ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1409 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28161 - 28180 จากข้อมูลทั้งหมด 124445 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28161 | ร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีออกตามความในกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวม 2 ฉบับ | นร09 | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. ๒๕๕๕ กำหนดนิยามคำว่า "ลูกค้า" "บุคคลที่มีการตกลงกันทางกฎหมาย" "ผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง" เป็นต้น รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงด้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย การบริหารความเสี่ยงและการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าความเสี่ยงสูงและลูกค้าความเสี่ยงต่ำ โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแก้ไขบทนิยามคำว่า “บุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง” เนื่องจากยังไม่ครอบคลุมถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหรือเคยดำรงตำแหน่งดังกล่าวในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ จึงสมควรเพิ่มคำว่า “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” ในนิยามดังกล่าว ระหว่างคำว่า “ฝ่ายตุลาการ” กับคำว่า “อัยการ” เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น ตามข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง วิธีการแสดงตนของลูกค้าสถาบันการเงินและผู้ประกอบการอาชีพตามมาตรา ๑๖ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง วิธีการแสดงตนของลูกค้าสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ ลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ กำหนดนิยามคำว่า “ลูกค้า” และ “ผู้ที่ทำธุรกรรมเป็นครั้งคราว” รวมทั้งกำหนดข้อมูลที่ใช้ประกอบการแสดงตนสำหรับลูกค้าที่เป็นบุคคลธรรมดา และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงยุติธรรมร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนได้ทราบถึงการดำเนินการและผลจากการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของประเทศไทยในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force on Money laundering, FATF) |
||||||||||||||||||||||||
| 28162 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน 2 ทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2556 - 2575) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" | สสป | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อพิจารณากำหนดเป็นแนวนโยบายที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกำหนดกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการขับเคลื่อนให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนและทุกระดับ ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการที่เป็นองค์รวม โดยมี “คนและชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” มีการเชื่อมโยงทุกมิติ การพัฒนา ทั้งมิติด้านคน สังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเมือง การปกครอง รวมทั้งให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ๒. การบริหารจัดการยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย การกำหนดให้ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้าฯ เป็นวาระแห่งชาติ การบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นองค์รวม โดยปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศ จัดสรรงบประมาณแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้าฯ และกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และภาคประชาสังคมในการบริหารจัดการยุทธศาสตร์ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลางเผยแพร่การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความต้องการของประชาชน รวมทั้งติดตามและประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕)ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ๓. การดำเนินงานของหน่วยงานภายใต้ยุทธศาสตร์ของสภาที่ปรึกษาฯ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การสร้างสังคมเข้มแข็ง อยู่เย็นเป็นสุข มีวิถีประชาธิปไตย ใช้หลักธรรมาภิบาลสู่สังคมสีเขียว ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสีเขียว
|
||||||||||||||||||||||||
| 28163 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางพุทธชาติ อรุณเวช) | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางพุทธชาติ อรุณเวช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 28164 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2556 | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ ๒๕๕๖ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้ามีมูลค่านำเข้ารวม ๘๒๙.๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๒๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๖๕,๐๗๐.๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ ๒๕๕๕ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๕) ๑๓๔.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๙.๓๖ ๒. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๕๗.๖๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๔๘.๔๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๔.๔๐ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๔๙.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๐.๗๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๖.๑๑ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๙๗.๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๙.๐๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๒.๕๒
