ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
381 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล | กค. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๔๑)
พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
ประเภทน้ำมันเบนซินและดีเซล ๑ บาทต่อลิตร
เพื่อส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นอันจะทำให้ฐานะการคลังมีความมั่นคงและรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้มีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อราชการส่วนท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น
เพื่อไม่ให้การปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลในครั้งนี้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาระยะเวลาการดำเนินการบังคับใช้กฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้มีความเหมาะสม
โดยมิให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลของประชาชน และรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นว่าหากเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลจนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง
ให้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิต พิจารณาปรับลดอัตราภาษีและน้ำมันดีเซลลง
เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
382 | สรุปผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง การศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่ง ระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) สภาผู้แทนราษฎร | คค. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง การศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน
(โครงการแลนด์บริดจ์) ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน
(โครงการแลนด์บริดจ์) สภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปประเด็นได้ เช่น ๑) ด้านการศึกษา
ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ของปริมาณตู้สินค้าที่จะผ่านโครงการดังกล่าว
สำรวจออกแบบ และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างทางรถไฟ ช่วงชุมพร -
ท่าเรือน้ำลึกระนอง ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
เพื่อคาดการณ์ปริมาณสินค้า โดยจัดทำแบบจำลองเพื่อวิเคราะห์ทั้งกรณีไม่มีโครงการ และมีโครงการ
พบว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ จะมีปริมาณสินค้าส่งผ่านเส้นทางรถไฟทางคู่สายนี้
๑.๓๔ แสน TEU/ปี
และเพิ่มเป็น ๒.๖๒ ล้าน TEU/ปี ในปี พ.ศ. ๒๖๐๒ ๒) ด้านความมั่นคง
ได้มีการหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยมีการประเมินความเสี่ยง ผลกระทบ
และเตรียมความพร้อมในมิติความมั่นคงและการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ประกอบด้วยประเด็นทางกฎหมาย
ความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาชญากรรมข้ามชาติ
ภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ
และการส่งเสริมขีดความสามารถด้านสมุทราภิบาล ๓) ด้านกฎหมาย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าการนำพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.
๒๕๖๑ มาเป็นต้นแบบในการยกร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. ....
เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอเนื่องจากมีบริบทที่แตกต่างกัน
จึงควรนำปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาด้วย ๔) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน
ได้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเผยแพร่ข้อมูลของโครงการดังกล่าวให้เกิดการรับรู้และเกิดความเข้าใจที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
และ ๕) ด้านเศรษฐกิจ ได้มีการคาดการณ์ถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์จะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่
และจะเป็นส่วนช่วยให้ GDP ของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น
เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
383 | ผลการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 พ.ศ. .... | สผ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๑๔/๒๕๕๙ เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
(ศอ.บต.) ได้พิจารณาข้อสังเกตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยสรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑) การสนับสนุนให้ ศอ.บต. จัดโครงสร้างองค์กร
มอบหมายผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้และเข้าใจกระบวนการทำงานของประชาชน
และจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็น ๒)
การพิจารณาเสนอชื่อสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้
พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓) การเร่งรัดจัดทำระเบียบที่จำเป็นและสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
๔) การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.
๒๕๕๓ และ ๕)
การสนับสนุนให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดให้มีผู้แทนจากสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบของคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกระดับ
ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
384 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... ของรัฐสภา | สผ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ
มีสาระสำคัญเป็นการให้ความคุ้มครองบุคคลผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสส่งพยานหลักฐานหรือแสดงความคิดเห็น
แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
(ผู้ถูกฟ้องปิดปาก) ตามมาตรา ๑๓๒ ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เพิ่มเติมจากที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ บัญญัติไว้ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและอยู่ระหว่างดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย
และประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒.
