ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 27 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 521 - 540 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
521 | การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. 2028 - 2034 และคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. 2029 - 2031 | กต. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Commission on International Trade
Law : UNCITRAL) วาระปี ค.ศ. ๒๐๒๘ - ๒๐๓๔ และคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Economic and Social Council : ECOSOC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๒๙ - ๒๐๓๑ ซึ่ง UNCITRAL
จัดตั้งขึ้นโดยข้อมติของสมัชชาสหประชาชาติ เพื่อส่งเสริมความสอดคล้องและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
รวมทั้งลดอุปสรรคด้านกฎหมายที่เกิดขึ้นในการค้าระหว่างประเทศ และ ECOSOC เป็น ๑ ใน ๖ องค์กรหลักของสหประชาชาติซึ่งก่อตั้งขึ้นตามกฎบัตรสหประชาชาติ
มีภารกิจหลักในการขับเคลื่อนประเด็นเศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา
และสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงประมามาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว และค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
522 | การสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหาร (ITU Council) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ในระหว่างการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม (Plenipotentiary Conference) ค.ศ. 2026 | กสทช. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหาร
(Council) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ
(International Telecommunication Union : ITU) (สมาชิกสภาบริหารของ ITU) อีกวาระหนึ่ง(ปี ค.ศ. ๒๐๒๗ - ๒๐๓๐) (พ.ศ. ๒๕๗๐ -
๒๕๗๓) และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขอเสียง/แลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของ
ITU ในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของ ITU
ของประเทศไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
523 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองการจดแจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบและสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตและบุหรี่ซิการ์ พ.ศ. .... | สธ. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองการจดแจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบและสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตและบุหรี่ซิการ์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบรับรองการจดแจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบและสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตและบุหรี่ซิการ์
ตามกฎกระทรวงกำหนดส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบ และสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรต
และบุหรี่ซิการ์ การแจ้ง และการออกใบรับรอง พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด
รวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th)
ต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นสมควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง
และแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินงานทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกสิ้นปีงบประมาณ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
524 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำ และฟื้นฟูโครงการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย | กษ. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำ และฟื้นฟูโครงการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๕๕๔ รายการ วงเงิน ๑,๑๘๒,๓๙๖,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กรมชลประทานจัดส่งรายการตามแผนงานโครงการดังกล่าวให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ตรวจสอบ เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนกับโครงการที่หน่วยงานอื่น ๆ ได้ขอรับจัดสรรงบประมาณไปแล้ว พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้งบประมาณ ให้สามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
525 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย พร้อมจัดทำและลงนามร่างความตกลงว่าด้วยการก่อสร้าง | คค. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก
- ลก ที่ อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับวงเงินลงทุนที่ฝ่ายไทยต้องรับผิดชอบ
จำนวนรวมทั้งสิ้น ๒๙๒.๖๕๐ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓๖ เดือน
ตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เสนอ ๑.๒
อนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซียว่าด้วยการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก - ลก แห่งที่สอง
และการปรับปรุงสะพานเดิมเชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส
ประเทศไทย และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ๑.๓
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยและมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามร่างความตกลงว่าด้วยการก่อสร้าง ๑.๔
อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับหมาย ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าร่างความตกลงฯ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและการดำเนินการให้มีผลผูกพัน
แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา กรณีนี้จึงเข้าลักษณะเรื่องที่สามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีได้
ตามนัย มาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ในส่วนของรายละเอียดและการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก
- ลก ที่ อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส เชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส
และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ภายในกรอบวงเงินรวม ๒๙๒.๖๕
ล้านบาท ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ระบุไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม
โดยกรมทางหลวง หารือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