|
||||||||||||||||||||||||
| 28165 | แผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงใหม่ ปี 2556 - 2570 | มท | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงใหม่ ปี ๒๕๕๖-๒๕๗๐ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๕๗.๓๒๕ ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ภายในประเทศ ทั้งนี้ การลงทุนโครงการแต่ละระยะภายใต้แผนการลงทุนหลักดังกล่าว ให้ กปภ. นำเสนอโครงการแต่ละระยะให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ กปภ. ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ วงเงินลงทุน ๑,๓๙๐.๖๗๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) ทั้งหมด ๒. ในส่วนของโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันการกู้เงิน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย การจัดหาแหล่งน้ำดิบเพื่อใช้ในระบบผลิตน้ำประปาควรประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการระบบประปาควรคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Country Strategy) และการเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึง การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การเร่งดำเนินการลดอัตราน้ำสูญเสียของประปาเชียงใหม่และกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับจ้างให้เป็นไปตามเป้าหมาย การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่กำหนด การให้ความสำคัญในการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand Side Management) การถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านน้ำประปาให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การติดตามการจัดทำแผนงานและประสานงานกับกรมชลประทานในการจัดสรรน้ำจากการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพิจารณาทางเลือกแหล่งน้ำดิบอื่นในการรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนติดตามสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำและปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนการลงทุนโครงการในช่วงต่อไป นอกจากนี้ ให้ กปภ. ประสานความร่วมมือกับองค์การจัดการน้ำเสีย และเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อบูรณาการแผนการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียรวมเทศบาลนครเชียงใหม่ให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับปริมาณน้ำเสียที่เกิดจากการใช้น้ำประปาจากโครงการดังกล่าวเข้าสู่ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียของเทศบาลนครเชียงใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28166 | การสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) | ทก | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) วาระปี ๒๕๕๘-๒๕๖๑ โดยมีกำหนดจะเลือกตั้งในที่ประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ค.ศ. ๒๐๑๔ (พ.ศ. ๒๕๕๗) ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๒๐ ตุลาคม-๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขอเสียง/แลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของประเทศไทย |
||||||||||||||||||||||||
| 28167 | แผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2556 - 2559 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการกรอบแผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ (แผนแม่บทการให้บริการน้ำประปา) ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในส่วนที่เป็นโครงการใหม่ จำนวน ๙๒ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๔๒,๔๐๒.๙๐๔ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ กปภ. ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๖ ในส่วนของโครงการใหม่ จำนวน ๗ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๓,๓๑๕.๐๑๙ ล้านบาท (ไม่รวม VAT) ประกอบด้วย ๑.๒.๑ โครงการที่ขอรับเงินงบประมาณประจำปีจากภาครัฐ ร้อยละ ๗๕ และเงินรายได้สมทบ ร้อยละ ๒๕ จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๐๘๖.๐๕๓ ล้านบาท ได้แก่ กปภ. สาขาสีคิ้ว วงเงินลงทุน ๕๘๗.๔๑๑ ล้านบาท กปภ. สาขาระยอง วงเงินลงทุน ๗๑๒.๑๘๐ ล้านบาท กปภ. สาขาลำปาง วงเงินลงทุน ๖๒๒.๑๘๗ ล้านบาท และ กปภ. สาขาศรีราชา วงเงินลงทุน ๑๖๔.๒๗๕ ล้านบาท ๑.๒.๒ โครงการที่ใช้เงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๑,๒๒๘.๙๖๖ ล้านบาท ได้แก่ กปภ. สาขาอุบลราชธานี วงเงินลงทุน ๖๗๓.๔๙๗ ล้านบาท กปภ. สาขาสุรินทร์ วงเงินลงทุน ๓๙๔.๖๗๔ ล้านบาท และ กปภ. สาขาพัทยา (มาบยางพร-ปลวกแดง) วงเงินลงทุน ๑๖๐.๗๙๕ ล้านบาท ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างที่ใช้เงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุน ๑,๒๒๘.