ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 56 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 1101 - 1120 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1101 | สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง | ทส | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์การปนเปื้อนสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด และมาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การปนเปื้อนสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้เกิดเพลิงไหม้และการระเบิดขึ้นบริเวณโรงงาน บริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ จำกัด นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยหน่วยการผลิตที่มีการใช้สารโทลูอีน (toluene) ในการล้างถัง จนเกิดการระเบิดและเพลิงไหม้ รวมทั้งมีการรั่วไหลของสารพิษและควันดำสู่บรรยากาศ โดยมีคนงานเสียชีวิต ๑๒ ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก และเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้เกิดกรณีฉุกเฉินจากอุบัติเหตุการปิดวาล์วสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์ (สารฟอกขาว) จากโรงงานอดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้เกิดก๊าซคลอรีนรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่ใต้ลมในแคมป์คนงานบริเวณใกล้เคียงกว่า ๑๔๐ ราย และนอกสังเกตอาการที่โรงพยาบาล ๑๒ ราย โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ๑.๒ มาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาทิ การจัดประชุมเพื่อตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ทั้งน้ำ อากาศ และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ การดำเนินการทบทวนแผนปฏิบัติการฉุกเฉินและเตือนภัยจากสารพิษในระดับพื้นที่และชุมชน การจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อแปรผลข้อมูลคุณภาพอากาศและเผยแพร่สู่ชุมชน การเตรียมความพร้อมและซักซ้อมการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการในระดับต่าง ๆ การดำเนินโครงการจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและการเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registers, PRTR) ในการดำเนินการจัดทำทะเบียนการปลดปล่อยมลพิษ และการฝึกอบรมการสื่อสารความเสี่ยงเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนในพื้นที่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการดำเนินโครงการฯ การตรวจสอบการควบคุมและการป้องกันการรั่วไหลของสารมลพิษประเภทสารอินทรีย์ระเหยง่ายในโรงงานเป้าหมายที่มีการเก็บ การใช้ และการปลดปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่าย รวมทั้งการควบคุมดูแลการระบายมลพิษ เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการตรวจสอบการออกใบอนุญาตประกอบกิจการอุตสาหกรรมของโรงงานที่ก่อให้เกิดเหตุก๊าซคลอรีนรั่วไหลในครั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เนื่องจากโรงงานดังกล่าวได้เคยเกิดเหตุในทำนองเดียวกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อทบทวนมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมและนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยของพนักงานที่ปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยต้องจัดให้มีแผนประเมินความเสี่ยง แผนการฝึกซ้อมการเผชิญเหตุ และแผนการอบรมพนักงานให้มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน และให้มีการทบทวนใบอนุญาตของโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มาตรฐานทุก ๆ ๓ เดือน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เป็นต้น เพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด (single command) ขึ้น โดยให้มีการบูรณาการแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในทุก ๆ ด้านไว้ด้วยกัน และให้ศูนย์บัญชาการดังกล่าวเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาติดต่อสอบถามข้อมูล และได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และให้ส่วนกลางสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
1102 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง | ทส | 01/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๗ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายวิจารย์ สิมาฉายา ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมควบคุมมลพิษ ๓. นางอรพินท์ วงศ์ชุมพิศ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๔. นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕. นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๖. นายนพพล ศรีสุข ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๗. นายสันติ บุญประคับ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||
1103 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส | 17/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็บชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคำนิยาม “ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง” “เขตอนุรักษ์” “คณะกรรมการ” “พนักงานเจ้าหน้าที่” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ โดยมีหน้าที่ในการเสนอนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็น ข้อเสนอแนะ และคำปรึกษา ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อให้ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายและแผนฯ เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามีมติตามที่เห็นสมควรในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ปฏิบัติตามนโยบายและแผนฯ และพิจารณาให้ความเห็นชอบในการออกกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์และพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๑.๓ กำหนดให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานธุรการทั่วไปของคณะกรรมการ การเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ฯลฯ ๑.๔ กำหนดให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจพิจารณาให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนในเขตพื้นที่ชายฝั่ง ทะเล หรือเกาะ ในการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน การให้คำปรึกษาแก่ชุมชนในการบริหารจัดการ ฯลฯ ๑.๕ กำหนดให้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจสั่งให้บุคคลที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งระงับการกระทำดังกล่าวเป็นการชั่วคราวและแนวทางในการดำเนินการ ตลอดจนมีอำนาจแก้ไขหรือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ๑.๖ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่บริเวณหนึ่งบริเวณใดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๑.๗ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเข้าขั้นวิกฤติ รวมทั้งกำหนดหน่วยงานของรัฐที่จะเป็นผู้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ๑.๘ กำหนดอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่หรือตรวจค้นสถานที่หรือยานพาหนะเพื่อตรวจสอบและควบคุม ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งสั่งให้บุคคลออกจากพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ฯลฯ ๑.๙ กำหนดบทกำหนดโทษกรณีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายในการระงับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามที่กำหนดในพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ฯลฯ รวมทั้งกำหนดโทษสำหรับกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นนิติบุคคล โดยให้กรรมการ ผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนการคงไว้ซึ่งคณะกรรมการระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่น โดยให้มีองค์ประกอบจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานของรัฐ ภาคประชาสังคม เครือข่ายชุมชน นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน และผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจและให้เป็นไปตามเจตนารมณ์พื้นฐานของการยกร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ นอกจากนี้ ในมาตรา ๑๕ ให้อำนาจรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเล ในการกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณหนึ่งบริเวณใดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ จึงควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นหลังจากการกำหนดพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1104 | สำนักงานศาลยุติธรรมขอเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าหนองสนม เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดระยองแห่งใหม่ ท้องที่จังหวัดระยอง | ทส | 17/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๙ (เรื่อง การย้ายที่ตั้งที่ทำการของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไปสู่ภูมิภาค) ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าหนองสนม เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดระยองแห่งใหม่ ท้องที่จังหวัดระยอง เป็นการเฉพาะราย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ส่วนค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนและสิ่งปลูกสร้างอาคารแห่งใหม่ทดแทนนั้น ให้สำนักงานศาลยุติธรรมปรับแผนค่าใช้จ่ายที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อการดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
1105 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบล หนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง) | ทส | 17/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบลหนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบลหนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
1106 | การลงนามในความตกลงย่อย ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างทบวงกิจการทางมหาสมุทร (State Oceanic Administration) สาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยความร่วมมือทางด้านทะเล | ทส | 10/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงนามข้อตกลงย่อย Arrangement on Establishment of Thailand - China Joint Laboratory for Climate and Marine Ecosystem โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการลงนามของหน่วยงาน สถาบัน องค์กร ตามข้อ ๖ ความตกลงย่อย ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย และทบวงกิจการทางมหาสมุทร (State Oceanic Administration) สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงย่อย ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างทบวงกิจการทางมหาสมุทร (State Oceanic Administration) สาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยความร่วมมือทางด้านทะเล ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ทั้งนี้ การลงนามในข้อตกลงย่อยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป |
||||||||||||||||||
1107 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ฉบับที่ 2 (พ.ศ. ....) | ทส | 02/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ....) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเลิกความในข้อ ๓ (๒) แห่งประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๒) พื้นที่ภายในแนวเขตควบคุมอาคาร ที่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามขอบเขตพื้นที่ที่เคยใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๔๖” ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
