ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 765 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15281 - 15300 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15281 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนมีนาคม 2561 | พณ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๕ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๐๘.๕ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๖ (YoY) ชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับร้อยละ ๔.๓ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยสาขาบริการสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ การขายปลีก การเงิน การขนส่ง และที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สำหรับดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในไตรมาสที่ ๑ ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ เทียบกับร้อยละ ๑๐.๐ ในไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๐ โดยสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวสูงสุด ส่วนสาขาสำคัญอื่น ๆ ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ทั้งการขายปลีก การขนส่ง การเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา ขยายตัว ๘ สาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น ประกอบด้วย ๔ สาขา ได้แก่ กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย การศึกษา บริการสุขภาพ และกิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ ส่วนสาขาที่ยังคงขยายตัวแต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้ามี ๔ สาขา ได้แก่ การขายส่งและการขายปลีก การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ขณะที่สาขาที่หดตัวมี ๕ สาขา ประกอบด้วย การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน และศิลปะ ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาขายส่งและการขายปลีก ที่พักแรม บริการด้านอาหาร สาขาขนส่ง บริการทางการเงิน สาขาสุขภาพ และอสังหาริมทรัพย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15282 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรวมธุรกิจ การขอวินิจฉัยล่วงหน้า และการขอคัดหรือรับรองสำเนาเอกสาร พ.ศ. .... | พณ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรวมธุรกิจ การขอวินิจฉัยล่วงหน้า และการขอคัดหรือรับรองสำเนาเอกสาร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรวมธุรกิจ การขอให้วินิจฉัยล่วงหน้า และการขอคัดหรือรับรองสำเนาเอกสาร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15283 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | ปง | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีรายละเอียดที่สำคัญรวม ๗ ด้าน คือ (๑) ผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามการฟอกเงิน (๒) ผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันการฟอกเงิน (๓) ผลการปฏิบัติงานด้านการกำกับและตรวจสอบผู้มีหน้าที่รายงาน (๔) ผลการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๕) ผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ๔ คณะตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้แก่ คณะกรรมการ ปปง. คณะกรรมการธุรกรรม คณะอนุกรรมการในคณะกรรมการ ปปง. และคณะกรรมการเปรียบเทียบ (๖) ผลการปฏิบัติงานด้านการแก้ไขกฎหมายและออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (๗) ผลการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ตามที่สำนักงาน ปปง. เสนอ ๒. เห็นชอบให้นำข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้แก่ การที่สำนักงาน ปปง. ยังคงมีภารกิจต้องรายงานความคืบหน้าในการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่อ [Asia-Pacific Group on Money Laundering (APG)] ทุกปี ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ดังนั้น สำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคดังกล่าว อันจะส่งผลเป็นการยกระดับการดำเนินงานตามมาตรฐานสากลด้าน AML/CFT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนปัญหาอุปสรรคด้านการประชาสัมพันธ์ในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบนั้น สำนักงาน ปปง. อาจขอให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อรองรับการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว และให้นำรายงานดังกล่าวพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15284 | รายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินการโครงการในวาระแห่งชาติด้านวัคซีน ภายใต้นโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | สธ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินการโครงการในวาระแห่งชาติด้านวัคซีน จำนวน ๑๐ โครงการ ภายใต้นโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓) ซึ่งดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการคลังเก็บวัคซีนมาตรฐานของภูมิภาค และโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตวัคซีนป้องโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์ ๒. โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๗ โครงการ แบ่งเป็น (๑) โครงการที่ดำเนินงานได้สำเร็จตามตัวชี้วัด จำนวน ๕ โครงการ เช่น โครงการจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ทรัพยากรชีวภาพทางการแพทย์เพื่องานวิจัยพัฒนาด้านวัคซีน โครงการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านวัคซีน โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านวัคซีนอย่างเป็นระบบ เป็นต้น และ (๒) โครงการที่การดำเนินงานยังมีความล่าช้า ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จำนวน ๒ โครงการ เช่น โครงการวิจัยพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกสู่ระดับอุตสาหกรรมในประเทศ ๓. โครงการที่ผู้รับผิดชอบขอยุติการดำเนินงาน จำนวน ๑ โครงการ คือ โครงการขยายกำลังการผลิตวัคซีนป้องกันวัณโรคเพื่อรองรับการจำหน่าย UNICEF
