ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 656 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13101 - 13120 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13101 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ. ... | กษ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต และการโอนใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ เพื่อให้มีการจัดสรรปริมาณสัตว์น้ำให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทำการประมงและปริมาณผลิตผลสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืนตามที่กำหนดไว้ในแผนบริหารจัดการการประมง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มหลักเกณฑ์ให้ผู้ขอรับใบอนุญาตมีหลักฐานที่เกี่ยวกับการจัดระบบความปลอดภัย สุขอนามัย และสวัสดิภาพในการทำงานของคนประจำเรือไว้ในร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางในการป้องกันการมุ่งแสวงหาประโยชน์จากช่องทางการโอนสิทธิปริมาณสัตว์น้ำที่ได้รับจัดสรรให้กับผู้ประกอบการรายอื่น โดยมีกระบวนการติดตามตรวจสอบ จัดทำประวัติสถิติการจับสัตว์น้ำของเรือประมงพาณิชย์ที่ได้รับใบอนุญาต เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการตรวจสอบผลการทำประมงที่แท้จริงและใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรปริมาณการจับสัตว์น้ำให้กับผู้ประกอบการประมงในแต่ละรอบการอนุญาต รวมทั้งการจัดทำคู่มือการดำเนินการที่รัดกุมและชัดเจนในการป้องกันกรณีดังกล่าว และการบังคับใช้กฎหมายการประมงอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13102 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เห็นควรแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งให้ปลัดกระทรวงกลาโหมทราบตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยเฉพาะยานพาหนะและยุทธภัณฑ์ประจำยานพาหนะที่ใช้เพื่อการรบของต่างประเทศซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรโดยทางราชการ ควรมีความสอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยมีในสนธิสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการห้ามทดลองและไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ สนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13103 | รายงานผลการประชุมคณะทำงาน ครั้งที่ 4 และการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยว ครั้งที่ 2 ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว | กก | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมคณะทำงาน ครั้งที่ ๔ และการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยว ครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นการจัดประชุมภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองกำปอด ราชอาณาจักรกัมพูชา และมีประเด็นที่ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาจะต้องดำเนินการร่วมกัน ได้แก่ (๑) การอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการข้ามพรมแดน ไทย-กัมพูชา (๒) การตลาดร่วมกันและการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด “สองราชอาณาจักร หนึ่งจุดหมายปลายทาง” (๓) การพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านการท่องเที่ยว (๔) การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ และ (๕) การลงทุนด้านการท่องเที่ยว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ผลการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาการเดินเรือตามแนวชายฝั่งระหว่างไทย-กัมพูชา-เวียดนาม เพื่อให้มีการเดินเรือขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างกันโดยใช้ประโยชน์จากท่าเรือขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงการส่งเสริมการเชื่อมโยงทางอากาศระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งสายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายสามารถทำการบินไปยังจุดต่าง ๆ ระหว่างกันได้ โดยการขยายเส้นทางการบินไปยังจุดบินต่าง ๆ ควรคำนึงถึงความต้องการของตลาด ความพร้อมของสายการบิน และความคุ้มค่าในการเปิดให้บริการ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ สำหรับการดำเนินการขั้นต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศอันดับแรก โดยเฉพาะด้านความมั่นคงและการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควรเร่งศึกษาแนวทางการจัดทำ ASV ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง หรือ ACMECS ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดเพื่อให้ได้กลไกการดำเนินการที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13104 | ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามการก่อการร้ายทางนิวเคลียร์ | วท | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามการก่อการร้ายทางนิวเคลียร์ (International Convention for the Suppression of Acts of Nuclear Terrorism) โดยไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ เป็นการกำหนดพันธกรณีที่รัฐภาคีจะต้องดำเนินการตามหลักการของกฎบัตร UN เกี่ยวกับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การส่งเสริมความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือระหว่างรัฐ ซึ่งครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น การระบุเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน โดยใช้วัสดุกัมมันตรังสีหรือวัสดุนิวเคลียร์ และการก่อวินาศกรรมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และโรงงานหรือยานพาหนะที่มีวัสดุกัมมันตรังสีหรือวัสดุนิวเคลียร์ เป็นต้น ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ ๓. มอบหมายให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นหน่วยประสานงานหลักระดับชาติในการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ภายหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13105 | รายงานผลการจัดศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) | รง | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตั้งอยู่ ณ จังหวัดชลบุรี มีภารกิจในการบริหารจัดการข้อมูลแรงงานในพื้นที่ และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ในการวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังแรงงาน โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ และได้แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนภารกิจ บริหารจัดการ วางแผน กำหนดกรอบแนวทางการบริหารจัดการ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำแผนการดำเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ประกอบด้วย แผนระยะสั้น (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒) แผนระยะกลาง (๑-๕ ปี) และแผนระยะยาว (๖-๑๐ ปี) ๒. การแต่งตั้งคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC-HDC) เพื่อขับเคลื่อนภารกิจส่งเสริมและสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของบุคลากรทั้งด้านความสามารถ ทักษะ และองค์ความรู้ เพื่อรองรับการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยคณะทำงานฯ อยู่ระหว่างจัดทำฐานข้อมูลกำลังแรงงาน ๓. ฐานข้อมูลกำลังแรงงานในเบื้องต้น กระทรวงแรงงานได้รวบรวมข้อมูลกำลังแรงงานจากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยข้อมูลกำลังแรงงานที่มีอยู่ ความต้องการแรงงานในปี ๒๕๖๒ และกำลังแรงงานใหม่ในปี ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13106 | สรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 25 (The 25th Meeting of Mekong River Commission Council) | ทส | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๕ (The 25th Meeting of Mekong River Commission Council) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ เมืองฮาลอง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีอุปทูต ณ กรุงฮานอย เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือและกำหนดนโยบายความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน การบริหารองค์กรของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และกำหนดแนวทางความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา หุ้นส่วนการพัฒนาและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติอนุมัติแผนปฏิบัติการประจำปี ๒๕๖๒ ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ประกอบด้วย รายรับ ๑๕.๘๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จากเงินอุดหนุนของประเทศสมาชิกและอื่น ๆ) และรายจ่าย ๑๕.๘๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินกิจกรรมหลัก เช่น การศึกษาวิจัย การจัดทำกลยุทธ์ และการจัดทำแนวปฏิบัติการดำเนินงาน เป็นต้น และขอให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงปรับปรุงขอบเขตกิจกรรมโครงการตามความเห็นของประเทศสมาชิก เช่น การพัฒนาศูนย์บริหารจัดการและบรรเทาน้ำท่วม การริเริ่มกิจกรรมพยากรณ์น้ำท่วมในแม่น้ำสาขา การจัดทำคำแนะนำสำหรับการออกแบบระบบชลประทานที่เป็นมิตรต่อการประมง และการพัฒนานักวิชาการรุ่นเยาว์ของประเทศสมาชิก เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามปฏิญญาเสียมราฐ ๒๕๖๑ ที่สำคัญ เช่น การระบุโอกาสในการพัฒนาและความท้าทายของลุ่มแม่น้ำโขงผ่านการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำและโครงการร่วมระหว่างประเทศสมาชิก การเพิ่มพูนความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรความร่วมมือในภูมิภาค และการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนกับองค์กรภาคเอกชน เป็นต้น รวมทั้งรับทราบสาระสำคัญและข้อเสนอจากการจัดทำกลยุทธ์การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืน ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ได้แก่ การวางแผนร่วมและโครงข่ายเชื่อมโยงด้านพลังงานจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่ประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้น และการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำควรดำเนินการควบคู่กับพลังงานแหล่งอื่น ๆ ซึ่งมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการพัฒนาและบริหารโครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13107 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 10/2561 คดีหมายเลขแดงที่ ฟร. 1/2562 ระหว่าง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน ฟ้องคณะรัฐมนตรี ที่ 2 กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของกฎที่ออกโดยความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้อง | นร05 | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. ๑๐/๒๕๖๑ คดีหมายเลขแดง ที่ ฟร. ๑/๒๕๖๒ ระหว่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ ๑ กับพวกรวม ๕ คน ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรีที่ ๒ กับพวกรวม ๓ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของกฎที่ออกโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้อง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13108 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 49 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน - 31 ธันวาคม 2561) | นร04 | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๙ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑) ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การแก้ไขความเดือดร้อนในพื้นที่เกี่ยวกับเรื่องที่ดินทำกิน สาธารณูปโภค สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ และ (๒) การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย ด้านความมั่นคง ด้านสังคมจิตวิทยา ด้านเศรษฐกิจ ด้านการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านการต่างประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13109 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2562 | กษ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตามที่คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้
