ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 657 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13121 - 13140 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13121 | มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 - 2565) | นร10 | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยมาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๒ มาตรการหลัก ได้แก่ (๑) มาตรการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การบริหารจัดการกำลังคนเพื่อรองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ กลยุทธ์การพัฒนาระบบการวางแผนและติดตามประเมินผลการใช้กำลังคน และกลยุทธ์การพัฒนาข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคน และ (๒) มาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ ประกอบด้วย การจัดสรรอัตราข้าราชการที่ว่างจากผลการเกษียณอายุ การขอจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และการบริหารอัตราข้าราชการระหว่างปีงบประมาณ ๑.๒ รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ ซึ่งเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการ การดำเนินการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น และการยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำ (๒) ผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ สรุปผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการวางแผนและบริหารกำลังคนของส่วนราชการ (๓) สรุปความคิดเห็นของส่วนราชการ และ (๔) ข้อเสนอแนะสำหรับการกำหนดทิศทางนโยบายการบริหารกำลังคนภาครัฐในระยะต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการทบทวนกรอบอัตรากำลังคนภาครัฐของแต่ละกระทรวงให้เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับมาตรการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์ ในส่วนของกลยุทธ์การพัฒนาข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคน ควรกำหนดตัวชี้วัดให้ครอบคลุมประเด็นความครบถ้วน และถูกต้องด้วย เพื่อให้ส่วนราชการสามารถมีระบบข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคนที่ถูกต้องเหมาะสม ทันสมัย และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังรองรับข้าราชการรุ่นใหม่ โดยมุ่งเน้นการบรรจุข้าราชการที่จบการศึกษาในสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการกำหนดค่าตอบแทนพิเศษเพื่อดึงดูดข้าราชการรุ่นใหม่ดังกล่าวให้เข้ามาสู่ระบบราชการเพิ่มมากขึ้นด้วย ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการบริหารจัดการกำลังคนให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ประเด็นปฏิรูปที่ ๔ ที่กำหนดให้กำลังคนภาครัฐต้องมีขนาดที่เหมาะสมและมีสมรรถนะสูง พร้อมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13122 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข (ตำแหน่งนายแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) | นร10 | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข (ตำแหน่งนายแพทย์ และทันตแพทย์) จำนวน ๑,๓๕๘ อัตรา สำหรับตำแหน่งเภสัชกร เนื่องจากจำนวนเภสัชกรที่มีอยู่ในปัจจุบันมีจำนวนใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด จึงไม่ถือเป็นตำแหน่งที่มีความขาดแคลน ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คปร. ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการวิเคราะห์พร้อมจัดทำข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการเป็นนักศึกษาคู่สัญญาของนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการบรรจุนักศึกษาคู่สัญญาที่มุ่งเน้นการกระจายบุคลากรไปยังพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนบุคลากร รวมถึงการกำหนดมาตรการสร้างแรงจูงใจในการธำรงรักษาบุคลากรให้อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นสำหรับการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปี ๒๕๖๒ เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ในแผนงานบุคลากรภาครัฐตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับการบรรจุอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการขอกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการใช้อัตราว่างที่มีอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขมาดำเนินการก่อนเป็นลำดับแรก และควรกำหนดอัตราส่วนบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขต่อจำนวนประชากรที่เหมาะสม และให้มีการกระจายบุคลากรทางการแพทย์อย่างเป็นธรรมในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การบริการสาธารณสุขในภาพรวมของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในทุกพื้นที่โดยเท่าเทียมกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13123 | การประเมินผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน | มท | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประเมินผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยกระทรวงมหาดไทย ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ได้บูรณาการร่วมกับทุกส่วนราชการในการขับเคลื่อนงาน/โครงการ และได้จัดทำโครงการประเมินผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งมีผลการประเมินใน ๘ เรื่อง ได้แก่ (๑) การบูรณาการการขับเคลื่อนงาน/โครงการต่าง ๆ (๒) การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานตามโครงการฯ ของประชาชน (๓) ระดับความรู้ ความเข้าใจของประชาชนในหลักการหรือแนวคิดของโครงการฯ ใน ๑๐ เรื่อง และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ (๔) ความสำเร็จของการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการฯ (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) (๕) ความสำเร็จของโครงการอื่น ๆ ภายใต้โครงการฯ (๖) ความสำเร็จของนโยบาย (Policy Success) (๗) การถอดบทเรียน และแบบอย่างในการปฏิบัติที่ดี (Good/Best Practices) ของทีมขับเคลื่อนฯ และ (๘) ข้อเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาประเทศตามโครงการฯ ของทีมขับเคลื่อนฯ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13124 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการก่อสร้างอาคารจอดรถของกองทัพภาคที่ 1 | กห | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองทัพบกดำเนินการก่อสร้างอาคารจอดรถของกองทัพภาคที่ ๑ วงเงิน ๑๒๓,๓๘๔,๐๐๐ บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ และยกเว้นไม่นำข้อกำหนดในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ประเด็นการก่อสร้างอาคารสูงเกินข้อกำหนดมาใช้กับการก่อสร้างอาคารจอดรถของกองทัพภาคที่ ๑ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบก รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๒๔,๖๗๖,๘๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๙๘,๗๐๗,๒๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13125 | ขออนุมัติกรอบงบประมาณในการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก พ.