๙๖๖ ล้านบาท กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย และ กปภ. รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการบูรณาการการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย การประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการระบบประปาควรคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม (Inclusive Growth) ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Country Strategy) การเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน แนวทางการจัดการน้ำประปาอย่างมีระบบเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างทั่วถึงและเพียงพอ การจัดทำแผนแม่บทการจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการเพื่อรองรับการขาดแคลนแหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาอย่างยั่งยืนและการจัดทำแผนแม่บทการลดน้ำสูญเสียให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการแรงดันน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประปาและการบริหารต้นทุนการผลิต การจัดโครงสร้างทางการเงินให้มีอัตราหนี้สินต่อทุนของโครงการในระดับที่เหมาะสม และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในการบริหารจัดการหนี้ของ กปภ. ในอนาคต การพิจารณาจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนหรือแนวทางการจัดการน้ำเสียชุมชนที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ การดำเนินการเตรียมความพร้อมทางด้านที่ดิน กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมายและการกำหนดอัตราค่าบริการที่เหมาะสม การดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดในแผนยุทธศาสตร์องค์กรให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายน้ำให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอตลอดเวลา และลดต้นทุนการผลิตที่สูญเปล่า การจัดเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพการจัดการน้ำเสียของท้องถิ่น โดยผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งด้านเทคนิควิชาการและการเงินในเชิงเศรษฐกิจ ตลอดจนให้ความสำคัญในการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand side management) โดยประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้มีการใช้น้ำอย่างประหยัดทั้งในภาคครัวเรือน สถานประกอบการ และอุตสาหกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28168 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สผ | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ดังนี้
๑. ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ มีดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามบทนิยามคำว่า "ความผิดมูลฐาน" ใน (๑๓) ไม่ควรจะกระทบต่อผู้ประกอบการที่กระทำไปเพื่อให้บริการด้านความบันเทิงแก่ลูกค้า โดยการประกอบธุรกิจดังกล่าวนั้น ไม่ใช่ธุรกิจหลักที่เกี่ยวกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งในการดำเนินงานดังกล่าวให้พิจารณาถึงลักษณะการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการค้าด้วย เพื่อมิให้กระทบต่อผู้ประกอบการค้ารายย่อยโดยทั่วไปได้ ๑.๒ การดำเนินงานตามบทนิยามคำว่า "ความผิดมูลฐาน" ใน (๑๕) นั้น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดรายใหญ่ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อมิให้การดำเนินงานดังกล่าวกระทบต่อประชาชนที่ประกอบอาชีพโดยปกติเพื่อความจำเป็นแก่การดำรงชีพ ซึ่งในทางปฏิบัติอาจจะมีการตีความได้ว่าเป็นการกระทำที่มีลักษณะ "อันเป็นปกติธุระ" ได้ ๑.๓ ในกรณีที่ให้มีการเพิ่มความเป็นมาตรา ๓๗/๑ ซึ่งเป็นมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ให้ถ้อยคำ หรือผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานโดยให้มีมาตรการในการคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยานในคดีอาญา ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อกฎหมายใช้บังคับแล้วอาจจะมีบุคคลที่เป็นพยานและให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้น จึงควรจะกำหนดให้มีบทลงโทษพยานที่ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จ ซึ่งในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยานในคดีอาญาไม่ได้มีการกำหนดบทลงโทษไว้ จึงควรจะให้มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวต่อไป ๒. ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... ของวุฒิสภา พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ มีดังนี้ ๒.๑ สำนักงานและคณะกรรมการธุรกรรมสามารถนำมาตรา ๓๘ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาใช้เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิจารณาส่งรายชื่อต่อพนักงานอัยการเพื่อพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเป็นบุคคลที่ถูกกำหนดได้ เนื่องจากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มบทบัญญัติให้นำมาตรา ๓๘ และมาตรา ๔๐ มาบังคับใช้ตามพระราชบัญญัตินี้โดยอนุโลมอีก ๒.๒ บทบัญญัติตามมาตรา ๑๖ มีหลักการที่สอดคล้องและเป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีความหมายชัดเจนแล้วว่า ความผิดฐานสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายกับการกระทำที่เป็นการก่อการร้ายนั้น เป็นคนละส่วนแยกออกต่างหากจากกัน โดยความผิดฐานสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายนั้น เป็นความผิดในตัวเองและไม่ผูกโยงกับการกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายแต่อย่างใด ฉะนั้น การจัดหาหรือรวบรวมเงินหรือทรัพย์สินหรือการดำเนินการใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลที่ถูกกำหนดหรือของบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายย่อมเป็นความผิดตามมาตรานี้ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำการนั้นโดยตรงหรือโดยอ้อม และไม่จำเป็นว่าเงินหรือทรัพย์สินหรือการดำเนินการใด ๆ นั้น ได้ถูกใช้หรือโดยเจตนาให้นำไปใช้ในการก่อการร้ายหรือพยายามก่อการร้าย หรือมีการกระทำที่เป็นการเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายหรือพยายามก่อการร้ายหรือไม่ก็ตาม