526 | การให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อาคารพังถล่ม | นร. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จนถึงขณะนี้เหตุการณ์อาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มได้ผ่านมาแล้ว
๑๑ วัน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอาสาสมัครจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ร่วมมือกันในการค้นหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่และต่อเนื่องมาตลอดและยังคงจะดำเนินการต่อไปจนกว่าจะค้นหาผู้ประสบภัยได้ครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวจะต้องควบคู่ไปกับการรื้อถอนซากปรักหักพัง
รวมทั้งการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการก่อสร้างอาคารเพื่อหาสาเหตุและผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
ซึ่งเมื่อเช้านี้ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้มารายงานความคืบหน้าในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ในเบื้องต้นแล้ว
ทั้งนี้ เรื่องสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการต่อจากนี้ คือ
การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และทายาทที่เกี่ยวข้อง
จึงขอให้สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)
เร่งประสานงานกันกับกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ให้ถูกต้อง
ครบถ้วน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๘ (เรื่อง
การเตรียมการรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติของประเทศไทย) แล้วดำเนินการตามขั้นตอน
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
527 | (ร่าง) ข้อเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน | สกช. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน
มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคเกษตรกรรมของเกษตรกรทั่วประเทศ
ซึ่งประกอบด้วย ๒ แนวทางหลัก ดังนี้ (๑)
การเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน
และการปรับปรุงแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานร่วมกับการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดิน
โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) และกระทรวงมหาดไทย
(กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
และ (๒) การทำฝายชะลอน้ำเพื่อกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื่น
และส่งเสริมการทำฝายแหล่งต้นน้ำเพื่อเป็นการเติมน้ำเข้าสู่ระบบธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินให้เกิดความสมดุล
โดยมีกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง)
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า
ควรหารือการดำเนินงานร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในการคัดเลือกพื้นที่นำร่องเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแหล่งน้ำ
และมีการติดตามประเมินผลด้านวิชาการก่อนขยายผลขับเคลื่อนการดำเนินงานในภาพรวม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า
การทำฝายแหล่งต้นน้ำควรคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมบนแหล่งต้นน้ำในระยะยาว
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
การจัดสรรงบประมาณเห็นควรให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
528 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 เรื่อง ข้อเสนอหลักการกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม | นร.09 | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤษภาคม ๒๕๖๕ เรื่อง ข้อเสนอหลักการกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม
โดยเห็นควรให้ยุติการดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล
พ.ศ. .... ไว้เป็นการชั่วคราวก่อน และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของเรื่อง ได้แก่
สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
(สำนักงาน ป.ย.ป.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าไปร่วมกันดำเนินการศึกษาทบทวนแนวทางและมาตรการส่งเสริมและกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสมสำหรับบริบทของประเทศไทยก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาความเหมาะสมของการมีกฎหมายดังกล่าว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งศึกษาหาข้อยุติในการออกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล
แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๑ เดือน ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาถึงความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากการให้บริการหรือใช้บริการแพลตฟอร์ม
รวมถึงประเด็นที่เป็นช่องว่างหรือมีความซ้ำซ้อนในการกำกับดูแลภายใต้กฎหมายเฉพาะที่มีอยู่เดิม
โดยควรเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้างในแต่ละขั้นตอนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
529 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ในการบริการแผนที่หรือข้อมูลทางแผนที่เป็นการเฉพาะราย พ.ศ. .... | กษ. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไข ในการบริการแผนที่หรือข้อมูลทางแผนที่เป็นการเฉพาะราย พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกค่าบริการในการขอรับบริการแผนที่หรือข้อมูลทางแผนที่
ให้สามารถรับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
และยกเลิกเงื่อนไขการห้ามผู้รับบริการเปลี่ยนแปลง ทำซ้ำ จ่าย แจก
หรือเผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของแผนที่หรือข้อมูลทางแผนที่แก่บุคคลที่ ๓
แต่ยังคงมีเงื่อนไขการห้ามจำหน่ายให้กับบุคคลที่ ๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ดังนี้ (๑)
ควรกำหนดเงื่อนไข กรณีเปลี่ยนแปลง ทำซ้ำ จ่าย แจก
หรือเผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของแผนที่
ควรได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดกับหน่วยงานได้ (๒) ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการใช้งานแผนที่หรือข้อมูลทางแผนที่
และการใช้งานดังกล่าวที่ไม่ขัดต่อประโยชน์ส่วนรวม โดยอาจมีการออกมาตรการเพิ่มเติม
เช่น ควรมีการขอหลักฐานและผลการศึกษาที่สามารถเปิดเผยได้หลังการใช้งานเพื่อการศึกษาวิจัย
ควรมีการคิดค่าธรรมเนียมการใช้งานข้อมูลในเชิงธุรกิจเหมือนเดิม
ควรมีการออกประกาศชนิดแผนที่ภาพถ่ายตลอดจนรายชื่อระวางที่จำเป็นจะต้องดำเนินการ
เป็นต้น และ (๓)
ควรมีเงื่อนไขหรือมีข้อจำกัดในการใช้งานในกรณีที่แผนที่หรือข้อมูลทางแผนที่ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือเป็นพื้นที่อ่อนไหว
