ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 52 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 1021 - 1040 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1021 | การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) | ทส | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความก้าวหน้าในการจัดเตรียมการจัดการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (The16th meeting of the Conference of the Parties to CITES : CITES CoP16) โดยกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ของการประชุมฯ เพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ป่าในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาฯ และพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบในการควบคุมการค้าซึ่งชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ป่าในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาฯ ซึ่งในการประชุมฯ อาจมีการลงมติรับรองมติที่ประชุม (Resolutions) และข้อตัดสินใจ (Decisions) ต่าง ๆ รวมทั้งข้อเสนอ (Proposals) ขอเปลี่ยนแปลงบัญชีอนุสัญญาฯ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) กรอบข้อคิดเห็นของประเทศไทยต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (CITES CoP16) ทั้งวาระการประชุมที่เกี่ยวกับกฎระเบียบในการดำเนินงานให้เป็นไปตามอนุสัญญา CITES (Working Documents) และวาระการประชุมเกี่ยวกับข้อเสนอต่าง ๆ (Proposals) รวมทั้ง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ทั้งนี้ หากมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากข้อคิดเห็นที่กำหนดไว้แล้วและไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อประเทศไทยให้เป็นดุลพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สามารถใช้ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ (ร่าง) กรอบข้อคิดเห็นฯ ในวาระที่ ๒๘ และ ๒๙ เรื่องเกี่ยวกับกฎหมายระดับชาติและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อใช้อนุวัติตามอนุสัญญา ควรจะวิเคราะห์ผลกระทบที่จะมีต่อประเทศไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งในวาระที่ ๕๓ เรื่องช้างที่มีการพาดพิงถึงประเทศไทย ควรจะให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร เป็นต้น เพื่อให้มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการบริหารจัดการในเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ สามารถนำไปชี้แจงกรณีมีข้อซักถามในที่ประชุมได้อย่างครบถ้วน สำหรับ (ร่าง) แถลงการณ์ฯ ในส่วนของบทสรุปของแถลงการณ์ฯ ควรกล่าวถึงผลที่จะได้รับจากการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ ที่จะมีต่อทรัพยากรของอาเซียนโดยภาพรวมให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1022 | การตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด สกลนคร บุรีรัมย์ และจังหวัดมุกดาหาร | ทส | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด สกลนคร บุรีรัมย์ และจังหวัดมุกดาหาร ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ บ้านเหล่าเรือ ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมือง รวมทั้งตรวจเยี่ยมราษฎรและเจ้าหน้าที่ ณ ที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าผาน้ำทิพย์ ตำบลบึงงาม อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดร้อยเอ็ดมีพื้นที่ประสบภัยแล้งใน ๑๗ อำเภอ ๑๖๑ ตำบล ๑,๗๗๒ หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ ๑๓๗,๓๓๖ ครัวเรือน และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชน การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักน้ำเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๒. วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดสกลนคร พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๓. วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง และที่โรงเรียนโคกเขาพัฒนา ตำบลโคกมะม่วง อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดบุรีรัมย์ได้ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) แล้ว จำนวน ๑๖ อำเภอ ๑๒๘ ตำบล ๑,๕๔๔ หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ ๗๓,๘๙๒ ครัวเรือน นาข้าวได้รับความเสียหาย ๑๒๕,๘๓๓ ไร่ และพืชไร่ได้รับความเสียหาย ๑๐,๓๕๒ ไร่ และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดลอกคลองช่องแมว เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง การขุดเจาะน้ำบาดาล เพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักน้ำเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๔. วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ โรงเรียนชุมชนนาโสก ตำบลนาโสก อำเภอเมือง ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลเหล่าหมี อำเภอดอนตาล และที่วัดนิคมเกษตร บ้านดงหมู ตำบลดงหมู อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดมุกดาหารมีพื้นที่ประสบภัยแล้งใน ๗ อำเภอ และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง การแก้ไขปัญหาเพื่อจัดที่ทำกินให้กับทหารผ่านศึกนอกประจำการในรูปนิคม โดยขอกันพื้นที่ชุมชนออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||
1023 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นายชลธิศ สุรัสวดี ฯลฯ) | ทส | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายชลธิศ สุรัสวดี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวภาวิณี ปุณณกันต์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายเสรี โสภณดิเรกรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
