ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 56 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 1101 - 1120 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1101 | การลงนามข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามในข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) กับ Saitama Prefectural Government Bureau of Public Sewerageworks ซึ่งเป็นหน่วยงานระบายน้ำของจังหวัด Saitama ประเทศญี่ปุ่น และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาเทคนิคการจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย และการพัฒนาบุคลากรร่วมกันทั้งด้านการฝึกอบรมและการใช้อุปกรณ์และวัสดุบำบัดน้ำเสีย ๑.๒ ให้ผู้แทน อจน. เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงร่วมฯ ไม่ควรก่อให้เกิดภาระผูกพันต่อรัฐบาล หรือ อจน. รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระยะยาวในการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียของประเทศ นอกจากนี้ อจน. ซี่งเป็นผู้ได้รับฝึกอบรมและเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียจากประเทศญี่ปุ่นควรพิจารณาถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ต่อไปให้กับบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างกำลังคนที่มีความรู้และความสามารถในการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียในประเทศให้มีจำนวนมากเพียงพอ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นประโยชน์ต่อการจัดการน้ำเสียของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1102 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ พ.ศ. .... และ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | ทส | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ กำหนดคำนิยาม “ภัยธรรมชาติ” หมายความว่า อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย ภัยจากแผ่นดินไหว ภัยจากโคลนตม ภูเขาถล่ม หรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ อันเกิดจากธรรมชาติที่ไม่อาจป้องกันได้ หรือไม่อาจพึงคาดหมายล่วงหน้าได้ และให้รวมถึงภัยที่เกิดจากโรคระบาดสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ ๑.๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีอำนาจยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ๑.๑.๓ กำหนดให้กรณีสถานที่ประกอบกิจการน้ำบาดาลของผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลสามารถออกประกาศกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลชำระค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลในแต่ละงวดภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสามร้อยวันนับตั้งแต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้สิ้นสุดลง ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ กำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล อัตราลูกบาศก์เมตรละสี่บาทห้าสิบสตางค์ ในเขตวิกฤตการณ์น้ำบาดาล ประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ๑.๒.๒ กำหนดให้ยกเว้นค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล ดังนี้ การใช้น้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคหรือบริโภค ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการใช้น้ำบาดาลของโรงงานอุตสาหกรรม การใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกรรม (การเพาะปลูก) การใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกร (การเลี้ยงสัตว์) เฉพาะในส่วนที่ใช้น้ำบาดาลไม่เกินกว่าวันละห้าสิบลูกบาศก์เมตร ๑.๒.๓ กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกรรม (การเลี้ยงสัตว์) เฉพาะส่วนที่ใช้น้ำบาดาลเกินกว่าวันละห้าสิบลูกบาศก์เมตร และการใช้น้ำบาดาลเพื่อธุรกิจ ชำระค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลในอัตราลูกบาศก์เมตรละสี่บาทห้าสิบสตางค์ ๒. สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... ให้ตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาแผ่นดินทรุดจากการใช้น้ำบาดาลในปริมาณมากเกินไปในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||
1103 | รายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2555) | ทส | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ - ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำในภาพรวม สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณร้อยละ ๗๐ อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเขื่อนที่มีน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดีมาก มีจำนวน ๖ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๕๑ - ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดี มีจำนวน ๒๐ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๓๑ - ๕๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำพอใช้ มีจำนวน ๕ แห่ง และเขื่อนที่มีน้ำน้อยกว่าร้อยละ ๓๑ อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย มีจำนวน ๒ แห่ง สำหรับสภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติ มีปริมาณน้ำน้อย ๒. การเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๑๙ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร ลำปาง ลำพูน สุโขทัย น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ อุตรดิตถ์ เชียงราย เลย หนองคาย เพชรบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และตราด ๒.๒ กรมชลประทานได้ประสานข้อมูลรายงานผลการจัดสรรน้ำเพื่อการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โดยพื้นที่ทั้งประเทศ วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง จำนวน ๑๙.๒๓ ล้านไร่ แบ่งออกเป็น ข้าวนาปรัง ๑๖.๗๐ ล้านไร่ พืชไร่ - พืชผัก ๒.๕๓ ล้านไร่ และมีแผนการใช้น้ำทั้งสิ้น ๓๑,๙๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีผลการเพาะปลูกแล้ว ๑๖.๔๑ ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ ๘๕ และใช้น้ำแล้ว ๒๒,๕๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๓ สำหรับลุ่มน้ำเจ้าพระยา วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง จำนวน ๑๐.๐๐ ล้านไร่ แบ่งออกเป็น ข้าวนาปรัง ๙.๖๐ ล้านไร่ พืชไร่ - พืชผัก ๐.๔๐ ล้านไร่ และมีแผนการใช้น้ำทั้งสิ้น ๑๓,๒๒๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีผลการเพาะปลูกแล้ว ๙.๗๑ ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ ๙๗ และใช้น้ำแล้ว ๑๐,๖๙๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๓ ๒.๓ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรายงานสภาพน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ว่า ปัจจุบันมีปริมาณเก็บกักอยู่ที่ร้อยละ ๖๘ และ ๖๖ ตามลำดับ และมีเป้าหมายจะลดระดับเก็บกักลงเหลือร้อยละ ๔๕ ในสิ้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ทั้ง ๒ เขื่อน เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันอุทกภัย ๒.๔ การประปาส่วนภูมิภาครายงานพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดิบเพื่อการผลิตน้ำประปาในพื้นที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด และพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะจ่ายน้ำเป็นเวลา ทั้งนี้ ได้ประสานกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลจะจัดทำโครงการ River Bank Filtration (RBF) คือ การนำน้ำบริเวณตลิ่งแม่น้ำที่มีศักยภาพน้ำใต้ดินมาใช้ร่วมกับน้ำผิวดิน และได้มีการแจกจ่ายน้ำเพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งไปแล้วทั้งสิ้น ๔๑ ล้านลิตร คิดเป็นเงิน ๐.๗๓ ล้านบาท ๒.๕ สำนักฝนหลวงและการบินเกษตรได้เปิดหน่วยปฏิบัติการแล้ว ๔ แห่ง คือ จังหวัดจันทบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ และจะเปิดหน่วยปฏิบัติการอีก ๓ แห่ง ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ คือ จังหวัดพิษณุโลก กาญจนบุรี และอุบลราชธานี
|
|||||||||||||||||||||
1104 | รายงานสรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยและผลการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ | ทส | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย และผลการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เพิ่มเติมถึงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยผลการติดตามตรวจสอบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) ใน ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา น่าน แม่ฮ่องสอน และตาก พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานติดต่อกันหลายวันตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ต่อเนื่องถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ - ๓ มีนาคม ๒๕๕๕ พบค่าสูงถึง ๓๕๖.๕ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานเกือบ ๓ เท่า และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมาก ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาหมอกควันจากไฟป่าและการเผาในพื้นที่โล่งในภาคเหนือ โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งและมลพิษหมอกควัน เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานดำเนินการอย่างเข้มข้นในพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||
1105 | การลงนามพิธีสารเสริมนาโงยา-กัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการรับผิดและชดใช้ ตามพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ | ทส | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ลงนามพิธีสารเสริมนาโงยา - กัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการรับผิดและชดใช้ตามพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยสาระสำคัญของพิธีสารเสริมฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ พิธีสารเสริมฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกลไกการดำเนินงานตามมาตรา ๒๗ ของพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ และมาตรา ๑๙ ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่กำหนดให้มีการควบคุมดูแลเทคโนโลยีชีวภาพให้มีความปลอดภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ ด้วยการจัดเตรียมหลักเกณฑ์และวิธีการระหว่างประเทศในเรื่องของการรับผิดและชดใช้ที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ๑.๑.๒ หลักการของพิธีสารเสริมฯ กำหนดให้ผู้ประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมจะต้องรับผิดชอบในการดำเนินการตามมาตรการตอบสนองทันทีที่เกิดผลกระทบ และ/หรือ ชดใช้ค่าเสียหายตามที่กำหนดไว้กฎหมายภายในของภาคี ๑.๑.