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของรัฐสภาเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช. รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ของรัฐสภาดังกล่าว ที่เห็นว่า ควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ
บางประการ และมีความจำเป็นที่ต้องจัดเตรียมความพร้อมในการกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลผู้ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๒
ดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้โดยเร็ว โดย คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ควรจัดให้มีคณะอนุกรรมการ
คณะทำงานหรือจัดตั้งสำนักหรือสำนักงานขึ้นเป็นหน่วยงานภายใน เพื่อรับผิดชอบติดตามหรือให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความคุ้มครองเป็นการเฉพาะ
ควรจัดสรรงบประมาณและสนับสนุนบุคลากรผู้ปฏิบัติงานตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก่สำนักงาน ป.ป.ช.
และบุคลากรผู้ปฏิบัติงานให้เพียงพอ รวมถึงการฝึกอบรมร่วมกับการใช้เทคโนโลยีในการจัดการข้อมูล
ควรกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์
หรือเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินกองทุนแก่บุคคลผู้ได้รับความคุ้มครอง
พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นกรณีพิเศษโดยคำนึงถึงความสะดวก
รวดเร็ว และโปร่งใส ควรกำหนดให้นำมติคณะกรรมการ
ป.ป.ช. รวมไว้ในสำนวนเพื่อประกอบการพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้น มีเจตนารมณ์เพื่อให้ศาลสามารถนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
๑๖๑/๑ มาใช้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อคุ้มครองผู้ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๒ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
385 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 2,049.69 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติ (จำนวน 17 จังหวัด) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท | คค. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒,๐๔๙.๖๙ ล้านบาท ประกอบด้วย กรมทางหลวง จำนวน ๑,๖๑๙.๙๐ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๔๒๙.๗๙
ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติ
(จำนวน ๑๗ จังหวัด) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
386 | ขอความเห็นชอบกำหนดให้เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งสุขภาพใจ (Mind Month) | สธ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กำหนดให้เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งสุขภาพใจ (Mind Month)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
387 | ร่างกรอบความยั่งยืนสำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์อาเซียน (ASEAN Creative Economy for Sustainability Framework) | วธ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างกรอบความยั่งยืนสำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์อาเซียน
(ASEAN Creative Economy
for Sustainability Framework) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ในฐานะรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงาน ด้านวัฒนธรรมและศิลปะแห่งราชอาณาจักรไทย
มีหนังสือไปยังกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมมาเลเซีย เพื่อแจ้งเห็นชอบร่างกรอบความยั่งยืนฯ
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
มีหนังสือไปยังกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมมาเลเซีย
เพื่อแจ้งเห็นชอบร่างกรอบความยั่งยืนฯ โดยอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างกรอบความยั่งยืนฯ
ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๔๖ ในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ณ มาเลเซีย
โดยร่างกรอบความยั่งยืนฯ มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรม วัฒนธรรมสร้างสรรค์ในอาเซียนอย่างยั่งยืนและครอบคลุม
เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ผ่านการทำงานร่วมกัน โดยในการพัฒนาร่างเอกสารดังกล่าว
ได้มีการดำเนินการผ่านกระบวนการพิจารณาและหารือเป็นการภายในของหน่วยงานภายใต้สำนักเลขาธิการอาเซียน
และองค์กรเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN
Socio-Cultural Community : ASCC) และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความยั่งยืนฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
388 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน
พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อเพิ่มอัตราเงินทดแทนในกรณีว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้าง
จากอัตราร้อยละ ๕๐ ของค่าจ้างรายวัน เป็นอัตราร้อยละ ๖๐ ของค่าจ้างรายวัน เพื่อบรรเทาภาระการดำรงชีพของผู้ประกันตนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่ากระทรวงแรงงานควรมีแผนการรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดวิกฤตสถานการณ์การว่างงาน
และมีการใช้สิทธิในกรณีดังกล่าวที่สูงกว่าปกติ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในระยะยาว
ประกอบกับ เป็นการตรากฎหมายหรือการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลผูกพันทรัพย์สิน
หรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้พิจารณาถึงความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพ
และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังด้วย
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
389 | การขอความเห็นชอบต่อร่างขอบเขตข้อกำหนดสำหรับการประชุม Navy to Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือแห่งราชอาณาจักรไทยกับกองทัพเรือเเห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กห. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างขอบเขตข้อกำหนดสำหรับการประชุม Navy to Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือแห่งราชอาณาจักรไทยกับกองทัพเรือแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และให้ผู้บัญชาการทหารเรือ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ร่วมลงนามในร่างขอบเขตข้อกำหนดฯ
มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดแนวทางในการปฏิบัติสำหรับการประชุมและแลกเปลี่ยนนโยบายระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือสาธารณรัฐประชาชนจีน
รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างขอบเขตข้อกำหนดฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
