ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 769 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15361 - 15380 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15361 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2561) | นร | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15362 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2561 | พณ | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการจัดสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ (Special 301) ประจำปี ๒๕๖๑ โดยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative : USTR) ได้ประกาศผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ซึ่งประเทศไทยได้รับการปรับสถานะให้ดีขึ้นจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List : PWL) เป็นบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List : WL) เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยสหรัฐฯ แสดงความพอใจต่อนโยบายและผลการดำเนินการของประเทศไทย เช่น การให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบการคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากระดับนโยบายสูงสุดของรัฐบาล การแก้ไขปัญหางานค้างสะสม การจดทะเบียนสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า เป็นต้น รวมทั้งมีข้อกังวล/ข้อเสนอแนะ เช่น การบังคับใช้กฎหมายที่ยังคงพบสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาประสานข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการทำงานให้เกิดผลอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านการค้าและการลงทุนของประเทศ และรักษาสถานะของประเทศไทยไว้ในบัญชี WL หรือผลักดันให้ประเทศไทยหลุดจากทุกบัญชีในอนาคต และควรเร่งดำเนินการแก้ไขข้อกังวลของสหรัฐฯ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและนักลงทุนต่างชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ ในรายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๑ เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากทุกบัญชีตามผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15363 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๔๖ โดยรายงานนี้กล่าวถึงการรับการใช้จ่ายเงินที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ผลการดำเนินงานของ กกพ. สำนักงาน กกพ. และกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในปีที่ล่วงมา รวมทั้งเหตุผลในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ งบการเงิน และบัญชีทำการพร้อมทั้งรายงานของผู้สอบบัญชี และแผนงานที่จะดำเนินการในภายหน้าของ กกพ. สำนักงาน กกพ. และกองทุนฯ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15364 | การปรับปรุงชื่อหน่วยงานขององค์ประกอบภายใต้คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2560 (เพิ่มเติม) | คค | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงชื่อหน่วยงานขององค์ประกอบภายใต้คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๔ คณะ ประกอบด้วย (๑) คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อประสานงานกับองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (๒) คณะกรรมการร่วมถาวรไทย-มาเลเซีย ว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านแดนมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ (๓) คณะกรรมการผู้แทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศกับรัฐบาลต่างประเทศเป็นประจำ และ (๔) คณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15365 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านคมนาคม ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น | คค | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านคมนาคม ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น (Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism : MLIT) ระหว่างวันที่ ๔-๗ เมษายน ๒๕๖๑ ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ประกอบด้วย โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และโครงการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางรถไฟ (๒) โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นช่วยเร่งรัดบริษัท Hitachi ในการผลิตและส่งมอบตัวรถให้ได้ตามกำหนดการหรือเร็วกว่าเดิม (๓) การร่วมพัฒนาโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ฝ่ายญี่ปุ่นสนใจเข้าร่วมพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ ๓ และโครงการบริหารจัดการระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางของทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมา (๔) ความช่วยเหลือทางวิชาการ ฝ่ายญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือในการทำการศึกษา ๒ โครงการ ได้แก่ การศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบการขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ ๒ (M-MAP 2) และการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีบางซื่อ (๕) ความร่วมมือด้านการบิน ฝ่ายไทยได้ขอให้ MLIT พิจารณาคำขอในการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ-ฮาเนดะ นาริตะ ฮอกไกโด ของบริษัทการบินไทยฯ (๖) ความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน ฝ่ายญี่ปุ่นได้ร่วมวางมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนให้ไทย และ (๗) การศึกษาดูงาน คณะผู้แทนไทยได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัท Honda สถานีขนส่งของบริษัท JR Bus Kanto และโรงงานของบริษัท Hitachi ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตขบวนรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15366 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee : EC) ครั้งที่ 1/2561 | นร11 | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee : EC) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๕-๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นางปัทมา เธียรวิศิษฏ์สกุล) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซี่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้วาระใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR) (๒) การจัดทำรายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปค เรื่อง การปฏิรูปโครงสร้างและโครงสร้างพื้นฐานปี ๒๕๖๑ (APEC Economic Policy Report on Structural Reform and Infrastructure : AEPR 2018) (๓) การวิเคราะห์ทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจของกลุ่มเอเปค (๔) การจัดกิจกรรมการหารือเชิงนโยบายภายใต้กลุ่มธรรมาภิบาลภาครัฐ (Public Sector Governance : PSG) เรื่อง ภาครัฐแบบเปิด (Open government) (๕) การหารือระดับนโยบายเรื่อง การตรวจสอบผลการดำเนินงานด้านความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Policy Discussion on Ease of Doing Business Stocktake) (๖) การหารือระดับนโยบายเรื่อง