ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 178 จากทั้งหมด 484 หน้า แสดงรายการที่ 3541 - 3560 จากข้อมูลทั้งหมด 9662 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3541 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ระดับ 10 (กระทรวงการคลัง) (นางสาวพจณี พรหมโรจน์ และนายประสิทธิ์ สืบชนะ) | กค | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งระดับ
10 จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ ดังนี้ 1. นางสาวพจณี พรหมโรจน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 10 ชช.) กรมธนารักษ์ 2. นายประสิทธิ์ สืบชนะ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (เจ้าหน้า ที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 10 ชช.) กรมธนารักษ์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3542 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ระดับ 10 (กระทรวงการคลัง) (นายเอกศักดิ์ โอเจริญ) | กค | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเอกศักดิ์ โอเจริญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุม
ทางสรรพสามิต (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 10 ชช.) กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3543 | การขายที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 4942 โฉนดเลขที่ 391 | กค | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 4942 โฉนด
เลขที่ 391 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารราชพัสดุ (ทาวน์เฮาส์ ค.ส.ล. 2 ชั้น) เลขที่ 998/ 300 เนื้อที่ 18 ตารางวา ให้กับนางอารยา สถิตธำมรงค์ ในราคาที่เสนอขอซื้อเป็นจำนวน 917,000 บาท โดย นางอารยา สถิตธำมรงค์ จะต้องเป็นผู้รับภาระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ ที่ราชพัสดุดังกล่าว ตลอดจนอากรแสตมป์ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีเงินได้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่กฎหมาย กำหนดแทนกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3544 | การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย | กค | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายวัฒนา รัตนวิจิตร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
ในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจการประกันภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3545 | การขยายระยะเวลาในการฝึกอบรมและประชุมสัมมนา | กค | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในการขยายระยะเวลาการฝึกอบรมและประชุมสัมมนาโดยให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการ ให้แล้วเสร็จและเบิกจ่ายงบประมาณภายในเดือนกรกฎาคม 2552 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 2. เห็นชอบในกรณีที่ส่วนราชการใดไม่สามารถดำเนินการฝึกอบรมและประชุมสัมมนา รวมทั้งเบิกจ่าย งบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2552 ให้เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน จึงจะดำเนินการได้ ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์) เสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3546 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกัมพูชาสำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข 68 | กค | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติเงินงบประมาณ 1,400 ล้านบาท เพื่อให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อน บ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกัมพูชาสำหรับโครงการพัฒนา ถนนหมายเลข 68 (กลอรันห์-สำโรง-โอเสม็ด) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 2. ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานด้านต่างประเทศรับไปพิจารณาด้วยว่าการให้ความช่วยเหลือ ทางการเงินแก่ประเทศกัมพูชาสำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข 68 จะมีผลให้ระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทย- กัมพูชา ดีขึ้นมากน้อยเพียงใด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของไทย ควรประสานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชนในการผลักดันและอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เชื่อมโยงไทย-กัมพูชาเพื่อใช้ประโยชน์จากการพัฒนาถนนหมายเลข 67 และ 68 ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงให้เป็น ไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3547 | นโยบายการขอคืนที่ดินราชพัสดุ 1 ล้านไร่ เพื่อนำมาให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร | กค | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ มาตรการและเงื่อนไข ตลอดจนกำกับดูแล ในการนำที่ดินราชพัสดุ 1 ล้านไร่ มาจัดให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตรตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายและระเบียบ กำหนด โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการเอง 2. แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (กำกับดูแลงานกรม ธนารักษ์) เป็นประธานกรรมการ และรองอธิบดีกรมธนารักษ์ (ด้านที่ราชพัสดุ) เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ มาตรการและเงื่อนไขในการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น มาตรการขอ คืนที่ดินจากหน่วยราชการ การแบ่งโซนพืชอาหารและพลังงาน การกำหนดคุณสมบัติเกษตรกรที่เข้าร่วมโครง การ เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ รูปแบบและการบริหารจัดการอย่างครบถ้วน เป็นต้น เพื่อนำที่ดินราชพัสดุ มาจัดให้เช่าทำการเกษตรและเป็นแนวทางให้จังหวัดนำไปใช้ปฏิบัติ 3. แต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ และธนารักษ์ พื้นที่ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ในการนำที่ดินราชพัสดุมาจัดให้เช่าทำการเกษตรตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการอำนวยการกำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3548 | การเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วย
วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในสังกัดการบังคับบัญชา หรือการกำกับดูแลของฝ่าย บริหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินหรือกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานซึ่งคณะกรรมการว่าด้วย พัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พิจารณาเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2552 ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3549 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการดำเนินพิธีการทางศุลกากร พ.ศ. .... | กค | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการดำเนินพิธีการทาง
ศุลกากร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 เป็นต้นไป แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระ สำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการดำเนินพิธีการทางศุลกากรเพื่อนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมา จัดสรรเป็นค่าตอบแทนแก่เจ้าหน้าที่ และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหา พัฒนา และบำรุงรักษาเครื่องทางเทคโน โลยีต่าง ๆ โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการดำเนินพิธีการทางศุลกากร ดังนี้ 1. การผ่านพิธีการทางศุลกากรและการตรวจปล่อยสินค้าสำหรับใบขนสินค้า ฉบับละ 200 บาท 2. การผ่านพิธีการทางศุลกากรและการตรวจปล่อยสินค้าสำหรับคำร้องขอรับของไปก่อน หรือส่งของ ออกไปก่อน ฉบับละ 200 บาท 3. การบันทึกข้อมูลใบขนสินค้า ใบกำกับการขนย้ายสินค้า คำร้องขอรับของไปก่อนหรือส่งของออกไป ก่อนเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากร ฉบับละ 70 บาท |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3550 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการลงทุนของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... | กค | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการลงทุนของสถาบัน
คุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดประเภทหลักทรัพย์ที่สามารถนำเงินกองทุนคุ้มครองเงินฝากและเงินทุนของสถาบันคุ้ม ครองเงินฝากไปลงทุน ประกอบด้วย 1.1 สัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง 1.2 สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 20 ลงทุนในหลักทรัพย์อื่นตามที่คณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงิน ฝากกำหนดโดยอนุมัติของรัฐมนตรี โดยอาจกำหนดหลักเกณฑ์ให้ถือปฏิบัติด้วยก็ได้ 2. กำหนดประเภทธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่สามารถทำได้ ดังนี้ 2.1 การขายโดยมีสัญญาซื้อคืน 2.2 การซื้อโดยมีสัญญาขายคืน 3. การมอบหมายให้นิติบุคคลนำเงินไปลงทุน คณะกรรมการ ฯ อาจมอบหมายให้นิติบุคคลที่ได้ รับอนุญาตให้จัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์นำเงินไปลงทุน แทนได้ 4. การตีราคาหลักทรัพย์ ให้ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่คณะกรรมการ ฯ กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3551 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายศุภชัย บานพับทอง และนายเฉลิมพร พิรุณสาร) | กค | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ
เกษตร แทนกรรมการเดิม จำนวน 2 คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (21 กรกฎาคม 2552) เป็นต้นไป โดยให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งแทนอยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน ตามนัยมาตรา 16 วรรคสอง แห่งพระราช บัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2519 ดังนี้ 1. นายศุภชัย บานพับทอง อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรรมการผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ แทนนางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ 2. นายเฉลิมพร พิรุณสาร เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นกรรมการ ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แทนนายอนันต์ ภู่ สิทธิกุล
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3552 | แนวทางการจัดหาพัสดุ การจ้างที่ปรึกษา และการทำสัญญา สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง แนวทางการจัดหาพัสดุ การจ้างที่ปรึกษา และการทำสัญญา
สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ไปพิจารณาทบทวน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีใน สัปดาห์หน้า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3553 | รายงานกิจการประจำปี งบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานกิจการประจำปี งบดุลและบัญชีกำไรขาด
ทุน ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ดังนี้ ผลการดำเนินงานประจำปี พ.ศ. 2551 เปรียบเทียบกับปี พ.ศ. 2550 พบว่ามีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 3,883.26 ล้านบาท หนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 6,000.44 ล้าน บาท รายได้รวมลดลง 467.56 ล้านบาท รายจ่ายรวมเพิ่มขึ้น 944.33 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 1,643.45 ล้าน บาท ยอดสินเชื่อคงค้างเท่ากับ 43,586.03 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นคิดเป็น ร้อยละ 12.32 และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.57 สำหรับรายงานกิจการประจำปี พ.ศ. 2551 ของ ธพว. ได้แก่ การอนุมัติสินเชื่อใหม่ 20,735.22 ล้านบาท ให้แก่ SMEs จำนวน 6,807 ราย และการ อนุมัติสินเชื่อโครงการพิเศษตามนโยบายรัฐบาล 1,296.73 ล้านบาท ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 761 ราย รวมทั้งให้บริการเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และช่วยเหลือส่งเสริมด้านการตลาด ได้แก่ โครงการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าเป้า หมาย และโครงการพันธมิตรเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Alliance Lane)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3554 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อ ไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐจะสนับสนุนให้แก่หน่วย งานที่รับผิดชอบดำเนินการ คือ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 11,117 ล้านบาท ให้หน่วยงานดังกล่าวเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระ ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อไป