ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | นายกรัฐมนตรีลากิจในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 | นร.05 | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งว่า
นายกรัฐมนตรีจะลากิจในวันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๘ ตั้งแต่เวลา ๑๑.๓๐ - ๑๓.๐๐ น. ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบแล้ว
ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑
กำหนดให้การลาทุกประเภทของนายกรัฐมนตรี ให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี
และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุข | สธ. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุข
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุข
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการพัฒนาความร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายในสาขาสาธารณสุขที่สอดคล้องกับระเบียบและกฎหมายที่บังคับใช้ในประเทศ
และอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | ขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | อว. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ (๑)
ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการดำเนินการร่วมภายใต้โครงการความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในสาขาการแพทย์แผนจีน ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการแพทย์แผนจีนโดยมีขอบเขตความร่วมมือ
เช่น ๑) การหาวิจัยร่วมด้านทฤษฎีการแพทย์แผนจีน ๒)
การยกระดับความร่วมมือในการกำหนดมาตรฐานการแพทย์ดั้งเดิม ๓)
การจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการแพทย์แผนจีน และ (๒) ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการดำเนินการร่วมภายใต้โครงการพิเศษเพื่อความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดำเนินความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้อง ๔ ด้าน ได้แก่ ๑)
เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ๒) นวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ ๓) การบรรเทาความยากจนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
และ ๔) ข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงทั้ง
๒ ฉบับ จะมีผลภายหลังจากการลงนามเป็นระยะเวลา ๓ ปี โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนง ทั้ง ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กวช. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) | กค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์
โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับและส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกผลิตภัณฑ์และการทำธุรกรรมในตลาดทุน
รวมทั้งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในสังคมดิจิทัลแห่งอนาคต
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยให้ส่งความเห็นของสมาคมธนาคารไทยไปเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่าในประเด็นเกี่ยวกับหลักทรัพย์ประเภทหุ้นของบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
พ.ศ. ๒๕๓๕ และมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากคณะกรรมการ ก.ล.ต.
จะประกาศกำหนดให้สามารถออกหุ้น โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
ควรพิจารณาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการออกหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ก่อนดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานนั้น ๆ
พิจารณาดำเนินการและเตรียมความพร้อมภายใต้ภารกิจและกรอบกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาทิ กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าในมาตรา ๖๒/๒ ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับการออกหลักทรัพย์ตามประเภทที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ว่า
การออกหลักทรัพย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรมีการจัดทำแนวปฏิบัติ มาตรฐานการออกหลักทรัพย์ที่ชัดเจนในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
เช่น การออก การโอน การส่งมอบ และการวางหลักประกัน เป็นต้น
เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๔.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์
เงื่อนไข กระบวนการ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกหลักทรัพย์ด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรวม ๔ ฉบับ
ที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สมาคมธนาคารไทย เห็นควรกำหนดนิยาม “หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์”
ให้มีความแตกต่างจาก “สินทรัพย์ดิจิทัล” และการกำหนดให้การดำเนินการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงธนาคารยังไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์หรือให้บริการการทำธุรกรรมตลาดทุนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - มกราคม 2568 | นร.12 | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา ๑๖๕ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗ - มกราคม ๒๕๖๘ และเห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการในระยะต่อไปให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ตามที่สำนักงาน
ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าคณะรัฐมนตรีสามารถรับทราบและพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่สำนักงาน
ก.พ.ร. เสนอได้ตามที่เห็นสมควร โดยขอให้เร่งดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนเวลาที่กฎหมายกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๘
แล้วให้ส่งร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.
๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | ข้อเสนอแนะกรณีพนักงานบริการในสถานบริการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐ | สม. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑ รับทราบข้อเสนอแนะกรณีพนักงานบริการในสถานบริการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2566 | กค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน
ประจำปีบัญชี ๒๕๖๖ ประกอบด้วย ๑) สถานะทางการเงินของทุนหมุนเวียนในภาพรวม
โดยมีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๖๕ ร้อยละ ๘.๓๒ และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี
๒๕๖๕ ร้อยละ ๕.๑๖
เนื่องจากเป็นรายได้จากเงินนำส่งเข้ากองทุนในกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งเป็นไปตามปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราที่คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประกาศกำหนด
และ ๒) ผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน
โดยมีทุนหมุนเวียนเข้าสู่ระบบการประเมินผลการดำเนินงานของกรมบัญชีกลาง จำนวน ๙๘
ทุน จาก ๑๑๓ ทุน โดยมีผลการประเมินผลการดำเนินงานเฉลี่ยในภาพรวมเท่ากับ ๔.๑๗๓๓ คะแนน
ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๖๕ เท่ากับ ๐.๐๖๓๒ คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ ๑.๔๙ เป็นทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินผ่านเกณฑ์
จำนวน ๕๘ ทุน ผลการประเมินต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน จำนวน ๓๘ ทุน
และผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ จำนวน ๒ ทุน ได้แก่ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐและกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่กำกับดูแลกองทุนนำผลการประเมินการดำเนินงานในปีบัญชี
๒๕๖๖ ของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
ซึ่งมีทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
และทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินผล
ไปพิจารณาเพื่อกำหนดแผนแก้ไขให้ชัดเจนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | ผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑)
การให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางในการออกข้อกำหนด
ทำให้สามารถจัดการกับปัญหาหรือปรับปรุงกระบวนพิจารณาของศาลได้โดยเร็ว และไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจไว้
รวมทั้งไม่ทำให้สิทธิในการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยต้องลดน้อยกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
โดยปัจจุบันศาลภาษีอากรกลางได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ
และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำร่างข้อกำหนดคดีภาษีอากร คู่ความสามารถยื่นคำฟ้อง
อุทธรณ์หรือฎีกา ตลอดจนคำให้การ คำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกา ได้ที่ศาลจังหวัดเพื่อส่งมายังศาลภาษีอากรกลาง
รวมถึงหากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
สำนักงานศาลยุติธรรมจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อสารสนเทศของสำนักงานศาลยุติธรรม
ได้แก่ เพจเฟซบุ๊ก “สื่อศาล” และแอปพลิเคชันไลน์ “inside
COJ” รวมถึงจัดโครงการเผยแพร่ความรู้กฎหมายให้บุคลากรศาลยุติธรรมและประชาชนทั่วไปรับทราบถึงอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเพิ่มเติมขึ้นของศาลภาษีอากร
และ ๒)
ในกรณีศาลภาษีอากรใช้อำนาจรับพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับภาษีอากรสำหรับการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ซึ่งบางกรรมไม่อยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากร
จำเลยสามารถแถลงไม่ว่าด้วยวาจาหรือยื่นเป็นคำแถลงให้ศาลทราบถึงความไม่สะดวกหรือไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมได้
เมื่อจำเลยได้แถลงให้ศาลทราบถึงความไม่สะดวกหรือไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแล้ว
หากศาลเห็นสมควร ศาลย่อมมีดุลพินิจในการสั่งแยกฟ้องได้ต่อไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | ผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ซึ่งสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑)
การให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางในการออกข้อกำหนด
ทำให้สามารถจัดการกับปัญหาหรือปรับปรุงกระบวนพิจารณาของศาลได้โดยเร็ว และไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจไว้
รวมทั้งไม่ทำให้สิทธิในการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยต้องลดน้อยกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
โดยปัจจุบันศาลภาษีอากรกลางได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ
และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำร่างข้อกำหนดคดีภาษีอากร คู่ความสามารถยื่นคำฟ้อง
อุทธรณ์หรือฎีกา ตลอดจนคำให้การ คำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกา ได้ที่ศาลจังหวัดเพื่อส่งมายังศาลภาษีอากรกลาง
รวมถึงหากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว สำนักงานศาลยุติธรรมจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อสารสนเทศของสำนักงานศาลยุติธรรม
ได้แก่ เพจเฟซบุ๊ก “สื่อศาล” และแอปพลิเคชันไลน์ “inside
COJ” รวมถึงจัดโครงการเผยแพร่ความรู้กฎหมายให้บุคลากรศาลยุติธรรมและประชาชนทั่วไปรับทราบถึงอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเพิ่มเติมขึ้นของศาลภาษีอากร
และ ๒)
ในกรณีศาลภาษีอากรใช้อำนาจรับพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับภาษีอากรสำหรับการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ซึ่งบางกรรมไม่อยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากร
จำเลยสามารถแถลงไม่ว่าด้วยวาจาหรือยื่นเป็นคำแถลงให้ศาลทราบถึงความไม่สะดวกหรือไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมได้
เมื่อจำเลยได้แถลงให้ศาลทราบถึงความไม่สะดวกหรือไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแล้ว
หากศาลเห็นสมควร ศาลย่อมมีดุลพินิจในการสั่งแยกฟ้องได้ต่อไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนธันวาคม 2567 | มท. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑,๔๑๘,๐๑๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน
สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม ๒๕๖๗ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๗
โดยเป็นกรอบวงเงินของการไฟฟ้านครหลวง วงเงิน ๒๒๒,๙๖๐,๐๐๐ บาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วงเงิน ๑,๑๙๕,๐๕๐,๐๐๐ บาท
และให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงพลังงาน เห็นว่าการใช้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่การไฟฟ้าทั้ง
๒ แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เพิ่มเติม | สผ. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
รายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เพิ่มเติม ๓๗๓,๘๘๗,๗๒๐.๐๐ บาท ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
และให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาในรายละเอียดตามความจำเป็นและเหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรให้ความสำคัญในการดำเนินงานของกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา
โดยพิจารณาแหล่งรายรับอื่น ๆ เพื่อให้กองทุนมีงบประมาณที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา
ลดการพึ่งพาเงินจากงบประมาณเพียงแหล่งเดียว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาระต่องบประมาณในระยะยาว
รวมถึงกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | การรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงข้ามชาติ ครั้งที่ 5 | นร.08 | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ไทยรับรอง
(ร่าง) แถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงข้ามชาติ ครั้งที่ ๕ และให้
นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวดำเนินการรับรอง
(ร่าง) แถลงการณ์ร่วมฯ ต่อไป โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นการก่อการร้ายและการเผยแพร่แนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงในภูมิภาค
โดยเฉพาะการเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ในกลุ่มเยาวชน รวมทั้งสถานการณ์ภัยคุกคามในภูมิภาคที่มีแนวโน้มขยายตัวและมีความรุนแรงมากขึ้น
เช่น การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ การค้ามนุษย์ ความมั่นคงทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
เป็นต้น ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นควรปรับแก้ชื่อเรียกเอกสารจาก “แถลงการณ์ร่วม” เป็น “ถ้อยแถลงร่วม” (Joint Statement) เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเรียกภาษาอังกฤษ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง)
แถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร
พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำหนดให้เขตท้องที่อำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่น
เฉพาะในท้องที่ตำบลม่วงยายและตำบลหล่ายงาว จังหวัดเชียงราย และอำเภอภูซาง
เฉพาะในท้องที่ตำบลภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นเขตควบคุมศุลกากรเพิ่มเติม เนื่องจากเขตท้องที่ดังกล่าวมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่นทำให้มีการนำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกอาณาจักรเป็นจำนวนมาก
และเนื่องจากสภาพภูมิประเทศทำให้ยากต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมทางศุลกากร
จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดให้ท้องที่ดังกล่าวเป็นเขตควบคุมศุลกากรเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับศุลกากร
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าการเดินเรือในแม่น้ำ ลำคลอง
ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และข้อบังคับเกี่ยวกับการเดินเรือตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านไทย
พ.ศ. ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจสอบการลักลอบนำเข้าสินค้าควบคู่ไปด้วย
และประชาสัมพันธ์ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอย่างทั่วถึง
เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบการของผู้ประกอบการ/ประชาชนในพื้นที่ที่มีการกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติมเพื่อรองรับสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน | คค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน เพิ่มเติม
ในส่วนของงานที่เกิดจากคำสั่งเปลี่ยนแปลงงานเพิ่มเติม (Variation Order : VO) ค่าใช้จ่ายจากการขยายระยะเวลาของสัญญาจ้าง
(Prolongation Cost) และเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K
(Price Adjustment) โดยไม่รวมในส่วนของดอกเบี้ยจากการจ่ายค่างานล่าช้า
ซึ่งมิใช่ต้นทุนโดยตรงของโครงการฯ
รวมถึงแหล่งเงินเพื่อจ่ายค่างานที่เพิ่มขึ้นในโครงการฯ และการจัดหาแหล่งเงิน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๙ (๔) และอนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับกรอบวงเงินโครงการฯ
เพิ่มเติมกรณีที่เกิดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือกรณีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการเปลี่ยนแหล่งเดิมหรือการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากที่ประกาศไว้ในประมวลรัษฎากร
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเพิ่มวงเงินโครงการฯ ก่อนดำเนินการต่อไป
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓.