390 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 17 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร.02 | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ ทั้ง ๓
ฉบับ ได้แก่ ๑) ร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวัน
ว่าด้วยความมุ่งมั่นของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สื่อและสารนิเทศ
มีสาระสำคัญเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนที่มุ่งมั่นในการพัฒนาสื่อและสารสนเทศ
ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เพื่อการพัฒนาอาเซียนที่ยืดหยุ่นและครอบคลุม
พร้อมรับมือความท้าทายระดับโลก เร่งจัดการข้อมูลเท็จ
ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของอาเซียน ๒) ร่างปฏิญญากัวลาลัมเปอร์
ว่าด้วยการใช้แพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียอย่างปลอดภัย และมีความรับผิดชอบสำหรับอาเซียน
มีสาระสำคัญเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ
เพื่อลดความเสี่ยงจากข่าวปลอม การบิดเบือนข้อมูล การใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง
และการล่อลวงทางออนไลน์ รวมถึงการปกป้องกลุ่มเปราะบาง และ ๓)
ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๗
และการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาบวกสาม ครั้งที่ ๘ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงจุดยืนร่วมกันของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาบทบาทของสื่อ
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความเข้าใจอันดีระหว่างกันของประเทศสมาชิกอาเซียน
เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีที่กำลังดำเนินอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ที่ประชุมเน้นย้ำถึงบทบาทของสาขาสื่อและสารนิเทศในการส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียนและความเป็นหนึ่งเดียวของภูมิภาค
ด้วยการส่งเสริมข้อมูลข่าวสารที่มีความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง และครอบคลุม โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนของประเทศไทย
เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์หมายเลข (๑) และ (๒) และรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์หมายเลข
(๓) ในที่ประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๔ - ๙ พฤษภาคม
๒๕๖๘ ณ บรูไนดารุสซาลามอย่างเป็นทางการต่อไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
391 | การขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเอเปค ครั้งที่ 7 (7th APEC Human Resources Development Ministerial Meeting: HRDMM) | รง. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเอเปค
ครั้งที่ ๗ (7th APEC Human Resources
Development Ministerial Meeting: HRDMM) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่
๑๑ - ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมตลาดแรงงานที่มีความยืดหยุ่น
ครอบคลุม และพร้อมรับมือเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปตลาดแรงงานที่สอดคล้องกับแรงงานยุคใหม่
โดยมีประเด็นการหารือ ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑) ตลาดแรงงานที่ยืดหยุ่นและมีพลวัต เช่น
ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่น แก้ไขความเหลื่อมล้ำในตลาดแรงงาน และ ๒)
การตอบสนองต่องานในอนาคตผ่านนโยบายตลาดแรงงานเชิงรุก เช่น ปรับระบบอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมและนายจ้าง
จัดให้มีบริการจัดหางานที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงได้ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าไม่ขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำโดยรวมของร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ไม่มีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
ประกอบกับไม่มีการลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมดังกล่าว จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
392 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2568 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๘ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒ ฉบับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแถลงการณ์ฯ
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดย ๑) ร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญ เช่น การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา
ค.ศ. ๒๐๔๐ และเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในปีต่าง ๆ
ความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีภายใต้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และการเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรี
WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๔ การส่งเสริมขีดความสามารถภาคบริการของเอเปค
และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับสตรี และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย
เป็นต้น และ ๒) ร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคที่สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการลงทุนเพื่อการพัฒนา
(ภาคผนวกของร่างแถลงการณ์ ) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำบทบาทของการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ
การสนับสนุนให้สมาชิก WTO หาข้อยุติในการผนวกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเข้าไว้ในกรอบกฎหมายของ
WTO และการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดสามารถปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
รวมถึงให้สมาชิก WTO อื่น พิจารณาเข้าร่วมแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมากขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าร่างแถลงการณ์ฯ
และเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และโดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
จึงเข้าลักษณะ ตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องฯ พ.ศ ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
393 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรมและสาขาวิชารัฐศาสตร์
และสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
394 | รายงานการประเมินผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ ประจำปี พ.ศ. 2566 และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคม ประจำปี พ.ศ. 2566 | กค. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ ประจำปี พ.ศ.