ส่วนการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ให้เจียดจ่ายจากงบประมาณที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดค่าน้ำให้แก่ประชาชนใน ท้องถิ่นของตน 2. เห็นชอบในหลักการให้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยการดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตร การ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ให้รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิด ขึ้นจริงในระยะที่ผ่านมา ประกอบด้วย การประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 235.471 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง จำนวน 57.953 ล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน 94.740 ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 64.370 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงินจำนวน 452.534 ล้านบาท และให้ครอบคลุมถึงภาระค่าเบี้ยปรับซึ่ง เกิดจากการชำระค่าซื้อไฟฟ้าเกินระยะเวลาที่กำหนดจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิ ภาคจะต้องชำระให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน 90.49 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3555 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและ
ขาดทุน ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ดังนี้ ปี พ.ศ. 2551 ธสน. มีสินทรัพย์รวม 59,853 ล้านบาท ลดลง 5,538 ล้านบาท ในส่วนของวงเงินสินเชื่อและการค้ำประกันใหม่ ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อและการค้ำ ประกันใหม่รวม 29,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.3 มีวงเงินสินเชื่อและการค้ำประกันรวม 112,782 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 สินเชื่อคงค้าง 50,748 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.8 ปริมาณสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) 4,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,802 ล้านบาท อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับร้อยละ 19.1 เพิ่มขึ้นร้อย ละ 14.2 มีกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท ลดลง 305 ล้านบาท สำหรับรายงานกิจการประจำปี พ.ศ. 2551 ของ ธสน. ได้แก่ การสนับสนุนและส่งเสริมการส่งออก การนำเข้า และการลงทุนภายในประเทศ ที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐ กิจของประเทศเพิ่มมากขึ้น และการสนับสนุนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ธสน. ได้ ให้บริการประกันการส่งออกระยะสั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ส่งออกในการค้าขายระหว่างประเทศ และอนุมัติ วงเงินรับประกันการส่งออกระยะกลางและระยะยาว เพื่อไปรับเหมาก่อสร้างงานติดตั้งเครื่องจักร และระบบต่าง ๆ รวมทั้งการส่งออกสินค้าทุนไปต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3556 | ขออนุมัติใช้เงินกู้ SAL เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ใช้เงินกู้ SAL วงเงินรวม 240 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการด้านการบริหาร จัดการ จำนวน 4 โครงการ วงเงิน 190 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการจัดทำ ฐานข้อมูลโครงการ/ระบบ โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำระบบบัญชีและการบริหารเงินสด โครงการว่าจ้างที่ ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการบริหารโครงการและค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการ และโครงการจัดทำระบบ การกำกับติดตามโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอนุมัติให้ใช้เงินกู้ SAL สำหรับกรอบวงเงินสำรองในวงเงิน 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับการบริหารจัดการโครงการภายใต้แผนฟื้นฟู เศรษฐกิจ ระยะที่ 2 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติการใช้จ่ายเงินสำรองดังกล่าว และราย งานการจัดสรรเงินให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3557 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2552 ครั้งที่ 4 | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติในหลักการการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 4 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามพระ ราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ด้วย ส่วน ค่าดอกเบี้ยสำหรับการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนด ฯ จำนวน 15,300 ล้านบาท ที่สำนักงบประมาณจัดสรรจาก เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพิ่มเติมนั้น ให้กระทรวงการคลังเสนอขอเพิ่มงบประมาณ รายจ่าย ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3558 | การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง โดยมีรายละเอียด เงื่อน
ไข และวิธีการจำหน่ายพันธบัตรตามแนวทางเดิม คือ พันธบัตรที่จำหน่ายจะมีอายุ 5 ปี และมีอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-2 ร้อยละ 3 ต่อปี ปีที่ 3 ร้อยละ 4 ต่อปี ปีที่ 4-5 ร้อยละ 5 ต่อปี โดยมอบให้ธนาคารพาณิชย์ 7 แห่ง เป็นผู้จัดจำหน่าย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังเพิ่มวงเงินจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้ม แข็งอีก 30,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินจำหน่ายทั้งสิ้น 80,000 ล้านบาท โดยการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ดัง กล่าวในส่วนที่สองและส่วนที่สาม วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ให้ดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3559 | ร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 09/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ จำนวน 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยหลัก ประกันทางธุรกิจเพื่อให้มีการนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาใช้เป็นประกันการชำระหนี้โดยไม่ต้องส่งมอบ การครอบครองทรัพย์สิน 1.2 ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ แก้ไขมาตรา 214 ให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งแก้ไขมาตรา 733 ให้ผู้จำนองหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามสัญญาจำนอง หากเจ้าหนี้บังคับจำนองแล้วได้ไม่ครบตามจำนวน