ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 321 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากร ลดและเพิ่มอัตราอากรศุลกากรตามข้อผูกพันในความตกลงมาร์ราเกชจัดตั้งองค์การการค้าโลก (ฉบับที่ ..) | กค. | 26/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากร
ลด และเพิ่มอัตราอากรศุลกากรตามข้อผูกพันในความตกลงมาร์ราเกชจัดตั้งองค์การการค้าโลก
(ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงบัญชีอัตราอากรท้ายประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การยกเว้นอากรลดและเพิ่มอัตราอากรศุลกากรตามข้อผูกพันในความตกลงมาร์ราเกชจัดตั้งองค์การการค้าโลกลงวันที่
๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๔
โดยขยายระยะเวลาการลดอัตราอากรศุลกากรในโควตาสำหรับสินค้ากากถั่วเหลือง
พิกัดอัตราศุลกากร ๒๓๐๔.๐๐.๒๙ รหัสย่อย ๐๑ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์
ในอัตราร้อยละ ๒ ออกไปอีก ๓ ปี โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้แก้ไขระยะเวลาที่กำหนดในบัญชีอัตราอากรท้ายร่างประกาศกระทรวงการคลังให้เป็นไปตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี
ที่เห็นควรให้ลดอัตราอากรศุลกากรในโควตาสำหรับสินค้ากากถั่วเหลืองเฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์
ในอัตราร้อยละ ๒ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม
๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว รวมถึงสถานการณ์
ความจำเป็น และประโยชน์ที่จะได้รับ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าว ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป และควรพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตถั่วเหลือง
เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนเกินภายในประเทศภายใต้บริบทการพัฒนาภาคเกษตรของประเทศไทยควบคู่ไปกับการส่งเสริมการผลิตและการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ทางเลือกเพื่อทดแทนและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศไทยได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใด
ๆ ไว้ด้วยก็ได้ กรณีจึงเป็นการดำเนินการตามที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้
และอยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบได้ตามที่เห็นสมควร อนึ่ง
โดยที่การเสนอร่างประกาศกระทรวงการคลังในครั้งนี้เป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราอากรในโควตาออกไปอีก
๓ ปี จึงเป็นกรณีที่กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้จากการลดอัตราอากรดังกล่าวตามมาตรา
๓๒ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 322 | การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้แก่ประชาชน | กค. | 26/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 323 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 10 | กค. | 26/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะที่ ๑๐) ในส่วนของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มอีก
๓,๒๕๐ ล้านบาท
จากเดิม วงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น
วงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕๓,๒๕๐ ล้านบาท
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทย เช่นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง
(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) พิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายในการจัดสรรวงเงินค้ำประกันสินเชื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือก่อนเป็นลำดับแรก
เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (Small and
Medium Enterprises : SMEs) ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง
ขนาดย่อม และขนาดย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises :
MSMES) ผู้ประกอบการธุรกิจในพื้นที่เมืองรอง
เพื่อส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 324 | การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางและเป้าหมายสำหรับปี 2567 | กค. | 26/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๖๗
พร้อมข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง
และเป้าหมายสำหรับปี ๒๕๖๗ ซึ่งกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ
๑-๓ และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วจะได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวและรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี
รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้กับสาธารณชนถึงแนวทางในการแก้ไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์
และในระยะถัดไปเศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มที่จะเผชิญปัจจัยเสี่ยงของความผันผวนด้านราคา
รวมทั้งแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่อาจทำให้การประเมินสถานการณ์ด้านราคาทำได้ยากมากขึ้น
ดังนั้น การดำเนินนโยบายการเงินควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารต่อสาธารณชนและเตรียมเครื่องมือในการดำเนินนโยบายเพื่อรับมือกับความผันผวน
เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิผลต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 325 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สินค้ารถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน แบบประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล รุ่นที่ 1) | กค. | 26/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยขยายระยะเวลาการใช้บังคับอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้ารถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน
๑๐ คน (ประเภทที่ ๐๖.๐๑ และ ๐๖.๐๒) แบบประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล รุ่นที่ ๑ (ECO Car Phase ๑) ในอัตราร้อยละ ๑๔ ออกไปอีก ๒ ปี
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 326 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2566 | กค. | 19/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๖๖
ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สรุปได้ ดังนี้ (๑) เศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราร้อยละ ๒.๗ และร้อยละ ๒.๕ ในปี ๒๕๖๖
และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าการส่งออกสินค้าของเอเชียจะทยอยฟื้นตัวในช่วงต้นปี
๒๕๖๗ ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์สินค้าโลก การทยอยระบายสินค้าคงคลัง
และการฟื้นตัวของตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (๒)
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ ๒.๘ และร้อยละ ๔.๔ ในปี ๒๕๖๖ และ ๒๕๖๗
ตามลำดับ สำหรับปี ๒๕๖๖
การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยชะลอลงจากภาคการส่งออกสินค้าและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า แต่ในปี ๒๕๖๗ จะขยายตัวสูงกว่าที่คาด
จากทั้งอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศ (๓) ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นเล็กน้อย
จากต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๕.๑๑ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าลงจากค่าเฉลี่ยไตรมาสก่อน
(๔) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๖๖ ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ
๒.๕๐ ต่อปี สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า กนง.
