ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 14 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 261 - 280 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 261 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 | กค. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ
ตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วันที่ ๓๑
มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
กำหนดไม่เกินร้อยละ ๗๐) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ร้อยละ ๖๓.๖๗ ๒. สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ
(คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ กำหนดไม่เกินร้อยละ ๓๕) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง
ร้อยละ ๑๙.๐๑ ๓.
สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด (คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
กำหนดไม่เกินร้อยละ ๑๐) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ร้อยละ ๑.๒๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 262 | มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย | กค. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย)
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๒ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 263 | ร่างกฎกระทรวงการสมทบเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก พ.ศ. .... | กค. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการสมทบเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินจากการจำหน่ายสลากตัวเลขสามหลัก
โดยกำหนดให้ในการออกรางวัลประเภทใดหากไม่มีผู้ถูกรางวัลในงวดนั้น
ให้นำเงินที่จัดสรรไว้สำหรับรางวัลประเภทนั้นสมทบไปเพื่อจ่ายเป็นเงินรางวัลสำหรับรางวัลประเภทเดียวกันในงวดถัดไป
แต่ไม่เกินหนึ่งงวด
และหากการออกรางวัลงวดถัดไปไม่มีผู้ถูกรางวัลในรางวัลประเภทนั้นอีก
ให้นำเงินรางวัลสมทบในประเภทนั้นนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อรูปแบบของสลากฯ
ได้หลากหลายมากขึ้นตามราคา ที่กฎหมายกำหนด
รวมทั้งเป็นการช่วยให้การเสี่ยงโชคนอกระบบและผิดกฎหมาย (หวยใต้ดิน) ให้น้อยลงได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เห็นควรเน้นย้ำการเตรียมความพร้อม
และการสร้างความเข้าใจในวิธีการจัดสรรสลากฯ ตลอดจนวิธีการจำหน่าย การออกรางวัล การสมทบเงินรางวัล
และการจ่ายเงินรางวัลให้แก่ตัวแทนจำหน่ายสลากๆ โดยเฉพาะคนพิการและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 264 | โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND | กค. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการคลัง [ธนาคารออมสิน
และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)]
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรดำเนินการตามแผนและใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญ
รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้บรรจุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตลอดจนขอให้ดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
และควรมีแนวทางในการชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐให้เป็นไปตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูล SMEs เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการใช้กลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย
(Risk-Based Pricing) เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินสะท้อนตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับเพิ่มกลุ่มเป้าหมายของโครงการสินเชื่อ
IGNITE THAILAND ให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจรายย่อย (Micro SMEs) สถาบันเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนด้วย
รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) เสนอความเห็นเพิ่มเติมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 265 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 | กค. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium Enterprises
: SMEs) ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee
Scheme ระยะที่ ๑๑ เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาว
รวมถึงเป็นการสนับสนุนศักยภาพด้านเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ของรัฐบาล ตลอดจนการปรับตัวเพื่อรับมือให้ทันกับสถานการณ์หรือวิกฤตที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ สำหรับภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะที่ ๑๑ วงเงินรวม ๗,๑๒๕
ล้านบาท ให้กระทรวงการคลัง [บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
(บสย.)] ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการเก็บค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น
ค่าธรรมเนียมการจ่ายค่าประกันชดเชย ค่าจัดการค้ำประกัน
ค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อ เป็นต้น ให้ บสย. พิจารณาเก็บค่าธรรมนียมด้วยความเหมาะสมและเป็นธรรม
เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และการดำเนินการตามมาตรการ/โครงการที่มีผลทำให้รัฐต้องชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐ
จะต้องดำเนินการให้อยู่ภายในสัดส่วนตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
ตามมาตรา ๒๘ และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวบรรลุผลสัมฤทธิ์และมีความคุ้มค่าอย่างแท้จริงตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรพิจารณาจัดสรรวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ
และอัตราค่าธรรมเนียมที่รัฐบาลจ่ายแทนให้แก่ SMEs แต่ละโครงการย่อยให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมาย SMEs ที่ควรได้รับความช่วยเหลือเป็นสำคัญ
เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (บสย.)
ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๑๑
ไม่ให้เกิดความช้ำซ้อนกับโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND และโครงการให้ความช่วยเหลือ
SMEs อื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง บสย.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง
รวมทั้งประสานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจของโครงการฯ
ให้แก่กลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ถูกต้อง
เพื่อให้สามารถเข้าถึงการค้ำประกันสินเชื่อได้อย่างทั่วถึงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 266 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยเยียวยาที่ได้รับจากกรมประมงตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน) | กค. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่เจ้าของเรือประมงสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการชดเชยเยียวยาจากกรมประมง
เนื่องจากการเข้าร่วมโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน
ระยะที่ ๑ (ระยะเร่งด่วน) (ช่วงปี ๒๕๖๒ – ๒๕๖๓) และระยะที่ ๒ (ช่วงปี ๒๕๖๕ - ๒๕๖๖
) เพื่อช่วยบรรเทาภาระภาษีให้เจ้าของเรือประมงในการมีทุนในการประกอบอาชีพอื่น
และบรรเทาหนี้สินอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเรือ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 267 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ รวม ๒ ราย ตามลำดับ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ๒. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 268 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา) | กค. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล)] โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน
๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 269 | หลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท (De minimis threshold) เป็นการชั่วคราว | กค. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน
๑,๕๐๐ บาท (De minimis
threshold) เป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่มีมูลค่าไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรสำหรับของที่นำเข้าซึ่งแต่ละรายผู้รับในประเทศมีราคารวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย
(Cost Insurance and Freight : CIF) ที่มีมูลค่ามากกว่า ๑
บาทแต่ไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด
๑๕ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบร่างประกาศกรมศุลกากร ที่ ../๒๕๖๗ เรื่อง
กำหนดราคาของที่นำเข้า ซึ่งได้รับยกเว้นอากรตามประเภท ๑๒ ภาค ๔
แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรศุลกากรให้ของที่นำเข้าซึ่งมีราคาไม่เกิน
๑ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าในการยกร่างกฎหมายแก้ไขประมวลรัษฎากรจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงพันธกรณีตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ตามแนวปฏิบัติสากล (International Practices) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเข้า
ส่งออก และการค้าระหว่างประเทศ สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม : สมอ.) กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา :
อย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมและพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดให้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่สั่งซื้อผ่าน
e-Commerce Platform ต่าง ๆ ต้องมีมาตรฐานตามที่
สมอ. หรือ อย. กำหนด ตามแต่กรณี ทั้งนี้
เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสินค้าประเภทเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 270 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ | กค. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ
(สำหรับนิติบุคคล) มีสาระสำคัญ เช่น กำหนดให้หักรายจ่ายได้ ๒
เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง
สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในจังหวัดท่องเที่ยวรองหรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
และหักรายจ่ายได้ ๑.๕ เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริงสำหรับพื้นที่อื่น (เมืองหลัก)
โดยต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์
(e-Tax Invoice & e-Receipt) ของกรมสรรพากรเท่านั้น และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ
(สำหรับบุคคลธรรมดา) มีสาระสำคัญเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บุคคลธรรมดาในการหักลดหย่อนค่าบริการหรือค่าที่พักในการท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรองเท่านั้น
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรองได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ต้องไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท และต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์
(e-Tax Invoice & e-Receipt
ของกรมสรรพากรเท่านั้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับการท่องเที่ยวและการจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรองและในจังหวัดท่องเที่ยวอื่นภายในประเทศในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว
(Low Season) ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม
๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (รวมระยะเวลา ๗ เดือน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรดำเนินการ เช่น ขอความร่วมมือให้หน่วยงานภาครัฐเลือกพื้นที่ท่องเที่ยวรองเป็นพื้นที่ในการจัดประชุมและสัมมนา
ควรพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เชื่อมโยงจากเมืองท่องเที่ยวหลักไปสู่เมืองท่องเที่ยวรอง
และควรเตรียมความพร้อมด้านปริมาณบุคลากรและทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้มีเพียงพอ สำนักงบประมาณ
เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 271 | ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ขยายกำหนดระยะเวลาการขอให้รับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงานตามกฎกระทรวงการขอและการออกหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน พ.ศ. 2566) | กค. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการขอและการออกหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยขยายกำหนดระยะเวลาการขอให้รับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
สำหรับปีปฏิทินที่สิ้นสุดก่อนวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๖)
ให้ดำเนินการภายในวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๗ (จากกฎกระทรวงเดิมภายในวันที่ ๑๘
ตุลาคม ๒๕๖๖ สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๕ และภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗ สำหรับปี
พ.ศ. ๒๕๖๖)
ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดเวลาสิ้นสุดการยื่นคำขอหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงานจากหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๙ เมษายน ๒๕๖๗) ที่กำหนดให้ดำเนินการภายในวันที่ ๓o เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ทั้งนี้
เพื่อให้ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำขอมีระยะเวลาเพียงพอในการดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 272 | แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568-2571) ฉบับทบทวน ครั้งที่ 2 | กค. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ
๒๕๖๘ - ๒๕๗๑) ฉบับทบทวน ครั้งที่ ๒ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามมาตรา
๑๕ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้
การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังฯ ต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายชาดา
ไทยเศรษฐ์) สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายชาดา
ไทยเศรษฐ์) เห็นว่าสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาแนวทางการนำเงินนอกงบประมาณมาใช้ประกอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อลดภาระการขาดดุลงบประมาณ และสามารถนำไปสู่การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณแบบสมดุลได้ต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าในการจัดสรรงบประมาณประจำปีในช่วงถัดไปสำนักงบประมาณควรปรับเพิ่มการจัดสรรงบชำระหนี้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้และดอกเบี้ยทั้งในส่วนของหนี้รัฐบาลและหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รัฐให้ดำเนินโครงการของรัฐที่ครบกำหนดชำระในแต่ละปีงบประมาณ
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มงประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนเพื่อความรอบคอบในการดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 273 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสุรชาติ เทียนทอง และนายธันว์ วุฒิธรรม) | กค. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
จำนวน ๒ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายสุรชาติ เทียนทอง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 274 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet | กค. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ และวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet) ตามที่คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ผ่าน Digital wallet เสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 275 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กค. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการดำเนินงานทางการเงินของรายงานการเงินแผ่นดิน
รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขี้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑๓๔,๓๒๑.๒๕ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๕.๐๖ เนื่องจากการจัดเก็บภาษีอากร
และการนำส่งเงินเหลือจ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
มีค่าใช้จ่ายลดลง จำนวน ๒๓๔,๖๐๒.๕๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๕๘
เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายอุดหนุนตามมาตรการของรัฐเพื่อแก้ไขสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ คลี่คลาย มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายลดลง จำนวน ๓๖๘,๙๒๓.๘๔ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๖๐ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการ
ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการจัดเก็บภาษีและการนำส่งเงินรายได้ของหน่วยงานสูง ๒. ฐานะการเงินของรายงานการเงินแผ่นดิน
รัฐบาลมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๒๘๗,๑๒๗.๙๗ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๓.๔๖ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของที่ดินราชพัสดุ เงินให้กู้ยืมระยะสั้น
เงินให้กู้ยืมระยะยาว และรายได้รัฐบาลค้างรับ มีหนี้สินเพิ่มขึ้น จำนวน ๕๙๐,๑๕๒.๘๘