1108 | ขอถอดถอนรายชื่อกรรมการองค์การจัดการน้ำเสียเฉพาะรายนายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา และขอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย | ทส | 29/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติถอดถอนรายชื่อนายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา ออกจากการเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ๒. เห็นชอบแต่งตั้งนายเดช บุบผาวัลย์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
1109 | การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) | ทส | 20/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) [การจัดการผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกตเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพข้ามเขตแดนระหว่างประเทศไทย (ระยะที่ ๓)] กับองค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) โดยร่างความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการฯ ระยะที่ ๓ จะนำบทเรียนจากการดำเนินงานโครงการฯ ระยะที่ ๑ และ ๒ มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและกิจกรรมในการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในโครงการ ๑.๑.๒ เป้าประสงค์ของโครงการฯ ระยะที่ ๓ คือ ส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทย กัมพูชา และลาว โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะของโครงการเพื่อเสริมสร้างการป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในบริเวณผืนป่าสามเหลี่ยมมรกต โดยมีการดำเนินงานและการพัฒนาในด้านความร่วมมือตามแผนการจัดการระยะยาว และการบูรณาการงานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนาซึ่งเป็นกรอบงานเพื่อดูแลรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ถาวรระหว่างประเทศทั้งสามประเทศ ๑.๑.๓ ผลผลิตของโครงการฯ ระยะที่ ๓ ประกอบด้วย (๑) แผนการจัดการและดำเนินการในการพัฒนาด้านความร่วมมือและการบูรณาการ งานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนา ซึ่งรวมถึงผลจากการวิจัยถึงชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ต่าง ๆ และกระบวนการทางนิเวศวิทยาที่สอดคล้องกันระหว่างประเทศที่ร่วมโครงการ (๒) การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมินและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และ (๓) ชุมชนท้องถิ่นจะได้รับการส่งเสริมความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น จากการดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการลดการพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๑.๑.๔ เมื่อโครงการฯ ระยะที่ ๓ สิ้นสุด คาดว่าจะทำให้พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการเคลื่อนย้ายถิ่นและการอยู่รอดในระยะยาวของสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในบริเวณผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ๑.๒ ให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้ลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้แทนลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงโครงการฯ เป็นความร่วมมือระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ซึ่งยังคงมีปัญหาการปักปันเขตแดนในบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ยังไม่ได้ข้อยุติ การดำเนินการใด ๆ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรนำข้อมูลจากระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่มีอยู่แล้วของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการวิจัย การอนุรักษ์ และการจัดการ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรข้อมูลที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินงานตามหลักกฎหมายนานาชาติ โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก รวมทั้งสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และควรมีการศึกษาวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและกระบวนการทางนิเวศวิทยาในพื้นที่ของโครงการ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เป็นแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัยของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ควบคู่กัน ทั้งนี้ ข้อมูลสารสนเทศ GIS และผลการศึกษาวิจัยที่ได้จากโครงการฯ ควรขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณากลั่นกรองข้อมูลก่อนนำไปเผยแพร่ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพันธุ์พืชในเขตอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งอยู่ในภาวะถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1110 | แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2555 - 2559 | ทส | 20/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้ทุกภาคส่วนใช้เป็นกรอบและแนวทางในการจัดการมลพิษของประเทศไทยในอีก ๕ ปีข้างหน้า และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ลดและควบคุมการระบายมลพิษอันเนื่องมาจากชุมชนเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ยานพาหนะ และการคมนาคมขนส่ง โดยให้มีการจัดการมลพิษตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง จนถึงปลายทาง และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การกำกับ ติดตาม ส่งเสริม และสนับสนุนให้แหล่งกำเนิดมลพิษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งดำเนินการเปิดเผยและเข้าถึงข้อมูลแหล่งกำเนิดมลพิษและผลกระทบที่เกิดขึ้น ๑.