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15285 | รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การประชุมคณะกรรมการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริของส่วนราชการในพระองค์ร่วมกับคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ เพื่อติดตามผลการดำเนินการจัดทำโครงสร้างและแนวทางการดำเนินการของโครงการจิตอาสาพระราชทาน (๒) จิตอาสาได้ปฏิบัติหน้าที่ในงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ระหว่างวันที่ ๘ กุมภาพันธ์-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า และ (๓) จัดกิจกรรม “จิตอาสาพาทัวร์” ในพื้นที่ปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง จำนวน ๘ จังหวัด เพื่อให้คนชรา คนพิการ และเด็กกำพร้าที่เป็นผู้ด้อยโอกาสได้มีโอกาสเข้าร่วมชมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ๒. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) จัดกิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง ประชามีสุข เพื่อพัฒนาคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา จังหวัดเชียงใหม่ (๒) จัดกิจกรรม Kick off โครงการขุดลอก ลำห้วย คูคลอง และปรับภูมิทัศน์รอบหนองหารถึงเกาะดอนสวรรค์ สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จังหวัดสกลนคร และ (๓) จัดกิจกรรมปรับภูมิทัศน์และขุดลอกวัชพืชบริเวณคลองส่งน้ำ คลองเจริญ เขตเทศบาลนครอุดรธานี เชื่อมต่อกับเขตเทศบาลหนองสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15286 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายวีระพันธ์ อภัยรัตน์) | นร06 | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวีระพันธ์ อภัยรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15287 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานสิทธิมนุษยชนที่สำคัญของประเทศไทย ภายใต้รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างปี พ.ศ. 2557-2561 | ยธ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานสิทธิมนุษยชนที่สำคัญของประเทศไทย ภายใต้รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยสาระสำคัญของรายงานฯ แบ่งเป็น ๒ ส่วน จากผลงานที่สำคัญของรัฐบาลซึ่งมีผลต่อการพัฒนาประเทศในภาพรวม ได้แก่
๑. ส่วนที่ ๑ ความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ กล่าวถึงรัฐธรรมนูญ นโยบายของรัฐบาล พัฒนาการด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน กลไกสิทธิมนุษยชน และพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ๒. ส่วนที่ ๒ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง การสร้างการรับรู้และหน้าที่พลเมือง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15288 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 1/2561 | อื่นๆ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในการประชุมฯ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ๔ ยุทธศาสตร์ ซึ่งมีโครงการตามยุทธศาสตร์ทั้งสิ้น ๓๔ โครงการ ดำเนินการแล้วเสร็จ ๑๒ โครงการ (ร้อยละ ๓๕.๓) และอยู่ระหว่างดำเนินการ ๒๒ โครงการ (ร้อยละ ๖๔.๗) โดยมอบหมายให้ สพร. พิจารณาจัดทำโครงการสำคัญ (Flagship) เพื่อพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล เพื่อรองรับนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เพิ่มเติมด้วย ๒. ที่ประชุมฯ เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยกำหนดให้ดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลา ๓ ปี ภายใต้ ๔ แนวทาง คือ (๑) ด้านการบริการประชาชนด้วยดิจิทัล (๒) ด้านการบริหารราชการแผ่นดินด้วยดิจิทัล (๓) ด้านการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างมีคุณภาพ และ (๔) ด้านความมั่นคงปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภาครัฐ และเห็นชอบในหลักการให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี โดยให้หารือในรายละเอียดกับรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ต่อไป ๓. นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ให้ สพร. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการนำเครื่องมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น Cloud หรือ Big Data มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ และตอบสนองความต้องการของประชาชนในการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งพัฒนาศูนย์บริการร่วมเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (OSS) ให้เป็นศูนย์กลางการให้บริการภาครัฐแบบออนไลน์เพียงแห่งเดียว และให้หน่วยงานภาครัฐรับแนวคิดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลไปปฏิบัติโดยมุ่งเน้นการลดภาระของประชาชนในการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15289 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 สายกรุงเทพมหานคร - แม่สาย (เขตแดน) รวมทางยกระดับอนุสรณ์สถานแห่งชาติ - รังสิต ตอนบ้านห้วยยาง - บ้านพุแค เป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน | คค | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ สายกรุงเทพมหานคร-แม่สาย (เขตแดน) รวมทางยกระดับอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต ตอนบ้านห้วยยาง-บ้านพุแค เป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน มีสาระสำคัญเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ สายกรุงเทพมหานคร-แม่สาย (เขตแดน) รวมทางยกระดับอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต ตอนบ้านห้วยยาง-บ้านพุแค ได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15290 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในความร่วมมือทางวิชาการในสาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบของแต่ละประเทศบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยความร่วมมือจะดำเนินการในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้แทนของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งการจัดสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ การศึกษาดูงาน และการพัฒนาโครงการที่เห็นชอบร่วมกัน ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดพิธีลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศสามารถเชิญผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้าร่วมในกระบวนการทำงานหรือให้ความรู้เพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะในประเด็นที่ทั้งสองประเทศอาจจะยังขาดองค์ความรู้ เพื่อยกระดับความสามารถของทั้งสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15291 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านโคก-ม่วงเจ็ดต้น จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | มท | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านโคก-ม่วงเจ็ดต้น จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลม่วงเจ็ดต้นและตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม และพื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ รวมถึงควรมีการตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติ และควรจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้เป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย ควรมีการยกเว้นให้สามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรและใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ได้ รวมทั้งควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่อนุรักษ์ป่าไม้ ตลอดจนพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และบริเวณริมฝั่งแหล่งน้ำสาธารณะเพื่อรักษาฐานเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพดีอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15292 | ขออนุมัติความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมประจำปีของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงประเทศสมาชิก BIMSTEC ครั้งที่ 2 และเห็นชอบในหลักการต่อการรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงประเทศสมาชิก BIMSTEC ครั้งที่ 3 | นร08 | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมประจำปีของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงประเทศสมาชิก BIMSTEC ครั้งที่ ๒ [มีการจัดประชุมไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ] และเห็นชอบในหลักการต่อการรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงประเทศสมาชิก BIMSTEC ครั้งที่ ๓ ณ ประเทศไทย (จะมีการจัดประชุมภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร) โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการจัดการประชุมดังกล่าว โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ครั้งที่ ๒ เป็นเอกสารแสดงเจตจำนงในการกำหนดแนวทางความร่วมมือในอนาคตร่วมกันของประเทศสมาชิกในกลุ่ม BIMSTEC เช่น การจัดเตรียมแผนปฏิบัติการที่ครอบคลุมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลของประเทศสมาชิก การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอวกาศระหว่างประเทศสมาชิก การจัดตั้งสภาวิทยาศาสตร์เทือกเขาหิมาลัยภายใต้กรอบ BIMSTEC เพื่อศึกษาเกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยาบริเวณเทือกเขาหิมาลัย เป็นต้น ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายพลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ในกรณีการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมประจำปีของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงประเทศสมาชิก BIMSTEC ครั้งที่ ๓ ณ ประเทศไทย หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณซึ่งก่อให้เกิดภาระงบประมาณหรือภาระการคลังในอนาคต ที่เข้าข่ายตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15293 | หนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องในการซื้อที่ดิน อาคาร และห้องชุด เพื่อใช้เป็นที่พำนักและที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลในดินแดนของแต่ละฝ่ายระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจอร์แดน | กต | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องในการซื้อที่ดิน อาคาร และห้องชุด เพื่อใช้เป็นที่พำนักและที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลในดินแดนของแต่ละฝ่ายระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจอร์แดน มีสาระสำคัญเพื่อขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนโฉนดที่ดินจากรัฐบาลจอร์แดน และมีรายละเอียดเกี่ยวกับ (๑) ให้รัฐบาลของแต่ละฝ่ายสามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาคาร และห้องชุดสำหรับใช้เป็นที่พำนักและที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลในดินแดนของอีกฝ่ายได้ (๒) ให้รัฐบาลของแต่ละฝ่ายได้รับการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการโอนกรรมสิทธิ์สำหรับการซื้อที่ดิน อาคาร และห้องชุดดังกล่าว และ (๓) ให้หนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าวมีผลนับจากวันที่รัฐบาลจอร์แดนอนุมัติการซื้อที่ดินของรัฐบาลไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาดำเนินการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว ขอให้เป็นไปอย่างโปร่งใส และคุ้มค่า โดยคำนึงถึงเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในโอกาสต่อไปหากกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องในการซื้อที่ดิน อาคาร และห้องชุด เพื่อใช้เป็นที่พำนักและที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลในดินแดนของแต่ละฝ่ายระหว่างรัฐบาลไทยกับประเทศต่าง ๆ ดังเช่นกรณีนี้อีก ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาประเด็นการให้ส่วนราชการอื่น ๆ ที่ประจำอยู่ในประเทศที่กระทรวงการต่างประเทศจะมีการจัดซื้อหรือก่อสร้างอาคารเข้ามาอยู่รวมกันตามนโยบาย One Roof Policy ด้วย ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการติดต่อประสานงานระหว่างส่วนราชการและบุคลากรภายนอกที่มาติดต่อ รวมทั้งสอดคล้องกับหลักการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามมาตรา ๒๓ วรรคสี่ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)] ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการทำหนังสือสัญญาตามมาตา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงควรปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๐ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย โดยกำหนดว่าการทำหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน ส่วนการทำสัญญาซื้อขายนั้น เมื่อดำเนินการแล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ ไปหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15294 | ผลการหารือทวิภาคีของนายกรัฐมนตรีในห้วงการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS Summit) ครั้งที่ 6 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | กต | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในห้วงการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS Summit) ครั้งที่ ๖ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การหารือฯ กับนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เช่น การส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาพิสูจน์สัญชาติแรงงานลาวในไทยให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ และการเพิ่มเส้นทางหมายเลข ๑๒ ให้เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศ และการเปิดพื้นที่ควบคุมร่วมกันที่จุดผ่านแดนมุกดาหาร-สะหวันนะเขต (๒) การหารือฯ กับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เช่น การสนับสนุนและดูแลการลงทุนของภาคเอกชนไทยในด้านการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี และการธนาคาร และ (๓) การหารือฯ กับมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น การสนับสนุนบทบาทของไทยในการเป็นประธาน ACMECS อาเซียน และเอเปคในระหว่างปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ และการสร้างความร่วมมือในลักษณะไตรภาคีระหว่างไทย-จีน-ญี่ปุ่น ภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิบัติให้เป็นไปตามผลการหารือฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เช่น หน่วยงานด้านความมั่นคงควรเตรียมการที่จำเป็นสำหรับรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่มีแนวโน้มขยายตัวจากความเชื่อมโยง รวมทั้งการแลกเปลี่ยนทางการค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดความมั่นคงร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป การเพิ่มบทบาทความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และให้ระมัดระวังในประเด็นความมั่นคงโดยเฉพาะกรณีการจัดตั้งศูนย์บูรณาการความร่วมมือการบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคงล้านช้าง-แม่โขง ที่อาจจะกระทบต่อเขตแดนและอธิปไตยของไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15295 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ | นร11 | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การเตรียมการจัดทำแผนแม่บทเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ชาติ (๒) การดำเนินการตามแผนการปฏิรูป (๓) การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ (๔) การสร้างการรับรู้และขยายหุ้นส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และ (๕) การบูรณาการข้อมูลสวัสดิการภาครัฐ สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป จะดำเนินการนำร่างระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมทั้งจะเปิดระบบ eMENSCR เพื่อใช้เป็นกลไกในการติดตามการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ๒. นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการว่า การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศจะต้องให้ความสำคัญกับภาระงบประมาณของประเทศและการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ในการดำเนินการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ให้กำหนดตัวชี้วัดที่มีความยืดหยุ่นพอสมควรด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15296 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 | กค | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวนทั้งสิ้น ๖,๔๕๔,๑๖๘.๘๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๐๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๕,๑๔๕,๐๒๘.๙๘ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๑๘,๘๙๘.๑๖ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๓๘๑,๐๔๖.๙๔ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๙,๑๙๔.