๓ พิธีสารเสริมฯ ฉบับนี้นำมาใช้กับความเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตอำนาจรัฐของภาคี ซึ่งเป็นผลมาจากการขนส่ง การนำผ่าน การดูแล และการใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่เคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน ๑.๒ ให้นายนรชิต สิงหเสนี เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่นายนรชิต สิงหเสนี มอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารเสริมฯ ดังกล่าว ๒. ให้ยึดหลักการที่จะต้องสงวน รักษา อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศอย่างเหมาะสมและยั่งยืน และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับสาระสำคัญของพิธีสารเสริมฯ เข้าข่ายเป็นหนังสือตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ดังนั้น ก่อนการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเสริมฯ ด้วยการให้สัตยาบันต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม และสี่ และภายหลังการลงนามแล้ว ส่วนราชการเจ้าของเรื่องต้องนำพิธีสารเสริมฯ ที่ลงนามไว้แล้วพร้อมร่างพระราชบัญญัติอนุวัติการ (หากมี) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอขอความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ พร้อมขออนุมัติการให้สัตยาบันเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารเสริมฯ และพระราชบัญญัติอนุวัติการฯ ได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว รวมทั้งเห็นควรประเมินผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์และข้อเสียเปรียบที่ประเทศไทยจะได้รับจากการลงนามในพิธีสารเสริมฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเตรียมแนวทาง กฎเกณฑ์ มาตรการ และกฎหมายในเรื่องความรับผิดและชดใช้ตามบทบัญญัติของพิธีสารเสริมฯ ให้เหมาะสมกับบริบทและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ควรเร่งเตรียมความพร้อมด้านฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทยทั้งในระดับรายพื้นที่และระดับประเทศ และบริหารจัดการฐานข้อมูลให้ทันสมัยเพื่อให้การตรวจสอบความเสียหายตามนิยามของพิธีสารเสริมฯ เป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ และควรกำหนดให้การสร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญ เพื่อรองรับการอนุวัตตามพิธีสารเสริมฯ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อความมั่นคงทางนิเวศและทรัพยากรพันธุกรรมของประเทศซึ่งเป็นฐานในการพัฒนาที่ยั่งยืน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหลังจากที่ได้มีการลงนามพิธีสารเสริมฯ แล้ว เพื่อประกอบการชี้แจงต่อรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ ก่อนจะให้สัตยาบันพิธีสารเสริมฯ ต่อไป ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1106 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด | ทส | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการเลิกกิจการบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ และมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และให้โอนพื้นที่สวนป่าของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด จำนวน ๓๒,๗๒๘.๕๕ ไร่ ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ดูแลและใช้ประโยชน์ต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เร่งจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อมีมติยุบเลิกบริษัทไม้อัดไทย จำกัด และแต่งตั้งกรรมการผู้ชำระบัญชีเพื่อดำเนินการชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไป ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1107 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งพลตำรวจตรี ศักดิ์ชัย ตันบุญเอก เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
1108 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | ทส | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ จำนวน ๘ เรื่อง ดังนี้
๑. การปรับแก้ไขขอบเขตพื้นที่ที่ให้ใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับแก้ไขมาตรการข้อ ๓ (๒) ของประกาศกระทรวงฯ เป็น “๓ (๒) พื้นที่ภายในแนวเขตควบคุมอาคารที่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามขอบเขตพื้นที่ที่เคยใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๔๖” ๑.๒ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ เห็นชอบการยกเลิกข้อ ๑.๒ ของประกาศกระทรวงฯ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และดำเนินการออกประกาศกระทรวงฯ ต่อไป ๒.๒ เห็นชอบการยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติมภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำหน้าที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในประกาศกระทรวงฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๓. ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนฯ โดยให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นเพิ่มเติมให้ สผ. เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. ร่างแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้ สผ. ภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อประสานให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขร่างแผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๕. กรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขประเด็นหลักภายใต้กรอบการเจรจาฯ ข้อ ๓ เป็น “การคำนึงถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities)” และตัดคำว่า “หลักการอื่นที่สอดคล้องกับพันธกรณีตามอนุสัญญา สนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี” และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำกรอบการเจรจาฯ ที่ปรับแก้ไขแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๖. การกำหนดอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี เทศบาลตำบลบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เทศบาลเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ประชุมมีมติ ๖.๑ เห็นชอบอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา เป็นอัตราค่าบริการแบบขั้นต่ำ - ขั้นสูง รวมทั้งอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม เป็นอัตราค่าบริการแบบอัตราเดียว ๖.๒ ให้เทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลเมืองนครพนม เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอย ๗. โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของสำนักงาน นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวเส้นทางรถไฟทางเลือกที่ ๑/๓ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน และให้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบทางหนีภัยภายในอุโมงค์และการกู้ภัยในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การออกแบบปล่องระบายอากาศให้สอดคล้องกับสภาพสิ่งแวดล้อมด้านบนของอุโมงค์ และการออกแบบสะพานรถไฟให้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในประเด็นการบริหารจัดการชุมชนที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การจัดให้มีทางข้ามทางรถไฟบริเวณที่มีชุมชนอยู่หนาแน่น และการกำหนดความกว้างของขนาดรางรถไฟให้เกิดความชัดเจนโดยคำนึงถึงโครงข่ายทางรถไฟในภูมิภาคต่อไปด้วย ๘. โครงการระบบรถไฟฟ้ารางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางนครปฐม - ชุมทางหนองปลาดุก - หัวหิน ของ สนข. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับแนวเส้นทางรถไฟในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบสถานีหัวหินที่เป็นสถานีใหม่ให้มีสถาปัตยกรรมที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และไม่บดบังหรือลดความสวยงามและความสง่างามของสถานีรถไฟหัวหินเดิม และให้ความสำคัญกับการออกแบบแนวเส้นทางรถไฟเพื่อลดผลกระทบต่อการระบายน้ำ
|
|||||||||||||||||||||
1109 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำห้วยหลวง - หนองหาน กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี | ทส | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้กรมทรัพยากรน้ำเปลี่ยนแปลงรายการ จาก รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำห้วยหลวง - หนองหาน กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี วงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ ล้านบาท รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็น ๑.๑ รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำห้วยหลวง - หนองหาน กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ระยะเวลาดำเนินการ ๙๖๐ วัน ในวงเงิน ๙๖๔,๕๕๕,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓๖,๒๒๕,๓๐๐ บาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘๐,๐๙๓,๑๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๗๔๘,๒๓๖,๖๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้โอนเปลี่ยนแปลงรายการจากรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำห้วยหลวง - หนองหาน กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี จำนวน ๒๖,๕๒๕,๐๐๐ บาท โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๕,๓๐๕,๓๐๐ บาท เป็น รายการค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำห้วยหลวง - หนองหาน กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี จำนวน ๒๖,๕๒๕,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๕,๓๐๕,๓๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๒๑,๒๑๙,๙๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) พิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานของทางราชการ โดยพิจารณาประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||
1110 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | ทส | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๑.๑ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองไฮพร้อมระบบกระจายน้ำ อำเภอบัวใหญ่ พื้นที่โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว โครงการในพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กรมทรัพยากรน้ำกำลังดำเนินการฟื้นฟู กำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ โครงการขุดลอกบึงสำโรง บ้านกุดปลาฉลาด ตำบลสำโรง อำเภอแก้งสนามนาง ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่ได้ร้องของบประมาณขุดลอกแหล่งน้ำบึงสำโรง พื้นที่โครงการ ประมาณ ๒,๑๐๖ ไร่ ให้รองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๑.