ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 763 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15241 - 15260 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15241 | สัญญาความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Arrangement) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังญี่ปุ่น | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงสัญญาความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Arrangement : BSA) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้เสนอให้มีการปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องที่เกิดจากปัญหาการขาดดุลการชำระเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมีการเจรจาปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA มาอย่างต่อเนื่องจนสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกัน และคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๑ อนุมัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA โดยจัดทำเป็นสัญญาความตกลงฉบับใหม่ (ร่างสัญญาความตกลง BSA ฉบับปรับปรุง) และมีกำหนดลงนามในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ร่างสัญญาความตกลง BSA ฉบับปรับปรุง มีสาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงจากฉบับปัจจุบัน เช่น (๑) ขยายสัดส่วนวงเงินการเบิกถอนในกรณีที่ไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF De-linked Portion : IDLP) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๓๐ (๙๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นร้อยละ ๔๐ ของวงเงินสุดสุด (๑,๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ (๒) ปรับแก้สัญญาโดยกำหนดเพิ่มให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถเลือกเบิกถอนเป็นเงินสกุลเงินเยนได้ นอกเหนือจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15242 | การแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี | อก | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนแปลงจาก อธิบดีกรมการบินพลเรือน หรือผู้แทน กรรมการ เป็น อธิบดีกรมท่าอากาศยาน หรือผู้แทน กรรมการ ๒. เปลี่ยนแปลงจาก ผู้อำนวยการสำนักควบคุมวัตถุอันตราย กรรมการ เป็น ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กรรมการ ๓. เพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน เป็นกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15243 | ขอความเห็นชอบในการจัดทำร่างความตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนา | กห | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนา และให้เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม โดยร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการวิจัยและพัฒนาที่อยู่ในความสนใจของทั้งสองฝ่ายในลักษณะต่างตอบแทนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันในเชิงมูลค่า คุณภาพ และปริมาณ ซึ่งจะทำให้กระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศสามารถนำข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ทางทหารที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และศึกษาร่วมกันได้ นอกจากนี้ ร่างความตกลงฯ ได้กำหนดแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ โดยให้มีการจัดทำภาคผนวกการแลกเปลี่ยนข้อมูล (EA) ในแต่ละเรื่อง/โครงการของข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาในรายละเอียดให้สอดคล้องกับร่างความตกลงฯ และกำหนดให้ภาคีแต่ละฝ่ายเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าวภายใต้ความตกลงนี้ โดยมีกำหนดการลงนามวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ ให้กระทรวงกลาโหมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงกลาโหมที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับเพื่อการดังกล่าวไว้แล้วตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยกระทรวงกลาโหมจะต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติที่เห็นควรมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาพัฒนาศักยภาพของกองทัพให้สามารถสนับสนุนภารกิจนอกเหนือจากสงคราม โดยเฉพาะการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้นักวิจัยจากหน่วยงานต่าง ๆ ในเครือข่ายขององค์การบริหารการวิจัยแห่งชาติเข้าร่วมในโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และความสามารถของนักวิจัยไทยให้ก้าวกระโดดทัดเทียมต่างประเทศ และควรที่จะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาถึงความเหมาะสมและผลกระทบก่อนที่จะดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15244 | ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เพิ่มเติม) สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย - ปากีสถาน และ ไทย - ตุรกี | พณ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) (เพิ่มเติม) ไทย-ปากีสถาน และ FTA (เพิ่มเติม) ไทย-ตุรกี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี ต่อไป โดยปากีสถานเสนอเป็นเจ้าภาพการประชุมเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ ๑๐ ภายในปี ๒๕๖๑ และไทยจะเป็นเจ้าภาพการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ตุรกี ครั้งที่ ๔ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตัดข้อความเกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับศรีลังกาในร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เพิ่มเติม) สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี ออก ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบการเจรจาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมเรื่องการระงับข้อพิพาท ต้องหลีกเลี่ยงกระบวนการอนุญาโตตุลาการ เพื่อป้องกันการเสียเปรียบของไทย โดยจะต้องแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติ รวมทั้งควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ได้แก่ การเปิดเสรีในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ โดยให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพสูง อาทิ ผลไม้ และข้าว การเปิดเสรีบริการจัดส่งพัสดุภัณฑ์เพื่อสนับสนุนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้บริการทางการเงินและระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบรับรองผู้ซื้อผู้ขายที่มีมาตรฐาน การส่งเสริมความร่วมมือในการจัดมหกรรมสินค้าและบริการ และการลงทุนเพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้มากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างกัน โดยเน้นการให้ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสาขาที่ไทยเชี่ยวชาญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างกัน และเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบจากการจัดทำร่างความตกลงฯ ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15245 | โครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคาร SAT-1 และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด | พน | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (District Cooling System and Power Plant Company Limited : DCAP) ดำเนินโครงการเพื่อรองรับปริมาณความต้องการไฟฟ้าและน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ประกอบด้วย (๑) การดำเนินโครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ ๑ (Satellite Airport Terminal-1 : SAT-1) และ (๒) การดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (Gas Insulated Switchgear : GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ในวงเงินลงทุนรวม ๙๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน โดย DCAP รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้ DCAP ประสานงานกับบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินงานก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสอดคล้องกับการดำเนินการโครงการของ ทอท. และเห็นควรให้ DCAP ดำเนินการก่อสร้างโดยมิให้กระทบกับการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ เห็นควรให้ DCAP ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้จากแหล่งอื่น และเพื่อพัฒนาแผนงานธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและ ทอท. เร่งดำเนินการโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ ๒ เพื่อให้สามารถเริ่มให้บริการได้ตามที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำแนวทางการพัฒนาระบบท่าอากาศยานของประเทศในภาพรวม และเร่งพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานซึ่งมีจำนวนผู้โดยสารเกินขีดความสามารถในการรองรับและท่าอากาศยานที่มีแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย DCAP ปรับปรุงแผนการเบิกถอนเงินกู้ของโครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ ๑ (SAT-1) และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ให้สอดคล้องตามข้อเท็จจริง รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้สามารถผลิตน้ำเย็นได้ทันตามความต้องการใช้น้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคาร SAT-1 ตามแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม และ ทอท. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15246 | ร่างตราสารต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา | วท | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างตราสารต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างตราสารฯ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม (ร่างตราสารฯ มีกำหนดการลงนามในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สหรัฐอเมริกา) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีกิจกรรมที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพย์สินทางปัญญา ควรดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๔๓ และควรให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ในสาขาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งควรเพิ่มเติมประเด็นการนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์/การเงินมาใช้ดำเนินงานด้วย นอกจากนี้ ควรนำองค์ความรู้และผลการวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือมาใช้ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในสาขาที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น และควรจัดเตรียมงบประมาณให้เพียงพอต่อการสนับสนุนโครงการที่จะเกิดขึ้นตามความร่วมมือดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ประชาคมโลกเข้าใจถึงความก้าวหน้าของการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของไทยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15247 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม) (นายวันจักร ฉายากุล) | คค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวันจักร ฉายากุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านอำนวยความปลอดภัย) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15248 | ร่างพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศร | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญสามารถกำหนดตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและการบริหารงานของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูณที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้ศาลรัฐธรรมนูญรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ควรให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณากำหนด และควรพิจารณาเทียบเคียงการกำหนดตำแหน่งระดับสูงของหน่วยงานอิสระที่มีภารกิจและปริมาณงานใกล้เคียงกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15249 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ พ.ศ. .... | คค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เรือเก็บสินค้า หรือเรือชนิดใด ๆ ที่คล้ายเรือเก็บสินค้าซึ่งใช้เป็นเรือทุ่นหรือสำหรับบรรจุสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาตทำการจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่กรมเจ้าท่ากำหนด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15250 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15251 | รายงานผลการศึกษาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเพื่อเตรียมความพร้อมในการยกร่างมาตรการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เหมาะสมกับประเทศไทย | พณ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการศึกษาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเพื่อเตรียมความพร้อมในการยกร่างมาตรการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เหมาะสมกับประเทศไทย ของมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) สรุปได้ว่า