|
||||||||||||||||||||||||
| 28169 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการงานเสริมความมั่นคงโครงสร้างทาง (Track Strengthening) ระหว่างสถานีชุมทางคลองสิบเก้า-สุดสะพานคลองลึก ในวงเงิน ๒,๘๑๑,๓๐๘,๗๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๕๖๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๒,๒๔๖,๙๐๘,๗๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 28170 | ร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... | วช | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อกำกับดูแลและส่งเสริมการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยให้สอดคล้องกับหลักจรรยาบรรณและมาตรฐานของสากล เพื่อคุ้มครองชีวิตและสวัสดิภาพของสัตว์ ส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิชาการของประเทศ ตลอดจนส่งเสริมนักวิจัยให้มีผลงานอันเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) ในฐานะประธานสภาวิจัยแห่งชาติรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีที่ว่า นอกจากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ซึ่งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับดูแลและส่งเสริมการดำเนินการต่อสัตว์เพื่อนำมาใช้และทดลองวิทยาศาสตร์แล้ว ยังมีการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวกับการวิจัยในมนุษย์ด้วย ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมและการกำกับการวิจัยในมนุษย์ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ จึงควรศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ไปดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 28171 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล 5 (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ พ.ศ. .... | มท | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล ๕ (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล ๕ (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ ในท้องที่แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน แขวงออเงิน เขตสายไหม และแขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ที่เห็นควรให้กรุงเทพมหานครจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งและจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการภายใต้ความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครให้สอดคล้องกับขีดความสามารถทางด้านงบประมาณของกรุงเทพมหานครและรัฐบาล และเนื่องจากแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนบางส่วนอยู่สองฝั่งของคลองสามวาตะวันตกซึ่งเป็นคลองระบายน้ำหลักของพื้นที่โดยรอบ ดังนั้น ในการออกแบบและก่อสร้างทางหลวงท้องถิ่นจะต้องไม่กระทบต่อการระบายน้ำและเขตคลอง หากจะต้องมีการปรับปรุงหรือการขยายขนาดคลองในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28172 | รายงานความคืบหน้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ ซึ่งมีความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ในภาพรวมมากกว่าร้อยละ ๘๐ โดยมีโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๑๐ โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓ โครงการ และยกเลิกดำเนินการเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ สรุปสาระสำคัญของผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ได้ดังนี้ ๑.๑. ยุทธศาสตร์ด้านการกำกับดูแล ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการพัฒนาระบบการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในรูปแบบคณะกรรมการ อยู่ระหว่างการกำหนดแนวทางการพิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เพื่อใช้เป็นกรอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารเงินนอกงบประมาณ และการจัดทำร่างข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดตั้ง การบริหารจัดการและการประเมินผลทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๑.๒ โครงการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ได้จัดทำรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีงบบัญชี ๒๕๔๗-๒๕๕๓ พร้อมทั้งเสนอแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนเสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ระหว่างจัดทำร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... ๑.๑.๓ โครงการพัฒนาระบบประเมินสถานะการเงินของเงินนอกงบประมาณและการนำส่งเงินนอกงบประมาณส่วนเกินเป็นรายได้แผ่นดิน ได้จัดทำข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการให้องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์การนำเงินรายได้สะสมเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๑.