๓ โครงการขุดลอกบึงละหานลูกนก ตำบลบ้านเหลื่อม อำเภอบ้านเหลื่อม ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่ได้ร้องขอให้ดำเนินการขุดลอกเพื่อเป็นแก้มลิงขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ ๓,๖๐๐ ไร่ ให้รองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๑.๔ โครงการขุดลอกคลองทางเรือ ตำบลดงใหญ่ อำเภอพิมาย ที่มีสภาพตื้นเขินให้เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในฤดูน้ำหลากเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ๑.๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งศึกษาสำรวจและจัดหางบประมาณสนับสนุนต่อไป ๒. การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๒.๑ ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่อำเภอสร้างคอมได้ร้องขอโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง คือ โครงการฟื้นฟูอ่างเก็บน้ำพาน ตำบลสร้างคอม เพื่อขุดลอกตะกอน กำจัดวัชพืช และก่อสร้างอาคารระบายน้ำ วงเงินงบประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท ๒.๒ ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่อำเภอเพ็ญได้ร้องขอโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองบัวยามกา ตำบลบ้านธาตุ และโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองบุ่งหวาย ตำบลจอมศรี โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองบุ่งหวาย ตำบลจอมศรี เพื่อขุดลอกตะกอน กำจัดวัชพืช และก่อสร้างอาคารระบายน้ำ วงเงินประมาณ ๑๕ ล้านบาท โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำห้วยเพ็ญ ตำบลเพ็ญ เพื่อขุดลอกลำห้วย และก่อสร้างฝายน้ำล้น แบบมีบานประตู วงเงินประมาณ ๒๐ ล้านบาท โครงการลำห้วยหลวง ตำบลนาบัว เพื่อศึกษาและพัฒนาลำน้ำห้วยหลวงตลอดสาย วงเงินประมาณ ๓๕ ล้านบาท และโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำลำน้ำสวย ตำบลนาพู่ วงเงินประมาณ ๒ ล้านบาท ๒.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบให้กรมทรัพยากรน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาสำรวจและจัดหางบประมาณสนับสนุนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1111 | ขออนุมัติลงนามในบันทึกความเข้าใจสำหรับการอบรมเชิงปฏิบัติการการประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ - ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามคำเชิญของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ จะดำเนินการโอนงบประมาณสำหรับการจัดประชุมให้ประเทศไทยเมื่อได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมิน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเรียบร้อยแล้ว ๑.๒ เห็นชอบในบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วยประเด็นหลัก ดังนี้ ๑.๒.๑ รูปแบบการประชุมและการเตรียมการจัดประชุม ได้แก่ การกำหนดรูปแบบการจัดห้องประชุม อุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุม เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสำหรับการจัดประชุม ๑.๒.๒ เอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน และการอำนวยความสะดวก ได้แก่ การให้รัฐบาลไทยให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้แทนของรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ผู้แทนของทบวงการชำนัญพิเศษและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และพนักงานขององค์การสหประชาชาติ ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการเข้าพำนักและเข้าร่วมการประชุมของผู้แทนในประเทศไทย ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป ๒. อนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการภายใต้กฎเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) สำหรับการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจฯ (ร่างข้อ ๙.๒) ซึ่งหากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาอนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||
1112 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 (เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย) | ทส | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นายชเยนทร์ คำนวณ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
1113 | รายงานผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | ทส | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘ - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรี เป็นโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขง สายประธานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะต้องดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ ว่าด้วยการปรึกษาหารือกันก่อน (Prior Consultation : PC) ซึ่งกระบวนการปรึกษาหารือดังกล่าวต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔) แต่ประเทศภาคีสมาชิกไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนในผลการศึกษาและมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนหลายประการ คณะมนตรีฯ จึงได้มีการหารือระหว่างการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น (Mekong - Japan Summit) ครั้งที่ ๓ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมีมติอนุมัติในหลักการให้มีการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขง และแม่น้ำโขงสายประธาน รวมทั้งได้พิจารณาขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น (Development Partners) เพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งประเทศภาคีสมาชิกต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในกระบวนการปรึกษาหารือและการเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น เพื่อกำหนดแนวทางและระยะเวลาการดำเนินการที่เหมาะสม ๑.