ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 654 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13061 - 13080 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13061 | ขอถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล และการขอใบอนุญาต และการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำบาดาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล และการขอใบอนุญาต และการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำบาดาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13062 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะเทศบาลเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะเทศบาลเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ขยะเทศบาลเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและห้ามนำผ่านราชอาณาจักร โดยไม่รวมถึงวัตถุหรือของอย่างเดียวกันที่คัดแยกออกจากของเสียดังกล่าวที่ได้กำหนดพิกัดอัตราศุลกากรไว้แล้ว โดยเป็นการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13063 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ พ.ศ. .... | กค | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ และยกร่างขึ้นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศมีเงินทดรองราชการไปทดรองจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติราชการในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรแก้ไขความร่างระเบียบฯ ในข้อ ๒๒ กรณีการบันทึกบัญชีควบคุมเงินทดรองราชการให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๖๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด ๒ ข้อ ๑๑ ให้มีความชัดเจนและครอบคลุมถึงการช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย หรือการบูรณาการหน่วยงานอื่นในการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย หรือค่าที่ปรึกษากฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในกำหนดระยะเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13064 | ผลการพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยบำเหน็จความชอบค่าทดแทนและการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการเนื่องในการป้องกันอธิปไตยและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยบำเหน็จความชอบค่าทดแทนและการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการเนื่องในการป้องกันอธิปไตยและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..... ของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ ซึ่งเห็นควรให้มีการพิจารณาทบทวนการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินบำเหน็จความชอบ ค่าทดแทน และการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการ และการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ให้เป็นระบบมีมาตรฐานและเกิดความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน โดยให้ส่งคืนร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยบำเหน็จความชอบ ค่าทดแทน และการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการเนื่องในการป้องกันอธิปไตยและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับบำเหน็จความชอบค่าทดแทนและการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการ และการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ให้เป็นระบบมีมาตรฐานและเกิดความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน โดยให้นำประเด็นเรื่องการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยบำเหน็จความชอบ ค่าทดแทนและการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการ เนื่องในการป้องกันอธิปไตยและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพิจารณาด้วย โดยสมควรพิจารณากำหนดผู้รักษาการตามกฎหมายให้เหมาะสม ตลอดจนการอ้างอิงบทอาศัยอำนาจในการเสนอแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้มีความสอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันด้วย ตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ ๓. ให้ส่งคืนร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยบำเหน็จความชอบ ค่าทดแทน และการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการ เนื่องในการป้องกันอธิปไตยและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม และกระทรวงยุติธรรม ตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13065 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ปปท. | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงและการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (คณะกรรมการ ป.ป.ท.) และสำนักงาน ป.ป.ท. รวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติ เช่น บทนิยาม และบทกำหนดโทษ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ และการดำเนินการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ป.ป.ช. เกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้อาวุธปืน ควรกำหนดเฉพาะบุคคล และมีระเบียบที่ควบคุมการใช้อย่างรัดกุม ไม่ใช่พกพาเป็นการทั่วไป ควรแก้ไขข้อความของร่างมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง และร่างมาตรา ๔๒ วรรคสอง เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ และเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต้องดำเนินการในเชิงป้องปราม วางกลไกสร้างเครือข่ายความร่วมมือทุกภาคส่วนควบคู่ไปกับการสร้างให้ประชาชนเกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสอบการกระทำทุจริต ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ ๓. ให้สำนักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่จะให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม นอกเหนือจากการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ท. อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปด้วยความรวดเร็วแล้ว ยังต้องดำเนินการในเชิงป้องปราม การวางกลไกสร้างเครือข่ายความร่วมมือทุกภาคส่วนควบคู่ไปกับการสร้างให้ประชาชนเกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสอบการกระทำทุจริต เพื่อให้ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย สอดคล้องหลักธรรมาภิบาล ซึ่งจะส่งผลดีต่อความน่าเชื่อถือในการลงทุนโดยรวมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13066 | รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 | ผผ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เกี่ยวกับปัญหาการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่มีสาเหตุจากการเมาแล้วขับ พร้อมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจากการชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่มีสาเหตุมาจากการเมาแล้วขับ สรุปได้ว่า แม้ประเทศไทยจะให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยทางถนนเป็นอย่างมาก โดยกำหนดให้ “พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓ เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน” และให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจัดทำข้อเสนอ นโยบาย แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน ยุทธศาสตร์ และแผนเกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน นอกจากนั้นหน่วยงานต่าง ๆ ในทุกภาคส่วนและทุกระดับที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการออกกฎหมายและมาตรการเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแล้ว แต่ปรากฏว่า การเมาแล้วขับยังคงเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาล โดยมีสาเหตุหลักของปัญหาจากผู้ขับขี่ ปัญหาจากกฎหมายและมาตรการที่บังคับใช้ในปัจจุบัน และปัญหาการจัดสรรงบประมาณและอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ จึงเป็นกรณีที่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรตามความในหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ มาตรา ๕๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้เสนอรายงานพร้อมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๓๐ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๒๒ (๓) และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) เสนอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมค่านิยมวินัยจราจร (๒) เสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ไขพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยแก้ไขอัตราโทษกรณีเมาแล้วขับ ให้โทษปรับสูงขึ้นตามปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดและกำหนดอัตราโทษเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่กระทำความผิดซ้ำ และแก้ไขในกรณีที่ผู้ขับขี่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นและทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง (๓) เสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดสรรงบประมาณด้านอุปกรณ์เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ค่าใช้จ่ายในการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด และเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน (๔) เสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินมาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” อย่างต่อเนื่อง มิใช่เฉพาะช่วงเทศกาล (๕) เสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มความเข้มงวดการบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ (๖) เสนอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของผู้ตรวจการแผ่นดิน รวมทั้งความเห็น ข้อพิจารณา และข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13067 | การปรับปรุงหลักการและแนวทางการกำกับดูแลที่ดีในรัฐวิสาหกิจ | กค | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจที่ดี พ.ศ. .... เพื่อใช้แทนหลักการและแนวทางการกำกับดูแลที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ปี ๒๕๕๒ โดยให้รัฐวิสาหกิจ รวมถึงรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจเป็นการทั่วไปนำหลักการและแนวทางฯ ไปปฏิบัติและนำไปใช้กับบริษัทย่อยของรัฐวิสาหกิจด้วย โดยหลักการและแนวทางฯ ได้เทียบเคียงจากหลักการและแนวทางฯ ตามมาตรฐานสากลของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหลักการและแนวทางฯ ๑.๓ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๒ ในเรื่องหลักการและแนวทางการกำกับดูแลที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจนำหลักการและแนวทางฯ ไปจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินงานการส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับการบริหารจัดการของแต่ละรัฐวิสาหกิจ ควรให้ความสำคัญกับการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนงานการกำกับดูแลกิจการที่ดี ควรมีการทบทวนความเหมาะสมของการนำหลักการและแนวทางฯ ไปใช้ ปีละ ๑ ครั้ง และควรแจ้งหลักการและแนวทางฯ ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทราบด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เมื่อร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้แล้ว ให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงหลักการและแนวทางฯ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเพื่อประกาศกำหนดหลักการและแนวทางการกำกับดูแลที่ดีในรัฐวิสาหกิจเพื่อให้รัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13068 | การขายที่ดินและอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ หลังเดิม เลขที่ 2 ถนน Square du Val de la Cambre ประเทศเบลเยียม | กค | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขายที่ดินและอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ หลังเดิม เลขที่ ๒ ถนน Square du Val de la Cambre ประเทศเบลเยียม โดยกำหนดราคาขายขั้นต่ำ ๑,๙๙๕,๐๐๐ ยูโร ในกรณีที่ไม่สามารถหาผู้ซื้อได้ในราคาที่กำหนดไว้ก็ให้อยู่ในดุลยพินิจของกระทรวงการต่างประเทศ โดยการดำเนินการขายที่ดินและอาคารในราคาที่ต่ำกว่าที่กำหนดได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13069 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องสำอางให้เหมาะสมและรวดเร็ว โดยกำหนดให้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบ เพื่อให้สอคดล้องกับความรู้และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยให้ผู้ประกอบการเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับ (๑) ประเด็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการเป็นผู้รับผิดชอบในกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องสำอาง ไม่ควรเพิ่มขึ้นมากเกินไป รวมทั้งควรระบุอัตราค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น ค่าใช้จ่ายในการขอขึ้นทะเบียน อัตราค่าตอบแทนในการประเมินเอกสารวิชาการ อัตราค่าการตรวจสถานที่เพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาต เป็นต้น และ (๒) ประเด็นกระบวนการพิจารณาอนุญาต ควรมีการให้นิยามของผู้เชี่ยวชาญที่จะทำหน้าที่พิจารณาอนุญาต คุณลักษณะในการสรรหาหรือคัดเลือก หลักเกณฑ์การขึ้นบัญชี และระยะเวลาในการเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความชัดเจนโปร่งใสในการดำเนินการ ควรมีมาตรการการรักษาความลับขององค์ความรู้และเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ โดยอาจพิจารณาร่างสัญญาว่า ห้ามเปิดเผย/นำส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน และควรพิจารณากำหนดนิยามของกฎหมายให้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติทั้งของเครื่องสำอางและยา โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการเจริญเติบโตในท้องตลาด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13070 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวต | กต | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวต (Agreement on Establishing Joint Commission for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the State of Kuwait) เพื่อรองรับการจัดประชุมคณะกรรมาธิการร่วม ไทย-คูเวต ในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วม (๒) หน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมาธิการร่วม (๓) กรอบความร่วมมือต่าง ๆ (๔) รายละเอียดการจัดประชุม และ (๕) กลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินการ โดยทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้กำหนดวันที่จะลงนามในความตกลงฯ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ (ตามนัยข้อ ๖ วรรค ๑ ของร่างความตกลงฯ ที่ระบุให้การมีผลใช้บังคับนับตั้งแต่วันที่ได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรฉบับสุดท้ายจากภาคีฝ่ายหนึ่งผ่านช่องทางการทูตว่า ได้ดำเนินการกระบวนการตามรัฐธรรมนูญที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับเสร็จสิ้นแล้ว) ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13071 | การจัดทำรายงานการพัฒนามนุษย์ของประเทศไทย (Thailand Human Development Report) ฉบับที่ 6 | กต | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างข้อตกลงทางการเงิน (Financing Agreement) ระหว่างโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) กับรัฐบาลไทย เพื่อสนับสนุนการจัดทำรายงานการพัฒนามนุษย์ของประเทศไทย (Thailand Human Development Report : HDR) ฉบับที่ ๖ ที่กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับ UNDP จัดทำรายงาน HDR ขึ้นภายใต้หัวข้อ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง : การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนและชุมชนเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sufficiency Economy Philosophy : Empowering People and Communities to Achieve SDGs)” โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และปัญหาความเหลื่อมล้ำในไทย การยกตัวอย่างโครงการที่ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางพัฒนามนุษย์และชุมชน รวมถึงการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดทำนโยบายเพื่อการบรรลุ SDGs ทั้งนี้ ร่างข้อตกลงฯ ระบุให้ฝ่ายไทยต้องชำระเงินสนับสนุน จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ภายในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒ ๑.๒ เห็นชอบให้อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงทางการเงินฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดทำรายงาน HDR กระทรวงการต่างประเทศควรกำกับการดำเนินงานของผู้จัดทำรายงานอย่างใกล้ชิดให้เป็นไปตามกรอบและแนวทางที่คณะกรรมการกำกับการจัดทำรายงานกำหนด เพื่อควบคุมให้เนื้อหารายงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการนำเสนอกรณีศึกษาที่หลากหลายของการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในบริบทต่าง ๆ เพื่อให้รายงานฉบับนี้เป็นเครื่องมือสำหรับขยายแนวคิดการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนที่ตอบสนองต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับไทยและนานาประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13072 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2562 (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๒ (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) ในวงเงิน ๒๔,๗๙๔,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของสำนักงาน ป.ป.ส. แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณเหลือจ่ายที่บรรลุวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานบูรณาการเดียวกัน รวม ๓ รายการ จำนวน ๔,๗๙๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย โครงการปราบปรามยาเสพติด งบรายจ่ายอื่น รายการโครงการแก้ไขปัญหาฝิ่น ยาเสพติดและความมั่นคงพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๑,๔๑๕,๐๐๐ บาท งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน จำนวน ๒,๔๗๔,๖๗๔ บาท โครงการป้องกันยาเสพติด งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๙๐๔,๓๒๖ บาท รวมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรม ภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ๑.๒ สำหรับขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ ส่วนการขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ในส่วนของการดำเนินการปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เพื่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๒๑๕ เป็นกรณีพิเศษ นั้น ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) ดำเนินการขอยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวต่อคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐตามนัยมาตรา ๒๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การดำเนินโครงการในระยะต่อไป ควรพิจารณาแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเสี่ยงบริเวณชายแดนที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนและประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และควรให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการของโครงการฯ ที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างเป็นธรรม เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13073 | การปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุมของสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) | คค | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. การปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุมของสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ณ กรุงเทพฯ โดยด่วน (ระยะที่ ๑) ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๔๕,๔๘๓,๐๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ส่วนที่เหลือ จำนวน ๓๕,๔๗๗,๐๐๐บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. สำหรับค่าจ้างออกแบบปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุม ICAO ณ กรุงเทพฯ (ระยะที่ ๒) วงเงิน ๖,๓๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการจ้างออกแบบเพื่อปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุมในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนหน่วยรับงบประมาณในการดำเนินการปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุม ICAO ดังกล่าว ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานเพื่อให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๓ และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗ (๑) และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13074 | รัฐบาลสาธารณรัฐโคลอมเบียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย (นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด) | กต | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติแต่งตั้ง นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด (Mrs. Ana Maria Prieto Abad) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอันเดลโฟ โฆเซ การ์เซีย กอนซาเลซ (Mr. Andelfo Jose Garcia Gonzalez) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13075 | ขอความเห็นชอบในชนิด ขนาด และจำนวน ของเสื้อเกราะป้องกันกระสุน เพื่อใช้ในราชการ ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามมาตรา 46/2 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 | ปง | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในชนิด ขนาด และจำนวนของเสื้อเกราะป้องกันกระสุน ระดับ ๓ เอ จำนวน ๕๐ ตัว เพื่อใช้ในราชการของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ตามที่สำนักงาน ปปง. เสนอ และให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดหาเสื้อเกราะป้องกันกระสุนดังกล่าว ควรดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินว่าด้วยการมีใช้ และพกพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนดังกล่าว ให้สำนักงาน ปปง. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป โดยต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่มุ่งสนับสนุนและส่งเสริมการนำผลงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อจัดหาพัสดุและครุภัณฑ์ของหน่วยงานภาครัฐ สำนักงาน ปปง. ควรพิจารณาให้ความสำคัญในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการตามบัญชีนวัตกรรมไทย ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13076 | ขอความเห็นชอบโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างฝายราษีไศลและฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ โดยดำเนินโครงการชลประทานเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ ระยะที่ 1 | กษ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลและคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างฝายราษีไศลและฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ โดยโครงการชลประทานเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ ระยะที่ ๑ วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๓,๒๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ในส่วนของเงินงบประมาณ กรมชลประทานจะดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามคำสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒ มอบหมายให้กรมชลประทาน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลและคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ควรติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการชลประทานเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ ระยะที่ ๑ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในพื้นที่ทั้งที่เข้าร่วมและไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ (เกษตรกรที่มีและไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน) เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่โดยโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และสามารถใช้ปรับปรุงเป็นต้นแบบสำหรับการดำเนินการในส่วนที่เหลือหากจำเป็น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13077 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2561 | นร63 | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดย กพอ. ได้มีมติ ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) เห็นชอบการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพิ่มเติมอีก ๒ อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมพัฒนาบุคลากรและการศึกษา (๒) กำหนดหลักเกณฑ์การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยกำหนดรูปแบบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมและการเผยแพร่ผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และ (๓) เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกว่าด้วยเบี้ยประชุมคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการเฉพาะกิจ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และมอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมกับ สกพอ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่ สกพอ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ สกพอ. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดเบี้ยประชุมคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการเฉพาะกิจ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะอนุกรรมการ ควรกำหนดให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษใหม่ และการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบการกำหนดเบี้ยประชุมคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการเฉพาะกิจ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะอนุกรรมการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13078 | การขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน และหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน | นร12 | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน และหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน) โดยเพิ่มเติมว่า “ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะซึ่งยังมิได้รับการพิจารณาประเมินค่างานและจัดกลุ่มองค์การมหาชนจากคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนได้รับการจัดกลุ่มในกลุ่มที่ ๓ (บริการสาธารณะทั่วไป) ไปพลางก่อน จนกว่าสำนักงาน ก.