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการดำเนินการชำระหนี้สำหรับสัญญาที่ ๑
ตามคำพิพากษาศาลปกครองให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อลดภาระดอกเบี้ยล่าช้าที่เกิดขึ้นวันละ ๙๙๖,๗๕๙.๙๔ บาท และให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง
การกำหนดมาตรการ/แนวทาง การกำกับดูแล
และการทบทวนระเบียบและหลักเกณฑ์ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยใช้ในการบริหารโครงการฯ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการอย่างเหมาะสม
เพื่อควบคุมต้นทุนโครงการให้เป็นไปตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้
และไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังและภาระงบประมาณของภาครัฐเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการกู้เงินจะต้องพิจารณาดำเนินการกู้เงินให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยเคร่งครัด
และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | มาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ | อก. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่
ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้พิจารณามาตรการฯ
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ๑) ช่วงการสำรวจแร่ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หารือร่วมกันเพื่อจัดทำประกาศหรือกำหนดระเบียบเกี่ยวกับพื้นที่รัฐจัดสรร หรือออกให้ประชาชนเพื่อทำการเกษตรกรรม
เช่น ที่ดิน ส.ป.ก. หรือที่ดิน ส.ป.ก.๔ - ๐๑ ให้เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการสำรวจแร่และการทำเหมืองทุกชนิด
๒) ช่วงการประทานบัตร เช่น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแก้ไขประกาศ ระเบียบที่เกี่ยวกับการรับฟังความเห็น
โดยให้ประชาชน นักวิชาการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนภายนอกพื้นที่สามารถเข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นและคัดค้านได้
และ ๓) กระบวนการอนุญาโตตุลาการให้กระทรวงการต่างประเทศบรรจุคำนิยามของ “ประโยชน์สาธารณะ”
ให้ชัดเจนครอบคลุมถึงกรณีที่มีการยุติสัญญาเมื่อเกิดปัญหาการทุจริตหรือปัญหาสิ่งแวดล้อมสุขภาพอนามัยไว้ในข้อตกลงการลงทุนระหว่างประเทศ
ประเภทต่าง ๆ เช่น ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | ขอความเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มเงินสวัสดิการพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับผู้ปฏิบัติงานที่มีสำนักงานอยู่นอกพื้นที่เสี่ยงภัย แต่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ | คค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษให้กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ
จากอัตรา ๒,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน เป็นอัตราใหม่
๓,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่เต็มเดือน
ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ ๑๕ วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการพิเศษในอัตรา ๓,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีที่ตั้งของสำนักงานอยู่นอกพื้นที่พิเศษ
ซึ่งมีความจำเป็นต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ ดังนี้ ๑) ผู้ปฏิบัติงานที่ปฏิบัติงานประจำขบวนรถไฟ
มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา ๒๓๓.๓๓ บาทต่อคนต่อวัน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ตั้งแต่
๑๕ วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา ๓,๕๐๐
บาทต่อคนต่อเดือน และ ๒) ผู้ปฏิบัติงานที่มีที่ตั้งของสำนักงานตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดสงขลาและงานซ่อมสร้างสะพานที่
๔ ฝ่ายการช่างโยธา มีที่ตั้งของสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
ซึ่งไม่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่พิเศษ
แต่มีความจำเป็นต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษเป็นครั้งคราว
มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา ๒๓๓.๓๓ บาท ต่อคนต่อวัน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ตั้งแต่
๑๕ วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา ๓,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรในภาพรวม
โดยคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ มีการจัดทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและไม่ก่อให้เกิดภาระแก่ประชาชน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวให้เป็นไปตามความจำเป็นและเหมาะสม
พร้อมทั้งกำหนดให้มีระบบควบคุมตรวจสอบ เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดำเนินโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่
๒ ตามหลักการของโครงการฯ
ที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนได้พิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เสนอแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด
(มหาชน) คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๖
แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน
กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
รวมทั้ง ให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายฯ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐ ตลอดจนประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะเป็นสำคัญ
โดยจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | ขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อให้กรมชลประทาน ดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน | กษ. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เพื่อให้กรมชลประทานเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ จำนวนเนื้อที่ ๕๕๐ ไร่ ๓
งาน ๗๒ ตารางวา ดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดน่าน ดังนี้ ๑) มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเรื่องการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน
และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน
ระบุไว้ว่า “ข้อ ๑.๑ ห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นที่ป่าไม้เป็นรูปแบบอื่นอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้เป็น พื้นที่ต้นน้ำลำธารอย่างแท้จริง” และ ๒) มติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง
“ข้อ ๒. ต่อไปจะไม่อนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
อีก ไม่ว่ากรณีใด” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรคำนึงถึงผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พื้นที่ลุ่มน้ำ และระบบนิเวศของสัตว์ป่า โดยเฉพาะการสูญเสียทรัพยากรป่าไม้
ซึ่งส่งผลต่อการสูญเสียพื้นที่ที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
รวมทั้งการปฏิบัติของผู้ขออนุญาต ในการปฏิบัติตามกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี
และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ตามแผนที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ขอให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง
การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ)
ให้ถูกต้อง ครบถ้วน อย่างเคร่งครัดด้วย |