การให้บริการภาครัฐในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Policy Discussion on Provision of Public Services in Electronic Format : Public E-Services) และ (๗) การส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) สู่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลางและรายย่อยระดับโลก (Promoting E-Commerce to Globalize Micro-Small and Medium Enterprises : MSMEs) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15367 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 23 ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558-2565 | คค | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๒๓ ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๗-๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทยและรองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนเป็นประธานร่วม รวมทั้งความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้คณะทำงานด้านเทคนิคกระชับการเจรจาสัญญา ๒.๓ เพื่อส่งเสริมการปรึกษาหารือและการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ๒. ฝ่ายไทยตกลงที่จะไม่จัดตั้งศูนย์ควบคุมการเดินรถ (ผังการเดินรถ) สำรองสำหรับโครงการระยะแรก (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เตรียมการเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์หลัก (เซิร์ฟเวอร์) ของระบบควบคุมการเดินรถจากศูนย์กลางสำรองไว้ใช้งาน ณ เชียงรากน้อย ในโครงการระยะที่สอง (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ๓. ฝ่ายไทยจะดำเนินการให้มีการหารือร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในประเด็นการจ่ายไฟจากแหล่งไฟฟ้าภายนอกสำหรับโครงการ โดยฝ่ายจีนจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนด้านเทคนิคอย่างเต็มที่ ๔. ฝ่ายไทยรับทราบรายงานความเห็นต่อผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการระยะที่สอง (นครราชสีมา-หนองคาย) ที่ฝ่ายจีนได้นำส่งให้ฝ่ายไทยแล้ว โดยฝ่ายจีนจะประมาณการราคาระบบไฟฟ้าและเครื่องกลรถไฟของโครงการระยะที่สองตามมาตรฐานรถไฟจีนต่อไป ๕. ฝ่ายจีนอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นสำหรับช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ และโดยที่โครงการในช่วงเส้นทางดังกล่าวเกี่ยวข้องกับไทย-ลาว-จีน จึงเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกการหารือสามฝ่ายระหว่างไทย-ลาว-จีน เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันในประเด็นด้านเทคนิคและพิธีการศุลกากร ๖. ฝ่ายจีนเห็นชอบที่จะจัดเตรียมและนำส่งหลักสูตรการฝึกอบรมวิศวกรไทยด้านเทคโนโลยีการออกแบบรถไฟความเร็วสูงให้ฝ่ายไทย และเห็นว่าการฝึกอบรมอาจจะสามารถจัดขึ้นในประเทศไทยได้ ๗. โดยที่ไทยอยู่ระหว่างการจัดตั้งองค์กรใหม่เพื่อรับผิดชอบการบริหารจัดการเดินรถไฟความเร็วสูง ฝ่ายไทยจึงขอให้ฝ่ายจีนถ่ายทอดประสบการณ์ในการจัดตั้งองค์กรและส่วนที่เกี่ยวดังกล่าวต่อไป ๘. ฝ่ายจีนยินดีที่จะให้การสนับสนุนฝ่ายไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบราง ๙. ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายจีนสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการส่งเสริมขีดความสามารถการทดสอบการก่อสร้าง การติดตั้ง การตรวจสอบ และการซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย ๑๐. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักการให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๒๔ ณ วันที่ ๑๘-๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15368 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 454) พ.ศ. 2549] | กค | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกมาตรการส่งเสริมทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๕๔) พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยเป็นการยกเลิกการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ บางกรณี ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ ตลอดจนผลกระทบต่อรายได้ของรัฐ ความน่าเชื่อถือในนโยบายส่งเสริมการลงทุน และความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้เสียภาษีที่ได้รับสิทธิประโยชน์อยู่แล้วประกอบด้วย นอกจากนี้ ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ตามมาตรการทางภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้อย่างน้อย ๓ ปี เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15369 | โครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 | พน | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ ๓ ในวงเงินลงทุนรวม ๗,๒๕๐ ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงโครงการโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ ๓ เข้ากับระบบไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่ง กฟผ. ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนไว้แล้ว (ปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้ารวม ๕,๐๐๐ เมกะวัตต์) และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๖๑ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕๓.๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ การจัดทำแผนรองรับความเสี่ยงในการดำเนินโครงการฯ และการควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้าในภาพรวม ที่สอดคล้องกับหลักการในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ โดยให้ดำเนินการจัดทำแผนดังกล่าวให้แล้วเสร็จก่อนการริเริ่มลงทุนโครงการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าในระยะต่อไป ๓. สำหรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในอนาคต หรือการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในระยะต่อไป ให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำปัจจัยด้านความสามารถของระบบส่งไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐาน หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องของ กฟผ. ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ และต้นทุนในการพัฒนาหรือก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าใหม่ที่จะมารองรับหรือเชื่อมต่อโครงการโรงไฟฟ้ามาประกอบการพิจารณาริเริ่มโครงการลงทุนหรือประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหม่ด้วย เพื่อป้องกันมิให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนและผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15370 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียม เลขที่ 3/2515/7 เลขที่ 5/2515/9 และเลขที่ 3/2549/71 (การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 3/2549/71) | พน | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. ให้บริษัท เชลล์ อินทีเกรทเต็ด แก๊ส ไทยแลนด์ พีทีอี ลิมิเต็ด โอนสิทธิประโยชน์ และพันธะ ซึ่งถืออยู่ทั้งหมดในอัตราร้อยละ ๒๒.