๑.๔ โครงการพัฒนาระบบบริหารทะเบียนบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำระบบบริหารทะเบียนบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ และได้จัดให้มีการอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยจะมีการขยายผลให้ครอบคลุมถึงการให้บริการผ่านระบบ Web Services พร้อมทั้งเชื่อมโยงบูรณาการร่วมกับระบบงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ GFMIS ๑.๑.๕ โครงการพัฒนาระบบบริหารบัญชีเงินฝาก ได้ดำเนินการสำรวจและปิดบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่หมดความจำเป็นในส่วนภูมิภาคในระบบ GFMIS จำนวน ๑,๕๘๖ บัญชี ส่งผลให้การบริหารเงินนอกงบประมาณประเภทเงินฝากกระทรวงการคลังเกิดประโยชน์ต่อทางราชการมากยิ่งขึ้น ๑.๑.๖ โครงการพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายฉบับแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมและยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยร่วมมือกับมูลนิธิสถาบันวิจัยกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ศึกษาวิเคราะห์การจัดทำร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... รวมทั้งได้ประมวลแนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๑.๑.๗ โครงการศึกษาและพัฒนาโครงสร้างองค์กรให้มีความพร้อมในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลางได้มีการปรับโครงสร้างจากกลุ่มพัฒนาเงินนอกงบประมาณ เป็นสำนักกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ ๑.๑.๘ โครงการปรับปรุงระบบงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารเงินนอกงบประมาณ ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติกระบวนการให้บริการทางเครือข่ายสารสนเทศ (E-mail Address) ซึ่งจะสามารถอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสานงานกับทุนหมุนเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น ๑.๒. ยุทธศาสตร์ด้านสารสนเทศ ได้ยุติการดำเนินการเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ (e-Nonbudgeting) และโครงการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานด้านระบบสารสนเทศการบริหารเงินนอกงบประมาณ ๑.๓. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพบุคลากร ประกอบด้วย ๑.๓.๑ โครงการพัฒนาการจัดทำองค์ความรู้ด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ ได้มีการศึกษาและกำหนดหัวข้อองค์ความรู้เรื่องเงินฝากบูรณะทรัพย์สิน และจัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินแจ้งเวียนส่วนราชการถือปฏิบัติ พร้อมทั้งได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับบุคลากรในสำนักในลักษณะ Coffee Talk เป็นประจำทุกสัปดาห์ ๑.๓.๒ โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในส่วนภูมิภาค ได้จัดทำโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในส่วนภูมิภาค โดยจัดประชุมสัมมนาภายในสำนักงานคลังเขต ๖ และเขต ๙ จำนวน ๑๖ จังหวัด โดยจะมีการขยายผลการดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งประเทศโดยเร็วต่อไป ๑.๓.๓ โครงการพัฒนาสมรรถนะเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางในฐานะที่ปรึกษาในการบริหารระบบเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐ ได้ดำเนินการตามโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารความเสี่ยง เพื่อเป็นการอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรภายในหน่วยงาน ๑.๓.๔ โครงการจัดประชุมสัมมนาเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการประเมินผลการดำเนินงานเงินนอกงบประมาณเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ ได้จัดประชุมสัมมนาและชี้แจงหลักเกณฑ์การประเมินผลแก่เจ้าหน้าที่ของทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์การประเมินผลตัวชี้วัดร่วมด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน และจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารความเสี่ยงให้แก่เจ้าหน้าที่ทุนหมุนเวียน จำนวน ๓ รุ่น ๑.๓.๕ โครงการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๐" ได้จัดฝึกอบรมและชี้แจงการจัดทำรายงานฯ และมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานให้จัดส่งรายงานฯ ให้ครบถ้วน เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้อย่างครบถ้วน ถูกต้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย (มติคณะรัฐมนตรี ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) ในการรายงานครั้งต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 28173 | งบการเงินประจำปี 2555 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๑ งบการเงินรวม ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีสินทรัพย์รวม ๕๓๔,๑๒๑,๗๖๓,๐๗๒ บาท และงบการเงินรวม ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ (ปรับปรุงใหม่) มีสินทรัพย์รวม ๔๙๖,๙๗๗,๐๔๑,๐๙๗ บาท ๑.๒ งบการเงินเฉพาะ กฟผ. ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีสินทรัพย์รวม ๔๓๕,๔๒๔,๖๒๘,๕๗๙ บาท และงบการเงินเฉพาะ กฟผ. ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีทรัพย์สินรวม ๓๙๙,๑๔๔,๗๖๕,๐๙๑ บาท ๒. งบกำไรขาดทุน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ งบการเงินรวม ๑ มกราคม-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีรายได้รวม ๕๑๒,๙๙๑,๘๙๕,๘๔๕ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๗,๗๙๖,๕๕๘,๙๑๔ บาท มีกำไรสำหรับงวด ๔๓,๒๗๑,๘๑๘,๔๗๔ บาท ๒.