ประเทศไทยไม่มีความจำเป็นต้องออกกฎหมายค้าปลีกเพื่อกำกับควบคุมร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หรือร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์พิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๖๐ จะช่วยกำกับดูแลพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมทางการค้าต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล สำหรับการพัฒนาผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อย กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการธงฟ้าประชารัฐ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาค้าส่งค้าปลีกไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน และพัฒนาค้าปลีกชุมชนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันและเติบโตได้ตามนโยบายของรัฐบาล Thailand 4.0 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15252 | การแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ | พม | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามคำสั่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ ๔๔๕/๒๕๖๑ เรื่อง แต่งตั้งโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และรองโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ฝ่ายข้าราชการประจำ) ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ ทั้งนี้ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนแปลงโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากเดิม นายณรงค์ คงคำ เป็น นางสุภัชชา สุทธิพล ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๒. เปลี่ยนแปลงรองโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากเดิม นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ เป็น นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15253 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกัน ดังนี้ (๑) การบูรณาการด้านนโยบายและแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เกิดเอกภาพ โดยกำหนดภารกิจและขอบเขตการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีความชัดเจน ตามบทบาทหน้าที่และความเชี่ยวชาญของหน่วยงานที่แตกต่างกันไป จัดทำแผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยมีการหารือร่วมกันทั้งในกลุ่มของหน่วยงานนโยบาย และในกลุ่มของหน่วยงานปฏิบัติ (๒) การบูรณาการด้านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกำหนดให้จัดทำข้อมูลสถิติเพื่อการจัดทำตัวชี้วัดความก้าวหน้าในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME Development Indicator) และจัดทำข้อมูล SME Big Data และ (๓) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในขั้นตอนของการจัดทำแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และแผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ขั้นตอนการดำเนินงาน ตลอดจนขั้นตอนการติดตามและประเมินผล ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15254 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน และกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือกและวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2560 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน และกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือกและวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. ๒๕๖๐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการให้พัสดุส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา หรือการให้บริการทางการศึกษากรณีงานจ้างบริการทางวิชาการ และการวิจัยและพัฒนาของสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ และของสถาบันพระปกเกล้า เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติที่เห็นควรสำรวจหน่วยงานที่มีวัตถุประสงค์ด้านการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา หรือการให้บริการทางการศึกษาในประเทศไทยให้ครบถ้วนและกำหนดในกฎกระทรวงพร้อมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15255 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางเอมปรีดิ์ วัชรางกูร) | นร04 | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางเอมปรีดิ์ วัชรางกูร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านยุทธศาสตร์และการวางแผน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15256 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์และถนนกาญจนาภิเษก พ.ศ. ....) | มท | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์และถนนกาญจนาภิเษก พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนรามอินทรากับถนนเทพรักษ์ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์และถนนกาญจนาภิเษก และสายเชื่อมระหว่างถนนรามอินทรากับถนนเทพรักษ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกรุงเทพมหานครรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรุงเทพมหานครประสานกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการแนวทางแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดร่วมกัน โดยในเบื้องต้นควรให้ใช้กรณีการก่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์และถนนกาญจนาภิเษกเป็นพื้นที่นำร่อง รวมทั้งควรมอบหมายให้กรุงเทพมหานครพิจารณาความเหมาะสมของการกำหนดแผนการก่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนรามอินทรากับถนนเทพรักษ์ให้มีความสอดคล้องกับแผนการก่อสร้างและขยายถนนสายเชื่อมบริเวณซอยพหลโยธิน ๕๔/๑ แยก ๔ ไปยังถนนวัชรพล นอกจากนี้ ควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยเร่งพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดให้โครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาก่อสร้างอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัย หมู่บ้านจัดสรร และโรงแรมขนาดใหญ่จำเป็นต้องศึกษาผลกระทบต่อการจราจรในพื้นที่ พร้อมทั้งเสนอมาตรการลดผลกระทบต่อปัญหาจราจรในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15257 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2561 | อก | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๔.๐ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นผลจากการส่งออกที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย รถยนต์ เม็ดพลาสติก ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๔๓๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๔ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๗,๔๕๔.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๕.