ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 761 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15201 - 15220 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15201 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงาน "โครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ 1" | อื่นๆ | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ ๑ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร จากจำนวน ๑๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๒๔,๘๕๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒๖,๐๖๖,๙๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๙๘,๗๘๓,๑๐๐ บาท ให้ราชวิทยาลัยจุฬากรณ์จัดทำรายละเอียดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ การก่อหนี้ผูกพัน หรือการจ่ายเงิน ค่าควบคุมงานโครงการดังกล่าว ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะต้องดำเนินการให้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15202 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะครบระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ โดยให้ยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการขยายฐานการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความครอบคลุมสินค้าและผู้ประกอบการต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ สร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ และควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับในครั้งนี้ให้ชัดเจน และกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนการเงินการคลังและงบประมาณของรัฐ ตามนัยของมาตรา ๒๗ และมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15203 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "สังคมผู้สูงอายุ : ระเบียบวาระแห่งชาติ" ของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “สังคมผู้สูงอายุ : ระเบียบวาระแห่งชาติ” โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติม เช่น ควรเพิ่มประเด็นที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีศักยภาพ มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีงานทำ รวมถึงมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น และควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงข้อมูลผู้สูงอายุทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15204 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี พ.ศ. .... | มท | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลกระเสียว ตำบลสามชุก และตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองและควรคำนึงถึงการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ ควรยกเว้นให้สามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรและใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ ควรเพิ่มประเภทโรงงาน สำหรับที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม รวมทั้งควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน แหล่งน้ำสาธารณะ ตลอดจนพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อรักษาฐานเศรษฐกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15205 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ กรณีศึกษาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ กรณีศึกษาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับรายงานฯ ของคณะกรรมาธิการฯ และมีข้อสังเกตว่า การแก้ไขกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ควรปรับให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีด้วย เช่น อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุทางวัฒนธรรมที่ถูกขโมยหรือส่งออกโดยมิชอบ ค.ศ. ๑๙๙๕ อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ ค.ศ. ๒๐๐๑ เป็นต้น ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15206 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... | กค | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายเกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการที่ให้บริการทางสังคม ผ่านหน่วยงาน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล เพื่อช่วยเหลือประชาชนในภาวะลำบากทุกประเภท ตลอดจนการจัดประชารัฐสวัสดิการ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพิ่มศักยภาพ และพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมอย่างครบวงจรสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นควรกำหนดลักษณะของรายจ่ายสวัสดิการและหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนให้ชัดเจน และควรมอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมพิจารณารายจ่ายเงินของกองทุนมิให้มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานภาครัฐอื่น รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจและฐานรากอย่างเคร่งครัดด้วย นอกจากนี้ ควรเพิ่มปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15207 | การรับรองร่างปฏิญญาอูลานบาตอร์และแผนปฏิบัติการกรอบเซนไดของภูมิภาคเอเชีย สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งเอเชียว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ประจำปี พ.ศ. 2561 ณ กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย | มท | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญาอูลานบาตอร์ (Ulaanbaatar Declaration) และร่างแผนปฏิบัติการกรอบเซนไดของภูมิภาคเอเชีย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ (Action Plan 2018-2020 : Asia Regional Plan for Implementation of the Sendai Framework for Disaster Risk Reduction 2015-2030) และอนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งเอเชียว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย (The 2018 Asian Ministerial Conference on Disaster Risk Reduction : AMCDRR 2018) ระหว่างวันที่ ๒-๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงอูลานบาตอร์ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย เป็นผู้รับรองเอกสารดังกล่าว โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นคำประกาศแสดงเจตจำนงทางการเมืองของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งภูมิภาคเอเชียประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่จะร่วมให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติตามกรอบเซนไดฯ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับนโยบายระหว่างประเทศอื่น ๆ ส่วนร่างแผนปฏิบัติการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศสมาชิกและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภูมิภาคเอเชียนำไปใช้เป็นแผนที่นำทางสำหรับขับเคลื่อนและดำเนินการตามกรอบเซนไดฯ ระยะการดำเนินงาน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๓) ด้วยการกำหนดเป้าหมายร่วมของภูมิภาคที่ควรบรรลุทุก ๆ ๒ ปี (Milestones) และจะมีการทบทวนผลการดำเนินงานและปรับเป้าหมายดังกล่าวร่วมกันในการประชุม AMCDRR ทุกครั้ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เช่น ควรมีการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ และการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนจัดการภัยพิบัติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15208 | แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ | มท | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบกรณีบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ. การบินไทย) เห็นชอบให้สายการบินซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ เป็นสายการบินพันธมิตรในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และการลงนามในข้อตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยกับสายการบินซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา โดยข้อตกลงดังกล่าวมีข้อกำหนด (๑) การขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ให้แบ่งจำนวนผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ฝ่ายละครึ่งหนึ่งระหว่างสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยกับสายการบินแห่งชาติของประเทศซาอุดีอาระเบีย (๒) ไม่อนุญาตให้สายการบินของประเทศอื่นนอกจากสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยและประเทศซาอุดีอาระเบียดำเนินการขนส่ง เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย และ (๓) ดำเนินการโดยรูปแบบเที่ยวบินเช่าเหมาลำเท่านั้น ๒. เห็นชอบยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๘ และเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย และมีมติใหม่กำหนดให้สายการบินแห่งชาติที่รัฐบาลประเทศซาอุดีอาระเบียมอบหมาย และ บมจ. การบินไทย รับผิดชอบในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยแบบเช่าเหมาลำตามความตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยกับกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ และกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย ที่จะมีขึ้นในแต่ละปี ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15209 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 2 | กค | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๔,๒๔๙.๒๕ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๘๘,๘๘๓.๔๘ ล้านบาท เป็น ๑,๕๘๔,๖๓๔.๖๔ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๓,๐๒๔.๐๘ ล้านบาท จากเดิม ๑๗๑,๒๖๓.๕๖ ล้านบาท เป็น ๑๘๔,๒๘๗.๒๓ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงิน และ/หรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ รับทราบแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วเงินคลัง วงเงิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นตราสารหนี้ระยะยาว ๑.๗ รับทราบประมาณการการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว และพื้นที่ทางการค้า (Fiscal Space) ในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๗๐ และแนวทางการบริหารหนี้สาธารณะภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายเงินและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางในการบริหารเงินคลังในแต่ละช่วงเวลาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศและลดภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันมาตรการสร้างแรงจูงใจและส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทและเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15210 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ปูนซีเมนต์หลวง จำกัด (มหาชน) ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอเอ็ม และ ๑ บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดาน (เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์) ตามคำขอประทานบัตรที่ ๖-๑๙/๕๔ รวม ๑๔ แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอเอ็ม (ในเขตประทานบัตรที่ ๑๗๓๑๕/๑๔๖๖๗) เพื่อเป็นเส้นทางการขนส่งแร่หรือดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ที่มิใช่การทำเหมืองแร่ ในระหว่างที่ยังไม่สามารถออกประทานบัตรใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวได้ ตามนัยความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการกำกับดูแลให้บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ขอให้พึงระวังผลกระทบต่อแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ข้างเคียง เนื่องจากพื้นที่ที่ดำเนินการขอผ่อนผันเป็นพื้นที่ต้นน้ำ แต่มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการป้องกันและติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำพื้นที่ข้างเคียงและมาตรการป้องกันการชะล้างการพังทลายของดิน อันก่อให้เกิดตะกอนสะสมในพื้นที่ด้านล่าง รวมทั้งการฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำด้วย เป็นต้น และข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมที่ให้บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ และขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๕. ให้คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเร่งรัดการจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ให้แล้วเสร็จและให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15211 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์) | นร08 | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15212 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกุยบุรี และตำบลกุยเหนือ อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | คค | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกุยบุรี และตำบลกุยเหนือ อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔ กับถนนองค์การบริหารส่วนจังหวัดกุยบุรี-ทุ่งน้อย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15213 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4021 สายต่อเขตเทศบาลเมืองภูเก็ตควบคุม-ห้าแยกฉลอง ที่บ้านโคกโตนด และเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4024 สายห้าแยกฉลอง-ราไวย์ ที่บ้านโคกโตนด พ.ศ. ....) | คค | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๑ สายต่อเขตเทศบาลเมืองภูเก็ตควบคุม-ห้าแยกฉลอง ที่บ้านโคกโตนด และเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๔ สายห้าแยกคลอง-ราไวย์ ที่บ้านโคกโตนก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๑ สายต่อเขตเทศบาลเมืองภูเก็ตควบคุม-ห้าแยกฉลอง ที่บ้านโคกโตนด และเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๔ สายห้าแยกฉลอง-ราไวย์ ที่บ้านโคกโตนด ในท้องที่เทศบาลตำบลราไวย์ และเทศบาลตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อขยายทางหลวงชนบท ชบ.๑๐๓๒ และสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ กับทางหลวงชนบท ชบ.