๑.๒ การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) จะมีขึ้นทุก ๆ ๔ ปี โดยการประชุมครั้งแรกมีขึ้นในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๓ (ค.ศ. ๒๐๑๐) ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ Hua Hin Declaration ซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันว่าประเทศภาคีสมาชิกจะมีการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่างโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด สำหรับการประชุมครั้งที่ ๒ จะมีขึ้น ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ (๒๐๑๔) ซึ่งคณะมนตรีฯ พิจารณาเห็นว่าภารกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินการตาม Hua Hin Declaration มีจำนวนมากและการพัฒนาในลุ่มน้ำโขงตอนล่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากรอให้มีการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานต่อการประชุม MRC Summit ครั้งต่อไปอาจนานเกินไป จึงมีมติให้มีเวทีหารือของผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) เป็นครั้งแรก โดยให้เป็นวาระของการประชุมหนึ่งในการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ ๒๐ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (ค.ศ. ๑๐๑๒) และให้สมาชิกคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงนำประเด็นดังกล่าวหารือและขอความเห็นชอบภายในประเทศของตน ๑.๑.๓ คณะมนตรีฯ มีมติอนุมัติงบประมาณในการบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (Operating Expenses Budget for 2012) เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและการบริหารงานทั่วไปขององค์กร สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๖๑๙,๓๔๖ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๑.๔ คณะมนตรีฯ มีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง (Mekong 2 Rio: Mekong to Rio + 20) ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อจัดทำ Mekong Messages นำเสนอผลงาน คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งเป็นการอนุวัตตามเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDG) โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๑.๒ เห็นชอบการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๑.๓ เห็นชอบให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประเทศภาคีสมาชิกในลุ่มน้ำโขง (MRC) นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในลุ่มน้ำโขงให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศภาคีสมาชิกร่วมกันอย่างยั่งยืน สำหรับในการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทาง ขอบเขต และระยะเวลาการดำเนินการศึกษาที่เหมาะสม รวมทั้งการจัดให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ เห็นควรให้ดำเนินการก่อนการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1114 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติเขาค้อ) | ทส | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติเขาค้อ) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนที่ต้องออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ไปเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1115 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (จำนวน 9 คน) | ทส | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ให้กรรมการอื่นในคณะกรรมการสวนพฤกษศาสตร์ที่ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่พ้นจากตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ตามมาตรา ๑๕ (๓) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒. แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ชุดใหม่ จำนวน ๙ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๑ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ส่วนกรรมการลำดับที่ ๕ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการอนุมัติเป็นต้นไป ดังนี้ ๒.๑ นายอเนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ ประธานกรรมการ ๒.๒ นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต กรรมการ ๒.๓ นายนัที เปรมรัศมี กรรมการ ๒.๔ นางพรศิริ มโนหาญ กรรมการ ๒.๕ นางลัดดาวัลย์ สินธุรักษ์ กรรมการ ๒.๖ นายธัชสกล พรหมจมาศ กรรมการ ๒.๗ นายพงษ์ทร ชยาตุลชาต กรรมการ ๒.๘ นางสาวสิริวรรณ สุวรรณศร กรรมการ ๒.๙ นางสาวกานท์ชญา เทียนแก้วชญา กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
1116 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (เพิ่มเติม) | ทส | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายสนั่น วาริทสวัสดิ์ และนายธนะรัตน์ วดีศิริศักดิ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (เพิ่มเติม) ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๑ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