ศ. 2563 - 2565 | พณ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก ในกรอบวงเงินงบประมาณ ๕๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้จัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคาร และประมาณการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงของอาคารและพื้นที่ใช้สอย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาถึงความประหยัดและคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลสัมฤทธิ์ ประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณ และปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓) ทั้งนี้ ให้จัดส่งรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังกล่าวให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามปฏิทินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการทางนิติกรรมและรับโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ขอให้แจ้งกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐบาลไทยทราบ เพื่อจะได้ดำเนินการมอบอำนาจให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติราชการในประเทศที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่เป็นผู้ทำนิติกรรมและรับโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๐ ที่กำหนด ตลอดจนดำเนินการขึ้นทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลไทยในต่างประเทศให้ถูกต้อง ไปดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13126 | ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษ เรื่อง การป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย | ทส | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (Statement of ASEAN Ministers Responsible for CITES and Wildlife Enforcement on Illegal Wildlife Trade) และร่างถ้อยแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีอาเซียนฯ และร่างถ้อยแถลงข่าวร่วม ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษ เรื่อง การป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีอาเซียนฯ และร่างถ้อยแถลงข่าวร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและมุ่งเน้นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายอย่างมีแบบแผนและมีทิศทางที่แน่นอน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีอาเซียนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13127 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร09 | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... เป็นกฎหมายปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษา ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทในการบริหารและการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแนวทางการบริหารและการจัดการศึกษาในอนาคต โดยมีความเชื่อมโยงกับร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องตราเป็นพระราชกำหนดตามมาตรา ๑๗๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วไปปรับปรุงเป็นกฎหมายระดับพระราชกำหนดตามมาตรา ๑๗๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13128 | การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2562 | รง | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก ตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักรตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานหรือที่ได้รับอนุญาตทำงานในเรือประมงและมีหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมงหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว พ.ศ. .... และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักรตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานหรือที่ได้รับอนุญาตทำงานในเรือประมงและมีหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมงหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรกลับประเทศต้นทางเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการดำเนินการ และเร่งทำการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ทุกพื้นที่ รวมถึงอำนวยความสะดวกตามอำนาจหน้าที่ให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางในการร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ และกำกับดูแลมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อลดการกล่าวหาการเรียกรับหรือแสวงหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องบูรณาการการจัดเก็บข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกของแรงงานต่างด้าวกลุ่มดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานต่อแรงงานต่างด้าว ๓ สัญชาติในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13129 | ขอรับจัดสรรงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม) | กค | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๓๗,๙๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม สำหรับดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ ๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบการเพิ่มกิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือเข้าร่วมมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาภายใต้มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13130 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นางฤชุกร สิริโยธิน) | ทส | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางฤชุกร สิริโยธิน เป็นกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มีนาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13131 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาวิศวกร ตามมาตรา 24 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 (จำนวน 5 คน 1. นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ฯลฯ) | มท | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาวิศวกร สมัยที่ ๗ แทนกรรมการเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี จำนวน ๕ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มีนาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ๒. นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ ๓. นายวัลลภ รุ่งกิจวรเสถียร ๔. นายอาทร สินสวัสดิ์ ๕. นายเสถียร เจริญเหรียญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13132 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สภากาชาดไทย) | อื่นๆ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สภากาชาดไทยเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และลูกจ้างของสภากาชาดไทยซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สภากาชาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้เชิญผู้แทนสภากาชาดไทยมาหารือและพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13133 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 | มท | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อกำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบและระเบียบการแต่งเครื่องแบบของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน และแพทย์ประจำตำบล โดยเพิ่มเครื่องแบบปฏิบัติราชการอีกหนึ่งประเภท คือ เครื่องแบบคอเปิดสีน้ำเงิน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13134 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (จำนวน 10 คน 1. นายดิสทัต โหตระกิตย์ ฯลฯ) | พน | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวม ๑๐ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มีนาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. นายดิสทัต โหตระกิตย์ ประธานกรรมการ ๒. นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ กรรมการ ๓. พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา กรรมการ ๔. นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช กรรมการ ๕. นายสุธน บุญประสงค์ กรรมการ ๖. นายพรพจน์ เพ็ญพาส กรรมการ ๗. รองศาสตราจารย์พิสุทธิ์ เพียรมนกุล กรรมการ ๘. นายปกรณ์ อาภาพันธุ์ กรรมการ ๙. นางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต กรรมการ ๑๐. นายพรชัย ฐีระเวช กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13135 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ | กค | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักการของการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เพิ่มวงเงินสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชน จากเดิม ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย เป็น ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ๒. ปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับทุนจดทะเบียนหรือเงินลงหุ้นของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับวงเงินที่เพิ่มขึ้น โดยกรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประสงค์จะให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ ๕ ล้านบาท กรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประสงค์จะต้องการให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้านบาท ส่วนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อยู่เดิมหากประสงค์จะให้สินเชื่อเกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า ๕ ล้านบาท เป็นไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้านบาท เพื่อให้สะท้อนถึงความมั่นคงภายในการประกอบธุรกิจที่มีการให้สินเชื่อต่อรายในวงเงินที่สูงขึ้น ๓. ผู้ประกอบธุรกิจอาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ จากลูกหนี้รวมกันแล้วเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๓๖ ต่อปี เป็น (๑) วงเงินสินเชื่อ ๕๐,๐๐๐ บาทแรก อาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมแล้วไม่เกินร้อยละ ๓๖ ต่อปี และ (๒) วงเงินสินเชื่อส่วนที่เกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท อาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมแล้วไม่เกินร้อยละ ๒๘ ต่อปี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13136 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 | กษ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามที่ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบการเพิ่มเป้าหมายเกษตรกรในโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน จากเดิม ๑๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน เป็น ๒๔๙,๙๑๘ ครัวเรือน (เพิ่มเป้าหมาย ๙๙,๙๑๘ ครัวเรือน) โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และชดเชยต้นทุนเงิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องอันเกิดจากผลของการเพิ่มเป้าหมายดังกล่าว ให้เป็นไปตามลักษณะวิธีการที่ได้ดำเนินการมาแล้วในโครงการดังกล่าว หรือเพิ่มเติมได้ แต่ให้อยู่ภายในกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (๓,๔๕๗,๗๕๖,๒๕๐ บาท) ๒. ที่ประชุมเห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ และขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท ออกไป จากเดิมสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๓. ที่ประชุมเห็นชอบกรอบแนวทางและวิธีการเพิ่มการใช้น้ำมันปาล์มดิบ เพื่อลดสต็อกภายในประเทศ โดยให้ ๓.๑ กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มอัตราการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ เพิ่มจากเดิม ๑,๐๐๐ ตัน/วัน เป็น ๑,๕๐๐ ตัน/วัน เพื่อเร่งดูดซับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ให้เร็วขึ้น ๓.๒ กฟผ. จัดหาสถานที่รับมอบน้ำมันปาล์มดิบตามมาตรการดังกล่าวที่คลังรับฝากจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดฉะเชิงเทรา และรับมอบน้ำมันปาล์มดิบตามสัญญาส่วนที่เหลือทั้งหมดจัดเก็บที่คลังดังกล่าวโดยเร็ว โดยให้ กฟผ. ชำระเงินค่าน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ผู้ขายหลังจากที่ผู้ขายได้นำน้ำมันปาล์มดิบเข้าจัดเก็บในคลังรับฝากที่ กฟผ. จัดหาเรียบร้อยแล้ว ในราคากิโลกรัมละ ๑๘ บาท หักค่าขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากคลังรับฝากถึงโรงไฟฟ้าบางปะกงที่ผู้ขายน้ำมันปาล์มดิบต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด สำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการเก็บสต็อกและการรักษาคุณภาพ ให้กระทรวงพลังงานจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ช่วยบริหารจัดการ Supply Chain ๓.