๓ (YoY) ด้านสถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๖๑ การประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ๓๑๑ โรงงาน ลดลงร้อยละ ๑๐.๑ และมียอดเงินลงทุนรวม ๑๔,๘๖๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๔.๙ ขณะที่การเลิกกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ ๖๘ ราย ลดลงร้อยละ ๔๕.๖ และมีเงินทุนของการเลิกกิจการมีมูลค่ารวม ๒,๒๒๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15258 | ร่างระเบียบว่าด้วยการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. .... | นร11 | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้พิจารณาในทุกมิติ ทั้งในด้านการบริหารราชการ การพัฒนาต่อเนื่อง เกิดผลสัมฤทธิ์ตามห้วงระยะเวลา ตามแผน/ยุทธศาสตร์ รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำขึ้นตามร่างระเบียบฯ ควรรองรับหน้าที่และอำนาจของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และการกำหนดให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภามีสิทธิเข้าถึงข้อมูลในระบบได้ตามความจำเป็นต่อการทำหน้าที่ของวุฒิสภา เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ยกเลิกภารกิจของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในการรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ของส่วนราชการทุกวันที่ ๑๑ ของทุกเดือน และให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศเมื่อร่างระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เช่น หากมีความจำเป็นที่หน่วยงานความมั่นคงต้องชี้แจงรายละเอียดผลการปฏิบัติภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บข้อมูลที่มีชั้นความลับหรือความละเอียดอ่อนของหน่วยงานความมั่นคง และควรพิจารณาเชื่อมโยงและ/หรือปรับปรุงการใช้ฐานข้อมูลเดียวกันกับที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐได้รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณให้สำนักงบประมาณ ซึ่งกำหนดส่งเป็นรายไตรมาสอยู่แล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15259 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Finance Ministers’ Meeting : ASEM FinMM) ครั้งที่ ๑๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงโซเฟีย สาธารณรัฐบัลแกเรีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม ASEM FinMM ครั้งที่ ๑๓ มีผลการหารือใน ๓ ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การเตรียมการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ที่ประชุมได้สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรปในการดำเนินนโยบายภาคการเงิน การคลัง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปโครงสร้าง พร้อมทั้งมาตรการดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคและสถาบันการเงิน (๒) การรับมือกับความท้าทายด้านภาษีระหว่างประเทศ โดยผู้แทนจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) ได้สนับสนุนให้สมาชิก ASEM เข้าร่วมภายใต้กรอบความร่วมมือ (Inclusive Framework) ของ OECD เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพของความร่วมมือระหว่างประเทศในการขจัดภาระภาษีซ้ำซ้อน และ (๓) การรับมือกับความเสี่ยงใหม่ ๆ ในระบบการเงินโดยเฉพาะการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ที่ประชุมมุ่งเน้นสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการสร้างความไว้วางใจ เพื่อเป็นแนวทางในการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ของการประชุม ASEM FinMM ครั้งที่ ๑๓ ๒. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การประชุมหารือทวิภาคีกับรองผู้อำนวยการอันดับที่หนึ่งของ IMF ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความเห็นและมุมมองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย และ (๒) การประชุมหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐฟินแลนด์ โดยฝ่ายฟินแลนด์แสดงความสนใจต่อการดำเนินโครงการ National E-Payment ของไทย และเชิญชวนให้ไทยศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลและระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่ประสบความสำเร็จของฟินแลนด์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15260 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วมตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้า และการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ 1 | พณ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วม (Joint Steering Committee : JSC) ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ ๑ ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JSC ไทย-บาห์เรน ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๓-๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้คณะผู้แทนไทย ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานฝ่ายไทย โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุม JSC ได้แก่ (๑) การจัดหาผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตรจากไทยไปบาห์เรน (๒) การส่งเสริมการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร (๓) การอำนวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร และ (๔) การขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมฮาลาลระหว่างไทยกับบาห์เรน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีการตกลงในเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากท่าทีไทยสำหรับการประชุมฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ อันเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับบาห์เรน และอยู่ภายใต้ขอบเขตของสาขาความร่วมมือภายใต้บันทึกความใจฯ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทรายภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการดำเนินการดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นที่ผู้แทนไทยควรให้ความสำคัญกับท่าทีไทยในการเจรจาครั้งนี้ ได้แก่ การกำหนดขั้นตอนในกระบวนการสุขอนามัยของสินค้าเกษตรและอาหารที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองประเทศ และการยอมรับมาตรฐานฮาลาลของไทย เพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ของบาห์เรน รวมทั้งการพัฒนาความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลตลาดและพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคบาห์เรน อันจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....