๒๕๖๖
และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคมประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑) รายงานการประเมินผลฯ
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ แบ่งเป็นด้านผลการดำเนินงาน ซึ่งผู้มีสิทธิตามโครงการฯ ปี ๒๕๖๐
และปี ๒๕๖๑ ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้รับสวัสดิการมูลค่า
๒,๑๓๐/๒,๒๓๐ บาทต่อคนต่อเดือน ในขณะที่จังหวัดอื่นได้รับ ๑,๖๓๐/๑,๗๓๐ บาทต่อคนต่อเดือน (ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖) และผู้มีสิทธิตามโครงการฯปี
๒๕๖๕ ได้รับสวัสดิการมูลค่า ๑,๔๙๒ บาทต่อคนต่อเดือน (ตั้งแต่
๑ เมษายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖)
และมีการปรับสวัสดิการให้กับผู้ผ่านคุณสมบัติตามโครงการฯ ปี ๒๕๖๕ ใน ๓
สวัสดิการหลัก ได้แก่ วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค จำนวน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน
วงเงินส่วนลดก๊าซหุงต้ม จำนวน ๘๐ บาทต่อคนต่อ ๓ เดือน
และวงเงินค่าโดยสารสาธารณะรวม ๗๕๐ บาทต่อคนต่อเดือน
ด้านความคุ้มค่าของการจัดประชารัฐสวัสดิการ ซึ่งการดำเนินการในปี ๒๕๖๖ มีผลประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าต้นทุนที่ใช้ในการจัดสวัสดิการอยู่ที่
๑๗,๑๔๗.๔๔ ล้านบาท และ ๒) รายงานการสำรวจความพึงพอใจฯ ประจำปี
๒๕๖๖ ซึ่งจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ๗๖ จังหวัด และในกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น
๑๑,๔๔๖ ราย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพอใจอยู่ในระดับมาก ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
395 | ร่างกฎกระทรวงการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ พ.ศ. .... | รง. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ กำหนดเวลา
และอัตราการส่งเงินเข้ากองทุน เพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ
ให้มีความเหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรประชาสัมพันธ์การดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงนี้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติเมื่อร่างกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรศึกษาการประมาณการรายจ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากจะมีการกำหนดสิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ ของกองทุนฯ เพิ่มเติมในอนาคต รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการจัดหารายได้ของกองทุนฯ
ให้มีเสถียรภาพและเกิดความยั่งยืนในระยะยาว และควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการสมัครสมาชิกกองทุนฯ
โดยใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
396 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กองทุนยุติธรรม | ยธ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ กองทุนยุติธรรม โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) ความสำเร็จของการดำเนินงานตามมาตรฐานระยะเวลางานบริการของกองทุนฯ
มีประชาชนเข้ามาขอรับความช่วยเหลือ จำนวนทั้งสิ้น ๕,๑๙๖ ราย ดำเนินการแล้วเสร็จได้ทั้งสิ้น ๔,๓๑๒ ราย
(๒) การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการกองทุนฯ เช่น การให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”
เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ จากภาครัฐได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว (๓)
ความสำเร็จในการช่วยเหลือประชาชน จำนวน ๒,๕๖๗ ราย
เป็นเงินจำนวน ๒๒๔.๑๓ ล้านบาท. (๔) ผลการดำเนินงานที่สำคัญตามภารกิจของกองทุนฯ
เช่น ช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี จำนวน ๒ คดี การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย
จำนวน ๒ คดี และการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวน ๑ คดี (๕)
การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนประจำปีบัญชี ๒๕๖๗ มีคะแนนเฉลี่ยรวม ๔.๐๕
คะแนน (คะแนนเต็ม ๕ คะแนน) และ (๖) รายงานของกองทุนฯ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ สิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
397 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 | มท. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ.
