ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 660 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13181 - 13200 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13181 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... | กษ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของกรมประมง เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรให้กรมประมงกำหนดผลสัมฤทธิ์ตัวชี้วัดการดำเนินงานที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวมทั้งเห็นควรมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งกำหนดขั้นตอนและแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13182 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ การอนุญาต การกำหนดอัตราค่าตอบแทน ระยะเวลาและเงื่อนไขการลงทุนจัดให้มีหรือเข้าบริหารจัดการท่าเรือ เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ที่พักริมทาง หรือสิ่งก่อสร้างอื่นใดในเขตทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงพิเศษและทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. .... | คค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ การอนุญาต การกำหนดอัตราค่าตอบแทน ระยะเวลาและเงื่อนไขการลงทุนจัดให้มีหรือเข้าบริหารจัดการท่าเรือ เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ที่พักริมทาง หรือสิ่งก่อสร้างอื่นใดในเขตทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงพิเศษและทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาต การกำหนดอัตราค่าตอบแทน ระยะเวลาและเงื่อนไขการลงทุนจัดให้มีหรือบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ในเขตทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงพิเศษ ทางหลวงสัมปทาน เพื่อให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) สามารถดำเนินการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการจัดให้มีหรือเข้าบริหารจัดการท่าเรือ เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ที่พักริมทาง หรือสิ่งก่อสร้างอื่นใดในเขตทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงพิเศษ และทางหลวงสัมปทาน ตามกฎหมายว่าด้วยเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐได้ อันจะเป็นการรองรับการดำเนินโครงการพัฒนาที่พักริมทางบนทางหลวงสายต่าง ๆ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการร่วมทุนระหว่างกรมทางหลวงกับเอกชน หากเป็นกิจการที่กรมทางหลวงมีอำนาจหน้าที่ต้องทำตามกฎหมาย ตามนิยาม “โครงการ” แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งมีการร่วมลงทุนกับเอกชนไม่ว่าโดยวิธีใดหรือมอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝ่ายเดียวโดยวิธีการอนุญาตหรือให้สัมปทาน หรือให้สิทธิไม่ว่าในลักษณะใดตามนิยาม “ร่วมลงทุน” แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ และเป็นกิจการตามที่กำหนดในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ แล้ว ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13183 | โครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา 2561 - 2565) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ 1 (ปีการศึกษา 2561 - 2562) | ศธ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๕) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ ๑ (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๒) โดยมีเป้าหมายผลิตพยาบาลเพิ่มจากการรับนักศึกษาพยาบาลปกติ จำนวน ๒ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๒) จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕,๒๖๘ คน และอนุมัติให้ดำเนินการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับวงเงินงบประมาณจนสิ้นสุดโครงการ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖) จำนวน ๑,๗๕๙,๔๘๔,๙๘๔ บาท เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนการดำเนินโครงการที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ของข้อเท็จจริง พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เช่น ควรกำหนดเป้าหมายเกี่ยวกับการกระจายอัตรากำลังของพยาบาลวิชาชีพเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วให้มีการกระจายอัตรากำลังครอบคลุมประชากรทุกพื้นที่และสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่น ควรมีกระบวนการในการจัดการเรียนการสอนวิชาพยาบาลศาสตร์ที่สามารถรองรับการดำเนินงานภายใต้ระบบสุขภาพปฐมภูมิโดยทีมหมอครอบครัว และมีความสามารถในการทำงานร่วมระหว่างวิชาชีพ (Interprofessional Practice) รวมทั้งควรเพิ่มสัดส่วนการรับนักศึกษาจากพื้นที่ (Local Recruitment) ตามระดับความขาดแคลน เพื่อให้พยาบาลมีสมรรถนะที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการรับบริการสุขภาพของประชาชนในแต่ละพื้นที่ และควรพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการในการกำหนดอัตรากำลัง รูปแบบการจ้างงาน ตลอดจนภาระหน้าที่ของพยาบาลที่ช่วยดึงดูดให้พยาบาลคงอยู่ในระบบมากยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. หากกระทรวงศึกษาธิการมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๕) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ ๒ (ปีการศึกษา ๒๕๖๓-๒๕๖๕) ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13184 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 | นร11 | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ การสร้างการรับรู้และขยายหุ้นส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13185 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงวัฒนธรรม | นร10 | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้แก่กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) จำนวน ๒๐ อัตรา และกระทรวงวัฒนธรรม (สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม) จำนวน ๒๔๗ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว เห็นควรให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมตามความสามารถในการใช้จ่ายตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ) อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13186 | การเสนอโนราเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโก | วธ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เอกสารนำเสนอโนราขึ้นบัญชีเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) (สำหรับขึ้นบัญชีฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓) โดยเอกสารฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) ชื่อการนำเสนอ คือ โนรา (Nora, Dance Drama in Southern Thailand) (๒) ชื่อชุมชน/คณะ/กลุ่มบุคคล หรือปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้อง (๓) พื้นที่และขอบเขตอาณาบริเวณของเรื่องที่นำเสนอ และ (๔) หลักเกณฑ์การพิจารณาสำหรับการเสนอรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อ UNESCO ๒. ให้อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นผู้ลงนามในเอกสารฯ ในฐานะตัวแทนของประเทศไทยเพื่อเสนอขึ้นบัญชีฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13187 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 (ครั้งที่ 16) | พน | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ (ครั้งที่ ๑๖) เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีมติเห็นชอบใน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ (PDP2018) (๒) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (๓) ข้อกำหนดพื้นที่ตั้งโครงการโรงไฟฟ้าขยะของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) (๔) แนวทางการดำเนินการกับกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญา และ (๕) การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ (PDP2018) ให้กระทรวงพลังงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกระจายเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าหลักที่จะพัฒนาในระยะต่อไป การสร้างความเข้าใจด้านพลังงานให้แก่ภาคส่วนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง การพัฒนาโครงข่ายสายส่งเพื่อลดการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าประเภทที่จำเป็นต้องเดินเครื่องเพื่อรักษาความมั่นคง (Must Run) และเร่งพัฒนายกระดับโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า โดยเฉพาะในระดับโครงข่ายสายจำหน่ายให้เป็นโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อรองรับรูปแบบการผลิตและการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้โครงข่ายไฟฟ้าของประเทศสามารถรองรับเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจใหม่ด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13188 | รายงานสถานการณ์ภัยแล้งและมาตรการรับมือ | นร | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์ภัยแล้งและมาตรการรับมือ ประกอบด้วย (๑) สรุปสถานการณ์น้ำและการคาดการณ์ (๒) พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง (๓) การติดตามผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ และ (๔) การกำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13189 | ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง | กต | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย (Memorandum of Understanding on the Cooperation on Project of the Mekong-Lancang Cooperation Special Fund) มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายจีนให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนอย่างสูงสุด และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Memorandum of Understanding between Ministry of Foreign Affairs and Mekong Institute) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประสานงานระดับชาติของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นที่รับผิดชอบกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างของประเทศสมาชิก โดยจะมีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อฉลองสัปดาห์แม่โขง-ล้านช้าง (MLC Week) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘-๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ กระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ๑.๓ อนุมัติให้อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในขั้นตอนการประเมินผลโครงการ ขอให้พิจารณาประเด็นการส่งเสริมซึ่งกันและกันของโครงการภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างกับโครงการภายใต้แผนงานความร่วมมืออื่น ๆ ที่มีอยู่ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อให้การดำเนินงานของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13190 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 7 | คค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ซี่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (CBTA) การขยายพิธีสาร ๑ ของความตกลง CBTA (เส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ จุดข้ามแดน) สถานะของการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (IICABTAs) และการติดตามและประเมินผล โดยจะมีการลงนามร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13191 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (IICABTA) ในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างไทย-เมียนมา และร่างบทเพิ่มเติม (Addendum) | คค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (IICBTA) ในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างไทย-เมียนมา และร่างบทเพิ่มเติม (Addendum) รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่างไทย-เมียนมา ส่วนร่างบทเพิ่มเติม มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ แล้ว ในลำดับต่อไปควรเร่งรัดการเจรจาความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมาในการดำเนินงานตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (CBTA) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้มีการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างไทย-เมียนมา ผ่านจุดผ่านแดนและเส้นทางที่สำคัญตามแนวระเบียงเศรษฐกิจอื่นระหว่างไทย-เมียนมาต่อไป อาทิ ณ จุดผ่านแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก และตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (NSEC) และ ณ จุดผ่านแดนบ้านพุน้ำร้อน-บ้านทีกิ เมืองทวาย และตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) ที่เชื่อมโยงกับโครงการทวาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13192 | ขอความเห็นชอบเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62 (เพิ่มเติม) | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินในการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ จำนวน ๕,๐๖๘.