ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 52 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 1021 - 1040 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1021 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (จำนวน 7 คน 1. นายบุญเรือง สายศร ฯลฯ) | ทส | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ พ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๗ คน และแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติใหม่แทน จำนวน ๗ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายบุญเรือง สายศร ๒. นายไพรัตน์ ธารไชย ๓. นายวิชิต พัฒนโกศัย ๔. นายชลธิศ สุรัสวดี ๕. นายชำนาญ พงษ์ศรี ๖. นายมาโนช การพนักงาน ๗. นายสำราญ รักชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1022 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งเอเชียและแปซิฟิก เรื่อง ความร่วมมือทางด้านวิชาการเพื่อสนับสนุนการพัฒนางานวนศาสตร์ชุมชนในประเทศไทย | ทส | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งเอเชียและแปซิฟิก เรื่อง ความร่วมมือทางด้านวิชาการเพื่อสนับสนุนการพัฒนางานวนศาสตร์ชุมชนในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนการจัดการป่าไม้โดยชุมชนเพื่อการพัฒนาอย่างเหมาะสม และเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งของชุมชนที่เป็นสมาชิกป่าชุมชนและชุมชนในประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกิจกรรมและปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ก่อนการลงนามต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดให้กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งเอเชียและแปซิฟิก (The Regional Community Forestry Training Center for Asia and the Pacific : RECOFTC) ร่วมกันนำความรู้ด้านการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และควรกำหนดความเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว เป็นสิทธิร่วมกันของ RECOFTC และกรมป่าไม้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเผยแพร่สู่สาธารณะและชุมชนโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1023 | ร่างแถลงการณ์เจนีวาว่าด้วยการจัดการสารเคมีและกากของเสียอย่างปลอดภัยในการประชุมระดับสูง (High - Level segment) ของการประชุมรัฐภาคีสมัยสามัญของอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 11 อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 6 และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 6 และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ 2 ของ 3 อนุสัญญาฯ | ทส | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างแถลงการณ์เจนีวาว่าด้วยการจัดการสารเคมีและกากของเสียอย่างปลอดภัย (draft Geneva Communique on the sound management of chemicals and waste) ในการประชุมระดับสูง (High-level segment) ของการประชุมรัฐภาคีสมัยสามัญของอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๑ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๖ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๖ และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษสมัยที่ ๒ ของ ๓ อนุสัญญาฯ ในระหว่างวันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยร่างแถลงการณ์เจนีวาฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่จะเกิดความพยายามและการดำเนินงานด้านการจัดการสารเคมีและกากของเสียอย่างปลอดภัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีความสอดคล้องกับเอกสารผลลัพธ์ The Future We Want ที่ได้รับการรับรองในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (Rio+20) เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญซึ่งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally binding) และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะองค์คณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเผยแพร่ผลบังคับใช้ของร่างแถลงการณ์เจนีวาฯ พร้อมทั้งเผยแพร่องค์ความรู้ในกรณีที่จะต้องมีการใช้สารเคมีชนิดอื่น ๆ หรือการจัดการกากของเสียอันตรายด้วยวิธีการอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีทางเลือกในการใช้และบริหารจัดการ ให้สามารถดำรงศักยภาพในการแข่งขันของตนอยู่ได้อย่างสอดคล้องกับข้อกำหนดของร่างแถลงการณ์เจนีวาฯ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1024 | ผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 19 และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 20 | ทส | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑ รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ มกราคม ๒๕๕๖ ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขง ได้แก่ การศึกษาการพัฒนาที่ยั่งยืนของลุ่มน้ำโขง และการศึกษาผลกระทบของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธาน (The Study on Sustainable Management and Development of the Mekong River including Impacts by Mainstream Hydropower Project) หรือ Council Study เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้ประเทศสมาชิกทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ จากโครงการพัฒนา ทั้งเชิงบวกและลบให้มีความชัดเจนก่อนการพัฒนาโครงการใด ๆ โดยการศึกษาประกอบด้วย ๖ เรื่อง คือ การชลประทาน การเกษตรและการใช้ที่ดิน การใช้น้ำในครัวเรือนและอุตสาหกรรม โครงสร้างการป้องกันน้ำท่วม ไฟฟ้าพลังน้ำ และการคมนาคมขนส่ง ซึ่งการศึกษาจะเริ่มในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยคณะทำงานด้านวิชาการของแผนงานพัฒนาลุ่มน้ำเป็นผู้ดำเนินการศึกษา ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดดำเนินกระบวนการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งได้อนุมัติงบประมาณบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ (Operation Expenses Budget for 2013) จำนวน ๓,๘๔๘,๔๔๒ ดอลลาร์สหรัฐ และสนับสนุนให้ประเทศภาคีสมาชิกเพิ่มการจ่ายเงินสนับสนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในอนาคต เนื่องจากมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๐ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. สถานที่จัดประชุมคณะมนตรีฯ ครั้งที่ ๒๐ ให้เปลี่ยนไปจัดที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว จำนวน ๙๓๗,๐๐๐ บาท ให้กรมทรัพยากรน้ำใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตามมติที่ประชุมคณะมนตรีฯ ครั้งที่ ๑๙ ที่เห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดดำเนินกระบวนการศึกษาผลกระทบของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธานโดยเร็วต่อไป โดยให้ติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการศึกษาในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1025 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. .... | ทส | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน” “คณะกรรมการ” และ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ๑.๒ กำหนดให้คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธานกรรมการ คนที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธานกรรมการ คนที่ ๒ ปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาคเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านกฎหมาย ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นกรรมการ และกำหนดให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ ๑.๓ กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระคราวละสี่ปี และกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๔ กำหนดให้คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมีอำนาจหน้าที่ ได้แก่ กำหนดนโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศให้ครอบคลุมมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ กำกับและขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการอนุวัตตามผลลัพธ์ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๒๑ (United Nations Conference On Sustainable Development : UNCSD) แผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) แผนการปฏิบัติการโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg Plan of Implementation : JPOI) และข้อตกลง/ผลลัพธ์จากการประชุมระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และเป้าหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กำหนดแนวทางและท่าทีการเจรจาในการประชุมสุดยอดของโลกที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการประชุมระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น ๑.๕ กำหนดให้ค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน รวมทั้งค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และที่ปรึกษา ให้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรอบแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนที่จะมีขึ้นต่อไป ควรบูรณาการกับยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ เพื่อให้การพัฒนาที่ยั่งยืนมีความสมดุลครอบคลุมทุกมิติและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนตัวแทนของภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานในลักษณะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (Partnership) ในการผลักดัน/ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และควรปรับปรุงหมวดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ โดยระบุให้การกำหนดนโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อให้นโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และยุทธศาสตร์ประเทศ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานรัฐและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและภาคประชาสังคม นอกจากนี้ การดำเนินงานของคณะกรรมการ ควรให้ครอบคลุมประเด็นที่มีความเร่งด่วน อาทิ การกำหนดแนวทางและท่าทีการเจรจาในการเข้าร่วมกระบวนการหารือในระดับรัฐบาลเพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และการหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ทันตามกรอบเวลาที่เวทีระหว่างประเทศกำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
1026 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2556 | ทส | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษาและออกแบบก่อสร้างสะพานเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรเลียบชายฝั่งทะเลในเขตผังเมืองรวมเมืองชลบุรีของจังหวัดชลบุรี โดยให้จังหวัดชลบุรีดำเนินการเกี่ยวกับการทบทวนการออกแบบตอม่อให้มีความเหมาะสม และกำหนดให้กรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และการขอผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าชายเลน เพื่อให้จังหวัดชลบุรีเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเป็นการถาวรเพื่อก่อสร้างโครงการ ๒. ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองรับผิดชอบในการตั้งงบประมาณปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ โดยดำเนินการร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๓. ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเตรียมงบประมาณปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมบนพื้นที่ดินเลนที่งอกใหม่จากการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