1024 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2555 | ทส | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายช่วงเวลาของกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี เพื่อใช้สำหรับเป็นกรอบทิศทางในการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่เห็นควรนำประเด็นการแก้ไขปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และการให้ความสำคัญกับประเด็นด้านนวัตกรรมและการส่งเสริมการวิจัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาปรับปรุงกรอบทิศทางฯ และดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๓. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบเพื่อก่อสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่น บริเวณปากร่องน้ำคลองท่าเสม็ด ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ของกรมเจ้าท่า โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะมูลฝอยประเภทโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ ๑๐ เมกะวัตต์ขึ้นไป ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๕. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานกรุงเทพ-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-สามเสน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๗. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของนายสุรศักดิ์ เหมาะประสิทธิ์ คำขอประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๙ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑๑ ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขันธ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการขออนุมัติผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติประเภทป่าเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ของคณะรัฐมนตรี โดยให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นำมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ทั้งนี้ กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการพิจารณาสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาตนำมาตรการที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาต โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1025 | การนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน (KKFC) เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ | ทส | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก นำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมทั้งเห็นชอบเอกสารนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการแก้ไขชื่อภาษาอังกฤษของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน จากเดิม "Kaeng Krachan Forest Complex : KKFC" เป็น "Thailand Western Forest Complex" ก่อนนำเสนอไปยังศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๓. เพื่อให้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งพื้นที่กลุ่มป่าอื่นๆ ของไทยทุกแห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไว้แล้ว เช่น มรดกโลกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง มรดกโลกป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เป็นต้น มีกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและการบริหารจัดการพื้นที่โดยมีการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นเจ้าภาพรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่กำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่กลุ่มป่าดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1026 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ คดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ 791/2554, 809/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 18/2555, 2090/2555 | ทส | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อนำไปชำระเป็นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ ในคดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ ๗๙๑/๒๕๕๔, ๘๐๙/๒๕๕๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๘/๒๕๕๕, ๒๐๙๐/๒๕๕๕ จำนวน ๑๐,๘๑๖,๔๓๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1027 | (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ 9 จังหวัด ปี 2556 | ทส | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำ (ร่าง) มาตรการฯ ดังกล่าวไปปฏิบัติโดยใช้งบประมาณปกติของหน่วยงานต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ปรับข้อความในมาตรการฯ ให้มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้น จากเดิม “ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” เป็น “ส่งเสริมให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” สำหรับสาระสำคัญของ (ร่าง) มาตรการฯ มีดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน โดยเน้นการดำเนินมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์หมอกควันที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ ผลักดันความร่วมมือในการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งลดและควบคุมสถานการณ์หมอกควัน และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ๑.๒ เป้าหมาย คุณภาพอากาศในบรรยากาศ (ฝุ่นละอองขนาดเล็ก : PM10) อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ในช่วง ๘๐ วันอันตราย (๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖) ในพื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก ๑.๓ มาตรการหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด ตามหลักการ 2P2R [การป้องกัน (Prevention) การเตรียมพร้อม (Preparation) การรับมือ (Response) และการฟื้นฟู (Recovery)] ประกอบด้วย ๘ มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ ๑ ควบคุมการเผาช่วง “๘๐ วันอันตราย” มาตรการที่ ๒ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเข้มข้น มาตรการที่ ๓ สนับสนุน “ชุมชนมาตรฐาน หมู่บ้านปลอดการเผา” มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน มาตรการที่ ๕ สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกสู่กลุ่มเป้าหมาย มาตรการที่ ๖ แจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน มาตรการที่ ๗ ขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน และมาตรการที่ ๘ จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด (ศปม.) ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ ให้เป็นเอกภาพ โดยให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย และให้มีกลไกการกำกับติดตามการดำเนินงานในลักษณะ single command รวมทั้งให้ใช้การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (area-approach) เป็นหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปกำกับติดตามให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการบุกรุกและเผาป่า โดยให้ตำรวจท้องที่ประสานงานกับหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ (พืชล้มลุก) และการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก (Zoning) พืชเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุก แผ้วถางและเผาป่าเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินมาตรการงดรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1028 | คำชี้แจงประเด็นข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ระหว่างวันที่ 25 - 27 พฤศจิกายน 2555 ณ ตึกรัฐสภา | ทส | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสรุปคำชี้แจงประเด็นข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ ตึกรัฐสภา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||||||||
