ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 50 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 981 - 1000 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
981 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2556 | ทส | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงรถยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศฯ ที่ปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กรมการขนส่งทางบกระบุความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดไว้ในสมุดทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่นับจากวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ๒. แนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียอันตรายที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซล ในการประชุมครั้งที่ ๓๖-๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และ ๔๐-๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ๒.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำแนวทางดังกล่าวเผยแพร่ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้สนใจทั่วไป และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๑ เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงข้อมูลด้านพลังงานในร่างรายงานฯ ให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์ร่วม และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ๔.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการ ๕. โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน ๕.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๕.๒ นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง ๖.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๖.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๗. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๓๐๗๖๙/๑๕๕๒๕ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๐๗๗๙/๑๕๗๙๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ๗.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุง หรือแต่งแร่ ซึ่งให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่สังกะสีฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการอนุญาตให้บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สอด เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้กรมป่าไม้และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบปีละ ๑ ครั้ง ๗.๒ ให้กรมป่าไม้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ๗.๓ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติสำหรับโครงการลักษณะเดียวกันทุกโครงการ ๗.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบกิจการโครงการเหมืองแร่ทุกโครงการดำเนินการตามขั้นตอนการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติล่วงหน้าได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี ก่อนที่อายุหนังสือขออนุญาตฯ จะสิ้นสุดลง และประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ๘. โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW 01 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๘.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่าฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๘.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๙. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครสวรรค์ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรมเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัด
|
||||||||||||||||||
982 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2556 | ทส | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง ๑.๑ รับทราบสถานการณ์เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง และการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชย์นาวี พ.ศ. ๒๕๒๑ ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหล ๑.๔ ให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นำแผนการแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคต และรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. แนวทางและขั้นตอนในการจัดทำและพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุมน้ำ ข้อ ๑๐ ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๒.๑ เห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ข้อ ๑๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เป็นดังนี้ “ให้มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ออกตามมาตรา ๔๔ (๓) และมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เรื่อง การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (๑๓ กันยายน ๒๕๓๗) ที่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแรมซาร์ ไซต์ (Ramsar site) พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ” และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทบทวนคำนิยาม (Definition) ของพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยให้เป็นไปตามความมุ่งหมายของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติให้มีความชัดเจนเหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินงานของประเทศ พร้อมทั้งทบทวนสถานภาพและปรับปรุงทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติให้มีความถูกต้องเหมาะสม และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้จัดทำแผนที่แสดงขอบเขตและแนวกันชน (Buffer Zone) สำหรับพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติที่ยังไม่มีขอบเขตชัดเจน ๒.๓ เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๒.๔ ให้เร่งรัดการดำเนินการตามมติทุกข้อ เนื่องจากพบว่ามีปัญหาการบูรณะแหล่งน้ำธรรมชาติจากน้ำท่วมใหญ่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากการใช้งบประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง พิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคและระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓.๑ เห็นชอบหลักการในการแก้ไขประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (ฉบับที่ ๔) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ๓.๒ เห็นชอบหลักการในการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นชอบองค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานสำนักนายกรัฐมนตรีในการปรับแก้ไขระเบียบดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. การกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (การผลิต กำจัด หรือปรับแต่งสารกัมมันตรังสี) ๔.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ออกตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ลำดับที่ ๖ “การผลิต กำจัด หรือปรับแต่งสารกัมมันตรังสี ทุกขนาด” และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "การผลิต มีไว้ครอบครอง หรือใช้ซึ่งพลังงานปรมาณูจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีกำลังตั้งแต่ ๒ เมกะวัตต์ขึ้นไป” ๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดให้การผลิต มีไว้ครอบครอง หรือใช้ซึ่งพลังงานปรมาณูจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีกำลังตั้งแต่ ๒ เมกะวัตต์ขึ้นไป เป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๕. การกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด) ๕.๑ เห็นชอบการกำหนดให้อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้กทุกขนาดเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๕.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดประเภทและขนาดของอุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด เป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๕.๓ เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร และเพิ่มอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถรองรับงานด้านการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และด้านการพัฒนาระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||
983 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ (นายประทีป เจริญพร) | ทส | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายประทีป เจริญพร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการที่ดินในคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ แทนนายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ ที่ขอลาออก โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับกำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
984 | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN - German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector) | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนที่ตอบรับการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน และร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Secton) ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักของโครงการ ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่เลขาธิการอาเซียนลงนามความตกลงระหว่างประเทศของอาเซียนในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐบาลไทย แต่รัฐบาลไทยจะต้องให้ความยินยอมผ่านคณะผู้แทนไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในการลงนามความตกลงฯ โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ นอกจากนี้ ข้อ ๔ ข้อย่อย ๔.๙ ของร่างความตกลงฯ ระบุว่า ความตกลงฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ใช้อยู่ของเยอรมนี ดังนั้น การจัดทำความตกลงฯ จึงต้องปฏิบัติตาม Rules of Authorisation for Legal Transaction under Domestic Laws ที่กำหนดให้มีการเสนอและรับรองรายชื่อบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินนิติกรรมที่อยู่ภายใต้กฎหมายภายในนามของอาเซียน ซึ่งหากมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าวแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสนอร่างความตกลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
985 | การเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ค.ศ. 2006 | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ค.ศ. ๒๐๐๖ (International Tropical Timber Agreement 2006 : ITTA 2006) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการเข้าเป็นภาคี ITTA 2006 คือ ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีสากลในการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน ได้โอกาสในการเข้าร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินงานขององค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการป่าไม้ในเขตร้อนเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านป่าไม้ในเขตร้อน และได้รับสิทธิในการเสนอโครงการต่าง ๆ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจาก ITTO เพื่อความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศในการบริหารจัดการการวิจัยพัฒนาและอื่น ๆ ด้านป่าไม้ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนการเข้าร่วมเป็นภาคี ITTA 2006 ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการมีโอกาสร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินงานของ ITTO การได้รับข้อมูลข่าวสารด้านป่าไม้เขตร้อน การได้รับสิทธิในการเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจาก ITTO เพื่อประโยชน์ด้านวิชาการ การบริหารจัดการ การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาขีดความสามารถของไทย รวมทั้งควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ กรณีที่ ITTO ได้มีหนังสือยืนยันว่าจะไม่มีแผนการจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย และจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติการตั้งฐานที่มั่นถาวรในประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