๒ จัดการมลพิษในระบบพื้นที่ตามลำดับความสำคัญของปัญหา เช่น พื้นที่ลุ่มน้ำในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤต กลุ่มจังหวัดที่ประสบปัญหาหมอกควันและไฟป่าเขตควบคุมมลพิษ พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษ พื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เป็นต้น ๑.๓ สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงานจัดการน้ำเสีย ขยะมูลฝอย มูลฝอยติดเชื้อและของเสียอันตรายชุมชน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการจัดการขยะอันตรายและสารอันตรายอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งจัดให้มีระบบป้องกันและเตรียมความพร้อมรองรับกรณีเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติภัย และการคมนาคมขนส่งที่ก่อให้เกิดการรั่วไหลของสารเคมีหรือสารอันตรายต่าง ๆ ๑.๔ ประยุกต์ใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย (Polluter Pays Principle, PPP) การวางหลักประกันและการชดเชยค่าเสียหายจากการแพร่กระจายมลพิษ การนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์และสังคมเป็นแรงจูงใจทางบวกเพื่อส่งเสริมการลดมลพิษหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ปราศจากมลพิษ การสนับสนุนการผลิตและการบริการ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ๑.๕ พัฒนาระบบการบริหารจัดการมลพิษให้เกิดเป็นเอกภาพทั้งทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ แผน และแนวทางปฏิบัติของแต่ละหน่วยงาน โดยประสานความร่วมมือในการจัดการมลพิษทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน ๑.๖ ส่งเสริมให้ภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และเข้ามาร่วมดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการจัดการมลพิษภายใต้แผนจัดการมลพิษบางแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนงานฯ อาจไม่สามารถดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของแผนงานที่ได้ตั้งไว้ และเห็นควรเพิ่มประเด็นสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศทั้งในภาพรวมและรายภาคผลิตที่สำคัญ ๆ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญและมีการติดตามสถานการณ์กันมากขึ้นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเชื่อมโยงกับการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันและมีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นและแนวทางการจัดการมลพิษทางทัศนียภาพ หรือปัญหามลทัศน์ (Visual Pollution) ซึ่งมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาความเป็นเมืองซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ภูมิทัศน์เมืองขาดความสวยงามและความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจนถึงระบบนิเวศน์ของพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการเริ่มเก็บภาษีมลพิษหรือภาษีสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ก่อให้เกิดมลพิษ และใช้เป็นมาตรการในการเพิ่มรายรับของประเทศเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ตลอดจนการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนในรูปของเงินช่วยเหลือ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วยว่า แผนจัดการมลพิษควรดำเนินการจัดทำให้ครอบคลุมถึงการเตรียมการป้องกันก่อนเกิดเหตุ รวมทั้งการจัดการมลพิษบางประเภท เช่น หมอกควันและขยะมีพิษ เป็นต้น ควรต้องมีการประสานงานและขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหากับต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า นอกเหนือจากแผนจัดการมลพิษดังกล่าวแล้ว ควรมีแผนจัดการมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติมด้วย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาให้ครอบคลุมถึงมาตรการทางกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
1111 | ขอแต่งตั้งรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส | 13/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน ๓ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายชัยรัตน์ อร่ามศรี ๒. นายพิพัฒน์ ชนินทยุทธวงศ์ ๓. นายวรวิทย์ โรจนไพฑูรย์
|
||||||||||||||||||
1112 | แต่งตั้งผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ | ทส | 13/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนางสาวสุธาวรรณ ศักดิ์โกศล ผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
1113 | การลงนามข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามในข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) กับ Saitama Prefectural Government Bureau of Public Sewerageworks ซึ่งเป็นหน่วยงานระบายน้ำของจังหวัด Saitama ประเทศญี่ปุ่น และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาเทคนิคการจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย และการพัฒนาบุคลากรร่วมกันทั้งด้านการฝึกอบรมและการใช้อุปกรณ์และวัสดุบำบัดน้ำเสีย ๑.๒ ให้ผู้แทน อจน. เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงร่วมฯ ไม่ควรก่อให้เกิดภาระผูกพันต่อรัฐบาล หรือ อจน. รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระยะยาวในการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียของประเทศ นอกจากนี้ อจน. ซี่งเป็นผู้ได้รับฝึกอบรมและเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียจากประเทศญี่ปุ่นควรพิจารณาถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ต่อไปให้กับบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างกำลังคนที่มีความรู้และความสามารถในการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียในประเทศให้มีจำนวนมากเพียงพอ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นประโยชน์ต่อการจัดการน้ำเสียของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1114 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ พ.