1029 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 ในประเทศไทย พ.ศ. .... | ทส | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ หรือ (UN Commission on International Trade Law UNCITRAL) ได้ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่าร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ กำหนดให้นำข้อโต้เถียงหรือข้อพิพาทใดๆ ระหว่างสำนักเลขาธิการและรัฐบาลไทยที่เกี่ยวกับการตีความหรือการดำเนินการตามข้อตกลงนี้เข้าพิจารณาตามกฎอนุญาโตตุลาการ UNCITRAL ซึ่งเป็นความจำเป็น ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ และส่งให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๒.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างความตกลงฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามดังกล่าว เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ภายหลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เพื่อแจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลไทยได้เสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายภายในประเทศเพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้ว ๒.๓ อนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายได้ยกร่าง และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป ๓. สำหรับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
1030 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง (นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ และนายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว) | ทส | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒. นายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
|
|||||||||||||||||||||||||||
1031 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2555 | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ๑.๑ ให้ รฟม. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ หาก รฟม. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวไม่กระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเป็นมาตรการที่เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า หรือเทียบเท่ามาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ แล้ว ให้หน่วยงานที่มีอำนาจอนุมัติหรืออนุญาตรับพิจารณาการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ พร้อมกับสำเนาเรื่องแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบ หากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจกระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้จัดส่งรายงานการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ให้ความเห็นชอบก่อนการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงแก้ไข ๑.๓ ให้ รฟม. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๔ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวอ่อน ส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ๒.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๒.๒ ให้ รฟท. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||
1032 | กรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU) | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforcement, Governance and Trade : FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (European Union : EU) เพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยสาระสำคัญของกรอบการเจรจาฯ มีดังนี้ ๑.๑ การกำหนดคำนิยามและกรอบสินค้าประเภทไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทย ๑.๒ กำหนดการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ประเทศไทยส่งออกสู่ตลาดสหภาพยุโรป ๑.๓ การปรับปรุงและกำหนดหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติในการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ไม่สร้างภาระต้นทุนที่ไม่เหมาะสม และอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย รวมทั้งการลดอุปสรรคทางการค้าของสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทยให้มากที่สุด เพื่อขยายการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของไทยอย่างยั่งยืน ๑.๔ ให้มีมาตรการป้องกันและเยียวยาสำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม้ประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบการทำ VPA ๑.๕ ให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ๑.๖ ให้มีมาตรการช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป เช่น การสนับสนุนจากสหภาพยุโรปให้ใช้สินค้าไม้ของประเทศไทย ผ่านทางการจัดซื้อจัดจ้างที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Procurement) การเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมไม้ของประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๑.๗ ให้มีการเจรจาเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในภาพรวม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งว่า อาจต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับ VPA อีกทั้งการกำหนดให้ต้องมีการรับรองว่าสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาโดยถูกกฎหมายอาจมีผลกระทบการส่งออกไม้ของประเทศซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมอย่างกว้างขวาง กรณีจึงเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ก่อนดำเนินการเพื่อทำ VPA จึงต้องมีการให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสามของรัฐธรรมนูญฯ ด้วย นอกจากนี้ ให้กรมป่าไม้ดำเนินการพัฒนาระบบการตรวจสอบและการออกใบรับรองเกี่ยวกับไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ได้มาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ ควบคู่กับการเจรจาการจัดทำ VPA และให้การสนับสนุนการสร้างความพร้อมแก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการป่าไม้เชิงอนุรักษ์ ป่าไม้เชิงพาณิชย์ และป่าไม้ชุมชนเพื่อรองรับการดำเนินการตามกรอบเจรจาดังกล่าว โดยให้นำโครงการ ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี มาร่วมพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1033 | ร่างกฎกระทรวงให้เพิกถอน ป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ ในท้องที่ตำบลตบหู อำเภอ เดชอุดม ตำบลพรสวรรค์ อำเภอนาจะหลวย ตำบลยาง ตำบลยางใหญ่ ตำบล เก่าขาม ตำบลบุเปือย ตำบลสีวิเชียร ตำบลโซง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน ตำบลขี้เหล็ก ตำบลไพบูลย์ ตำบลตาเกา และตำบลโคกสะอาด อำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,063 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ออกจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติบางส่วน พ.