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๐๔ เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
และการกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้ มีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุนลดลง จำนวน
๓๐๓,๐๒๔.๙๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๔๓
เนื่องจากมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสะสมเพิ่มขึ้น จากผลการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสำหรับงวดปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๕๓๙,๘๓๙.๑๒ ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับปรุงรายการบัญชี
การปรับปรุงมูลค่า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 276 | โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet | กค. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)
ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ๑.๑
เรื่องที่กระทรวงการคลังเสนอในครั้งนี้เป็นการเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบหลักการของกรอบหลักการโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital
Wallet (โครงการฯ) หลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อพิจารณาจัดทำรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและครบถ้วน
โดยนำความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้เสนอมาประกอบการพิจารณาด้วย และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ โครงการฯ
มีแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ จาก ๓ แหล่ง ได้แก่ ส่วนที่ ๑
การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ส่วนที่ ๒
เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ สำหรับส่วนที่ ๓
ถือเป็นการดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร
ซึ่งเป็นนโยบายกึ่งการคลังของรัฐที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนัยมาตรา
๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะได้มีหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินส่วนที่
๓ ให้เกิดความถูกต้อง รอบคอบ ชัดเจน ก่อนดำเนินการต่อไป เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอความเห็นเพิ่มเติมว่า
เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๖๒/๒๕๖๖ เรื่อง
แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๖
เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบหลักการของกรอบหลักการโครงการฯ เท่านั้น
สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการฯ เช่น นิติสัมพันธ์ในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประชาชนและร้านค้า
หรือระหว่างร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ
รวมทั้งการออกแบบระบบให้เหมาะสมและเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีสามารถจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงาน
แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๒.
เห็นชอบให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
อย่างเคร่งครัด ในการจัดทำรายละเอียดโครงการฯ
หากมีประเด็นข้อสงสัยหรือความไม่ชัดเจนในเรื่องใด ๆ
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ได้ข้อยุติที่ถูกต้อง
ชัดเจน ครบถ้วนทุกประเด็น ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 277 | ผลการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตฉ้อโกงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาญัตติ เรื่อง
ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตฉ้อโกงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปได้ว่า ๑) ในส่วนของแนวทางการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตฉ้อโกง
กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๓๕ เกี่ยวกับผู้สอบบัญชีและสำนักงานสอบบัญชีเพื่อให้มีกฎหมายที่สอดรับกับแนวทางการตรวจสอบและบทลงโทษผู้ที่ทำการทุจริตผ่านตลาดทุนไทย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการยกระดับการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์
ภายใต้โครงการบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เข้มแข็ง
โดยเน้นมาตรการป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นและมาตรการส่งเสริมการทำหน้าที่ของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์และผู้ที่เกี่ยวข้อง
ตลาดหลักทรัพย์ได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย
โดยการตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมกันพิจารณาความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
และร่วมมือกับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยในการจัดอบรมให้ความรู้กับผู้ลงทุน
รวมถึงบุคลากรในหน่วยงานยุติธรรม (อาทิ ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา) กระทรวงพาณิชย์
โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ศึกษาและพัฒนากฎหมายที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีความทันสมัยและทันเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
และ ๒) ในส่วนของข้อเสนอแนะ สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ เห็นว่า
ควรปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยให้สภาวิชาชีพบัญชีมีอำนาจในการกำกับดูแลผู้ทำบัญชี
ผู้สอบบัญชี สำนักงานบัญชี และสำนักงานสอบบัญชี เพื่อตรวจสอบคุณภาพของการปฏิบัติงานในเชิงรุก
และปรับปรุงแก้ไขบทลงโทษให้ครอบคลุมบทลงโทษของสำนักงานสอบบัญชี สมาคม ตลาดตราสารหนี้ไทย
เห็นว่า