๓ มอบหมายบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สนับสนุนมาตรการเร่งรัดการใช้น้ำมันปาล์มดิบและลดสต็อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินที่มีอยู่ภายในประเทศ โดยรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน เพื่อนำไปผลิตเป็น บี ๑๐๐ บี ๒๐ หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถระบายออกนอกระบบได้โดยเร็ว และให้ ปตท. รับผิดชอบดำเนินการโดยเร่งด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13137 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 4 | กต | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๔ [The Fourth Mekong-Lancang Cooperation (MLC) Foreign Ministers’ Meeting] ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยที่ประชุมฯ ได้รับรองแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบ MLC ครั้งที่ ๔ และรับทราบข้อเสนอของจีนในการดำเนินความร่วมมือ MLC ในอนาคต เช่น การจัดตั้งระเบียงการพัฒนาเศรษฐกิจแม่โขง-ล้านช้าง ผ่านการส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพการผลิต โดยอาศัยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของแต่ละประเทศสมาชิกและการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน เป็นต้น นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกได้แสดงท่าทีในประเด็นที่สำคัญเพื่อร่วมดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ระยะ ๕ ปี ภายใต้กรอบ MLC โดยในส่วนของไทยได้เน้นย้ำการดำเนินภารกิจที่ต้องยึดตามหลักการพื้นฐานของปฏิญญาซานย่า อีกทั้งไทยได้รับข้อเสนอของจีน เช่น การจัดตั้งระเบียงการพัฒนาเศรษฐกิจแม่โขง-ล้านช้าง ผ่านการส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติและดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป การส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพการผลิต โดยอาศัยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของแต่ละประเทศสมาชิกและการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านนวัตกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนต่อไป และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในประเด็นการเร่งรัดการจัดทำแผนความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงระหว่างประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ควรให้หน่วยงานที่ดูแลภาพรวมระดับมหภาคของประเทศและระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานหลัก และควรให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักของไทยในคณะทำงานร่วมด้านศักยภาพการผลิตภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13138 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 7 | กต | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย (Minutes of the Meeting of the Seventh Session of the Joint Russian-Thai Commission on Bilateral Cooperation) ครั้งที่ ๗ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ กระทรวงการต่างประเทศ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้มีการทบทวนผลการดำเนินงานตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๖ เมื่อปี ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา และการผลักดันความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต ได้แก่ การเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การเกษตร การศึกษา วัฒนธรรม พลังงาน และสาธารณสุข รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่ไทยและรัสเซียเป็นสมาชิกร่วมกัน และมอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบติดตามและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้แก่ (๑) ไทยและรัสเซียมีความสนใจที่จะขยายความร่วมมือร่วมกันในมิติต่าง ๆ ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรม โดยฝ่ายรัสเซียประสงค์ที่จะให้มีการหารือร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งและเปิดศูนย์วัฒนธรรมรัสเซียในไทย ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องพิจารณาการจัดทำร่างความตกลงดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎระเบียบภายในประเทศและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั้งสองประเทศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรม (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรใช้ข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลไกในการแลกเปลี่ยนข้อมูล กฎระเบียบ และมาตรฐานการนำเข้าสินค้าของรัสเซีย ซี่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการประกอบธุรกิจของไทยและการส่งออกสินค้าไปรัสเซีย และ (๓) ประเด็นด้านการเมืองและความมั่นคงที่ไทยควรเร่งผลักดันคือ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงในช่วงที่ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี ๒๕๖๒ ซึ่งจะช่วยเน้นย้ำบทบาทสำคัญของไทย ตลอดจนสร้างโอกาสในการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียในระยะยาว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13139 | รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดำเนินการตามมาตรการการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีกล่าวอ้างว่าการก่อสร้างคลังก๊าซแหลมใหญ่และท่าเทียบเรือของคลังก๊าซมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประกอบอาชีพของชุมชนคลองน้อย จังหวัดสมุทรสงคราม) | สม | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดำเนินการตามมาตรการการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีกล่าวอ้างว่าการก่อสร้างคลังก๊าซแหลมใหญ่และท่าเทียบเรือของคลังก๊าซมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประกอบอาชีพของชุมชนคลองน้อย จังหวัดสมุทรสงคราม) จำนวน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) ประเด็นการดำเนินโครงการขาดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติที่รับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕๗ มาตรา ๖๖ และมาตรา ๖๗ ซึ่งรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔ (๒) การที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรสงครามพิจารณาให้บริษัท เอ็นเอสแก๊ส แอลพีจี จำกัด แก้ไขโครงสร้างท่าเทียบเรือ รวมถึงการขุดลอกร่องน้ำใหม่เป็นการใช้ดุลยพินิจไม่รอบด้าน และ (๓) การออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างท่าเทียบเรือ ขนาดไม่เกิน ๕๐๐ ตันกรอส ของบริษัท เอ็นเอสแก๊ส แอลพีจี จำกัด ขัดต่อการประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ หรือไม่ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13140 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน พ.ศ. .... | พณ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน เพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรพิจารณาการใช้บังคับมาตรการตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....