๒๒๒๒ ตามสัมปทานปิโตรเลียม เลขที่ ๓/๒๕๑๕/๗ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข ๑๖ และ ๑๗ และสัมปทานปิโตรเลียม เลขที่ ๕/๒๕๑๕/๙ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข ๑๕ ให้แก่บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ๒. ให้บริษัท ไทยเอนเนอร์จี จำกัด โอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะ ซึ่งถืออยู่ทั้งหมดในอัตราร้อยละ ๒๒.๒๒๒๒ ตามสัมปทานปิโตรเลียม เลขที่ ๓/๒๕๔๙/๗๑ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G12/48 ให้แก่บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15371 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาให้ผู้ประกอบการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้บริการครัวการบินแก่สายการบินที่เปิดให้บริการเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานแห่งอื่นนอกเหนือจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการครัวการบิน (Catering Services) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครั้งที่ .. ระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กับบริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด และร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการครัวการบิน (Catering Services) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครั้งที่ .. ระหว่าง ทอท. กับบริษัท แอลเอสจี สกายเชฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาแล้ว ก่อนการลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม โดยสาระสำคัญของร่างสัญญาเป็นการเพิ่มเงื่อนไขให้ผู้รับอนุญาตสามารถใช้พื้นที่โครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นฐานการผลิตเพื่อให้บริการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานแห่งอื่นนอกเหนือจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรให้ ทอท. ติดตามและประเมินประสิทธิภาพการให้บริการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการครัวการบินแก่สายการบินที่ให้บริการเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และพิจารณาเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับความต้องการใช้บริการครัวการบินที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขให้ ทอท. มีสิทธิยกเลิกข้อตกลงได้ หากท่าอากาศยานแห่งอื่นมีความพร้อมที่จะเปิดให้มีการแข่งขันในการให้บริการครัวการบิน และเมื่อแก้ไขสัญญาแล้ว ทอท. ควรกำกับติดตามให้การดำเนินงานตามสัญญาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดของสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสิทธิภาพการดำเนินงาน รายได้ และขีดความสามารถในการให้บริการครัวการบินแก่เที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กำหนดกลไกการติดตามและประเมินผลให้ผู้ประกอบการครัวการบินดำเนินการตามเงื่อนไขของสัญญาโครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่เสนอแก้ไขเพิ่มเติมมาในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15372 | ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติเพื่อการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค กำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ไม่ใช่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่เห็นควรกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติให้มีความรัดกุม เหมาะสม และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้การจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคเป็นตัวแทนในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคและสามารถดำเนินการร่วมกับภาครัฐได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ประเด็นเกี่ยวกับแหล่งรายได้ในการดำเนินกิจการของสำนักงานคณะกรรมการสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ ซึ่งกำหนดให้รัฐบาลพึงจัดสรรให้เป็นจำนวนที่เพียงพอนั้น ควรปรับแก้ไขถ้อยคำเพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณและสอดคล้องกับการรักษาวินัยทางการเงินการคลังของรัฐด้วย รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในประเด็นเกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ บทบาทและภารกิจอาจซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นของรัฐ กลไกการตรวจสอบการใช้เงินสนับสนุนจากรัฐ การกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติต้องรักษาวินัยทางการเงินการคลัง การกำหนดบทบาทภารกิจให้ชัดเจนและการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การกำหนดชื่อร่างพระราชบัญญัติไม่ควรมีคำว่า “แห่งชาติ” ตลอดจนการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15373 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐลัตเวียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐลัตเวียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Latvia on Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic, Service and Official Passports) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม และอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายลัตเวียเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า ออก แวะผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน ภายในระยะเวลา ๑๘๐ วันใด ๆ นับตั้งแต่วันที่เดินทางเข้า โดยมีเงื่อนไขว่า บุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการของตนเองหรือกิจการงานส่วนตัวอื่นในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ กำหนดจะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๑ ที่ประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15374 | ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... | คค | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ราคาเริ่มต้น ๑๖ บาท ราคาสูงสุด ๔๒ บาท แต่เนื่องจากการปรับปรุงอัตราค่าโดยสารดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งตามสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกำหนดให้ต้องประกาศราชกิจจานุเบกษาให้ประชาชนทราบก่อนวันใช้บังคับไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน (โดยจะต้องประกาศให้ทราบก่อนวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๑) ประกอบกับตามสัญญาฯ กำหนดให้หากภาครัฐไม่ดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้า คู่สัญญาสามารถใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากภาครัฐได้ ดังนั้น จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยไปดำเนินการเจรจากับคู่สัญญาในการยืดระยะเวลาการปรับอัตราค่าโดยสาร โดยรัฐบาลไม่ต้องชดเชยแต่ประการใด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ไปดำเนินการเจรจากับคู่สัญญาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งการแบ่งเบาภาระประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยต้องดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายและสัญญาที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15375 | การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) | มท | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ประกอบด้วย ๑๒ โครงการ ๒ แผนงาน วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๙๙,๙๔๓.