พ.ร. จะแจ้งมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนให้ทราบ” ๒. เห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร) จากเดิม “ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่ แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ” เป็น “ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ” ๓. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งดำเนินการรวบรวมหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับองค์การมหาชน และแจ้งให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลองค์การมหาชนและองค์การมหาชนทุกแห่งทราบ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยให้นำความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (๑) อาจพิจารณาให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำข้อเสนอของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปปรับใช้โดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายจัดตั้งขององค์การมหาชน (๒) การกำหนดค่าตอบแทนฯ จะต้องมีการบริหารอย่างเหมาะสมภายใต้ขอบเขตอำนาจตามกฎหมายจัดตั้งองค์กรนั้น ๆ เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการทำงาน จึงไม่ควรอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด (๓) ควรให้องค์การมหาชนที่เคยได้รับการจัดกลุ่มไว้แล้วแต่มีความจำเป็นต้องให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาประเมินค่างานและจัดกลุ่มใหม่ (มีการมอบหมายภารกิจเพิ่มมากขึ้น/ยุบเลิกองค์การมหาชนเดิมและจัดตั้งขึ้นใหม่) จึงควรให้หน่วยงานดังกล่าวได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มเดิมไปพลางก่อนจนกว่าคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนจะพิจารณาแล้วเสร็จ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13079 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน | กษ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน และให้ใช้แนวทางการปฏิรูประบบบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน แบ่งเป็น โครงการสร้างระบบบริหารนมโรงเรียน (คณะกรรมการกลาง/สถานภาพขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย/งบประมาณ/วิธีการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน/คู่สัญญาซื้อขาย) และแนวทางการบริหารจัดการนมโรงเรียน (จัดสรรปริมาณน้ำนมดิบ ปริมาณการจำหน่าย และพื้นที่การจำหน่ายนมโรงเรียนให้กับผู้ประกอบการ/เกษตรกรผู้มีสิทธิ์จำหน่ายน้ำนมดิบ/นมที่จัดส่งให้โรงเรียน/บทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนกลไกในการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนทั้งระบบ เพื่อให้การบริหารจัดการเกี่ยวกับโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งลดความซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย สำหรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการบริหารจัดการให้แก่คณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน และคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนทุกคณะ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนแม่บทการบริหารให้เกิดความชัดเจนก่อน โดยพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนกลุ่มเป้าหมายจะได้รับ อย่างรอบคอบ รวมถึงการพิจารณาแหล่งเงินให้ครอบคลุมครบถ้วน และจัดทำแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมวัตถุประสงค์ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสม จำเป็น ตามนัยกฎหมายวินัยการเงินการคลังและกฎหมายวิธีการงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น ควรมีการบังคับใช้แนวทางบริหารจัดการกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเข้มงวด เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ดื่มนมที่มีคุณค่าอย่างมีคุณภาพตามเจตนารมณ์ของโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็น เหมาะสมในการนำผลิตภัณฑ์นมอัดเม็ด (เช่น นมอัดเม็ดสวนจิตรลดา) มาเป็นอาหารเสริมให้แก่นักเรียนเพิ่มเติมจากอาหารเสริม (นม) โรงเรียนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13080 | ขอความเห็นชอบขอเพิ่มเป้าหมายโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน | กษ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเพิ่มเป้าหมายเกษตรกรในโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน จากเดิม ๑๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน เป็น ๒๔๙,๙๑๘ ครัวเรือน (เพิ่มเป้าหมาย ๙๙,๙๑๘ ครัวเรือน) เนื่องจากมีเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เข้ามาปรับปรุงทะเบียนเพิ่มเติมภายในกรอบเวลาที่กำหนด โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และค่าชดเชยต้นทุนเงิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องอันเกิดจากผลของการเพิ่มเป้าหมายจากเดิมอีก ๙๙,๙๑๘ ครัวเรือน ให้เป็นไปตามลักษณะวิธีการที่ได้ดำเนินการมาแล้วในโครงการฯ หรือเพิ่มเติมได้แต่อยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วตามมติเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (๓,๔๕๗.๗๖ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องตรวจสอบพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น และกำหนดให้มีกลไกในการติดตามและตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้โครงการฯ เกิดความโปร่งใส คุ้มค่า รวมทั้งมีการติดตามและตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรเพื่อความถูกต้องของข้อมูลและป้องกันปัญหาความซ้ำซ้อน ตลอดจนจัดเก็บเอกสารหลักฐานการรับและจ่ายเงินให้ครบถ้วนเพื่อความโปร่งใสและสามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินงานในระยะต่อไปได้ นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ควรพัฒนาการใช้ระบบการใช้บริการพร้อมเพย์เพื่อลดภาระงบประมาณในการจัดสรรค่าธรรมเนียมการบริการโอนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....