ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 29 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 561 - 580 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
561 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ ไตรมาสที่ 1 | นร.07 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ณ ไตรมาสที่ ๑ โดยภาพรวมผลการเบิกจ่ายและผลการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ
วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน ๓,๗๕๒,๗๐๐.๐๐ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน
๑,๑๖๑,๐๕๑.๕๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๙๔ และมีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน
๑,๒๖๙,๔๔๗.๓๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๘๓ ทั้งนี้ จากรายงานในภาพรวมพบว่า
ผลการเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวมสูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณ
ตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ อย่างไรก็ดี
หน่วยรับงบประมาณบางหน่วยยังมีผลการปฏิบัติงานล่าช้ากว่าเป้าหมายและแผนที่กำหนด
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
562 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๑.
รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ๒. ให้ความเห็นชอบข้อเสนอในการขับเคลื่อนศูนย์ราชการสะดวกในระยะต่อไป
ดังนี้ ๒.๑
การกำหนดนโยบายให้การพัฒนาการให้บริการประชาชนตามมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (Government Easy Contact Center : GECC) เป็นนโยบายสำคัญของทุกหน่วยงานของรัฐที่มีงานบริการประชาชน ๒.๒
มอบหมายให้ทุกหน่วยงานนำมาตรฐาน GECC ไปพัฒนาปรับปรุงเป็นมาตรฐานการให้บริการประชาชนที่สอดคล้องเหมาะสมตามภารกิจ
เช่น
มาตรฐานการให้บริการประชาชนด้านสุขภาพมาตรฐานการให้บริการประชาชนด้านการพัฒนาสังคม
มาตรฐานการให้บริการประชาชนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจเนื่องจากการให้บริการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมและขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศทั้งเศรษฐกิจและสังคม ๒.๓ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาผลักดันการดำเนินการของศูนย์ราชการสะดวกให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อยกระดับการบริการประชาชนให้มีความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย
รวมถึงสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้
ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรขยายผลต้นแบบและต่อยอดการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกในการบริการประชาชนมากยิ่งขึ้น
สำหรับหน่วยงานที่ยังไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานดังกล่าว
ให้เร่งนำหลักเกณฑ์การประเมินไปพัฒนาปรับปรุง
เพื่อยกระดับการบริการภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนต่อไป สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้บริการดิจิทัลผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่ไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
563 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 5/2567 | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ในคราวประชุม ครั้งที่ ๕/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๗
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณและรัฐวิสาหกิจดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นไปตามเป้าหมาย
และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
564 | การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 | นร.04 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๘ ณ จังหวัดนครพนม และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๒ (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร) ระหว่างวันจันทร์ที่ ๒๘ - วันอังคารที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๘
และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
565 | ขอความเห็นชอบสวัสดิการค่าเช่าบ้านของผู้ปฏิบัติงานองค์การเภสัชกรรม | สธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบสวัสดิการค่าเช่าบ้านผู้ปฏิบัติงานขององค์การเภสัชกรรม
ดังนี้ (๑) ลูกจ้าง (ลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราว) และพนักงานระดับ ๑ - ๓
อัตราเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท (๒) พนักงานระดับ ๔ - ๕ อัตราเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท และ (๓) พนักงานระดับ ๖ - ๑๑ อัตราเท่าที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกินเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐประกอบด้วย
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการกำกับติดตามการเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การจัดสวัสดิการค่าเช่าบ้านเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
มีความโปร่งใสและไม่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนในหน่วยงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
566 | แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (2567-2573) | ทส. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส
(๒๕๖๗ - ๒๕๗๓) และมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงการต่างประเทศดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยแผนปฏิบัติการร่วมฯ
มีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ๑) การควบคุมและดับไฟจากการเผาในที่โล่ง เช่น
การพัฒนาแผนที่เสี่ยงการเกิดไฟ การสร้างเครือข่ายดับไฟไตรภาคี
รวมถึงการจัดฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพในการทำแผนที่เสี่ยงไฟและการติดตามตรวจสอบการเกิดไฟ
๒) การคาดการณ์และติดตามตรวจสอบสถานการณ์หมอกควัน เช่น พัฒนาระบบพยากรณ์และติดตามการจัดการไฟที่เกิดขึ้น
พัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐาน (Standard
Operating Procedure : SOP) สำหรับการควบคุมและจัดการหมอกควัน ๓)
การจัดการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน เช่น
สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการจัดการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
และการดำเนินการวิเคราะห์ที่ดิน เพื่อกำหนดพืชผลที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่เฉพาะ ๔)
การบังคับใช้กฎหมายและการประสานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
แนะนำกฎหมายและข้อบังคับ และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการร่วมฯ
สร้างการสื่อสารสายด่วนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย
สปป.ลาว และเมียนมา และ ๕) การนำไปปฏิบัติ เช่น การแบ่งปันประสบการณ์ ขยายผลแนวปฏิบัติที่ดี
การระดมทรัพยากรเพื่อใช้ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการร่วมฯ
และการเปิดรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มเติม
รวมถึงการสร้างกลไกเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๗/๑๑๒๔๐ ลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗)
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าในอนาคตหากมีการปรับร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ
ขอให้พิจารณากำหนดเป้าหมายที่จะนำมาซึ่งการบรรลุเป้าหมายการแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดนที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน
รวมทั้งควรพิจารณากำหนดเป้าหมายการลดพื้นที่เผาไหม้ด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาระบุผู้รับผิดชอบแผนงานหรือโครงการ
โดยกำหนดเป้าหมาย ค่าเป้าหมายและตัวชี้วัดอย่างชัดเจน
และควรพิจารณากิจกรรมการดำเนินงานอย่างรอบด้านครอบคลุมประเด็นความยากจน สิทธิ และความเท่าเทียมทางเพศ
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีร่วมด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาจัดทำบันทึกความเข้าใจ
(MOU) ระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
เพื่อร่วมดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
567 | ร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ในท้องที่ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ให้แก่นางมี รักเสมอวงศ์ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568) | ปสส. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๘
ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะในท้องที่ตำบลดงเย็น
อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ให้แก่นางมี รักเสมอวงศ์ พ.ศ. ....
ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
568 | ร่างบันทึกว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เบลารุส | พณ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เบลารุส
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกฯ
ดังกล่าว โดยร่างบันทึกฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจในสาขาความร่วมมือด้านต่าง
ๆ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการร่วมฯ ทำหน้าที่ส่งเสริมและประสานความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ
ประกอบกับการลงนามในร่างบันทึกฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า
และการลงทุนระหว่างไทยกับเบลารุส
โดยเฉพาะในสาขาที่สองฝ่ายมีศักยภาพและเป็นประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามและประเมินความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
569 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ มีสาระสำคัญครอบคลุมผลการดำเนินงานของ
๓ องค์กรสำคัญ ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ เช่น คณะอนุกรรมการพิจารณาส่งคำอุทธรณ์และดำเนินการเรื่องร้องเรียนได้รับเรื่องร้องเรียนการไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๓ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ จำนวน ๗๐๖ เรื่อง และพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน
๔๙๙ เรื่อง (๒) คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ได้ให้ผู้อุทธรณ์และผู้แทนหน่วยงานของรัฐเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วจัดทำคำวินิจฉัย
โดยพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน ๒๑๗ เรื่อง (จาก ๖๕๙ เรื่อง) และ (๓)
สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เช่น
จัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยมีหน่วยงานของรัฐในท้องถิ่นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
จำนวน ๖๗๐ หน่วยงาน จากกลุ่มเป้าหมาย ๑,๒๐๐ หน่วยงาน ตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
570 | การกำหนดให้วันกล้วยไม้แห่งชาติเป็นวันสำคัญของชาติ | กษ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ ๑๘
มกราคมของทุกปี เป็นวันกล้วยไม้แห่งชาติ โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอและให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
ที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ “วันกล้วยไม้แห่งชาติ”
ดังกล่าว ให้แก่หน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงประชาชนและเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ทราบ
เพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์กล้วยไม้ไทยให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
571 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ และให้สำนักงบประมาณนำการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑)
ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
มาตรา ๗๗ วรรคสอง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
572 | การปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน
๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ
เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น รวมทั้งสิ้นปีละ ๑๖๙,๙๕๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม
ชัดเจน ก่อนดำเนินการต่อไป ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
และกำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดมีการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา
พร้อมรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อนำมาประกอบการจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไป
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนครูสอนศาสนาของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลาม
สถาบันศึกษาปอเนาะ และศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) ใน ๕
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของครูสอนทุกกลุ่มให้เป็นอัตราเดียวกัน
เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันระหว่างครูสอนศาสนากลุ่มต่าง ๆ และปรับเพิ่มค่าบริหารจัดการโดยคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม
ซึ่งการใช้จ่ายค่าบริหารจัดการส่วนใหญ่ยังคงเป็นค่าอุปโภคบริโภค
ค่าบริหารจัดการสำนักงาน ค่าใช้จ่ายสำหรับลงทะเบียนผู้เรียน
และค่าใช้จ่ายในการออกหลักฐานการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร และอาจปรับเพิ่มอัตราค่าบริหารจัดการให้โรงเรียนเอกชนนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามทุกประเภทให้ได้รับจัดสรรในอัตราสูงสุดที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
เพื่อบรรเทาความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรเงินอุดหนุน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
573 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑
รวมทั้งสิ้น ๓๐,๕๙๕ ครั้ง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ ๑๑,๒๓๗ เรื่อง
คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๓๔ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นมากที่สุด
(๑,๖๑๖ เรื่อง) ๒.
การประมวลผลและวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น ในใตรมาสที่ ๑
ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ มีสถิติเรื่องร้องทุกข์ ๑๔,๕๓๐ เรื่อง น้อยกว่าไตรมาสที่
๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๒,๕๒๐ เรื่อง (มีเรื่องร้องทุกข์ ๑๗,๐๕๐ เรื่อง)
โดยประเด็นเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุดคือ
เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน (๑,๕๑๐ เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้ว ๑,๓๗๑ เรื่อง) ๓.
ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน เช่น
หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการแก้ไขปัญหา ทั้งการป้องกัน
ปราบปราม และช่วยเหลือเยียวยา โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกิดขึ้นบ่อย เช่น ผู้สูงอายุ พระสงฆ์
รวมทั้งเร่งรัดปราบปรามผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
และจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางในการวิเคราะห์รูปแบบการหลอกลวงที่มิจฉาชีพใช้บ่อยเพื่อสร้างระบบการป้องกัน
และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนการหลอกลวงในทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
574 | (ร่าง) แผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2566-2570) | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๔ (ด้านพลังงาน อุตสาหกรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิต) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) เป็นประธานกรรมการ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อเป็นกรอบแนวทางและการกำหนดมาตรการพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการสำหรับประเทศไทยที่ครอบคลุมและมีคุณภาพในทุกมิติ
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงแผนฯ ตามความเห็นของหน่วยงาน ดังนี้
๑.๑ ควรเพิ่มเติมประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ในแต่ละแนวทาง ดังนี้ ๑.๑.๑
การลดโอกาสที่คนพิการจะหลุดออกจากระบบการศึกษา
โดยเฉพาะในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากประถมศึกษาสู่มัธยมศึกษาตอนต้น ๑.๑.๒
การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน เช่น การจัดทำแผน IEP สำหรับขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์ สื่อ
และเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนคนพิการในทุกสังกัด
การนำผลการทดสอบระดับเชาว์ปัญญามาเชื่อมโยงกับการจัดรูปแบบการศึกษาของคนพิการในระดับการศึกษาต่าง
ๆ การพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้น ๑.๑.๓
การสร้างโอกาสในการเข้าสู่ตลาดงาน เช่น การแนะแนวอาชีพแก่นักเรียนพิการ
การสร้างความร่วมมือกับสถานประกอบการเพื่อสร้างโอกาสการฝึกงานและทำงานจริง
การส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรมและสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินงานโดยคนพิการหรือจ้างงานคนพิการ
เป็นต้น ๑.๑.๔
การปรับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน เช่น ทางลาด สภาพห้องน้ำ
ให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนพิการ เป็นต้น ๑.๑.๕ การส่งเสริมให้คนพิการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองและการพัฒนาสังคม
เช่น การส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องสิทธิของคนพิการ
การสนับสนุนให้คนพิการมีสิทธิเลือกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง อาทิ การศึกษา
การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน การมีความร่วมมือขององค์กรคนพิการกับภาคส่วนต่าง ๆ
การสนับสนุนให้คนพิการเข้าร่วมกระบวนการกำหนดนโยบาย เป็นต้น
๑.๒ ควรมีการกำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดในแต่ละปีให้ชัดเจนพร้อมกำหนดค่าฐาน
(base
line) ในการคำนวณ
โดยเฉพาะตัวชี้วัดภาพรวมของแผนที่กำหนดค่าเพียงเพิ่มขึ้น
และตัวชี้วัดรายยุทธศาสตร์ที่กำหนดค่าเป้าหมายว่า “มี”
พร้อมทั้งเพิ่มเติมตัวชี้วัดเชิงผลลัพธ์ อาทิ (๑) ตัวชี้วัดที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาคนพิการในระดับต่าง
ๆ (๒) อัตราการเข้าสู่ตลาดงานหลังมีการ upskill/reskill (๓)
คุณภาพของสถานศึกษาคนพิการทั้งในด้านสัดส่วนครู หลักสูตร/สื่อการเรียน
เทคโนโลยีในการสนับสนุนการเรียนการสอน การทำแผน IEP สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
บริการช่วยเหลือต่าง ๆ ๒.
กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาให้มีการจัดทำแผนการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มเด็กเปราะบางและด้อยโอกาสในทุกกลุ่ม
อาทิ กลุ่มเด็กกำพร้า กลุ่มเด็กในครัวเรือนยากจนนอกจากกลุ่มเด็กพิการ
โดยพิจารณาใช้กลไกของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในการเสาะแสวงหาและช่วยเหลือสนับสนุนผ่านการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทยเพื่อให้แผนการจัดการศึกษาครอบคลุมเด็กทุกคนอย่างเสมอภาค |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
575 | โครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2572 | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ รวมระยะเวลา ๕ ปีงบประมาณ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๓๔๐,๐๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเริ่มดำเนินโครงการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจัดให้มีระบบการติดตาม
และประเมินผลการดำเนินโครงการเป็นระยะ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ
รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในการแนะแนวอาชีพที่เหมาะสมและการเรียนต่อในสาขาที่สอดคล้องกับความถนัดและเชื่อมโยงกับการพัฒนาในพื้นที่
และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรมีการพัฒนากระบวนการติดตามนักเรียนทุนที่อยู่ระหว่างรับทุนจากปัจจัยต่าง
ๆ เพื่อการคงอยู่ในระบบทุน อาทิ ความสามารถทางวิชาการ
แรงจูงใจในการศึกษาด้านการเกษตร และความตั้งใจที่จะกลับไปพัฒนาท้องถิ่น
รวมทั้งการมีกลไกการบริหารจัดการร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านต่าง
ๆ อาทิ การจัดเก็บข้อมูล การกำกับติดตามผลการเรียน
การประเมินความคุ้มค่าการดำเนินโครงการ และการจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดโควตาการจัดสรรทุนให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรในพื้นที่
และความต้องการแรงงานในและนอกภาคเกษตรในอนาคต เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
576 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน | พน. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าเป้าหมายสำหรับรอบเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๘ ไม่เกินหน่วยละ
๓.๙๙ บาท ของกระทรวงพลังงาน ๒. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางให้อัตราค่าไฟฟ้าเป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าว
รวมทั้งศึกษาและเสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานและแนวทางการบริหารต้นทุนการผลิตไฟฟ้า
โดยไม่ต้องขอรับการอุดหนุนงบประมาณจากภาครัฐ
แล้วให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
577 | รัฐบาลบูร์กินาฟาโซเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งบูร์กินาฟาโซประจำประเทศไทย (นายเดซีเร บอนีฟาส ซอม) | กต. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเดซีเร บอนีฟาส ซอม (Mr. Desire Boniface Some) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งบูร์กินาฟาโซประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นายไอดริส ราอัว
อูเอดราโอโก (Mr. Idriss Raoua Ouedraogo) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
578 | การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐโปแลนด์ ณ จังหวัดเชียงใหม่ และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐโปแลนด์ ณ จังหวัดเชียงใหม่ (นางสาวอานิสา บูรพชัยศรี) | กต. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐโปแลนด์ ณ
จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน
พะเยา น่าน ลำพูน และลำปาง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
579 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาววรพรรณ เลิศไกร และนางสุภัทร กิจเวช) | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. นางสาววรพรรณ เลิศไกร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
580 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (นางอุษา กลิ่นหอม) | พณ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางอุษา กลิ่นหอม
เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์
(ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค)
ในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก
โดยขอให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ทั้งนี้
ผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|