๗๓ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) เงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวฯ จำนวน ๔,๙๕๙.๔๗ ล้านบาท และ (๒) ค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๑๐๙.๒๖ ล้านบาท ได้แก่ ค่าชดเชยต้นทุนเงิน จำนวน ๑๐๗.๘๗ ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ จำนวน ๑.๓๙ ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๕๗,๗๒๒.๖๒ ล้านบาท รวมเป็นกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๖๒,๗๙๑.๓๕ ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ ธ.ก.ส. จะต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ แยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป โดยแยกเป็นบัญชีโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และควรมีการติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสำเร็จของโครงการในการบริหารจัดการสินค้าข้าวทั้งหมดอย่างเป็นระบบในภาพรวม เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในปีต่อ ๆ ไปให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13193 | งบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๕๖,๒๐๒,๖๙๘.๓๕ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดเก็บเอกสารหลักฐานการรับและจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยโครงการฯ ให้ครบถ้วน เพื่อความถูกต้อง โปร่งใส และสามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินงานในระยะต่อไปได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13194 | ทบทวนโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ โดยให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบภายใต้สังกัดผู้บ่มอิสระ และผู้บ่มอิสระซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยา มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการฯ ในสัดส่วนตามต้นทุนดำเนินการระหว่างผู้บ่มอิสระกับเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสด ๗๐ : ๓๐ ของเงินช่วยเหลือสำหรับใบยาเวอร์ยิเนีย ๑๗.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม โดยผู้บ่มอิสระได้รับเงินช่วยเหลือ ๑๒.๒๕ บาทต่อกิโลกรัม และเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสดได้รับเงินช่วยเหลือ ๕.๒๕ บาทต่อกิโลกรัม รวมทั้งการจัดสรรค่าธรรมเนียมการบริการโอนเงินแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รายละ ๕ บาท โดยเจียดจ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณของโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยการยาสูบแห่งประเทศไทย และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การยาสูบแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด และในระยะต่อไป หากมีการดำเนินโครงการในลักษณะให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรผ่าน ธ.ก.ส. ควรให้ ธ.ก.ส. ส่งเสริมการใช้บริการพร้อมเพย์ (PromptPay) ให้สามารถดำเนินการในโครงการของรัฐได้ เพื่อลดภาระงบประมาณในการจัดสรรค่าธรรมเนียมและบริการโอนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13195 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (นายนรินทร์ กัลยาณมิตร) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายนรินทร์ กัลยาณมิตร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทน นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ที่มีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13196 | การแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (นายสุทธิพล ทวีชัยการ) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายสุทธิพล ทวีชัยการ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ต่ออีกหนึ่งวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13197 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร (จำนวน 5 คน 1. ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ฯลฯ) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร จำนวน ๕ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ๒. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ ๓. นายวิชญายุทธ บุญชิต ๔. นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร ๕. นายสุรชาติ จันทวัชรากร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13198 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 25/2562 เป็นพิเศษ ครั้งที่ 26/2562 เป็นพิเศษ และครั้งที่ 27/2562 | นร | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๕/๒๕๖๒ เป็นพิเศษ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๒ เป็นพิเศษ วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ และครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๒ เป็นพิเศษ วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13199 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. ....) | มท | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร และจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ควบคุมการขออนุญาตก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่ง ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13200 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางเทพีวรรณ จิตรวัชรโกมล) | วท | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางเทพีวรรณ จิตรวัชรโกมล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ทรงคุณวุฒิ (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิเคราะห์ทดสอบ) กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
.....