....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๘) และยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
เพื่อให้การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารที่ไม่ใช่อาคารอยู่อาศัยไม่เป็นการดัดแปลงอาคารที่ต้องยื่นขออนุญาตดัดแปลงอาคาร
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการกำหนดแนวทางสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้มีความชัดเจน
เพื่อป้องกันการตีความที่คลาดเคลื่อน
และควรมีมาตรการการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
มีการตัดข้อความ “โดยต้องมีผลการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงที่กระทำและรับรองโดยวิศวกรโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรว่าสามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัยและแจ้งให้พนักงานท้องถิ่นทราบก่อนดำเนินการ”
ออก จากกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ซึ่งความปลอดภัยในการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนอาคารเป็นสิ่งสำคัญ
ควรให้มีการตรวจสอบความแข็งแรงหรือต้องติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้หรือผ่านการอบรมแล้ว
รวมทั้งควรคำนึงถึงการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่อาจส่งผลกระทบกับอาคารข้างเคียง
เช่น แสงอาทิตย์ความร้อน เป็นต้น
๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน เห็นว่าการปรับปรุงข้อกำหนดสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารที่ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคารให้ครอบคลุมอาคารประเภทอื่น
ๆ
จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน
ควรมีการกำหนดแนวทางสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้มีความชัดเจน
เพื่อป้องกันการตีความที่คลาดเคลื่อน
และควรมีมาตรการการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
398 | รายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือน ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๖๗ โดยมีผลการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น (๑) การรายงานผลการลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทาน (กระทรวงมหาดไทย) โดยมีประชาชนลงทะเบียนแล้ว ๗,๓๒๙,๐๐๕ คน (๒) การจัดกิจกรรมจิตอาสาของส่วนราชการต่าง ๆ (๑๙ หน่วยงาน) ประกอบด้วย จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ จิตอาสาเฉพาะกิจ และวิทยากรจิตอาสา ๙๐๔ มีการจัดกิจกรรม ๒๖,๐๓๔ ครั้ง (๓) การติดตามความก้าวหน้าโครงการในภารกิจของศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ โครงการพัฒนาพื้นที่สระบ่อดินขาว จังหวัดนครสวรรค์ ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขาวง (ถ้ำมุนี) และโครงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
399 | สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดเหตุการณ์บ่อยครั้งขึ้น
ล่าสุดเหตุการณ์ลอบทำร้ายประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม
๒๕๖๘ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน ๓ ราย
รวมถึงเด็กผู้หญิงอายุ ๙ ขวบด้วย ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงมหาดไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานความมั่นคงเพื่อเร่งดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยด่วน
ทั้งนี้ ขอให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลชีวิตความเป็นอยู่และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
400 | แนวทางความร่วมมือการจัดทำแคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 | กก. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดทำแคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 และมอบหมายหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนบูรณาการการท่องเที่ยวภายใต้หัวข้อ
“Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025”
และแจ้งผลการดำเนินงานให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทราบ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงวัฒนธรรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน)
เร่งดำเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนบูรณาการการท่องเที่ยวในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี มารองรับเป็นอันดับแรกก่อน
และสำหรับค่าใช้จ่ายที่จะดำเนินการในปีต่อไป
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณ
ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ตลอดจนประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักแก่ผู้ประกอบการถึงความสำคัญในการให้บริการภายใต้แนวคิด
Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาบริการด้านการท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน
และสามารถสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและยั่งยืนในระยะยาว ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
และจัดทำข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Data) ของแผนงานโครงการ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินความคุ้มค่าและกำกับการดำเนินงานให้ตอบสนองต่อการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์การดำเนินงานที่กำหนดไว้ |