ควรเพิ่มมาตรการในการยืดหรืออายัดทรัพย์สินจากการกระทำความผิดที่มีลักษณะเป็นการทุจริตฉ้อโกงที่เกี่ยวกับการออกหลักทรัพย์
ให้ครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินที่ได้มาหรือสงสัยว่าจะได้มาจากการกระทำความผิดหรือที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะอยู่ในความครอบครองของบุคคลใดก็ตาม
และกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการเยียวยาความเสียหายให้กับนักลงทุนที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิด
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 278 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ และรายงานการเงินรวมภาครัฐ (บทวิเคราะห์) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ และให้หน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
พร้อมทั้งรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรค
และแนวทางแก้ไขให้กระทรวงเจ้าสังกัดและกระทรวงการคลังภายใน ๖๐ วัน
นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
และให้หน่วยงานของรัฐส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณถัดไปให้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 279 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2550 เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร) ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ตรงตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
โดยไม่กระทบต่อฐานะทางการเงินของ ธ.ก.ส. และมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน
รวมถึงป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ ธ.ก.ส. โดยให้ถือใช้ข้อความตามที่ปรับปรุงแล้ว
แทนข้อความเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
เช่น ๑)
ควรสื่อสารทำความเข้าใจกับลูกหนี้เกี่ยวกับวิธีการดำเนินคดีที่เปลี่ยนแปลงไป ๒)
ควรกำหนดแผนบริหารจัดการหรือมาตรการจัดการหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยหรือเบี้ยปรับหรือผลกระทบในด้านอื่น
ๆ ที่เป็นภาระแก่เกษตรกรเกินสมควร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยกับลูกหนี้เกษตรกรที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(Non-Performing
Loans : NPLs) ซึ่งยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของลูกหนี้แต่ละรายเพื่อให้เกษตรกรกลุ่มนี้ยังคงมีศักยภาพในการชำระหนี้ได้ต่อไปโดยไม่ถูกดำเนินคดีด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 280 | การร่วมมือกับรัฐบาล สปป. ลาว ในการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป. ลาว | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(สปป. ลาว) ในการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข ๑๒ (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.
ลาว (โครงการ R12) ดังนี้ ๑) อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
(องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการตามขอบเขตของโครงการ แหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ
และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการ
R12 จำนวน ๑,๘๓๓,๗๔๗,๐๐๐ บาท ๒) อนุมัติให้สำนักงบประมาณ จัดสรรงบประมาณเป็นรายปี
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗o รวมระยะเวลา ๓ ปี
สำหรับวงเงินให้เปล่า จำนวน ๙๑,๐๖๓,๐๐๐
บาท และร้อยละ ๕๐ ในส่วนของเงินกู้จำนวน ๘๗๑,๓๔๒,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๙๖๒,๔๐๕,๐๐๐
บาท ๓) เห็นชอบแนวทางการกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ จำนวน ๘๗๑,๓๔๒,๐๐๐ บาท ตามรูปแบบและเงื่อนไขที่กำหนด และ ๔)
กรณี สปป. ลาว ผิดนัดชำระหนี้ สพพ. จะพิจารณาใช้เงินสะสมของ สพพ. เพื่อชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากเงินกู้จากสถาบันการเงินภายในประเทศไปก่อน
ทั้งนี้ หาก สพพ.
เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องจะขอรับจัดสรรเงินงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อเสริมสภาพคล่องและเมื่อ
สพพ. สามารถเรียกเก็บหนี้ได้จะนำเงินดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง [สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
(องค์การมหาชน)] และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๗๐๖/๗๕ ลงวันที่ ๖ ตุลาคม
๒๕๖๖) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยขอให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
พร้อมจัดทำขั้นตอนการดำเนินงาน แผนการก่อสร้าง และการเปิดให้บริการ และให้ สพพ.
ใช้เงินสะสมของหน่วยงาน
และกำหนดแนวทางและวิธีการบริหารจัดการเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และเห็นว่าเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติได้ตามที่เห็นสมควร และโดยที่เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตาม
ม. ๘ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สพพ. พ.ศ. ๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มติมและเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยจึงเข้าข่ายเป็นการดำเนินการตามมาตรา
๔ (๑) และ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องฯ พ.ศ. ๒๕๔๘ นอกจากนี้ ควรมอบหมายให้กระทรวงการคมนาคมกำกับโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม
และโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ให้แล้วเสร็จตามแผน
เพื่อให้โครงข่าย/คมนาคมของไทยสามารถเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร้รอยต่อ
อันจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศ
ตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