๘๑ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ซึ่งได้มีการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๑ มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๖๐,๑๔๗.๐๔ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๕๐,๑๒๑.๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๖๒ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจพบว่า มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ มีการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15297 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเลิกอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารของนายทหารสัญญาบัตรยศจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ หรือพลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก ที่ครองอัตราจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ รับเงินเดือนระดับ น.๙ เป็นกำหนดให้นายทหารสัญญาบัตรยศพลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก อัตราเงินเดือนพลเอกพิเศษ พลเรือเอกพิเศษ พลอากาศเอกพิเศษ ให้ได้รับเงินเดือนระดับ น.๙ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างและการบริหารจัดการกำลังพลของกระทรวงกลาโหม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ ระเบียบ และอัตราตำแหน่งเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขยศทหาร อัตรา และระดับเงินเดือนของนายทหารสัญญาบัตรนั้น อาจส่งผลกระทบต่อข้าราชการตำรวจและข้าราชการประเภทอื่นโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15298 | ขอความเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยอมตะ (Amata University) จัดการศึกษาหลักสูตรของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันในประเทศไทย | ศธ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้มหาวิทยาลัยอมตะ (Amata University) จัดการศึกษาในหลักสูตร Master of Science (M.S.) in Engineering (Intelligent Manufacturing System) ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University : NTU) ในประเทศไทย ตามความในข้อ ๔ แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๙/๒๕๖๐ เรื่อง การส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับแนวปฏิบัติของหน่วยราชการและรัฐวิสากิจในการติดต่อกับฝ่ายไต้หวัน เช่น การดำเนินการใด ๆ จะต้องกระทำด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเศรษฐกิจ วิชาการ สังคม และวัฒนธรรม และไม่ให้มีการจัดทำเอกสารใด ๆ กับฝ่ายไต้หวัน ในลักษณะเป็นความตกลงระหว่างประเทศ (รัฐบาลไทยและรัฐบาลไต้หวัน) ก่อนดำเนินการในขั้นตอนอื่น ๆ ต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น หากผู้สำเร็จการศึกษาจาก NTU ประสงค์จะเข้ารับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนจำเป็นต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการรับรองคุณวุฒิและการกำหนดเงินเดือน ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๔.๓/ว ๑๔ ลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ และการส่งเสริมสนับสนุนหรือมีมาตรการจูงใจให้ผู้สำเร็จการศึกษาได้ทำงานในประเทศไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย คพอต. ประสานงานกับบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจัดทำข้อตกลงเพิ่มเติมที่บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) จะจัดทำกับ NTU มีความสอดคล้องกับข้อตกลงการจัดการศึกษา โดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศที่จัดทำระหว่าง คพอต. และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15299 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2560/2561 | อก | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ในเขตคำนวณราคาอ้อย ๑ ๒ ๓ ๔ ๖ ๗ และ ๙ ในอัตรา ๘๘๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๕๒.๘๐ บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ เท่ากับ ๓๗๗.๑๔ บาทต่อตันอ้อย ๑.๒ กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ในเขตคำนวณราคาอ้อย ๕ ในอัตรา ๘๓๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๙.๘๐ บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ เท่ากับ ๓๕๕.๗๑ บาทต่อตันอ้อย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ให้เกิดความเป็นธรรมต่อเกษตรกรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สอดคล้องกับพันธกรณีที่ไทยมีอยู่กับต่างประเทศ และเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้เร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทรายให้สอดคล้องกับแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๑ เรื่อง การแก้ไขปัญหากฎหมายเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ เช่น การพิจารณาแนวทางในการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การค้าน้ำตาลทรายของโลก และเร่งดำเนินการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด มีความสอดคล้องกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยในระยะยาวต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15300 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตะกุด และตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... | คค | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตะกุด และตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสาย ข๒ ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองสระบุรี และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปดำเนินการสำรวจและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แล้วเสร็จตามแผนการที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....