และควรกำหนดรูปแบบการให้บริการให้มีความชัดเจนและมีช่องทางหลากหลาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
530 | ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินงานก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า 22 kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี 4 ถึงจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 และงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า 115 kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี 4 ถึงสถานีไฟฟ้าบริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกาญจนบุรี | มท. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ เรื่อง
ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง
และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก
และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ
(ลุ่มน้ำชายแดน) เพื่อดำเนินงานก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า ๒๒ kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี ๔ ถึงจุดผ่านแดนถาวร บ้านพุน้ำร้อน
ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ และงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า
๑๑๕ kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี ๔
ถึงสถานีไฟฟ้าบริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกาญจนบุรี ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นด้วยกับแผนงานก่อสร้างดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้โครงการนำมาตรการการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พร้อมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และการดำเนินการก่อสร้างใด
ๆ ในเขตทางหลวงจะต้องขออนุญาตจากกรมทางหลวงตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางเป็นสำคัญ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรื่อง ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การดำเนินโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า หากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
ให้พิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
531 | การนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม “พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม อัตลักษณ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์” เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก | ทส. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้
๑.๑ เห็นชอบเอกสารนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม “พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
อัตลักษณ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ภายใต้ชื่อ “Phra Prang of Wat Arun Ratchawararam :
The Masterpiece of Krung Rattanakosin” เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น
(Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก
๑.๒
เห็นชอบให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกลงนามในเอกสารนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
“พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม อัตลักษณ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ภายใต้ชื่อ “Phra Prang of
Wat Arun Ratchawararam : The Masterpiece of Krung Rattanakosin” เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น
(Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส
สาธารณรัฐฝรั่งเศส
๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาตินำเสนอเอกสารการนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
“พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม อัตลักษณ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ภายใต้ชื่อ “Phra Prang of
Wat Arun Ratchawararam : The Masterpiece of Krung Rattanakosin” เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดกโลก
ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘
เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ
แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า
ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับ
การบูรณาการของหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุนและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
532 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - สหราชอาณาจักร ครั้งที่ 5 | กต. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
533 | รายงานผลการดำเนินงานและขอขยายเวลาการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง | กษ. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรลูกหนี้ธนาคารของรัฐ
๔ แห่ง ๒.
เห็นชอบให้เกษตรกรที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
ธันวาคม ๒๕๖๗
ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรถูกต้องครบถ้วนแล้ว
และเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non -
Performing Loan : NPLs) ภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ๓. เห็นชอบให้ธนาคารของรัฐทั้ง ๔ แห่ง
คิดดอกเบี้ยและเบิกจ่ายเงินชดเชยเงินต้นครึ่งหลัง (ร้อยละ ๕๐)
ที่พักไว้ทั้งจำนวนของเกษตรกร จำนวน ๑๖,๗๙๔ ราย และที่แจ้งเพิ่มเติมภายหลังที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ได้ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
ทั้งนี้ ให้ธนาคารของรัฐ ๔ แห่ง ต้องควบคุมกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรรของแต่ละธนาคาร
โดยไม่เกินกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๕,๔๘๑.๖๖ ล้านบาท
ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ ๔. เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินโครงการฯ
ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยให้ระยะเวลาในการดำเนินโครงการสิ้นสุดลงภายใน ๑๕๐
วัน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้
ต้องเป็นเกษตรกรที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒
มีนาคม ๒๕๖๕ และ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ที่มาแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ
ภายในวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ ๔.๑
ให้เกษตรกรและสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.)
ส่งมอบเอกสารแบบแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ (ปคน.๑) (ปคน.๒) และแบบ (ผค.๑/๔) ให้สถาบันเจ้าหนี้ให้แล้วเสร็จ
ภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๔.๒
ให้สถาบันเจ้าหนี้ดำเนินการทำสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายใน ๑๕๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๔.๓
ในกรณีที่เกษตรกรไม่สามารถทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้แล้วเสร็จ ภายใน ๑๕๐ วัน
เช่น ติดปัญหาเรื่องหลักประกัน
หรืออยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการ
ให้ขยายระยะเวลาการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารออกไปอีกแต่ไม่เกิน ๑๕๐ วัน
นับแต่วันที่ศาล มีคำสั่ง หรือคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันที่ได้รับแจ้งผลการดำเนินการจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๔.๔
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับธนาคารของรัฐทั้ง ๔ แห่ง นำมติคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบการขยายเวลาข้างต้นตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรที่สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์
แนวทาง และขั้นตอนการดำเนินการตามโครงการฯ ในแต่ละส่วนให้มีความชัดเจน เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ
ตลอดจนจัดทำรายละเอียดข้อมูลจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
และภาระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยของเกษตรกรแต่ละรายให้ชัดเจน เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรสนับสนุนให้เกษตรกรจัดทำแผนฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความพร้อมของเกษตรกรในการผลิตสินค้าเกษตร
ผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสและช่องทางการตลาดที่ชัดเจน
พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนและผลักดันให้เกษตรกรดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้
เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมีความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ
ตลอดจนการเสริมสร้างวินัยด้านการเงินให้กับเกษตรกร
เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคตอีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
534 | รายงานการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 ของคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | 08/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
พ.ศ. ๒๕๕๙ ของคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑) ปี ๒๕๖๖
ผลการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ.
๒๕๖๐ - ๒๕๗๐ มีจำนวน ๒๒ ตัวชี้วัดผ่านเป้าหมาย จำนวน ๑๔ ตัวชี้วัด เช่น
ร้อยละของนักเรียน นักศึกษา มีความรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ
ร้อยละความพึงพอใจของวัยรุ่นที่ได้รับบริการสุขภาพที่เป็นมิตร เป็นต้น
ไม่ผ่านเป้าหมาย จำนวน ๗ ตัวชี้วัด เช่น
ร้อยละของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีทักษะการสื่อสารทางเพศ การเลี้ยงดูบุตรหลานร้อยละของการตั้งครรภ์ในหญิงอายุน้อยกว่า
๒๐ ปี เป็นต้น และยังไม่ถึงรอบการเก็บข้อมูล จำนวน ๑ ตัวชี้วัด ได้แก่ ร้อยละของวัยรุ่นที่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
(๒) การดำเนินการทางกฎหมาย ได้แก่ ๑) การดำเนินงานคุ้มครองสิทธิวัยรุ่นมีระบบการช่วยเหลือ
เช่น สายด่วน ๑๖๖๓ แอปพลิเคชัน TEEN CLUB เป็นต้น ซึ่งมีผู้รับบริการให้คำปรึกษากรณีตั้งครรภ์กลุ่มหญิงอายุต่ำกว่า
๒๐ ปี จำนวน ๖,๓๑๙ ราย ๒)
การร้องเรียนกรณีตั้งครรภ์ในกลุ่มอายุน้อยกว่า ๒๐ ปี มีจำนวน ๑๕๒ ราย
ส่วนใหญ่เป็นการถูกปฏิเสธการยุติตั้งครรภ์จำนวนทั้งสิ้น ๑๔๔ ราย ๓)
การดำเนินการทางคดีผู้เสียหายกรณีถูกละเมิดสิทธิ ในกลุ่มอายุน้อยกว่า ๒๐ ปี
ไม่ประสงค์จะต่อสู้หรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ
แต่เลือกวิธีการให้แนวทางหรือบริการทดแทน และ (๓) ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอ
และแนวทางการพัฒนาภารกิจสำคัญของแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๗๐ เช่น การขับเคลื่อนแผนระดับนโยบายยังพัฒนาให้เกิดการบูรณาการ ควรพัฒนาวิธีการสร้างความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานทั้งภาครัฐและเอกชน
เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
535 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 | นร.13 | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
536 | (ร่าง) ข้อเสนอการกำหนดโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมันเพื่อแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ | สกช. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบ (ร่าง)
ข้อเสนอการกำหนดโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมันเพื่อแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ
ซึ่งประกอบด้วย (๑) ขอให้รัฐกำหนดราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันทั้งทะลายของโรงงาน
โดยกำหนดที่เปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มดิบไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๘
เป็นมาตรฐานราคากลางในการรับซื้อ และ (๒)
ขอให้รัฐกำหนดโครงสร้างราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันทั้งทะลายของโรงงาน
โดยให้ใช้สูตรมาตรฐานในการคำนวณราคาปาล์มทะลายสดแบบคุณภาพสัมพันธ์ ร้อยละ ๑๘-๒๒
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว
๒.
มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับ (ร่าง)
ข้อเสนอการกำหนดโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมันเพื่อแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกันว่า
เห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณา
เนื่องจากมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาศึกษา วิเคราะห์ติดตามสถานการณ์ กลั่นกรอง
และเสนอมาตรการและแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
537 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ฝึกซ้อม/แข่งขัน (กีฬาทางน้ำ) ภายในสนามกีฬาหัวหมาก เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กก. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๓๒๐,๒๖๘,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสถานที่ฝึกซ้อม/แข่งขัน
(กีฬาทางน้ำ) ภายในสนามกีฬาหัวหมาก
เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๓๓
พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕)
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ที่ นร ๑๗๑๓/๓๖๕๗ ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขอให้การกีฬาแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดประกอบ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรจัดทำแผนบริหารจัดการปรับปรุงสถานที่อย่างรัดกุมและมีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน
ตลอดจนต้องมีการกำกับและควบคุมการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถปรับปรุงสนามแข่งขันให้ได้มาตรฐานแล้วเสร็จก่อนการแข่งขัน
และเปิดใช้งานได้ตามกำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณสนามแข่งขันให้ครอบคลุมการพัฒนากีฬาทางน้ำในทุกมิติ
โดยเฉพาะการกำหนดนโยบายและแผนการสนับสนุนงบประมาณที่ชัดเจนสำหรับพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมกีฬาระดับนานาชาติ
รองรับกิจกรรมกีฬาและนันทนาการที่มีความหลากหลาย รวมทั้งพัฒนาแนวทางความร่วมมือกับภาคเอกชนในการประชาสัมพันธ์และสร้างรายได้เพื่อให้การดำเนินงานด้านการกีฬามีความยั่งยืนและก่อให้เกิดประโยชน์ทางตรงต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
538 | การจัดทำโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) | พม. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
539 | ขอรายงานสรุปผลการดำเนินงานของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ในห้วงวันที่ 1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567 | สกมช. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
ในห้วงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ - ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ รวมทั้งสิ้น ๑,๘๒๗ เหตุการณ์ โดยศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
ได้ดำเนินการติดตาม วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงการแจ้งเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์
เพื่อให้ความช่วยเหลือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกัน รับมือ
และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตามที่คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
540 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑. ผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ประกอบด้วย ๑.๑
การกำกับกิจการพลังงาน เช่น ๑)
เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับโครงการขยายเขตไฟฟ้าไปยังพื้นที่เกาะ
๒) จัดทำโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง/ขยะอุตสาหกรรม/ที่เป็นผลพลอยได้จากการกำจัดมูลฝอย
และ ๓) ปรับปรุงวิธีการอุดหนุนอัตราค่าไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยโดยกำหนดคุณสมบัติผู้ที่สมควรได้รับการช่วยเหลือบนพื้นฐานระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคมแทนการกำหนดคุณสมบัติด้วยปริมาณการใช้ไฟฟ้า ๑.๒
การบริหารจัดการกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เช่น ๑) อนุมัติจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการชุมชนในพื้นที่ที่
สกพ. ประกาศกำหนดให้เป็นพื้นที่ที่มีสิทธิได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จำนวน ๘,๔๗๒ โครงการ วงเงิน ๔,๘๔๓.๐๗
ล้านบาท และ ๒) จัดสรรเงินเพื่อการศึกษาวิจัย จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๖.๒๔ ล้านบาท
ประกอบด้วย โครงการอุปกรณ์แชร์พลังงานสำหรับระบบไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียนแบบผสมและโครงการศึกษาและเสนอร่างหลักเกณฑ์การนำน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์
โดยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย ๒. รายงานสถานะทางการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
|