๖๘ ล้านบาท และโครงการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินร่วมลงทุน ๗,๗๕๒.๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในส่วนของบริษัท พีอีเอฯ ในวงเงิน ๗๗๙.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยงและควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ การพิจารณาความเป็นไปได้ในการบริหารและใช้ประโยชน์สินทรัพย์ที่เกิดจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ การเร่งรัดการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าฯ (ปรับแผนการลงทุน) การคำนึงถึงผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงการลงทุนดังกล่าว และการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนการดำเนินงานและการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการจัดทำแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าของ กฟภ. ในระยะต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานบูรณาการรวมแผนระบบไฟฟ้าดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนพลังงานในภาพรวมของประเทศ (ประกอบด้วย ๕ แผนหลัก) และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาในคราวเดียวกัน เพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมและเกิดความมั่นคงทางด้านพลังงาน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินและทบทวนแผนพลังงานในภาพรวมทั้ง ๕ แผนหลักอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อให้สามารถปรับปรุงแผนพลังงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. ดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาระบบไฟฟ้าที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ก่อนนำโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. เร่งพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตลอดจนติดตาม ประเมินผล แล้วรายงานผลการดำเนินงานต่อกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15376 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติ | นร11 | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้พิจารณาและแก้ไขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ แล้ว โดยได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างยุทธศาสตร์ชาติตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้คำนึงถึงสภาวการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงไปและอยู่นอกเหนือการควบคุมและอาจส่งผลต่อร่างยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด เป็นต้น รวมทั้งมีการปรับปรุงแก้ไขตัวชี้วัด ประเด็นยุทธศาสตร์ และการใช้คำศัพท์ให้ถูกต้อง เหมาะสม และสามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติปรับแก้ไขถ้อยคำตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้อง ชัดเจน แล้วให้นำเสนอประธานกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ชาติฉบับภาษาอังกฤษสำหรับใช้ในการเผยแพร่และสร้างการรับรู้แก่ประเทศต่าง ๆ และองค์การระหว่างประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15377 | หลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... พร้อมปฏิทินโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... พร้อมปฏิทินโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15378 | การประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) ครั้งที่ 8 | กต | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนแม่บท ACMECS ระยะ ๕ ปี (ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๓) [ACMECS Master Plan (2019-2023)] และร่างปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ของการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๘ (8th ACMECS Summit) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยแผนแม่บทฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ในยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ส่วนร่างปฏิญญากรุงเทพฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกัน ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ ๘ และเป็นผู้ร่วมให้การรับรองแผนแม่บทฯ และร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินภารกิจเพื่อการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ ๘ ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนแม่บทฯ และร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุน ACMECS (ACMECS Fund) หรือกองทุนและทรัสต์เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ACMECS (ACMECS Infrastructure Fund and Trust) เห็นควรให้มีการหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดตั้ง เพื่อให้สามารถดำเนินการให้เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในทางปฏิบัติ รวมทั้งในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณแผ่นดินจะต้องมีการพิจารณาตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในภายหลัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15379 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม 2561 และแนวโน้มปี 2561 | อก | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๒.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ น้ำตาลทราย การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และน้ำมันพืช ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๓๘๐.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๒.๙ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๗,๔๙๖.๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๕.๙ (YoY) ด้านสถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ การประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ๓๔๖ โรงงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๔.๕ และมียอดเงินลงทุนรวม ๑๑,๙๐๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๑๓.๖ ขณะที่การเลิกกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ ๑๒๗ ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๒.๓ และมีเงินทุนของการเลิกกิจการมีมูลค่ารวม ๑,๙๔๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑๕.๒ ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย ปี ๒๕๖๑ จะขยายตัวเป็นบวกในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๐ (ปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๒.๕) โดยมีการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ สำหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15380 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นางเกศณีย์ ผลานุวงษ์) | กต | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางเกศณีย์ ผลานุวงษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....