986 | การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES CoP16) และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าวในระหว่างวันที่ ๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลการประชุมที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ได้แก่ ข้อเสนอให้บรรจุไม้พะยูง (Dalbergia cochinchinensis) อยู่ในบัญชี ๒ ข้อเสนอขอปรับลดบัญชีจระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis) และจระเข้น้ำเค็ม (Crocodylus porosus) ของประเทศไทยจากบัญชี ๑ เป็นบัญชี ๒ การควบคุมการค้างาช้างภายในประเทศ การจัดทำรายงานผลการจับกุมการลักลอบฆ่าและค้าสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ของเอเชีย (Asian big cats) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่ ๖๕ (กรกฎาคม ๒๕๕๖) การปรับคำนิยามในเรื่องการขยายพันธุ์เทียมที่จำเพาะสำหรับไม้กฤษณา การกำหนดให้วันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่อนุสัญญา CITES ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๖ เป็นวันสัตว์ป่าโลก (World Widlife Day) และการเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายภูมิภาคอาเซียนในเรื่องการป้องกันการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายหรือ ASEAN-WEN รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามผลการประชุม CITES CoP16 และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ ๖๘ กำหนดให้วันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี เป็นวันสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Day) ๑.๓ เห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งจัดทำโดยคณะทำงานจัดทำร่างแผนปฏิบัติการงาช้างฯ เพื่อแก้ไขปัญหาการค้างาช้างที่ผิดกฎหมายตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญา CITES โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานเพื่อการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว และให้ปรับแก้ร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับเป้าหมายของแผนปฏิบัติการฯ ส่วนหนึ่งมุ่งไปสู่การยุติการค้างาช้างในอนาคต ซึ่งข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้เกี่ยวข้องซื้อขายงาช้างที่ไม่เห็นด้วยในการห้ามซื้อขายงาช้างเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในร่างแผนปฏิบัติการฯ ควรจะมีการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจการค้างาช้างในปัจจุบัน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการยุติการค้างาช้าง หรือเสนอทางออกที่เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
987 | ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการดำเนินการผลิต และการบริโภคที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน (Joint Statement on the Implementation of Sustainable Consumption and Production in ASEAN) | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการดำเนินการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน (Joint Statement on the Implementation of Sustainable Consumption and Production in ASEAN) ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๔ ในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน โดยการสนับสนุนจากการจัดตั้ง ASEAN Forum on Sustainable Consumption and Production และการมีส่วนร่วมในกรอบงาน 10-year Framework Programme on Sustainable Consumption and Production และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดข้องต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ |
||||||||||||||||||
988 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2554 | ทส | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ มีมติเห็นชอบกับรายงานดังกล่าวแล้ว โดยรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่สำคัญ ดังนี้
๑. สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงคุณภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ๒. ประเด็นปัญหาสำคัญ ได้แก่ อุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและสภาพสิ่งแวดล้อมในจังหวัดน่าน และการจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่างมีส่วนร่วม ๓. แนวโน้มสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ๔. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ ได้แก่ ควรมีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม และเป็นเชิงวิสัยทัศน์ ควรมีข้อกำหนดเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐอย่างชัดเจนทั้งในด้านการกำหนดนโยบาย และการดำเนินนโยบาย และควรมีการเสริมสร้างสมรรถนะ (capacity building) ในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||
989 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 11 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 6 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 6 และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ 2 ของ 3 อนุสัญญาฯ | ทส | 03/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ ๑๑ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ ๖ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ ๖ และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ ๒ ของ ๓ อนุสัญญาฯ ในระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๖-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๑ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้เพิ่มเติมรายชื่อของเสียที่ไม่เป็นอันตรายในภาคผนวก ๙ ของอนุสัญญาฯ จำนวน ๒ รายการ คือ “ชิ้นส่วนของพลาสติกซึ่งไม่สามารถแยกได้และชิ้นส่วนของพลาสติกอะลูมิเนียมซึ่งไม่สามารถแยกได้ที่เป็นของเสียบรรจุภัณฑ์สำหรับของเหลวจากการบำบัดเบื้องต้น” และ “ของเสียซึ่งมีลักษณะเป็นฉลากลามิเนตติดแน่นประกอบด้วยวัตถุดิบสำหรับการผลิตฉลาก” (๒) แต่งตั้งคณะทำงานระหว่างสมัยประชุมเพื่อพิจารณาปรับแก้ไขอภิธานศัพท์และคำศัพท์ที่ใช้ในอนุสัญญาฯ พร้อมกำหนดคำอธิบายเพิ่มเติม (๓) รับรองขอบเขตการดำเนินงานเพื่อเตรียมการสำหรับเครือข่ายความร่วมมือเพื่อป้องกันและต่อต้านการเคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย (๔) เห็นชอบการแก้ไขระเบียบวิธีการเกี่ยวกับการขยายขอบเขตของกองทุนเพื่อความรวดเร็วของกระบวนการภายใต้กลไกช่วยเหลือฉุกเฉิน และการเตรียมความพร้อมของประเทศภาคีสมาชิกต่าง ๆ เพื่อรับมือเหตุฉุกเฉินจากการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและของเสียอื่น และ (๕) เห็นชอบกรอบแผนงานและงบประมาณสำหรับการดำเนินงานของคณะทำงาน Open-ended Working Group (OEWG) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๖ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้บรรจุรายชื่อสารเคมี ๔ ชนิด คือ สาร azinphos-methyl สาร pentabromodiphenyl ether and pentabromodiphenyl ether commercial mixtures สาร octabromo-diphenyl ether commercial mixtures และ สาร perfluorooctane sulfonic acid, perfluorooctane-sulfonates, perfluorooctane sulfonamides, and perfluorooctanesulfonyls เพิ่มเติมเข้าไว้ในภาคผนวก III ของอนุสัญญาฯ (๒) รับรองการเสนอชื่อผู้เชี่ยวชาญชุดใหม่ในคณะกรรมการพิจารณาทบทวนสารเคมี (CRC) รวม ๑๗ ท่าน ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในคณะกรรมการ CRC ดังกล่าวด้วย และ (๓) รับรองแผนงานของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และงบประมาณดำเนินการ รวมทั้งแผนกิจกรรมให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิควิชาการ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๓. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๖ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก เอ ของอนุสัญญาฯ โดยบรรจุรายชื่อสาร hexabromocyclododecane เพิ่มเติม โดยให้มีข้อยกเว้นพิเศษสำหรับการผลิตและการใช้งานประเภท expanded polystyrene และ extruded polystyrene ในอาคาร (๒) รับรองกระบวนการเพื่อให้ที่ประชุมรัฐภาคีสามารถประเมินความก้าวหน้าของภาคีสมาชิกในการลดและเลิกใช้สารกลุ่ม brominated diphenyl ethers ในผลิตภัณฑ์ และให้มีข้อยกเว้นพิเศษและการใช้งานสำหรับวัตถุประสงค์ที่ยอมรับได้ต่อไปสำหรับสารกลุ่ม perfluorooctane sulfonic acid, its salts and perfluorooctane sulfonyl fluoride (๓) รับรองกรอบงานสำหรับการประเมินความมีประสิทธิผลของอนุสัญญาฯ และรูปแบบรายงานของประเทศ (national report) ฉบับปรับปรุงแก้ไข (๔) รับรองมติข้อตัดสินใจในประเด็นกลไกทางการเงินของอนุสัญญาฯ และ (๕) รับรองวิธีการประเมินผลศูนย์ระดับภูมิภาคของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สถานะของศูนย์ระดับภูมิภาคฯ เสนอชื่อเข้ามาใหม่ และการคงสถานะของศูนย์ระดับภูมิภาคฯ ที่มีอยู่เดิม ๔. ที่ประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ ๒ ของ ๓ อนุสัญญาฯ ได้พิจารณาและมีมติข้อตัดสินใจในประเด็นเกี่ยวกับการส่งเสริมการประสานงานและความร่วมมือระหว่าง ๓ อนุสัญญาฯ อาทิ (๑) การทบทวนการจัดการบูรณาการ (๒) ข้อเสนอการปรับโครงสร้างสำนักเลขาธิการร่วมของอนุสัญญาบาเซลฯ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ (๓) กิจกรรมร่วมและแผนงบประมาณสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ (๔) ผลลัพธ์ของกระบวนการหารือเกี่ยวกับทางเลือกด้านการเงินในการสนับสนุนการจัดการสารเคมีและของเสีย (๕) การส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานระหว่างคณะผู้เชี่ยวชาญและคณะกรรมการด้านเทคนิควิชาการภายใต้ ๓ อนุสัญญาฯ และ (๖) การอำนวยความสะดวกด้านทรัพยากรทางการเงินสำหรับการจัดการสารเคมีและของเสีย
|
||||||||||||||||||
990 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงแก้ไขเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยกำหนดเครื่องหมายตำแหน่งบนกระบังหมวก และเครื่องหมายตำแหน่งบนอินทรธนู เสียใหม่ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
991 | ขอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2556 งบกลาง เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินงานโครงการกำหนดแนวทางการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่ว ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในคดีปกครองคดีหมายเลขดำ ที่ อ. 597/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 743/2555 | ทส | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๖,๐๐๓,๐๐๐ บาท ให้กรมควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินโครงการกำหนดแนวทางฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่วให้มีความเหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่ ตามนัยคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่ให้ดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ทุกฤดูกาล และต้องเปิดเผยผลการดำเนินการให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖) ที่กำหนดให้ส่วนราชการที่ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณานำเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อพิจารณาอนุมัติผ่อนผันต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแผน/มาตรการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพการเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมและการวิเคราะห์ตะกั่วในตัวอย่างสิ่งแวดล้อมไว้ในแผนการดำเนินงาน เช่น ข้อมูลการประเมินระดับความไม่แน่นอนในการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการ ผลการทดสอบ Cross-check โดยห้องปฏิบัติการอ้างอิง และผลการทดสอบตัวอย่างควบคุมเพื่อวัตถุประสงค์ในการประเมินคุณภาพผลการทดสอบ เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการประเมินความเชื่อถือได้ของผลการวิเคราะห์กรณีเกิดเหตุพิพาท/มีข้อโต้แย้งในอนาคต รวมทั้งให้มีการศึกษาผลกระทบหลังสิ้นสุดโครงการด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการคัดเลือกที่ปรึกษาและการกำกับการศึกษาด้วย เพื่อให้สามารถเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับจากประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
992 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2556 | ทส | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ รวม ๓ ฉบับ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อมูลและผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างที่ประกาศกระทรวงฯ สิ้นผลการบังคับใช้ โดยดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ เดือน และรายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมทั้งประสานจังหวัดเพื่อทราบ ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ รวมทั้งนำรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๓. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย) โดยให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและขยะติดเชื้อ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้กรมควบคุมมลพิษนำมาตรการฯ (ระยะสั้น) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จ โดยระบุว่าจะมีการนำมาตรการระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีในลำดับถัดไป ๔. เห็นชอบในหลักการแนวทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อการฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ โดยเป็นการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรร ข้อ ๑๕ (๒) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กับ อปท. ที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเป็นรายโครงการ และให้ อปท. ดำเนินการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าปรับ และนำมาหักส่งเข้ากองทุนฯ ตามอัตราที่คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมกำหนด รวมทั้งเห็นชอบให้มาตรการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ สิ้นสุดการบังคับใช้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ ๕. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ประจำปี ๒๕๕๗ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาทบทวนและให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อม การสรรหาแหล่งเงินทุน การจัดสรรเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การกำหนดสัดส่วนการสมทบเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น และการจัดเก็บเงินจากผู้ก่อมลพิษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และนำเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนาม ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา
|
||||||||||||||||||
993 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (นายเริงชัย ประยูรเวช) | ทส | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเริงชัย ประยูรเวช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
994 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (จำนวน 3 คน 1.นายนภศูล อังคทะวานิช ฯลฯ) | ทส | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน ๓ คน แทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายนภศูล อังคทะวานิช ๒. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ (เป็นผู้มีรายชื่อตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง บัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ๓. ว่าที่ร้อยตรี เชิดศักดิ์ จำปาเทศ
|
||||||||||||||||||
995 | ความคืบหน้าการดำเนินงานเรื่องน้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเลจังหวัดระยอง | ทส | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง โดยผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณชายหาดท่องเที่ยวรอบเกาะเสม็ด เมื่อวันที่ ๓-๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ พบว่า มีคุณภาพน้ำพารามิเตอร์พื้นฐานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล สำหรับพารามิเตอร์อื่น ๆ เช่น โลหะหนัก ปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน (TPH) และโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) คาดว่า จะสามารถทราบผลภายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการทำความสะอาดชายหาดอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ สภาพหาดอ่าวพร้าวเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังพบคราบน้ำมันเป็นลักษณะฟิล์มบาง ๆ ในน้ำทะเลอยู่บ้าง สำหรับผลการสำรวจระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเล คือ ปะการัง หญ้าทะเล และสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ เช่น เต่าทะเล พะยูน โลมา และวาฬ ไม่พบผลกระทบโดยตรงและได้รับความเสียหายจากกรณีการรั่วไหลของน้ำมันที่ชัดเจน ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะดำเนินการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลในระยะยาวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็วอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งในส่วนขององค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เพื่อให้สอดคล้องและทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้คำนึงถึงขั้นตอนในการดำเนินงานให้อยู่ในระบบ single command และแบ่งการดำเนินการให้ชัดเจนออกเป็นการช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Response) ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน ส่วนการเยียวยา ฟื้นฟู (Recovery) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน
|
||||||||||||||||||
996 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจในการขยายความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสถาบันสมิทโซเนียน สหรัฐอเมริกา | ทส | 30/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจในการขยายความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสถาบันสมิทโซเนียน สหรัฐอเมริกา (Memorandum of Understanding between the Ministry of Natural Resources and Environment, Thailand and Smithsonian Institution, USA) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์ให้เป็นความร่วมมือทางวิชาการที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ Smithsonian Conservation Biology Institute (SCBI) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ดำเนินการโดยใช้กฎ ระเบียบ รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีขอบเขตความร่วมมือ (Areas of