ศ. .... และ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | ทส | 06/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ กำหนดคำนิยาม “ภัยธรรมชาติ” หมายความว่า อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย ภัยจากแผ่นดินไหว ภัยจากโคลนตม ภูเขาถล่ม หรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ อันเกิดจากธรรมชาติที่ไม่อาจป้องกันได้ หรือไม่อาจพึงคาดหมายล่วงหน้าได้ และให้รวมถึงภัยที่เกิดจากโรคระบาดสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ ๑.๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีอำนาจยกเว้นค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ๑.๑.๓ กำหนดให้กรณีสถานที่ประกอบกิจการน้ำบาดาลของผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลสามารถออกประกาศกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลชำระค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลในแต่ละงวดภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสามร้อยวันนับตั้งแต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้สิ้นสุดลง ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ กำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล อัตราลูกบาศก์เมตรละสี่บาทห้าสิบสตางค์ ในเขตวิกฤตการณ์น้ำบาดาล ประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ๑.๒.๒ กำหนดให้ยกเว้นค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล ดังนี้ การใช้น้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคหรือบริโภค ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการใช้น้ำบาดาลของโรงงานอุตสาหกรรม การใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกรรม (การเพาะปลูก) การใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกร (การเลี้ยงสัตว์) เฉพาะในส่วนที่ใช้น้ำบาดาลไม่เกินกว่าวันละห้าสิบลูกบาศก์เมตร ๑.๒.๓ กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลเพื่อเกษตรกรรม (การเลี้ยงสัตว์) เฉพาะส่วนที่ใช้น้ำบาดาลเกินกว่าวันละห้าสิบลูกบาศก์เมตร และการใช้น้ำบาดาลเพื่อธุรกิจ ชำระค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลในอัตราลูกบาศก์เมตรละสี่บาทห้าสิบสตางค์ ๒. สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล พ.ศ. .... ให้ตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาแผ่นดินทรุดจากการใช้น้ำบาดาลในปริมาณมากเกินไปในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ทราบด้วย |
||||||||||||||||||
1115 | รายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2555) | ทส | 06/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ - ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำในภาพรวม สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณร้อยละ ๗๐ อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเขื่อนที่มีน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดีมาก มีจำนวน ๖ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๕๑ - ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดี มีจำนวน ๒๐ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๓๑ - ๕๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำพอใช้ มีจำนวน ๕ แห่ง และเขื่อนที่มีน้ำน้อยกว่าร้อยละ ๓๑ อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย มีจำนวน ๒ แห่ง สำหรับสภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติ มีปริมาณน้ำน้อย ๒. การเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๑๙ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร ลำปาง ลำพูน สุโขทัย น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ อุตรดิตถ์ เชียงราย เลย หนองคาย เพชรบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และตราด ๒.๒ กรมชลประทานได้ประสานข้อมูลรายงานผลการจัดสรรน้ำเพื่อการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โดยพื้นที่ทั้งประเทศ วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง จำนวน ๑๙.๒๓ ล้านไร่ แบ่งออกเป็น ข้าวนาปรัง ๑๖.๗๐ ล้านไร่ พืชไร่ - พืชผัก ๒.๕๓ ล้านไร่ และมีแผนการใช้น้ำทั้งสิ้น ๓๑,๙๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีผลการเพาะปลูกแล้ว ๑๖.๔๑ ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ ๘๕ และใช้น้ำแล้ว ๒๒,๕๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๓ สำหรับลุ่มน้ำเจ้าพระยา วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง จำนวน ๑๐.๐๐ ล้านไร่ แบ่งออกเป็น ข้าวนาปรัง ๙.๖๐ ล้านไร่ พืชไร่ - พืชผัก ๐.๔๐ ล้านไร่ และมีแผนการใช้น้ำทั้งสิ้น ๑๓,๒๒๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีผลการเพาะปลูกแล้ว ๙.๗๑ ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ ๙๗ และใช้น้ำแล้ว ๑๐,๖๙๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๓ ๒.๓ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรายงานสภาพน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ว่า ปัจจุบันมีปริมาณเก็บกักอยู่ที่ร้อยละ ๖๘ และ ๖๖ ตามลำดับ และมีเป้าหมายจะลดระดับเก็บกักลงเหลือร้อยละ ๔๕ ในสิ้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ทั้ง ๒ เขื่อน เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันอุทกภัย ๒.๔ การประปาส่วนภูมิภาครายงานพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดิบเพื่อการผลิตน้ำประปาในพื้นที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด และพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะจ่ายน้ำเป็นเวลา ทั้งนี้ ได้ประสานกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลจะจัดทำโครงการ River Bank Filtration (RBF) คือ การนำน้ำบริเวณตลิ่งแม่น้ำที่มีศักยภาพน้ำใต้ดินมาใช้ร่วมกับน้ำผิวดิน และได้มีการแจกจ่ายน้ำเพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งไปแล้วทั้งสิ้น ๔๑ ล้านลิตร คิดเป็นเงิน ๐.๗๓ ล้านบาท ๒.๕ สำนักฝนหลวงและการบินเกษตรได้เปิดหน่วยปฏิบัติการแล้ว ๔ แห่ง คือ จังหวัดจันทบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ และจะเปิดหน่วยปฏิบัติการอีก ๓ แห่ง ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ คือ จังหวัดพิษณุโลก กาญจนบุรี และอุบลราชธานี