๒ งบการเงินรวม ๑ มกราคม-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ (ปรับปรุงใหม่) มีรายได้รวม ๔๑๘,๔๔๕,๑๙๒,๑๑๒ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๖,๙๔๙,๑๒๖,๔๐๖ บาท มีกำไรสำหรับงวด ๓๔,๒๕๕,๖๕๙,๗๑๘ บาท ๒.๓ งบการเงินเฉพาะ กฟผ. ๑ มกราคม-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีรายได้รวม ๕๑๓,๐๕๑,๕๔๔,๖๖๖ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๖,๒๓๖,๓๙๒,๔๔๘ บาท มีกำไรสำหรับงวด ๓๔,๔๒๕,๓๕๕,๔๖๙ บาท ๒.๔ งบการเงินเฉพาะ กฟผ. ๑ มกราคม-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีรายได้รวม ๔๑๙,๘๒๗,๑๙๐,๖๓๙ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๕,๒๔๐,๘๔๔,๘๑๕ บาท มีกำไรสำหรับงวด ๓๐,๗๐๔,๑๖๗,๕๑๔ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 28174 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสาวสุมล ปวิตรานนท์) | สธ | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวสุมล ปวิตรานนท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 28175 | การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. แนวทางและหลักเกณฑ์การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เฉพาะรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ โดย ๑.๑ เป็นไปตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๒ เป็นรายจ่ายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) ยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี ๒๕๕๘ และนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ๑.๓ เป็นรายจ่ายที่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ ส่งเสริมการผลิตให้เกิดการจ้างงานและกระจายรายได้ หรือเป็นรายจ่ายลงทุนสำคัญที่ก่อให้เกิดผลในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือเป็นรายจ่ายที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า ไม่ทำให้เกิดภาระรายจ่ายประจำปีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นเป็นการดำเนินงานตามนัยข้อ ๑.๒ ไม่ควรผูกพันงบประมาณรายจ่ายข้ามปีในปีต่อ ๆ ไป ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น มีศักยภาพที่จะดำเนินงานและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที รวมทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ต้องเสนอโครงการ/รายการภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น ๆ ๒. ขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๒.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้มีการตรวจสอบและรับรองข้อมูลแล้วว่าการดำเนินการนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ กฎหมายหรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอขอรับความเห็นชอบต่อนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด รวมทั้งรวบรวมจัดส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันศุกร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ สำหรับหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๐๘ วรรคเก้า ที่กำหนดว่า “หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่างบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรให้นั้นไม่เพียงพอ ให้สามารถเสนอคำขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการได้โดยตรง” ๒.๓ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และนำเสนอผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีในวันศุกร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 28176 | ผลการตรวจสอบราคากลางและวงเงินอุดหนุนระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร | อก | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการตรวจสอบราคากลางการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๓๔๙,๓๑๐,๐๙๑.๖๗ บาท ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งรัดให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ดำเนินการจัดส่งแบบก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร พร้อมทั้งข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้าง เพื่อพิจารณาตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย ซึ่งต่อมาบริษัทฯ ได้จัดส่งแบบก่อสร้าง ข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้างและเอกสารที่เกี่ยวข้องของระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครให้กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย โดยพิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมทางด้านราคาของแบบการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยในขั้นรายละเอียด พร้อมทั้งพิจารณาวงเงินอุดหนุนของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร โดยมอบหมายให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังคำนวณและตรวจสอบราคาแบบก่อสร้างทั้งหมดของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างประเภทงานชลประทานของกระทรวงการคลัง ๑.๒ วงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๒๒๖,๐๓๐,๐๐๐.