คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕ ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้

๑. นางสาวบุปผา เรืองสุด          ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม

๒. นางมารศรี ใจรังษี               ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

๓. นายสมชาย มรกตศรีวรรณ     ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

๔. นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์            ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน

๕. นายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์        ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

ทั้งนี้ ได้ยกเลิกชั้นความลับนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๘)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำนวน ๙ คน เนื่องจากกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้

๑. นายประพันธ์ เทียนวิหาร                 ผู้แทนเกษตรกร

๒. นายเด่นณรงศ์ ธรรมมา                   ผู้แทนเกษตรกร

๓. นายบุญช่วย มหิวรรณ                    ผู้แทนเกษตรกร

๔. นายสมศักดิ์ ป้องปัญจมิตร               ผู้แทนเกษตรกร

๕. นายตระกูล สว่างอารมย์                 ผู้แทนเกษตรกร

๖. นายวุฒิศักดิ์ พรมแก้ว                    ผู้แทนเกษตรกร

๗. นายปราณพงษ์ ติลภัทร                  ผู้ทรงคุณวุฒิ

๘. พันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย               ผู้ทรงคุณวุฒิ

๙. นายธนู มีแสงเงิน                          ผู้ทรงคุณวุฒิ

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ ได้ยกเลิกชั้นความลับนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๘)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และเพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้

๑. นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ          ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ

๒. นางสาวสนธยา บุณยภูษิต        ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

ทั้งนี้ ได้ยกเลิกชั้นความลับนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๘)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และตำแหน่งที่จะว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้

๑. นายมณเฑียร คณาสวัสดิ์             ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมโรค

๒. นายพงศธร พอกเพิ่มดี                ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้

๑. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย               ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

๒. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง     ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

๓. นายสุรพงษ์ เอิมอุทัย                      ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

๔. นายนิยม ไผ่โสภา                          ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

๕. นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล          ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

๖. นายภูมิพัทธ เรืองแหล่                     ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

โดยกรณีการแต่งตั้งข้าราชการลำดับที่ ๒ - ๓ และลำดับที่ ๖ ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ได้ยกเลิกชั้นความลับนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๘)

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยมีสาระสำคัญ เช่น (๑) การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนและการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม เช่น การสนับสนุนเงินหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านกฎหมาย การฟ้องร้อง การดำเนินคดี ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี (๒) ผลการดำเนินงานของ กพยช. และคณะอนุกรรมการ เช่น การศึกษาและการออกแบบตัวแบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการพิจารณากฎหมายใหม่ และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย (๓) ผลการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของ กพยช. ตามพระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (มาตรา ๑๐) ในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ เช่น การพัฒนานวัตกรรมและยกระดับงานด้านกระบวนการตามหลักนิติธรรม การประเมินผลการบังคับใช้กฎหมายผ่านเครื่องมือ การประเมินผลการบังคับใช้กฎหมาย (LEI) และ (๔) การประเมินตัวชี้วัดกระบวนการยุติธรรมประเทศไทย จำนวน ๑๐ ด้าน (เช่น การรับรู้กฎหมายและสิทธิพื้นฐาน ความถูกต้องเที่ยงธรรม ความเชื่อมั่นของประชาชน ๔๔ ตัวชี้วัด (เช่น ช่องทางและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ความรู้สึกปลอดภัย) ในภาพรวมปรากฏค่าคะแนนรวม ๐.๖๑๗ (คะแนนเต็ม ๑ คะแนน) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานกิจการยุติธรรม) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๗ ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

๑. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้ดำเนินภารกิจโดยมุ่งเน้นการ “เชื่อมโยงโอกาสการเรียนรู้ มุ่งสู่ความเสมอภาคทางการศึกษา” โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ สรุปได้ ดังนี้

    ๑.๑ การเชื่อมโยงข้อมูล นวัตกรรมองค์ความรู้เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา รวมทั้งต้นแบบและนวัตกรรมการทำงานที่เกิดการขยายผลการทำงานโดยหน่วยงานต่าง ๆ เช่น (๑) ผลักดันมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ส่งผลให้ในปี ๒๕๖๗ เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษากลับเข้าสู่เส้นทางการศึกษาได้ จำนวนกว่า ๓ แสนคน (๒) ผลิตครูรัก(ษ์)ถิ่น โดยมีการบรรจุแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล จำนวน ๒๘๕ แห่ง ส่งผลให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลได้รับโอกาสในการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ จำนวน ๖๐,๗๗๖ คน

    ๑.๒ ขับเคลื่อนภารกิจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเด็ก เยาวชน และประชากรวัยแรงงาน ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส รวมถึงการพัฒนาตัวแบบการดำเนินงานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาผ่านการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น (๑) จัดสรรเงินอุดหนุนทุนเสมอภาค ให้แก่นักเรียนยากจนพิเศษ รวมจำนวน ๑.๓๔ ล้านคน (๒) ขับเคลื่อนภารกิจเพื่อพัฒนาครูและสถานศึกษาเพื่อเชื่อมโยงโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นระดับห้องเรียน โรงเรียน และเครือข่ายโรงเรียน

๒. รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งประกอบด้วย ๑) ข้อมูลทั่วไป ๒) ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ๓) ผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการใช้จ่ายของกองทุนฯ และ ๔) รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้

๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองชาวไทย กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิม รวมถึงมีสิทธิขั้นพื้นฐานและรับรองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ

๒. มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้

๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองชาวไทย กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิม รวมถึงมีสิทธิขั้นพื้นฐานและรับรองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ

๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

๓. มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป