ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 6222 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 124426 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 341 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2568 | นร.12 | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา ๑๖๕ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ๒๕๖๘ และเห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการในระยะต่อไปให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ตามที่สำนักงาน
ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรเร่งดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 342 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 | รง. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบ
และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 343 | ผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | อว. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
จะดำเนินการปรับปรุงแนวปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๑๐ ประกอบมาตรา ๙ (๕)
ที่กำหนดให้การจัดการอุดมศึกษาต้องเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล
โดยนำข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการในเรื่องมาตรการกำกับดูแลให้การปฏิบัติหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยในการออกข้อบังคับ
ระเบียบ หรือประกาศ ไปใช้ประกอบเป็นแนวทางในการพิจารณาดำเนินการ
และ ๒) สภามหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการตรากฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
พ.ศ. .... เพื่อดำเนินการออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ
ที่ต้องออกมาเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามร่างพระราชบัญญัติภายหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติใช้บังคับเป็นกฎหมาย ทั้งนี้
ได้กำหนดให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการตรากฎหมายลำดับรองในแต่ละด้าน
ออกข้อบังคับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการในแต่ละเรื่อง
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 344 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร
ที่เห็นว่าควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ บางประการ
และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกเสียงประชามติ
โดยเห็นควรให้คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่เพิ่มภาระด้านงบประมาณให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียงประชามติ
เร่งรัดให้มีการออกระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียงทางไปรษณีย์
เครื่องลงคะแนนออกเสียงอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือโดยวิธีอื่น
และอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการใช้สิทธิออกเสียงประชามติและการใช้สิทธิเลือกตั้งในคูหาเดียวกัน
รวมทั้งให้ประชาชนมีสิทธิสังเกตการณ์และบันทึกการนับคะแนนในทุกหน่วยออกเสียงและที่ออกเสียงได้อย่างสะดวกและใกล้ชิด
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒.
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓.
ส่งข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร
ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งไปพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 345 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ | อว. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม
ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมระหว่างกัน
ตลอดจนเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในสาขาและมิติที่สอดคล้องกับความสนใจและประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
โดยมีสาขาความร่วมมือ เช่น ธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย สุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์ สภาพทางภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม มีขอบเขตความร่วมมือ เช่น
ส่งเสริมโอกาสการวิจัยและนวัตกรรมร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก
ส่งเสริมความเป็นเลิศในด้านการเรียนการสอนและการประเมินผลผ่านการแลกเปลี่ยน
การให้ความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ที่เห็นว่าหากกลุ่มนักศึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยได้รับการพิจารณาทุนการศึกษา
ทุนการวิจัย หรือทุนแลกเปลี่ยนประเภทต่าง ๆ จะยิ่งเป็นการสนับสนุนและสร้างโอกาสแห่งความเท่าเทียมด้านการศึกษาอย่างแท้จริง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 346 | ร่างเอกสารการยกระดับความสัมพันธ์ประเทศไทย - ราชอาณาจักรสวีเดน สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Thailand - Sweden Strategic Partnership) | กต. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารการยกระดับความสัมพันธ์ประเทศไทย-ราชอาณาจักรสวีเดน สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารฯ โดยร่างเอกสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นทางการเมืองในการส่งเสริมและขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน
เช่น การกำหนดกลไกการหารือทวิภาคีทางการเมืองเชิงยุทธศาสตร์ การค้า การลงทุน ความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าร่างเอกสารดังกล่าวควรใช้ภาษาไทยว่า
“ร่างเอกสารการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทย-ราชอาณาจักรสวีเดน”
เพื่อให้สอดคล้องกับการเป็นราชอาณาจักรของทั้งสองประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรติดตาม ประเมินผล และเผยแพร่ผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบเพื่อให้เกิดการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับอย่างเป็นรูปธรรมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 347 | ขออนุมัติการรับรองร่างขอบเขตหน้าที่และแนวปฏิบัติของกองทุนกีฬาอาเซียน | กก. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างขอบเขตหน้าที่และแนวปฏิบัติของกองทุนอาเซียน
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างขอบเขตหน้าที่ฯ และอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยกรมพลศึกษาจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนกีฬาอาเซียนรายปีตามอัตราที่กำหนดไว้ในร่างขอบเขตหน้าที่และแนวปฏิบัติของกองทุนกีฬาอาเซียนเป็นประจำทุกปี
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างขอบเขตหน้าที่และแนวปฏิบัติของกองทุนกีฬาอาเซียนในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมพลศึกษา) ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนกีฬาอาเซียนรายปี
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ในอัตรา ๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(กรมพลศึกษา) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอาจพิจารณาขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามวัตถุประสงค์และขอบเขตที่กฎหมายกำหนด
แทนการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการดำเนินการดังกล่าว
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 348 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการและเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกรอกเคียน จังหวัดฉะเชิงเทรา | กษ. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกรอกเคียน
จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดิม ๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๗)
เป็นระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙) และให้เพิ่มกรอบวงเงินโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกรอกเคียน
จังหวัดจะเชิงเทรา จากเดิม ๑,๘๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ ๑,๙๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรควบคุม
กำกับ
และดูแลการก่อสร้างโครงการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้เพื่อให้โครงการสามารถเป็นแหล่งน้ำต้นทุน
และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งรองรับการเจริญเติบโตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ตามแผนการพัฒนาแหล่งน้ำภายใต้ใครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(พ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๘๐) ต่อไป สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่เสนอ
เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์โดยเร็ว
และให้เป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณ
พร้อมทั้งให้รายงานความก้าวหน้าของโครงการฯ ต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทุก
๖ เดือน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมชลประทาน) เร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกรอกเคียน
จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ อย่างเคร่งครัด โดยจะไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวออกไปอีก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 349 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของกรอบเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ครั้งที่ 10 | กต. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญากรุงอูลานบาตอร์ (Ulaanbaatar Declaration) ที่จะรับรองในที่ประชุม FEALAC FMM ครั้งที่ ๑๐ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม
FEALAC FMM ครั้งที่ ๑๐ และร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว โดยร่างปฏิญญาฯ
มีสาระสำคัญสะท้อนเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิก
และเพิ่มพูนความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลก ผ่าน “วิสัยทัศน์สำหรับ
๒๕ ปี และต่อไปภายหน้าเพื่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกและลาตินอเมริกา” โดยให้ความสำคัญกับประเด็นหลัก
ได้แก่ (๑) การเสริมสร้างการบริหารเชิงสถาบันของ FEALAC ให้แข็งแกร่ง
(๒) การส่งเสริมให้ FEALAC เป็นเวทีความร่วมมือที่มีความเป็นสากลมากขึ้น
และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ FEALAC ในระดับโลก (๓)
การสนับสนุนให้การดำเนินการต่าง ๆ มีความต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ มีความยั่งยืน
และมีผลเป็นรูปธรรม (๔) การส่งเสริมความมั่งคั่งและความยั่งยืน
โดยการส่งเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจโลก
การรับมือและใช้ประโยชน์จากโอกาสและความท้าทายของแนวโน้มใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล (๕) การส่งเสริมความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
(๖) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนระหว่างสองภูมิภาค
และ (๗) การส่งเสริมประสิทธิภาพของกองทุนภายใต้สหประชาชาติ ซึ่งมีผู้บริจาคหลายประเทศของ
FEALAC (FEALAC Multi-Donor Trust Fund) คณะทำงานและโครงการต่าง
ๆ ภายใต้ FEALAC ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติดตามและประเมินผล และสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้ทราบถึงประโยชน์ที่ไทยพึงได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 350 | การออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) | กค. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
(องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อสังคมเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ
สพพ. วงเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลัง
[สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)] รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นว่าการออกพันธบัตรเพื่อสังคม (Social bond) จะเป็นการช่วยพัฒนาตลาดการเงินและเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับนักลงทุน
โดย สพพ. ควรพิจารณาการกู้ยืมเงินรูปแบบอื่นประกอบ
เพื่อรองรับกรณีที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 351 | รายงานผลการกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียสำหรับโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา | กค. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการลงนามสัญญาเงินกู้โครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวง
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภากับธนาคารพัฒนาเอเชีย
เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำคำรับรองทางกฎหมาย
ให้สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้ ภายใน ๔ กันยายน ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 352 | มาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน | รง. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
และอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑ ฉบับ รวมถึงให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน
จำนวน ๑ ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามแนวทางการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น
ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย และให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว
เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... ๒.๒
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว
เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... รวม ๒ ฉบับ
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น
ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อาทิ
คนต่างด้าวสัญชาติศรีลังกา เนปาล บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ให้กระทรวงแรงงานหารือหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างรอบด้าน
ทั้งในมิติความมั่นคงและมิติเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการป้องกันการสวมสิทธิ์อันไม่พึงประสงค์และพัฒนาระบบการตรวจสอบก่อนอนุญาตให้เข้ามาทำงานในประเทศอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งควรมีมาตรการรองรับแรงงานให้สามารถปรับตัวในการทำงานได้ในประเทศไทยอย่างไม่เกิดปัญหา
อาทิ การสนับสนุนให้นายจ้างมีมาตรการช่วยเหลือด้านภาษา
การอบรมเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของแรงงาน กฎหมาย วัฒนธรรมท้องถิ่น
และบรรทัดฐานทางสังคมที่ควรทราบ และควรมีการพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการแรงงานต่างชาติอย่างเป็นระบบ
เพื่อรองรับการขาดแคลนแรงงานในระยะยาว ๔.
ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันเร่งรัดแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตรวจสุขภาพ
และการประกันสุขภาพ รวมทั้งอัตราค่าประกันสุขภาพ สิทธิประโยชน์และความคุ้มครองของแรงงานต่างด้าว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ (เรื่อง
การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาซึ่งได้รับการขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป) โดยเร็ว
และให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นควรดำเนินการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพเช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เรื่อง แนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยขอรับการตรวจโรคต้องห้ามตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงาน
ณ สถานพยาบาลของรัฐ และประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว
ที่มีอายุความคุ้มครองไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่ขออนุญาตทำงาน สำหรับคนต่างด้าว ซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างซึ่งไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 353 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับรูปแบบการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย) | กต. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๓
โดยกำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ณ
สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป พร้อมครอบครัวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นกรณีพิเศษ
โดยการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวในระบบ e-Visa แทนการใช้ใบอนุญาตพิเศษเพื่อเข้าประเทศประเภท (ข) (Special Entry
Permit (B) หรือ SPB โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งเป็นเวลา
๓ ปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเข้าออกประเทศสำหรับเจ้าหน้าที่และครอบครัวของสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปให้สามารถได้รับการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางธรรมดาได้เช่นเดียวกับผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารแทนหนังสือเดินทางไต้หวันที่สามารถขอรับ
e-Visa ได้อยู่แล้ว
และเป็นการแสดงไมตรีจิตให้แก่ฝ่ายไต้หวันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
อีกทั้งยังสามารถสร้างผลประโยชน์ของไทยจากความร่วมมือที่ราบรื่นยิ่งขึ้นในระยะยาวกับไต้หวันในมิติต่าง
ๆ ด้วย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบภายในที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับร่างประกาศตามข้อ
๑ และแจ้งแนวปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมือง
เพื่อสร้างความเข้าใจต่อแนวปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 354 | ขอความเห็นชอบรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก | พม. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในการเสนอชื่อ ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ
(๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๘) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาของประเทศไทย มีหนังสือแจ้งเรื่องการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์
ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช ให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียนและประเทศสมาชิกทราบ
ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
และจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 355 | การโอนสิทธิตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตเลขที่ 1/2562/1 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 | พน. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด โอนสิทธิ
ประโยชน์ และพันธะซึ่งบริษัทถืออยู่ทั้งหมดร้อยละ
๔๐ ในสัญญาแบ่งปันผลผลิตเลขที่ ๑/๒๕๖๒/๑ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 ให้แก่ บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่
ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทั้งนี้
กระทรวงพลังงานจะได้ออกเป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิตเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑)
ของสัญญาแบ่งปันผลผลิตเลขที่ ๑/๒๕๖๒/๑ ตามแบบ ชธ/ป๑๒/๑
ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 356 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดน่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (โครงการ NPUP) | พน. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดน่าน
แพร่ และอุตรดิตถ์ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(โครงการ NPUP) ในวงเงินรวม ๒๖,๒๒๐ ล้านบาท และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ถือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อการลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายประจำปี
๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าภายหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการแล้ว
ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง รวมทั้งดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม
มีมาตรการรองรับในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน
โดยพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่การดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผน
เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินในอนาคต
ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 357 | ร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะและมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ | กค. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ .. ) พ.ศ.
... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้มีเงินได้สามารถหักลดหย่อนค่าซื้องานศิลปะด้านทัศนศิลป์
โดยการยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้องานศิลปะมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทในแต่ละปีภาษี
สำหรับการซื้องานศิลปะ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๘ - ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๗๐ และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา
๔๐ (๖) แห่งประมวลรัษฎากรที่มีเงินได้จากวิชาชีพอิสระประณีตศิลปกรรมสามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ
๓๐ เป็นร้อยละ ๖๐ ตั้งแต่ปีภาษี ๒๕๖๘ เป็นต้นไป เป็นการถาวร รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม ที่เห็นควรสนับสนุนการซื้อขายงานศิลปะหรือศิลปวัตถุจากร้านค้าจำหน่ายงานศิลปะหรือศิลปวัตถุที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการค้าศิลปวัตถุอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย
และในส่วนร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ควรกำหนดขอบเขตของ “วิชาชีพอิสระประณีตศิลปกรรม”
ให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
มอบหมายกระทรวงวัฒนธรรมร่วมขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้และความเข้าใจมาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ
รวมทั้งร่วมติดตามและประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้ และนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่กระทรวงการคลังเป็นรายปีจนสิ้นสุดมาตรการเพื่อประกอบการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา
๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังเร่งผลักดันการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนทางการคลัง
โดยให้ความสำคัญกับการทบทวนและดำเนินมาตรการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเป็นการชั่วคราวที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ให้มีเท่าที่จำเป็นเพื่อสร้างความเข้มแข็งของฐานะการคลังในระยะยาว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 358 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2568 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) | สกพอ. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๘ เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : เมืองการบินภาคตะวันออก
(EECa) มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพื้นที่ในส่วนที่เป็นพื้นที่นอกเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
พื้นที่ประมาณ ๗๑๔ ไร่
เพื่อหลีกเลี่ยงเขาโกรกตะแบกซึ่งอยู่ในบริเวณด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสนามบินและเป็นสิ่งกีดขวางการบิน
และเป็นเหตุให้บริเวณทางวิ่งที่ ๒
และทางขับที่เกี่ยวข้องบางส่วนมีพื้นที่ตั้งล้ำเข้าไปในเขตปลอดภัยทางทหารของกองทัพเรือทางด้านทิศใต้
ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุที่กองทัพเรือเป็นหน่วยงานครอบครองใช้ประโยชน์และได้อนุญาตให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(สกพอ.) ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว
และตั้งอยู่นอกพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : เมืองการบินภาคตะวันออก
จึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพื้นที่ดังกล่าวเพื่อให้เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษครอบคลุมพื้นที่สำหรับดำเนินโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกทั้งหมด
ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงคมนาคมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรดำเนินการตามกฎ
ระเบียบ และมาตรการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องสอดคล้องกับแผนและผังการดำเนินงานที่กำหนดด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าในประเด็นการแบ่งสัดส่วนรายได้ควรให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาถึงแนวทางและหลักเกณฑ์
ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเงื่อนไขข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อให้การเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ราชพัสดุเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
โดยให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ ตลอดจนพิจารณาถึงความโปร่งใส คุ้มค่า
ตรวจสอบได้
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 359 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่เกาะไข่ ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... | ทส. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ในพื้นที่เกาะไข่ ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่บริเวณเกาะไข่
ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เพื่อสงวน
คุ้มครอง อนุรักษ์แนวปะการัง และจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืน
รวมทั้งการสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ความสำคัญในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและการรับรู้ในการดำเนินมาตรการฯ
ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ อาทิ การกำหนดหลักเกณฑ์ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ และการจัดทำเครื่องหมายตามพิกัดที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
เพื่อป้องกันมิให้เกิดการรุกล้ำเข้าทำการประมงหรือกระทำความเสียหายที่เป็นความผิดตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฯ ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งควรสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่
รวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เกิดประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 360 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษา การจัดงานประเพณี | ปช. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีศึกษา
การจัดงานประเพณี รวม ๓ ประเด็น ดังนี้ (๑)
ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างโดยมิชอบ (๒)
ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการรายได้จากการจัดงาน และ (๓) ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์จัดงานโดยไม่ขออนุญาตให้ถูกต้อง
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