1027 | แนวทางเลือกเพื่อตัดสินอนาคตของ COBSEA | ทส | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเจราจาโดยกำหนดท่าทีของประเทศไทยในการลำดับทางเลือกเพื่อตัดสินอนาคตของแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Coordinating Body on the Seas of East Asia : COBSEA) ตามทางเลือกที่ ๒ ที่เสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ให้คงสถานะปัจจุบัน (Status Quo) และสนับสนุนเงินบริจาค จำนวน ๑๕๑,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ โดยค่าใช้จ่ายเป็นเงินบริจาคดังกล่าว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุมประจำปีระหว่างรัฐบาลขององค์กรผู้ประสานงานเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Intergovernmental Meeting : IGM of COBSEA) ครั้งที่ ๒๑ ให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1028 | ผลการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry | ทส | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบรายงานการประชุม Preparatory Senior Offcial Meeting on the Progress of ASEAN-ROK Forest Cooperation Activities ซึ่งนำเสนอโดยผู้แทนจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีความก้าวหน้าของกิจกรรม ได้แก่ การจัดตั้งองค์การความร่วมมือด้านการป่าไม้แห่งเอเชีย (Asian Forest Cooperation Organization : AFoCO) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการอนุรักษ์และป้องกันการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ สนับสนุนการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และการดำเนินโครงการความช่วยเหลือภายใต้องค์การ AFoCO ๒. ที่ประชุมรับรอง Ministerial Statement ซึ่งเป็นแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีด้านป่าไม้ของประเทศอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีที่มีความมุ่งมั่น และประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ การส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถและการดำรงชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาป่าไม้ การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมกิจกรรมด้านคาร์บอนต่ำ และเทคโนโลยีสีเขียวด้านการป่าไม้ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี การดำเนินการตามกลยุทธ์เชิงรุกจากความร่วมมือด้านป่าไม้ประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดตั้งองค์กรผู้แทนในระดับภูมิภาคเอเชีย และการสนับสนุนการจัดตั้งองค์การ AFoCO เพื่อดำเนินกิจกรรมด้านป่าไม้ภายใต้ความร่วมมือตามข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ๓. สำหรับท่าทีของประเทศไทยได้รับรองและสนับสนุนการจัดตั้งองค์การ AFoCO ที่ริเริ่มและผลักดันโดยประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งจากการประชุมดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวด้านป่าไม้ รวมทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนสำหรับดำเนินงานด้านการจัดการป่าไม้ในระดับประเทศและภูมิภาค
|
|||||||||||||||||||||||||||
1029 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (นายวีรวัฒน์ ยมจินดา) | ทส | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายวีรวัฒน์ ยมจินดา เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1030 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ) | ทส | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1031 | แจ้งผลคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 225/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 63/2556 ระหว่างนายสุวิช ชมพูนุทจินดา ผู้ฟ้องคดีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ 1 คณะรัฐมนตรี ที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | ทส | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ ๒๒๕/๒๕๕๒ คดีหมายเลขแดงที่ ๖๓/๒๕๕๖ ระหว่างนายสุวิช ชมพูนุทจินดา ผู้ฟ้องคดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ๑ คณะรัฐมนตรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
1032 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 | ทส | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อความ นิยาม “อุตสาหกรรมเหล็ก หรือเหล็กกล้า” ในประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำประกาศกระทรวงฯ ให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามดังกล่าว พร้อมกับให้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามต่อไป ๒. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ รวมทั้งให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา ตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1033 | การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) | ทส | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความก้าวหน้าในการจัดเตรียมการจัดการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (The16th meeting of the Conference of the Parties to CITES : CITES CoP16) โดยกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ของการประชุมฯ เพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ป่าในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาฯ และพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบในการควบคุมการค้าซึ่งชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ป่าในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาฯ ซึ่งในการประชุมฯ อาจมีการลงมติรับรองมติที่ประชุม (Resolutions) และข้อตัดสินใจ (Decisions) ต่าง ๆ รวมทั้งข้อเสนอ (Proposals) ขอเปลี่ยนแปลงบัญชีอนุสัญญาฯ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) กรอบข้อคิดเห็นของประเทศไทยต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (CITES CoP16) ทั้งวาระการประชุมที่เกี่ยวกับกฎระเบียบในการดำเนินงานให้เป็นไปตามอนุสัญญา CITES (Working Documents) และวาระการประชุมเกี่ยวกับข้อเสนอต่าง ๆ (Proposals) รวมทั้ง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ทั้งนี้ หากมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากข้อคิดเห็นที่กำหนดไว้แล้วและไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อประเทศไทยให้เป็นดุลพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สามารถใช้ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ (ร่าง) กรอบข้อคิดเห็นฯ ในวาระที่ ๒๘ และ ๒๙ เรื่องเกี่ยวกับกฎหมายระดับชาติและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อใช้อนุวัติตามอนุสัญญา ควรจะวิเคราะห์ผลกระทบที่จะมีต่อประเทศไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งในวาระที่ ๕๓ เรื่องช้างที่มีการพาดพิงถึงประเทศไทย ควรจะให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร เป็นต้น เพื่อให้มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการบริหารจัดการในเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ สามารถนำไปชี้แจงกรณีมีข้อซักถามในที่ประชุมได้อย่างครบถ้วน สำหรับ (ร่าง) แถลงการณ์ฯ ในส่วนของบทสรุปของแถลงการณ์ฯ ควรกล่าวถึงผลที่จะได้รับจากการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ ที่จะมีต่อทรัพยากรของอาเซียนโดยภาพรวมให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1034 | การตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด สกลนคร บุรีรัมย์ และจังหวัดมุกดาหาร | ทส | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด สกลนคร บุรีรัมย์ และจังหวัดมุกดาหาร ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ บ้านเหล่าเรือ ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมือง รวมทั้งตรวจเยี่ยมราษฎรและเจ้าหน้าที่ ณ ที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าผาน้ำทิพย์ ตำบลบึงงาม อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดร้อยเอ็ดมีพื้นที่ประสบภัยแล้งใน ๑๗ อำเภอ ๑๖๑ ตำบล ๑,๗๗๒ หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ ๑๓๗,๓๓๖ ครัวเรือน และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชน การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักน้ำเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๒. วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดสกลนคร พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๓. วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง และที่โรงเรียนโคกเขาพัฒนา ตำบลโคกมะม่วง อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดบุรีรัมย์ได้ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) แล้ว จำนวน ๑๖ อำเภอ ๑๒๘ ตำบล ๑,๕๔๔ หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ ๗๓,๘๙๒ ครัวเรือน นาข้าวได้รับความเสียหาย ๑๒๕,๘๓๓ ไร่ และพืชไร่ได้รับความเสียหาย ๑๐,๓๕๒ ไร่ และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดลอกคลองช่องแมว เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง การขุดเจาะน้ำบาดาล เพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักน้ำเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๔. วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ โรงเรียนชุมชนนาโสก ตำบลนาโสก อำเภอเมือง ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลเหล่าหมี อำเภอดอนตาล และที่วัดนิคมเกษตร บ้านดงหมู ตำบลดงหมู อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดมุกดาหารมีพื้นที่ประสบภัยแล้งใน ๗ อำเภอ และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง การแก้ไขปัญหาเพื่อจัดที่ทำกินให้กับทหารผ่านศึกนอกประจำการในรูปนิคม โดยขอกันพื้นที่ชุมชนออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||
1035 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นายชลธิศ สุรัสวดี ฯลฯ) | ทส | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายชลธิศ สุรัสวดี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวภาวิณี ปุณณกันต์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายเสรี โสภณดิเรกรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
1036 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2555 | ทส | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายช่วงเวลาของกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี เพื่อใช้สำหรับเป็นกรอบทิศทางในการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่เห็นควรนำประเด็นการแก้ไขปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และการให้ความสำคัญกับประเด็นด้านนวัตกรรมและการส่งเสริมการวิจัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาปรับปรุงกรอบทิศทางฯ และดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๓. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบเพื่อก่อสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่น บริเวณปากร่องน้ำคลองท่าเสม็ด ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ของกรมเจ้าท่า โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะมูลฝอยประเภทโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ ๑๐ เมกะวัตต์ขึ้นไป ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๕. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานกรุงเทพ-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-สามเสน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๗. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของนายสุรศักดิ์ เหมาะประสิทธิ์ คำขอประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๙ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑๑ ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขันธ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการขออนุมัติผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติประเภทป่าเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ของคณะรัฐมนตรี โดยให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นำมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ทั้งนี้ กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการพิจารณาสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาตนำมาตรการที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาต โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1037 | การนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน (KKFC) เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ | ทส | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก นำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมทั้งเห็นชอบเอกสารนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการแก้ไขชื่อภาษาอังกฤษของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน จากเดิม "Kaeng Krachan Forest Complex : KKFC" เป็น "Thailand Western Forest Complex" ก่อนนำเสนอไปยังศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๓. เพื่อให้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งพื้นที่กลุ่มป่าอื่นๆ ของไทยทุกแห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไว้แล้ว เช่น มรดกโลกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง มรดกโลกป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เป็นต้น มีกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและการบริหารจัดการพื้นที่โดยมีการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นเจ้าภาพรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่กำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่กลุ่มป่าดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1038 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ คดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ 791/2554, 809/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 18/2555, 2090/2555 | ทส | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อนำไปชำระเป็นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ ในคดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ ๗๙๑/๒๕๕๔, ๘๐๙/๒๕๕๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๘/๒๕๕๕, ๒๐๙๐/๒๕๕๕ จำนวน ๑๐,๘๑๖,๔๓๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1039 | (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ 9 จังหวัด ปี 2556 | ทส | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำ (ร่าง) มาตรการฯ ดังกล่าวไปปฏิบัติโดยใช้งบประมาณปกติของหน่วยงานต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ปรับข้อความในมาตรการฯ ให้มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้น จากเดิม “ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” เป็น “ส่งเสริมให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” สำหรับสาระสำคัญของ (ร่าง) มาตรการฯ มีดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน โดยเน้นการดำเนินมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์หมอกควันที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ ผลักดันความร่วมมือในการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งลดและควบคุมสถานการณ์หมอกควัน และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ๑.๒ เป้าหมาย คุณภาพอากาศในบรรยากาศ (ฝุ่นละอองขนาดเล็ก : PM10) อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ในช่วง ๘๐ วันอันตราย (๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖) ในพื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก ๑.๓ มาตรการหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด ตามหลักการ 2P2R [การป้องกัน (Prevention) การเตรียมพร้อม (Preparation) การรับมือ (Response) และการฟื้นฟู (Recovery)] ประกอบด้วย ๘ มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ ๑ ควบคุมการเผาช่วง “๘๐ วันอันตราย” มาตรการที่ ๒ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเข้มข้น มาตรการที่ ๓ สนับสนุน “ชุมชนมาตรฐาน หมู่บ้านปลอดการเผา” มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน มาตรการที่ ๕ สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกสู่กลุ่มเป้าหมาย มาตรการที่ ๖ แจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน มาตรการที่ ๗ ขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน และมาตรการที่ ๘ จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด (ศปม.) ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ ให้เป็นเอกภาพ โดยให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย และให้มีกลไกการกำกับติดตามการดำเนินงานในลักษณะ single command รวมทั้งให้ใช้การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (area-approach) เป็นหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปกำกับติดตามให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการบุกรุกและเผาป่า โดยให้ตำรวจท้องที่ประสานงานกับหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ (พืชล้มลุก) และการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก (Zoning) พืชเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุก แผ้วถางและเผาป่าเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินมาตรการงดรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1040 | คำชี้แจงประเด็นข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ระหว่างวันที่ 25 - 27 พฤศจิกายน 2555 ณ ตึกรัฐสภา | ทส | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสรุปคำชี้แจงประเด็นข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ ตึกรัฐสภา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
.....