๑๐๓๒ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และควรพิจารณาจัดทำแนวทางการพัฒนาโครงข่ายถนนสายรอง เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าระหว่างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกกับท่าเรือแหลมฉบังที่มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของประเทศ พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาโครงข่ายที่คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วน ความสอดคล้องกับสภาพการพัฒนาพื้นที่และชุมชนที่อยู่บริเวณตามแนวเส้นทาง เพื่อให้การลงทุนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15214 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดตราเครื่องหมายการยาสูบแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | กค | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตราเครื่องหมายการยาสูบแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรูปลักษณะตราเครื่องหมายการยาสูบแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรเพิ่มคำอธิบายเกี่ยวกับความหมายของรูปตราดังกล่าว รวมทั้งสีของตราเครื่องหมายไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15215 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการเล่นกีฬาในกลุ่มเด็ก กรณีศึกษาการเล่นกีฬามวยในกลุ่มเด็ก ของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง สภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการเล่นกีฬาในกลุ่มเด็ก กรณีศึกษาการเล่นกีฬามวยในกลุ่มเด็ก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีข้อคิดเห็นต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เช่น ควรนำผลการพิจารณาศึกษามาปรับปรุงระเบียบแนวทางการพิจารณาอนุญาตจัดให้มีการเล่นพนันชกมวยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี ควรกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการชกมวยเด็ก เป็นต้น รวมทั้งได้มีข้อสังเกตว่า การชกมวยไม่เกี่ยวกับผลกระทบต่อสติปัญญาเท่าใดนัก โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน และการชกมวยช่วยส่งเสริมศิลปะมวยไทยและพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจในเรื่องของความกล้าหาญ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15216 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2561 และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน | มท | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งพบว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนฯ (จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิต) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเฉลี่ย ๓ ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตสูงสุด คือ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และตัดหน้ากระชั้นชิด จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ จังหวัดนครราชสีมา และประเภทรถที่ทำให้เสียชีวิตสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ในการนี้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้มีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน โดยปรับปรุงแนวทางและมาตรการเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง ๓ ด้าน ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement) ด้านวิศวกรรมจราจร (Engineering) และด้านการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ และจิตสำนึก (Education) ซี่งมีแนวทางและมาตรการที่ปรับเพิ่มขึ้น เช่น (๑) แยกประเภทรถจักรยานยนต์ตามขนาดความแรงของเครื่องยนต์ (cc) ให้ชัดเจน พร้อมทั้งออกกฎหมายรองรับการใช้ความเร็วและการขอใบอนุญาตขับขี่ตามประเภทของรถจักรยานยนต์ โดยคำนึงถึงกลุ่มอายุผู้ขับขี่ และ (๒) ผลักดันให้มีการจัดทำช่องทางเดินรถสำหรับรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะถนนเส้นทางที่วางแผนจะสร้างใหม่ และ (๓) จัดหาเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ เช่น อุปกรณ์ควบคุมผู้กระทำผิดแทนการจำคุกในเรือนจำหรือกำไล EM (Electronic Monitoring) เป็นต้น ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15217 | ขออนุมัติร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ ทวิภาคี (JC) ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ 9 | กต | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๙ (9th Meeting of the Joint Commission between the Kingdom of Thailand and the Republic of Indonesia : JC) โดยสาธารณรัฐอินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพการประชุมดังกล่าวระหว่างวันที่ ๕-๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะดำเนินการร่วมกัน และประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายจะกำหนดแนวทางแก้ไขและขจัดปัญหาอุปสรรค พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้าเพื่อประโยชน์ในการดำเนินความสัมพันธ์ โดยมีประเด็นที่จะมีการหยิบยกขึ้นหารือระหว่างการประชุมฯ ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านกฎหมายและกงสุล ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต และด้านความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมุ่งเน้นการเสริมสร้างผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises : MSMEs) ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro enterprise) เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในระดับพื้นที่ของอนุภูมิภาค IMT-GT โดยการพัฒนา MSMEs จะเป็นการเพิ่มโอกาสแก่ผู้ประกอบการทุกขนาดของทั้งสองประเทศในการเข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลกมากขึ้น นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15218 | การยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 | วท | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนที่เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยทั้งระบบ (รวมถึงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทน การประเมิน และการบริหารงานของคณะกรรมการองค์การมหาชน) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ และคณะอนุกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เช่น ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หาแนวทางสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติงานมีขีดความสามารถด้านวิจัยสูงขึ้น และให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนที่เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยในการนำเสนอให้แบ่งเป็นระยะ ๆ ตามความจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละหน่วยงาน ๒. เห็นชอบในหลักการของการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในการจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เช่น ควรคำนึงถึงประชาชนหรือกลุ่มผู้รับประโยชน์เป็นเป้าหมายหลัก และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารืออย่างใกล้ชิดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมในทุกระดับของหน่วยงานในระบบวิจัยและผู้ใช้ประโยชน์ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแนวทางการจัดตั้ง Holding Company ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบเอกชน ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๓๔ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเช่น ควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ สวทช. สำหรับการจัดตั้ง Holding Company ที่ดำเนินการในรูปแบบเอกชน และควรคำนึงถึงการนำระบบธรรมาภิบาลมาใช้ในการกำกับดูแลกิจการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของงานวิจัยและนวัตกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้เป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนการยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมของประเทศให้เหมาะสมและมีความยั่งยืนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15219 | การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร07 | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15220 | ร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... | นร07 | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณนรายจ่าย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบ มีสาระสำคัญให้โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการ ไปตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน เป็นจำนวน ๑๒,๗๓๐,๔๙๗,๗๐๐ บาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....