|
||||||||||||||||||
1116 | รายงานสรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยและผลการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ | ทส | 06/03/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย และผลการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เพิ่มเติมถึงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยผลการติดตามตรวจสอบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) ใน ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา น่าน แม่ฮ่องสอน และตาก พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานติดต่อกันหลายวันตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ต่อเนื่องถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ - ๓ มีนาคม ๒๕๕๕ พบค่าสูงถึง ๓๕๖.๕ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานเกือบ ๓ เท่า และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมาก ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาหมอกควันจากไฟป่าและการเผาในพื้นที่โล่งในภาคเหนือ โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งและมลพิษหมอกควัน เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานดำเนินการอย่างเข้มข้นในพื้นที่
|
||||||||||||||||||
1117 | การลงนามพิธีสารเสริมนาโงยา-กัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการรับผิดและชดใช้ ตามพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ | ทส | 28/02/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ลงนามพิธีสารเสริมนาโงยา - กัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการรับผิดและชดใช้ตามพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยสาระสำคัญของพิธีสารเสริมฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ พิธีสารเสริมฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกลไกการดำเนินงานตามมาตรา ๒๗ ของพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ และมาตรา ๑๙ ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่กำหนดให้มีการควบคุมดูแลเทคโนโลยีชีวภาพให้มีความปลอดภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ ด้วยการจัดเตรียมหลักเกณฑ์และวิธีการระหว่างประเทศในเรื่องของการรับผิดและชดใช้ที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ๑.๑.๒ หลักการของพิธีสารเสริมฯ กำหนดให้ผู้ประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมจะต้องรับผิดชอบในการดำเนินการตามมาตรการตอบสนองทันทีที่เกิดผลกระทบ และ/หรือ ชดใช้ค่าเสียหายตามที่กำหนดไว้กฎหมายภายในของภาคี ๑.๑.๓ พิธีสารเสริมฯ ฉบับนี้นำมาใช้กับความเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตอำนาจรัฐของภาคี ซึ่งเป็นผลมาจากการขนส่ง การนำผ่าน การดูแล และการใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่เคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน ๑.๒ ให้นายนรชิต สิงหเสนี เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่นายนรชิต สิงหเสนี มอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารเสริมฯ ดังกล่าว ๒. ให้ยึดหลักการที่จะต้องสงวน รักษา อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศอย่างเหมาะสมและยั่งยืน และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับสาระสำคัญของพิธีสารเสริมฯ เข้าข่ายเป็นหนังสือตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ดังนั้น ก่อนการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเสริมฯ ด้วยการให้สัตยาบันต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม และสี่ และภายหลังการลงนามแล้ว ส่วนราชการเจ้าของเรื่องต้องนำพิธีสารเสริมฯ ที่ลงนามไว้แล้วพร้อมร่างพระราชบัญญัติอนุวัติการ (หากมี) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอขอความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ พร้อมขออนุมัติการให้สัตยาบันเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารเสริมฯ และพระราชบัญญัติอนุวัติการฯ ได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว รวมทั้งเห็นควรประเมินผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์และข้อเสียเปรียบที่ประเทศไทยจะได้รับจากการลงนามในพิธีสารเสริมฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเตรียมแนวทาง กฎเกณฑ์ มาตรการ และกฎหมายในเรื่องความรับผิดและชดใช้ตามบทบัญญัติของพิธีสารเสริมฯ ให้เหมาะสมกับบริบทและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ควรเร่งเตรียมความพร้อมด้านฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทยทั้งในระดับรายพื้นที่และระดับประเทศ และบริหารจัดการฐานข้อมูลให้ทันสมัยเพื่อให้การตรวจสอบความเสียหายตามนิยามของพิธีสารเสริมฯ เป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ และควรกำหนดให้การสร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญ เพื่อรองรับการอนุวัตตามพิธีสารเสริมฯ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อความมั่นคงทางนิเวศและทรัพยากรพันธุกรรมของประเทศซึ่งเป็นฐานในการพัฒนาที่ยั่งยืน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหลังจากที่ได้มีการลงนามพิธีสารเสริมฯ แล้ว เพื่อประกอบการชี้แจงต่อรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ ก่อนจะให้สัตยาบันพิธีสารเสริมฯ ต่อไป ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1118 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด | ทส | 28/02/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการเลิกกิจการบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ และมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และให้โอนพื้นที่สวนป่าของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด จำนวน ๓๒,๗๒๘.๕๕ ไร่ ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ดูแลและใช้ประโยชน์ต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เร่งจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อมีมติยุบเลิกบริษัทไม้อัดไทย จำกัด และแต่งตั้งกรรมการผู้ชำระบัญชีเพื่อดำเนินการชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไป ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1119 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส | 28/02/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งพลตำรวจตรี ศักดิ์ชัย ตันบุญเอก เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
1120 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | ทส | 22/02/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ จำนวน ๘ เรื่อง ดังนี้
๑. การปรับแก้ไขขอบเขตพื้นที่ที่ให้ใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับแก้ไขมาตรการข้อ ๓ (๒) ของประกาศกระทรวงฯ เป็น “๓ (๒) พื้นที่ภายในแนวเขตควบคุมอาคารที่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามขอบเขตพื้นที่ที่เคยใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๔๖” ๑.๒ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ เห็นชอบการยกเลิกข้อ ๑.๒ ของประกาศกระทรวงฯ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และดำเนินการออกประกาศกระทรวงฯ ต่อไป ๒.๒ เห็นชอบการยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติมภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำหน้าที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในประกาศกระทรวงฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๓. ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนฯ โดยให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นเพิ่มเติมให้ สผ. เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. ร่างแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้ สผ. ภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อประสานให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขร่างแผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๕. กรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขประเด็นหลักภายใต้กรอบการเจรจาฯ ข้อ ๓ เป็น “การคำนึงถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities)” และตัดคำว่า “หลักการอื่นที่สอดคล้องกับพันธกรณีตามอนุสัญญา สนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี” และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำกรอบการเจรจาฯ ที่ปรับแก้ไขแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๖. การกำหนดอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี เทศบาลตำบลบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เทศบาลเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ประชุมมีมติ ๖.๑ เห็นชอบอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา เป็นอัตราค่าบริการแบบขั้นต่ำ - ขั้นสูง รวมทั้งอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม เป็นอัตราค่าบริการแบบอัตราเดียว ๖.๒ ให้เทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลเมืองนครพนม เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอย ๗. โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของสำนักงาน นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวเส้นทางรถไฟทางเลือกที่ ๑/๓ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน และให้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบทางหนีภัยภายในอุโมงค์และการกู้ภัยในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การออกแบบปล่องระบายอากาศให้สอดคล้องกับสภาพสิ่งแวดล้อมด้านบนของอุโมงค์ และการออกแบบสะพานรถไฟให้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในประเด็นการบริหารจัดการชุมชนที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การจัดให้มีทางข้ามทางรถไฟบริเวณที่มีชุมชนอยู่หนาแน่น และการกำหนดความกว้างของขนาดรางรถไฟให้เกิดความชัดเจนโดยคำนึงถึงโครงข่ายทางรถไฟในภูมิภาคต่อไปด้วย ๘. โครงการระบบรถไฟฟ้ารางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางนครปฐม - ชุมทางหนองปลาดุก - หัวหิน ของ สนข. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับแนวเส้นทางรถไฟในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบสถานีหัวหินที่เป็นสถานีใหม่ให้มีสถาปัตยกรรมที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และไม่บดบังหรือลดความสวยงามและความสง่างามของสถานีรถไฟหัวหินเดิม และให้ความสำคัญกับการออกแบบแนวเส้นทางรถไฟเพื่อลดผลกระทบต่อการระบายน้ำ
|
.....