1117 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (จำนวน 4 ราย) | ทส | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ จำนวน ๔ ราย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. แต่งตั้งนายสนั่น วาริทสวัสดิ์ และนายธนะรัตน์ วดีศิริศักดิ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (เพิ่มเติม) ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๑ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ๒. แต่งตั้งนายเรวัต วิศรุตเวช และนางพรศิริ มโนหาญ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ แทนกรรมการเดิมที่ขอลาออก ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๑ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
1118 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณภายใต้ผลผลิตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้รับการบริหารจัดการ งบดำเนินงาน จำนวน ๒,๘๐๓.๖๒๙๖ ล้านบาท ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นก่อน และหากไม่เพียงพอให้ขออนุมัติงบกลางตามขั้นตอนอีกครั้งต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแผนงานดังกล่าวในพื้นที่ที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านต้องใช้ช่องทางทางการทูตเพื่อดำเนินการร่วมกัน ความต่อเนื่องและมีการประเมินผลในการปฏิบัติตามแผนฯ การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ประจำจุดสกัดทุกจุด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลรับแจ้งเหตุและเบาะแสผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การเพิ่มกิจกรรมการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น การดำเนินการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าในภาพรวม การกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การนำเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ประกอบการปฏิบัติงาน การจัดสรรงบประมาณปกติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและผนึกประสานกำลังและทรัพยากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมป่าไม้ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้มีการใช้งบประมาณของรัฐและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1119 | การลงนามพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม โดยให้นายจักรกฤษณ์ ศรีวลี เอกอัครราชทูต รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่นายจักรกฤษณ์ฯ มอบหมาย เป็นผู้ลงนามพิธีสารนาโงยาฯ ทั้งนี้ พิธีสารนาโงยาฯ เป็นเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อรองรับหลักการการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และจัดให้มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศผู้ให้ และเกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมและยุติธรรมจากผู้ใช้สู่ผู้ให้ทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ๒. เห็นชอบแผนการดำเนินงานภายหลังการลงนามพิธีสารนาโงยาฯ ได้แก่ การทบทวนระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๕๔ และกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแล (National Competent Authority) ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ ว่าต้องมีการเพิ่มเติม/ปรับปรุงอย่างไรให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของพิธีสารนาโยงาฯ รวมทั้งเผยแพร่และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีสารนาโงยาฯ ให้กับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการให้สัตยาบันพิธีสารดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
1120 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบการเก็บสถิติและข้อมูล การจัดทำบันทึกรายละเอียด และรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสีย พ.ศ. .... | ทส | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบการเก็บสถิติและข้อมูล การจัดทำบันทึกรายละเอียด และรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสีย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคำนิยาม “ระบบบำบัดน้ำเสีย” และ “น้ำทิ้ง” ๒. กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือผู้ควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย ต้องเก็บสถิติและข้อมูลซึ่งแสดงผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียในแต่ละวัน และจัดทำบันทึกรายละเอียดดังกล่าวตามแบบ ทส. ๑ เก็บไว้ ณ สถานที่ตั้งของแหล่งกำเนิดมลพิษ เป็นระยะเวลา ๒ ปี และจัดทำรายงานสรุปผลการทำงานดังกล่าวในแต่ละเดือนตามแบบ ทส. ๒ และเสนอต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป ๓. กำหนดให้กรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือผู้ควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย มีหน้าที่ต้องเก็บสถิติและข้อมูล จัดทำบันทึกรายละเอียด หรือจัดทำรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียอยู่แล้วตามกฎหมายอื่น ให้ถือว่าการเก็บสถิติและข้อมูลการจัดทำบันทึกรายละเอียด หรือการจัดทำรายงานตามกฎหมายดังกล่าว เป็นการเก็บสถิติและข้อมูลการจัดทำบันทึกรายละเอียด หรือการจัดทำรายงานตามกฎกระทรวงฉบับนี้โดยอนุโลม ๔. กำหนดให้นำหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๒ และ ๓ มาใช้บังคับแก่ผู้รับจ้างให้บริการบำบัดน้ำเสียโดยอนุโลม
|
.....