จะพิจารณาให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่อาจได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากนโยบายภาครัฐ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 327 | แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ | กค. | 19/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ
จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการช่วยเหลือพักหนี้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (๒) มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบ และ (๓) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด
๑๙ ตามโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระ อนุมัติวงเงินงบประมาณ
จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน ๒ มาตรการ รวมทั้งสิ้น ๔,๙๐๐
ล้านบาท และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และรับทราบมาตรการแก้ไขหนี้ในระบบ มาตรการแก้ไขหนี้นอกระบบ และการปรับโครงสร้างระบบการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๔,๙๐๐ ล้านบาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินมาตรการเชิงป้องกัน
โดยการให้ความรู้ทางการเงิน ควรให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเป็นธรรมและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย
เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาจงใจผิดนัดชำระหนี้ การออกแบบมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ดังกล่าวควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับเป็นหลัก
รวมถึงควรมีการประเมินประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของโครงการให้เป็นไปตามคำสั่งอื่น เจตนารมณ์
และควรเร่งส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศที่ช่วยสร้างวัฒนธรรมบ่มเพาะให้เกิดวินัยในการบริหารเงินและหนี้อย่างรับผิดชอบ
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนประสบความสำเร็จและมีผลยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 328 | รายงานผลการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ | กค. | 12/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่
เพื่อทดแทนโรงงานผลิตยาสูบเดิม โดยย้ายสถานที่ออกจากเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต
โดยการเพิ่ม Economy of Scale
จากการสร้างโรงงานผลิตยาสูบใหม่แห่งเดียวที่เป็น Integrated Production
Complex ในพื้นที่ที่เหมาะสมด้านการขนส่ง
เพื่อปรับระบบการบริหารจัดการและการผลิตให้ทันสมัย
เพื่อเพิ่มสมรรถนะในการแข่งขันกับธุรกิจบุหรี่ของต่างประเทศทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 329 | มาตรการ "Easy E-Receipt" | กค. | 04/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการ “Easy E-Receipt” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนการบริโภคในประเทศ
สนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี รวมถึงส่งเสริมการผลิตสินค้า และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษี
และการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. .... ) ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการสำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักร
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ตามจำนวนที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
โดยจะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์
(e-Tax Invoice &
e-Receipt) ของกรมสรรพากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐเพื่อให้เป็นไปตามนัยของมาตรา
๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐด้วย
และควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้
เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 330 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายพรชัย ฐีระเวช และนายกิตติศักดิ์ จุลสำรวล) | กค. | 28/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
รวม ๒ คน
เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. นายพรชัย ฐีระเวช ประธานกรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 331 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ประจำปีบัญชี 2565 (วันที่ 1 เมษายน 2565 - 31 มีนาคม 2566) | กค. | 28/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล
บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ประจำปีบัญชี ๒๕๖๕ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖) สรุปได้ ดังนี้ ๑) งบการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ณ
วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดสำหรับปีบัญชี
๒๕๖๕
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์และการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินสำหรับสถาบันการเงินเฉพาะกิจและหลักเกณฑ์อื่น
ๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย และได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สามัญของผู้ถือหุ้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรแล้ว
เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
งบกำไรขาดทุนและกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น และอัตราส่วนทางการเงิน ๒) ผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and
Medium Enterprises : SMEs) และสินเชื่อระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์
(ลูกค้าดี มีวงเงิน) ซึ่งสามารถสนับสนุนสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
จำนวน ๑๕,๔๖๒ ล้านบาท เป็นต้น และ ๓) ทิศทางการดำเนินงาน
ปีบัญชี ๒๕๖๖ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรกำหนดนโยบายขับเคลื่อนภารกิจ “ยกระดับความสำเร็จ
มุ่งสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน” โดยมีแนวทางการดำเนินการ เช่น
การเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันและบริหารจัดการหนี้ การพัฒนาและยกระดับศักยภาพการแข่งขันตามศักยภาพของลูกค้า
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 332 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ พ.ศ. .... | กค. | 28/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐
ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคายี่สิบบาท เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 333 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 8 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กค. | 28/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๘ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ซึ่งเป็นการรายงานความเป็นมาและข้อเท็จจริง
รายละเอียดของการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการกู้เงินฯ เพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้ และรายละเอียดโครงการรวมถึงผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับของโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 334 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2566 | กค. | 28/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา
๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๖ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย
๒ ส่วน คือ (๑) รายงานสถานะหนี้สาธารณะและรายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้ว
และ (๒) รายงานการประเมินผลโครงการพัฒนาและโครงการประจำปี ๒๕๖๖ จำนวน ๑๔ โครงการ
และ ๑ แผนงาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 335 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2566 | กค. | 28/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา ๕๐ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ
หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๖ โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะ
ตามมาตรา ๕๐ ได้กำหนดกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ
ดังนี้ ๑) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ต้องไม่เกินร้อยละ ๗๐ ๒) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๓๕ ๓) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด
ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ และ ๔) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๕ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ
และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา ๗๖ ดังนี้ ๑) มีหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๑๑.๑๓
ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖๒.๔๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจำนวน ๐.๗๖
ล้านล้านบาท ๒) หนี้เงินกู้คงค้างของหน่วยงานของรัฐ เช่น รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
ที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ
คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาซน) จำนวน ๑๗,๔๐๐.๐๐ ล้านบาท รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมธุรกิจบริหารสินทรัพย์
และธุรกิจประกันสินเชื่อที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน จำนวน ๐.๖๐ ล้านล้านบาท องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีจำนวน ๐.๐๔ ล้านล้านบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย
มีจำนวน ๔.๒๑ ล้านล้านบาท เป็นต้น และ ๓) ความเสี่ยงทางการคลัง พบว่า
ยังอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการฯ กำหนด ซึ่งหนี้สาธารณะ
จำนวน ๑๑.๑๓ ล้านล้านบาท โดยหนี้ส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๙๘.๕๘) เป็นหนี้ในประเทศ
และร้อยละ ๘๓.๙๘ ของหนี้สาธารณะเป็นหนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง
และหนี้เงินกู้ของหน่วยงานของรัฐที่ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
ไม่มีผลกระทบต่อภาระทางการคลัง หรือเงินงบประมาณแผ่นดินในภาพรวม
เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีสถานะการดำเนินงานที่มั่นคงและมีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้เงินกู้ได้เอง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 336 | มาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย | กค. | 28/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย
มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้จากการใช้จ่ายในประเทศและจากต่างประเทศ
ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม
เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง
สายการบิน เป็นต้น ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ในระยะเวลาอันสั้นและสร้างงานให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากรณีการยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า
รวมถึงการยกเว้นอากรของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้า
เพื่อส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศ ควรพิจารณาเงื่อนไขของสินค้าประเภทต่าง
ๆ ในการยกเลิกให้เหมาะสม โดยเน้นการสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยและสนับสนุนชุมชนเป็นหลัก
เพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างทั่วถึง และควรมีการประเมินผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบหลังการดำเนินมาตรการ
เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป ในการดำเนินการขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัดต่อไป ควรมีการดำเนินการการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างและอัตราภาษีสรรพสามิตฯ
ทั้งระบบให้ครอบคลุมในทุกมิติเพื่อให้สามารถนำผลการศึกษาไปพัฒนาการจัดเก็บภาษีของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรบูรณาการประเด็นการศึกษามาตรการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 337 | รายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กค. | 21/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมีดุลการรับ/จ่ายเงิน (รายรับของประเทศหักด้วยรายจ่ายของประเทศ)
สูงกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ ๔๒,๕๐๖.๕๓ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังมีข้อสังเกตว่า ด้านรายรับ
ประเภทรายได้แผ่นดิน รัฐบาลควรให้ความสำคัญในการปรับโครงสร้าง เศรษฐกิจ ภาคการผลิต
ภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยว ภาคการแพทย์ และภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์เพื่อยกระดับการให้บริการบนฐานนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง
ด้านรายจ่าย รัฐบาลควรยกระดับการบริหารจัดการภาครัฐ โดยนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการสาธารณะให้มีความสะดวกและมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรมและทันต่อสถานการณ์
รวมถึงการพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้เสนอต่อรัฐสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 338 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 | กค. | 21/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. ๒๕๖๐
ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 339 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมาตรา 22 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 (พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) | กค. | 21/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.
๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 340 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย) | กค. | 21/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้ของบุคคลธรรมดาที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนใน “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน
(Thailand ESG Fund หรือ TESG)
“ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทสำหรับปีภาษีนั้น
เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
สำหรับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ถึงวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๕ และกำหนดให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ
ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่ TESG มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เฉพาะกรณีที่เงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวคำนวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่กล่าวมา
ทั้งนี้ ต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า ๘
ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