๑. การบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวผลแห้งภายใต้กรอบความตกลงของเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปี ๒๕๖๒ ที่ประชุมเห็นชอบให้ชะลอการนำเข้ามะพร้าวผลแห้งภายใต้กรอบ AFTA ปี ๒๕๖๒ โดยขอให้ผู้ประกอบการรับซื้อผลผลิตมะพร้าวผลแห้งภายในประเทศก่อน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ๒. แนวทางการดำเนินงานตามข้อเรียกร้องของเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๒ ที่ประชุมเห็นชอบให้การป้องกันการลักลอบนำเข้ามะพร้าวผลแห้งผิดกฎหมายอยู่ในการกำกับดูแลของคณะทำงานการแก้ไขปัญหาการนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม ภายใต้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13110 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R - Bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 | กค | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ R-Bill ที่ครบกำหนด ซึ่งเป็นหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (พ.ร.ก. FIDF 3) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ R-BRill ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกู้เงินระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อายุ ๑ เดือน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ เบิกเงินกู้เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ ๑.๗๕๐๐๐ ต่อปี ๒. การกู้เงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ระยะสั้นในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยการออก R-Bill รุ่นอายุ ๑๘๒ วัน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๑.๗๖๗๙๒ ต่อปี ๓. การออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินโดยการออก R-Bill จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13111 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2560 | สธ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ โดยผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า งบการเงินแสดงฐานะทางการเงินของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13112 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน 2562) | คค | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ (สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา และบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๙ สายวงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ของวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งประชาสัมพันธ์ช่วงเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งเห็นควรให้กรมทางหลวงบูรณาการการทำงานร่วมกับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เพื่อป้องกันและลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13113 | ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องมีมาตรฐานเป็นไปตามที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด จากเดิมที่กำหนดให้สุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์คุณภาพสุราและหน่วยงานที่เป็นผู้ออกใบอนุญาตให้นำสุราเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ควรเป็นหน่วยงานเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13114 | การให้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า สำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back - to - Back Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) | พณ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ไทยดำเนินการให้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back-to-Back Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back-to-Back Certificate to Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้กลไกการประชุมคณะอนุกรรมการความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า (SC-AROO) ผลักดันให้ประเทศสมาชิกทุกประเทศดำเนินการติดตามผลการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าในรูปแบบดังกล่าว และควรให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางดำเนินงานในการป้องกันการสวมสิทธิโดยการปลอมแปลงถิ่นกำเนิดสินค้าจากประเทศนอกอาเซียนที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งควรมีกรอบแผนงานติดตามรูปแบบการค้าดังกล่าว (Monitoring Framework) และสนับสนุนกรมศุลกากรในการจัดเก็บสถิติการค้าสินค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม เพื่อใช้ประโยชน์ในการเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตและสะท้อนผลที่เกิดจากความร่วมมือของอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13115 | การต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ | พณ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ไปอีก ๒ ปี คือ ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยการแลกเปลี่ยนหนังสือ (Exchange of Notes) ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เพื่อให้รัฐบาลไทยสามารถเข้าร่วมประมูลขายข้าว G to G กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์เสนอการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ๒ ปีดังกล่าว และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ทั้งนี้การต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ในครั้งนี้เป็นรูปแบบเดียวกับการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ล่าสุดที่ได้หมดอายุเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริมาณการซื้อขายข้าวระหว่างกันไม่เกิน ๑ ล้านตันต่อปี โดยมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับอุปสงค์ของตลาด สถานการณ์การผลิตและปริมาณข้าวของแต่ละประเทศ และราคาตลาดระหว่างประเทศที่มีการซื้อขายจริงในขณะนั้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เนื่องจากการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ครั้งที่ผ่านมา ฝ่ายฟิลิปปินส์มิได้มอบหนังสืออำนาจเต็มของฝ่ายฟิลิปปินส์ และแจ้งในภายหลังว่า ในกรณีนี้ ฟิลิปปินส์ไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเต็ม ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงควรหารือกับฝ่ายฟิลิปปินส์ว่า ในครั้งนี้มีความจำเป็นต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็มหรือไม่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13116 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อนำไปชำระให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาศาลฎีกา (กรณีต้นกล้ายางชำถุง) | กษ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๓,๐๗๐,๒๘๑.๗๑ บาท เพื่อนำไปชำระให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาศาลฎีกา (กรณีต้นกล้ายางชำถุง) ให้ครบถ้วนโดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตรรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อสอบสวนหาผู้รับผิดกรณีเกิดความเสียหายแก่ทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็ว และเพื่อให้การดำเนินโครงการด้านการเกษตรในระยะต่อไปเป็นไปด้วยความรอบคอบและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรพิจารณาความจำเป็นในการกำหนดความเสี่ยงและแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการส่งเสริมด้านการเกษตรตั้งแต่ในขั้นตอนการจัดเตรียมโครงการ โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต และการกระจายหน้าที่ความรับผิดชอบในการจัดหาปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะหากต้องจัดหาในจำนวนมาก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้ยึดประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13117 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 | กษ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี ๒๕๖๑/๖๒ ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังฤดูกาลทำนา (พืชไร่ และพืชผัก) จำนวน ๔.๘๗ ล้านไร่ ช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริงในอัตราไร่ละ ๖๐๐ บาท ครัวเรือนละไม่เกิน ๑๕ ไร่ โดยใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒,๙๒๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การสนับสนุนปัจจัยการผลิตไร่ละ ๖๐๐ บาท ครัวเรือนละไม่เกิน ๑๕ ไร่ เป็นการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางในลักษณะงบดำเนินงาน ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบความเหมาะสมของอัตราค่าใช้จ่ายจากกระทรวงการคลังก่อน ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและค่าธรรมเนียมโอนเงิน ในกรอบวงเงิน ๒,๒๗๒,๙๐๐ บาท เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริงหรือให้เป็นตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๓ สำหรับค่าใช้จ่ายบริหารโครงการฯ ได้แก่ ค่าประชาสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายในการยืนยันสิทธิ์และออกใบรับรอง และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ/รับรองพื้นที่ให้ผลผลิต เป็นต้น ในกรอบวงเงิน ๘,๑๕๔,๖๐๐ บาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จากผลผลิต/โครงการ/กิจกรรมหรือรายการ ที่คาดว่ามีงบประมาณเหลือจ่าย หรือจากรายการที่มีผลการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารโครงการฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ ได้แก่ การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด การพิจารณาถึงหลักการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรโดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งการปรับโครงสร้างการผลิตให้มีความสมดุลของผลผลิตและความต้องการที่จะนำไปสู่การสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร ทั้งในด้านรายได้และคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน การติดตามตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรอย่างละเอียด โดยต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชจริงตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น การดำเนินการศึกษาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นให้ครบถ้วนรอบด้าน การสำรวจปริมาณความต้องการของเกษตรกรก่อนดำเนินโครงการฯ และการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกับโครงการพัฒนาศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร กิจกรรมส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง หรือโครงการอื่นของภาครัฐที่มีวัตถุประสงค์ใกล้เคียงกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. การดำเนินโครงการด้านการเกษตรในระยะต่อไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการจัดการด้านเกษตรกรรมให้สอดคล้องกับการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area Based) และแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) โดยส่งเสริมให้เกษตรกรร่วมกันดำเนินการในลักษณะกลุ่มพื้นที่เฉพาะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13118 | การนำที่ดินขององค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี | มท | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ครั้งที่ ๔๗-๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ให้นำที่ดินขององค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล หรือตามกฎหมายเฉพาะ (พื้นที่การประปาส่วนภูมิภาค ในบริเวณสถานีจ่ายน้ำวัดภูเขาแก้ว) มาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข๗ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมกับจัดระเบียบแปลงที่ดินใหม่ โดยมีพื้นที่ดำเนินโครงการรวม ๙๖ ไร่ ๑ งาน ๖๑.๘๐ ตารางวา เจ้าของที่ดิน ๑๒ ราย รวมถึงที่ดินขององค์การของรัฐบาลซึ่งเป็นที่ตั้งของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) (สถานีจ่ายน้ำวัดภูเขาแก้ว) อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ประมาณ ๒๙ ไร่ ๒ งาน ๘๒ ตารางวา และภายหลังการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินฯ แล้ว ที่ดินของรัฐในความดูแลของ กปภ.จะมีขนาดพื้นที่เท่าเดิม ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๕๖ มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ (สำหรับพื้นที่สาธารณะและพื้นที่จัดหาประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐๖ และ ๐.๕๘ ตามลำดับ และพื้นที่เอกชนลดลงร้อยละ ๗.๕๔)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13119 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ปรินดา จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดเพชรบุรี | อก | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างตามคำขอประทานบัตรที่ ๓-๔/๒๕๕๓ ของบริษัท ปรินดา จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้บริษัทฯ มีการวางแผนการทำเหมืองแร่เช่นเดียวกันกับประทานบัตร และ/หรือคำขอประทานบัตรที่อยู่ในพื้นที่ติดต่อกัน และพื้นที่เป็นแหล่งแร่หินอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การจัดการด้านความปลอดภัยตามเทคโนโลยีการทำเหมืองแร่ การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ที่สิ้นสุดการใช้ประโยชน์เพื่อการทำเหมืองแร่แล้ว และในอนาคตควรมีการพิจารณาศึกษาทางเลือกประกอบการตัดสินใจที่เหมาะสมในภาพรวมอย่างเร่งด่วน รวมทั้งวางแผนบริหารจัดการแร่ในภาพรวมทั้งเชิงพื้นที่และรายชนิดแร่ การประเมินคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ การประเมินสถานการณ์และพิจารณาขีดจำกัด และความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อการทำเหมืองในภาพรวมให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน และกำหนดเขตแหล่งแร่อย่างเหมาะสมและยั่งยืน ตามแนวทางของแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำกับให้บริษัทฯ ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13120 | การดำเนินโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win) | ยธ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไปเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยมีแผนดำเนินโครงการฯ เช่น จัดทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ๑๕๐ สถานี ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน ๒๕๖๒ และจัดทนายความอาสาตอบปัญหากฎหมายทางเว็บไซต์ที่ทำการสภาทนายความ เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ที่ต้องดำเนินการในปี ๒๕๖๒ ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ดำเนินการตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน โดยคำนึงถึงลำดับความจำเป็นเร่งด่วนภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม และประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควร (๑) จัดให้มีการฝึกอบรมหรือมีกระบวนการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการให้แก่ทนายอาสาก่อนที่จะเริ่มทำหน้าที่ตามโครงการดังกล่าว รวมทั้งมีมาตรการป้องกันและมาตรการในการกำกับดูแลและลงโทษ หากปรากฏกรณีทนายความอาสาที่ทำหน้าที่บริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายดังกล่าวมีการเรียกรับผลประโยชน์หรือค่าบริการให้คำปรึกษาหรือค่าว่าความ หรือไปรับทำหน้าที่เป็นทนายความว่าต่าง แก้ต่างคดีในคดีที่ให้คำปรึกษาดังกล่าวเสียเอง (๒) โครงการดังกล่าวยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวชี้วัดหรือรายละเอียดเกี่ยวกับการประเมินผลความสำเร็จ (Evaluation) ของโครงการว่าจะวัดผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการอย่างไร หรือการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการใช้จ่ายที่คุ้มค่ากับงบประมาณหรือไม่ (๓) กำหนดแนวทางปฏิบัติหรือระเบียบที่จะให้ถือเอาบันทึกข้อเท็จจริง บันทีกปากคำ พยานเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุ และรายละเอียดแห่งคดีที่ขอรับคำปรึกษา ที่ทนายความอาสาได้จัดทำขึ้นเป็นส่วนหนี่งของจำนวนการสอบสวนด้วย และ (๔) จัดให้มีการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ ผู้ได้รับผลกระทบ ผู้มีส่วนได้เสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....