้ำท่วมใหญ่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากการใช้งบประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง พิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคและระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓.๑ เห็นชอบหลักการในการแก้ไขประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (ฉบับที่ ๔) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ๓.๒ เห็นชอบหลักการในการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นชอบองค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานสำนักนายกรัฐมนตรีในการปรับแก้ไขระเบียบดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. การกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (การผลิต กำจัด หรือปรับแต่งสารกัมมันตรังสี) ๔.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ออกตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ลำดับที่ ๖ “การผลิต กำจัด หรือปรับแต่งสารกัมมันตรังสี ทุกขนาด” และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "การผลิต มีไว้ครอบครอง หรือใช้ซึ่งพลังงานปรมาณูจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีกำลังตั้งแต่ ๒ เมกะวัตต์ขึ้นไป” ๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดให้การผลิต มีไว้ครอบครอง หรือใช้ซึ่งพลังงานปรมาณูจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีกำลังตั้งแต่ ๒ เมกะวัตต์ขึ้นไป เป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๕. การกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด) ๕.๑ เห็นชอบการกำหนดให้อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้กทุกขนาดเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๕.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดประเภทและขนาดของอุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด เป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๕.๓ เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร และเพิ่มอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถรองรับงานด้านการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และด้านการพัฒนาระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||
995 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ (นายประทีป เจริญพร) | ทส | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายประทีป เจริญพร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการที่ดินในคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ แทนนายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ ที่ขอลาออก โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับกำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
996 | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN - German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector) | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนที่ตอบรับการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน และร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Secton) ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักของโครงการ ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่เลขาธิการอาเซียนลงนามความตกลงระหว่างประเทศของอาเซียนในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐบาลไทย แต่รัฐบาลไทยจะต้องให้ความยินยอมผ่านคณะผู้แทนไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในการลงนามความตกลงฯ โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ นอกจากนี้ ข้อ ๔ ข้อย่อย ๔.๙ ของร่างความตกลงฯ ระบุว่า ความตกลงฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ใช้อยู่ของเยอรมนี ดังนั้น การจัดทำความตกลงฯ จึงต้องปฏิบัติตาม Rules of Authorisation for Legal Transaction under Domestic Laws ที่กำหนดให้มีการเสนอและรับรองรายชื่อบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินนิติกรรมที่อยู่ภายใต้กฎหมายภายในนามของอาเซียน ซึ่งหากมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าวแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสนอร่างความตกลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
997 | การเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ค.ศ. 2006 | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ค.ศ. ๒๐๐๖ (International Tropical Timber Agreement 2006 : ITTA 2006) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการเข้าเป็นภาคี ITTA 2006 คือ ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีสากลในการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน ได้โอกาสในการเข้าร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินงานขององค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการป่าไม้ในเขตร้อนเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านป่าไม้ในเขตร้อน และได้รับสิทธิในการเสนอโครงการต่าง ๆ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจาก ITTO เพื่อความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศในการบริหารจัดการการวิจัยพัฒนาและอื่น ๆ ด้านป่าไม้ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนการเข้าร่วมเป็นภาคี ITTA 2006 ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการมีโอกาสร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินงานของ ITTO การได้รับข้อมูลข่าวสารด้านป่าไม้เขตร้อน การได้รับสิทธิในการเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจาก ITTO เพื่อประโยชน์ด้านวิชาการ การบริหารจัดการ การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาขีดความสามารถของไทย รวมทั้งควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ กรณีที่ ITTO ได้มีหนังสือยืนยันว่าจะไม่มีแผนการจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย และจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติการตั้งฐานที่มั่นถาวรในประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
998 | การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES CoP16) และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าวในระหว่างวันที่ ๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลการประชุมที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ได้แก่ ข้อเสนอให้บรรจุไม้พะยูง (Dalbergia cochinchinensis) อยู่ในบัญชี ๒ ข้อเสนอขอปรับลดบัญชีจระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis) และจระเข้น้ำเค็ม (Crocodylus porosus) ของประเทศไทยจากบัญชี ๑ เป็นบัญชี ๒ การควบคุมการค้างาช้างภายในประเทศ การจัดทำรายงานผลการจับกุมการลักลอบฆ่าและค้าสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ของเอเชีย (Asian big cats) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่ ๖๕ (กรกฎาคม ๒๕๕๖) การปรับคำนิยามในเรื่องการขยายพันธุ์เทียมที่จำเพาะสำหรับไม้กฤษณา การกำหนดให้วันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่อนุสัญญา CITES ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๖ เป็นวันสัตว์ป่าโลก (World Widlife Day) และการเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายภูมิภาคอาเซียนในเรื่องการป้องกันการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายหรือ ASEAN-WEN รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามผลการประชุม CITES CoP16 และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ ๖๘ กำหนดให้วันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี เป็นวันสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Day) ๑.๓ เห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งจัดทำโดยคณะทำงานจัดทำร่างแผนปฏิบัติการงาช้างฯ เพื่อแก้ไขปัญหาการค้างาช้างที่ผิดกฎหมายตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญา CITES โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานเพื่อการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว และให้ปรับแก้ร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับเป้าหมายของแผนปฏิบัติการฯ ส่วนหนึ่งมุ่งไปสู่การยุติการค้างาช้างในอนาคต ซึ่งข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้เกี่ยวข้องซื้อขายงาช้างที่ไม่เห็นด้วยในการห้ามซื้อขายงาช้างเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในร่างแผนปฏิบัติการฯ ควรจะมีการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจการค้างาช้างในปัจจุบัน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการยุติการค้างาช้าง หรือเสนอทางออกที่เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
999 | ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการดำเนินการผลิต และการบริโภคที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน (Joint Statement on the Implementation of Sustainable Consumption and Production in ASEAN) | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการดำเนินการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน (Joint Statement on the Implementation of Sustainable Consumption and Production in ASEAN) ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๔ ในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน โดยการสนับสนุนจากการจัดตั้ง ASEAN Forum on Sustainable Consumption and Production และการมีส่วนร่วมในกรอบงาน 10-year Framework Programme on Sustainable Consumption and Production และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดข้องต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ |
||||||||||||||||||
1000 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2554 | ทส | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ มีมติเห็นชอบกับรายงานดังกล่าวแล้ว โดยรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่สำคัญ ดังนี้
๑. สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงคุณภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ๒. ประเด็นปัญหาสำคัญ ได้แก่ อุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและสภาพสิ่งแวดล้อมในจังหวัดน่าน และการจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่างมีส่วนร่วม ๓. แนวโน้มสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ๔. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ ได้แก่ ควรมีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม และเป็นเชิงวิสัยทัศน์ ควรมีข้อกำหนดเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐอย่างชัดเจนทั้งในด้านการกำหนดนโยบาย และการดำเนินนโยบาย และควรมีการเสริมสร้างสมรรถนะ (capacity building) ในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
|
.....