หนี้ที่มีการนำทรัพย์สินไปจำนองเป็นประกัน และแก้ไขให้สิทธิตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจเหนือสิทธิเรียก ร้องที่นำมาเป็นหลักประกันตกเป็นของผู้รับโอนเมื่อมีการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นไปเช่นเดียวกับสิทธิจำนอง จำนำ หรือค้ำประกัน 2. ให้แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนหลักประกัน เป็นการจดแจ้งหลักประกัน และแก้ไข เพิ่มเติมร่างมาตรา 14 ตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ และให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวง พาณิชย์ กระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการตั้งสำนักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจขึ้นในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสาขาขึ้นในต่างจังหวัดควรจะสนับสนุนงบประมาณและบุคลากรแก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้เพียงพอกับการ ดำเนินการ ส่วนการทำหน้าที่เป็นสำนักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจควรให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีระยะ เวลาประมาณหกเดือนถึงหนึ่งปีในการเตรียมการ เพื่อจัดตั้งสำนักงานทะเบียนหลักประกันและฝึกอบรมบุคลากร ให้มีความรู้ ความชำนาญในการดำเนินการ รวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมและดูงานของสำนักงานทะเบียน หลักประกันทางธุรกิจในต่างประเทศ สำหรับหลักเกณฑ์วิธีการเกี่ยวกับการจดทะเบียน การแก้ไขทะเบียน การ ยกเลิกการจดทะเบียน การเพิกถอนการจดทะเบียน การให้ประชาชนตรวจดูข้อมูลเกี่ยวกับการจดทะเบียนและข้อ มูลเกี่ยวกับผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกัน และค่าธรรมเนียมในการดำเนินการดังกล่าว ให้แก้ไขให้เป็น ไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะ รัฐมนตรีที่เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้วตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2545 ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งบัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัตินี้หลายฉบับ เช่น กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ สม ควรที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้ตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง และ กระทรวงพาณิชย์ในบางประเด็นเป็นข้อสังเกตที่เกี่ยวกับการเตรียมการก่อนร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับซึ่ง ตามร่างมาตรา 2 บัญญัติให้ใช้บังคับเมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ดังนั้น หากกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์เห็นว่าระยะเวลาดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการเตรียมการ จึงควรที่จะแก้ ไขวันใช้บังคับในชั้นการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3560 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. .... | กค | 09/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยด่วน และให้แก้ไขเพิ่มเติมตามความเห็นตลอดจนข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1.1 ร่างระเบียบ ฯ ควรยึดหลักการเดียวกันกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินโดยการตัดโอนและ เปลี่ยนแปลงงบประมาณที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลั่นกรองและ บริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ก่อนการดำเนินโครงการ ทั้งนี้การโอนและเปลี่ยนแปลง งบประมาณข้ามหน่วยงานจะกระทำมิได้ 1.2 กรณีที่มีงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการเห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำ ส่งกระทรวงการคลัง ยกเว้นในกรณีโครงการที่ดำเนินการในพื้นที่พิเศษห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ การโอนเปลี่ยน แปลงโครงการ และการใช้เงินเหลือจ่าย ให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดให้คณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่เศษ ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้มีอำนาจในการอนุมัติดำเนินการ 1.3 การวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโครงการที่ดำเนินการโดยสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ควรเป็นระบบที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อใช้ในการติดตามผลการดำเนินการ และการประเมิน ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และกำหนดให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการ ฯ ราย งานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ และการเบิกจ่ายลงทุนต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการ ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ต่อไป 2. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าในการพิจารณากลั่นกรองโครงการภายใต้ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในรอบที่ 2 ว่าตามกรอบระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่กำหนดให้ส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจส่งข้อเสนอโครงการเพิ่มเติมและส่งให้คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการภายใต้แผนพื้นฟูเศรษฐ กิจระยะที่ 2 พิจารณาภายในเดือนมิถุนายน 2552 นั้น เนื่องจากมีโครงการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เสนอ ในรอบที่ 2 มาเป็นจำนวนมาก จึงต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณารายละเอียดแผนการดำเนินงาน แผนการใช้จ่าย เงินเพื่อคัดเลือกโครงการที่มีความพร้อม รวมถึงสอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ดังนั้น จึงขอเลือนกำหนดการจัดส่งโครงการในรอบที่ 2 ที่จะเสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ พิจารณา เป็นกลางเดือนกรกฎาคม 2552 และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการต่อไป 3. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรับไปพิจารณาแนวทางการดำเนินงานโดยเฉพาะกระบวน การจัดหาพัสดุ การจ้างที่ปรึกษา และการทำสัญญาที่ต้องดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ พัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในสัปดาห์ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