๐๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามวงเงินอุดหนุนเดิม โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการซึ่งน่าเชื่อถือและยอมรับได้ และได้พิจารณากำหนดเงินอุดหนุนของแต่ละนิคม โดยคำนวณจาก ๒ ใน ๓ ส่วนของราคากลาง ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ [ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕] ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเป็นการพิจารณาค่างานและวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างเพื่อขอรับการสนับสนุนให้กับนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และไม่อยู่ในข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการดำเนินการในขั้นตอนการคำนวณราคากลางหลังจากที่ได้รับจัดสรรงบประมาณและดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างตามระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัสดุ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ต้องการนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้ ไปคำนวณขอตั้งราคาค่าก่อสร้างเพื่อกรณีดังกล่าว ก็สามารถนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้มาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมและสอดคล้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องถือปฏิบัติตามนัยหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๓/ว ๓๑ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ และด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๑๒๖ ลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๘ โดยจะเบิกเงินจากคลังได้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ หรือใกล้จะถึงกำหนดชำระ และตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ภายในวงเงินกู้ที่สำนักงบประมาณจัดสรรให้ เพื่อจ่ายให้แก่ภาคเอกชนในการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28177 | รายงานผลการประชุม COBSEA Intergovernmental Meeting ครั้งที่ 21 | ทส | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมกลุ่มผู้ประสานงานแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Coordination Body on the Seas of East Asia : COBSEA) Intergovernmental Meeting : IGM of COBSEA ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบตามที่ฝ่ายเลขานุการได้รายงานสถานะการเงินของ COBSEA ซึ่งเรียกเก็บจากสมาชิกในปี ๒๕๕๖ เป็นจำนวนเงิน ๑๕๔,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ผ่านมา COBSEA มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ที่ประสบผลสำเร็จ เพื่อการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในภูมิภาคทะเลเอเชียตะวันออก ได้แก่ การดำเนินงานสร้างศักยภาพในการปฏิบัติงาน (National Capacity Building) การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในการประเมินสถานภาพของมหาสมุทรโลก (World Ocean Assessment หรือ UN Regular Process) ในพื้นที่ทะเลจีนใต้ การจัดประชุม International Water Science Conference 2012 ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งให้ดีขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนความร่วมมือของประเทศสมาชิกในการจัดการแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมทางทะเลที่เปลี่ยนแปลงในภูมิภาค และการดำเนินการอื่น ๆ เช่น ด้านการประสานงานความร่วมมือกับองค์กรอื่น และการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐบาลประเทศสมาชิกเพื่อการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล ๒. เนื่องจาก COBSEA มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างน้อยปีละ ๓๔๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ที่ประชุมจึงได้พิจารณาแนวทางเลือกต่าง ๆ และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ให้คงการดำเนินงานของ COBSEA ต่อไป โดยคงสถานะการเป็นองค์กรระหว่างประเทศภายใต้การดำเนินงานของสหประชาชาติ หรือ UNEP ส่วนการดำเนินงานที่ต้องเพิ่มเงิน Trust Fund ให้เพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ประเทศสมาชิกนำไปปรึกษากับรัฐบาลของแต่ละประเทศในการเพิ่มเงินสนับสนุนให้กับ COBSEA และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานเลขาธิการ COBSEA ทราบภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ อัตราการเพิ่มเงินสนับสนุน สมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่า ควรเพิ่มให้อัตราส่วนผสมระหว่างอัตราส่วนตามมาตรฐานสหประชาชาติรวมกับระดับการสนับสนุนในปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของประเทศไทยจะเพิ่มจาก ๒๐,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น ๔๒,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับแนวทางเลือกที่ให้ประเทศสมาชิกใดประเทศหนึ่งเสนอเป็นเจ้าภาพสนับสนุนที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการและสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของสำนักงาน ที่ประชุมยังเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกพิจารณา หากประเทศใดสนใจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพขอให้แจ้งผลการพิจารณาภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