ศ. .... | ทส | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้เพิกถอน ป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ ในท้องที่ตำบลตบหู อำเภอเดชอุดม ตำบลพรสวรรค์ อำเภอนาจะหลวย ตำบลยาง ตำบลยางใหญ่ ตำบลเก่าขาม ตำบลบุเปือย ตำบลสีวิเชียร ตำบลโซง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน ตำบลขี้เหล็ก ตำบลไพบูลย์ ตำบลตาเกา และตำบลโคกสะอาด อำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑,๐๖๓ (พ.ศ. ๒๕๒๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ออกจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติ บางส่วน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้เพิกถอน ป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ ในท้องที่ตำบลตบหู อำเภอเดชอุดม ตำบลพรสวรรค์ อำเภอนาจะหลวย ตำบลยาง ตำบลยางใหญ่ ตำบลเก่าขาม ตำบลบุเปือย ตำบลสีวิเชียร ตำบลโซง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน ตำบลขี้เหล็ก ตำบลไพบูลย์ ตำบลตาเกา และตำบลโคกสะอาด อำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑,๐๖๓ (พ.ศ. ๒๕๒๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ออกจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติ บางส่วน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
1034 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเขากะทูน และป่าปลายกะเบียด ในท้องที่ตำบลกะทูน และตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. .... (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากะทูน) | ทส | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเขากะทูน และป่าปลายกะเบียด ในท้องที่ตำบลกะทูน และตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าเขากะทูน และป่าปลายกะเบียด ในท้องที่ตำบลกะทูน และตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
1035 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 12 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 12th AMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๘ (8th Meeting of the Conference of the Parties to the ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution : COP-8) การประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๑ (11th ASEAN Plus Three Environmental Ministers Meeting) และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๓ (3rd East Asia Summit Environment Ministers Meeting) ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยในส่วนของผลการประชุม 12th AMME สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมให้การรับรองข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียนเพื่อยืนยันข้อตกลงของอาเซียน และสร้างความเข้มแข็งให้ความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของอาเซียนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค รวมถึงส่งเสริมความตระหนักในการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ตลอดจนสร้างความสมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ๒. ที่ประชุมให้การรับรองแผนปฏิบัติการอาเซียนเพื่อสนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งดำเนินการตามแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนเพื่อสนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ให้การรับรอง ณ ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๖ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๓ ณ เมืองฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการผลักดันให้เกิดการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม ๓. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนต่อการประชุมประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ ๑๑ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ที่เน้นการผลักดันให้ประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ดำเนินการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ มีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน แบ่งปันผลประโยชน์อย่างยุติธรรมและเท่าเทียม ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของอนุสัญญาฯ และกระตุ้นให้มีการสนับสนุนทางการเงินและการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม ภายใต้หลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน รวมทั้งการดำเนินการเชิงรุกในการสร้างความตระหนักของสาธารณชนให้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพ โดยในส่วนของประเทศไทยจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนและจะแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักเลขาธิการอาเซียนดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้ราชอาณาจักรกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้เป็นผู้กล่าวแถลงการณ์ต่อที่ประชุมประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ๔. ที่ประชุมให้การรับรองอุทยานแห่งชาติ U Minh Thoung National Park ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และอุทยานแห่งชาติ Nat Ma Taung National Park ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียนแห่งที่ ๓๑ และ ๓๒
|
|||||||||||||||||||||||||||
1036 | ขออนุมัติให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 (The 2nd Asia - Pacific Water Summit: 2nd APWS) และแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติของไทยเพื่อเตรียมการจัดการประชุม 2nd APWS ที่ประเทศไทย | ทส | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีหัวข้อหลัก (Theme) ของการประชุมในเรื่อง Water Security : Leadership and Commitment, with special focus on Water Disaster Challenges ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยในสารัตถะของการประชุมฯ ให้ความสำคัญในหัวข้อเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งระบบด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอแนะและความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มหัวข้อ “Climate Change with adaptation of Community Water Resource Management” ด้วย เพื่อแสดงตัวอย่างความสำเร็จของการจัดการน้ำชุมชน รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อมหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาการจัดการประชุมฯ ซึ่งตรงกับช่วงเปิดภาคเรียน และเป็นช่วงเวลาที่กรุงเทพมหานครมีปัญหาการจราจรติดขัดมาก จึงควรหามาตรการรองรับเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ส่วนงบประมาณเพื่อใช้จ่ายในการประชุมฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๕๓,๔๐๘,๐๐๐ บาท ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำได้ขอทำความตกลงการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกรมบัญชีกลางแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติของไทยเพื่อเตรียมการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เป็นประธานกรรมการ และให้รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) เลขาธิการสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ ร่วมเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1037 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (จำนวน 6 ราย 1. นายสันทัด สมชีวิตา ฯลฯ) | ทส | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๖ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายสันทัด สมชีวิตา ประธานกรรมการ ๒. นายเจน นำชัยศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ ๓. นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน ๔. นางสาวแสงจันทร์ ลิ้มจิรกาล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕. นายดำรงค์ ศรีพระราม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านป่าไม้ ๖. นายรัชดา สิงคาลวณิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
1038 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ดังนี้
๑. เพิ่มเติมผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นกรรมการ ๒. เพิ่มเติมผู้แทนจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (๑ ท่าน) เป็นกรรมการ ๓. เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ "ให้มีอำนาจในการผลักดันการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามนโยบายและแผนที่กำหนดไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งกำกับดูแลการติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายฯ ของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง" ทั้งนี้ สามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายฯ ของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะกรรมการฯ ทราบเป็นระยะๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1039 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาล และกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520 จำนวน 2 ฉบับ | ทส | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาลและกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาต การอนุญาต การขอใบอนุญาต การออกใบอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาล และการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาล รวมทั้งกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาลในการออกใบอนุญาต ๒. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเจาะน้ำบาดาล และใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล
|
|||||||||||||||||||||||||||
1040 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 18 และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 8 | ทส | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๘ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๘ (COP18/CMP8) ระหว่างวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน-๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบการแต่งตั้งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมดังกล่าว และให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนในกรณีที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนได้ ๓. เห็นชอบกรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๘ วัตถุประสงค์ของการเจรจา เพื่อให้เกิดข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาฯ ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายสูงสุดของอนุสัญญาฯ กล่าวคือ การบรรลุถึงการรักษาระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศให้คงที่ อยู่ในระดับที่ปลอดภัยจากการแทรกแซงจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นอันตรายต่อระบบภูมิอากาศ การรักษาระดับดังกล่าวต้องดำเนินการในระยะเวลาเพียงพอที่จะให้ระบบนิเวศปรับตัว โดยไม่คุกคามต่อการผลิตอาหารของมนุษย์และการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืน ๔. เห็นชอบกรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๘ วัตถุประสงค์ของการเจรจา เพื่อให้ข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศในภาคผนวกที่ ๑ หรือประเทศพัฒนาแล้ว เกิดช่วงพันธกรณีที่ ๒ ภายใต้พิธีสารฯ และมีผลบังคับใช้โดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาฯ กล่าวคือ การรักษาระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศให้คงที่อยู่ในระดับที่ปลอดภัยจากการแทรกแซงจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นอันตรายต่อระบบภูมิอากาศ การรักษาระดับดังกล่าวต้องดำเนินการในระยะเวลาเพียงพอที่จะให้ระบบนิเวศปรับตัว โดยไม่คุกคามต่อการผลิตอาหารของมนุษย์และการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างยั่งยืน ๕. ให้นำกรอบเจรจาฯ ตามข้อ ๓ และ ๔ เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ทั้งนี้ ให้ผู้แทนที่เข้าร่วมประชุมจะต้องระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นหรือการแสดงท่าที่เกี่ยวกับกรอบการเจรจาดังกล่าว
|
.....