Cooperation) ในการดำเนินการวิจัยร่วม การอนุรักษ์และการจัดการสัตว์ป่า เทคโนโลยีชีวภาพและการปรับปรุงพันธุ์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี เสริมสร้างศักยภาพ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และความร่วมมือสาขาอื่น ๆ ในเรื่องการอนุรักษ์สัตว์ป่าและวิทยาศาสตร์สัตวแพทย์ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยหากมีความจำเป็นโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สัตว์ป่าเป็นประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนที่ส่งผลกระทบทั้งต่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่และวิถีชีวิตของประชาชนโดยรอบ ควรมีการศึกษาผลกระทบในวงกว้างร่วมกับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องก่อน ทั้งในมิติด้านวิชาการและมิติด้านกฎหมาย และตามที่บันทึกความเข้าใจฯ ได้จัดทำเป็น ๒ ภาษา ได้แก่ ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในการตีความกรณีที่มีข้อความแตกต่างกัน ให้ถือตามฉบับภาษาอังกฤษเป็นหลัก ดังนั้น ก่อนการลงนามในสัญญา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรตรวจสอบบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทยที่จะมีการลงนามด้วยว่าถูกต้องและครบถ้วนตรงกับเนื้อความในฉบับภาษาอังกฤษ รวมถึงการตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้องทั้งหมดด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดังกล่าวในภายหลัง ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
997 | น้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเล จังหวัดระยอง | ทส | 30/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบโอมาน (OMAN) ขนาด ๑๖ นิ้ว รั่วขณะขนถ่ายน้ำมันจากเรือขนส่งน้ำมันไปยังโรงกลั่นน้ำมันบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมัน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเหตุให้มีน้ำมันดิบโอมานรั่วไหลลงสู่ทะเลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ประมาณ ๕๐ ตัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ประชุมร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่งบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาธารณรัฐสิงคโปร์มาให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาและร่วมกันวางแผนการดำเนินการขจัดคราบน้ำมันดังกล่าว ซึ่งต่อมากรมควบคุมมลพิษได้รับแจ้งจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และไม่พบคราบน้ำมันบนผิวน้ำ ซึ่งจากการดำเนินงานเป็นเวลา ๒ วัน ได้ใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ ลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้สั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันว่าไม่พบคราบน้ำมันแล้ว และให้ดำเนินการวางทุ่น ๒ ชั้น ตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะเสม็ดเพื่อป้องกันคราบน้ำมันที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่เข้าสู่ชายฝั่ง ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ออกสำรวจสภาพพื้นที่ปัญหาคราบน้ำมันเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พบว่า บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด มีการปนเปื้อนของน้ำมันบริเวณหาดและหินตลอดแนวชายหาด ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดระยอง รวมทั้งกองทัพเรือได้สนับสนุนกำลังคนประมาณ ๓๕๐ คน เพื่อร่วมดำเนินการทำความสะอาดชายฝั่งและตักทรายที่ปนเปื้อนน้ำมันบรรจุลงถุง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำมันเพื่อนำไปกำจัด คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณสองสัปดาห์จึงจะแล้วเสร็จ สำหรับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จะนำน้ำมันและทรายปนเปื้อนน้ำมันไปกำจัดโดยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และกรมควบคุมมลพิษจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีข้อสั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพิ่มความระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และจัดทำมาตรการในการแก้ไขปัญหาให้เป็นระบบมากขึ้น และหากพบว่ามีสัตว์น้ำตาย ขอให้ดำเนินการจัดส่งให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งนำไปตรวจพิสูจน์ว่าสาเหตุการตายของสัตว์น้ำมาจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในครั้งนี้หรือไม่ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้ประกาศให้บริเวณอ่าวพร้าวเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางทะเล ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลที่จังหวัดระยอง และระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร่งด่วน และให้มีการเตรียมแผนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล แผนการเยียวยาและชดเชยความเสียหาย ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว ชาวประมง และผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด รวมทั้งให้จัดทำแผนการควบคุมและป้องกันปัญหาน้ำมันรั่วไหลจากการขนส่งน้ำมันในระยะยาว เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีก ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานประสานการดำเนินงานร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานกรรมการ และให้กระทรวงพลังงานกำกับดูแลให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินการแก้ไขปัญหาและรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||
998 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บุคคลเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยให้เป็นไปตามลำดับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ๒. นายพีรพันธุ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
|
||||||||||||||||||
999 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายพิทยา พุกกะมาน) | ทส | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายพิทยา พุกกะมาน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
1000 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
.....