| 28178 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 ครั้งที่ 2 | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๑๒,๒๓๑.๕๘ ล้านบาท จากเดิม ๑,๙๔๘,๒๑๑.๘๒ ล้านบาท เป็น ๑,๙๓๕,๙๘๐.๒๔ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๕,๕๓๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๒๑,๗๐๓.๕๐ ล้านบาท เป็น ๑๓๗,๒๓๓.๕๐ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่และการปรับโครงสร้างหนี้และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ปรับปรุง ครั้งที่ ๒ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้กระทรวงการคลังกู้เงินบาทแทนการกู้เงินจากธนาคารโลก ในวงเงินรวมไม่เกิน ๑๖,๕๔๔ ล้านบาท รวมทั้งให้กระทรวงการคลังนำเงินที่ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารโลกไปให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กู้ยืมต่อจากกระทรวงการคลัง วงเงิน ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังประสานการรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อปรับปรุงรายละเอียดแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ให้เป็นปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28179 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์" | สสป | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในเรื่องดังกล่าว โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงสาธารณสุขขยายกองทุนหลักประกันสุขภาพบุคคลผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิควรให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (กลุ่มเลข ๐) ได้แก่ บุคคลที่มีอายุมากกว่า ๖๐ ปี คนพิการ ยึดตามกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๗ กลุ่ม เด็กและเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม เช่น มลาบรี (ตองเหลือง) มานิ (ซาไก) มอแกน (ชาวเล) และผู้ป่วยเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไตวาย โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเอดส์ ๒. กระทรวงสาธารณสุขควรสร้างหลักประกันสุขภาพให้กับผู้ด้อยโอกาสที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพโดยการจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ผู้ป่วยอนาถาสำหรับผู้ด้อยโอกาสที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพใด ๆ ๓. ในระยะต่อไป เพื่อให้มีการปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมและหลักประกันสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ควรเสนอให้มีกฎหมายรองรับการมีหลักประกันสำหรับผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ ๔. กระทรวงสาธารณสุขควรดำเนินการช่วยเหลือบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเพื่อให้ได้รับสถานะและสิทธิ เมื่อผู้ป่วยที่มีปัญหาสถานะและสิทธิที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาล ให้โรงพยาบาลส่งเรื่องตามบทบัญญัติของกฎหมายการทะเบียนราษฎรว่าด้วยทะเบียนประวัติเพื่อให้เขต/อำเภอ/เทศบาลที่ทำหน้าที่นายทะเบียนราษฎรได้ดำเนินการปฏิบัติตามกฎหมายนั้นต่อไป [มาตรา ๓๘ วรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑]
|
||||||||||||||||||||||||
| 28180 | ขออนุมัติลงนามและให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐตุรกีว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) | กต | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐตุรกีว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) ซึ่งกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอโอนและการรับโอนตัวผู้กระทำผิดระหว่างภาคี ได้แก่ ๑.๑ ผู้ต้องคำพิพากษาที่ถูกพิพากษาลงโทษในดินแดนของภาคีฝ่ายหนึ่งอาจถูกโอนตัวไปยังดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งได้เพื่อรับโทษที่เหลืออยู่ ๑.๒ ผู้ต้องคำพิพากษาอาจถูกโอนตัวได้ถ้าถูกพิพากษาลงโทษจำคุก กักขัง หรือทำให้ปราศจากอิสรภาพในรูปแบบอื่นใด ๑.๓ การกระทำอันเป็นมูลเหตุของการมีคำพิพากษาให้ลงโทษเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายของรัฐผู้รับ ๑.๔ ผู้ต้องคำพิพากษาที่อาจถูกโอนตัวต้องเป็นคนชาติของรัฐผู้รับและมิได้เป็นคนชาติของรัฐผู้โอน ๑.๕ รัฐผู้โอน รัฐผู้รับ และผู้ต้องคำพิพากษาต่างเห็นพ้องให้มีการโอนตัวได้ ๑.๖ ผู้ต้องคำพิพากษาซึ่งกระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในและภายนอกของรัฐ ต่อประมุขของรัฐ หรือสมาชิกในครอบครัวโดยตรงของประมุขของรัฐ หรือต่อกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสมบัติที่มีค่าทางศิลปะของชาติจะไม่ได้รับการโอนตัว ๑.๗ หากกฎหมายของรัฐผู้โอนกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการจำคุกผู้ต้องคำพิพากษาที่อาจถูกโอนตัวจะต้องได้รับโทษในรัฐผู้โอนมาแล้วเป็นระยะเวลาขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๘ ผู้ต้องคำพิพากษายังคงเหลือระยะเวลาในการรับโทษตามที่กฎหมายของรัฐผู้โอนกำหนด ๑.๙ รัฐผู้โอนยังคงไว้ซึ่งเขตอำนาจแต่ผู้เดียวเกี่ยวกับคำพิพากษาของรัฐผู้โอน รวมทั้งโทษตามคำพิพากษาที่กำหนดโดยศาลของรัฐผู้โอนในการที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกคำพิพากษาของศาลตน ๑.๑๐ การบังคับโทษตามคำพิพากษาต่อภายหลังการโอนตัวให้เป็นไปตามกฎหมายและขั้นตอนของรัฐผู้รับ ๑.๑๑ สนธิสัญญาฉบับนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามสนธิสัญญาฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสนธิสัญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
.....
