ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1402 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28021 - 28040 จากข้อมูลทั้งหมด 124445 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28021 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงและบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐโมซัมบิก และสาธารณรัฐยูกันดา | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและเห็นชอบความตกลงและบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (Agreement between the Government of the Republic of Mozambique and the Government of the Kingdom of Thailand on Exemption from Visa Requirement for Holders of Diplomatic and Official Passports) มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้าประเทศ การเดินทางผ่าน และพำนักอาศัย สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการของประเทศคู่ภาคี โดยผู้ถือหนังสือเดินทางดังกล่าวสามารถพำนักในประเทศผู้รับได้ไม่เกิน ๓๐ วัน ทั้งนี้ ประเทศคู่ภาคีสามารถปฏิเสธการยกเว้นการตรวจลงนามได้ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ๑.๑.๒ ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการที่จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล หรือในองค์การระหว่างประเทศซึ่งตั้งอยู่ในประเทศผู้รับ ตลอดจนผู้ติดตามของบุคคลเหล่านั้น จะต้องได้รับการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้าประเทศก่อนเดินทางไปรับหน้าที่ ๑.๑.๓ บุคคลของประเทศคู่ภาคีจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศผู้รับ หากผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายหรือเป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนา รัฐบาลของประเทศผู้รับสามารถพิจารณาปฏิเสธการเดินทางเข้าประเทศ หรือระงับเวลาการพำนักอยู่ในประเทศของบุคคลนั้นได้ โดยจะต้องแจ้งเหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษรแก่รัฐบาลของผู้นั้น ๑.๒ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตรระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐยูกันดา (Memorandum of Understanding on Cooperation in Food Security, Trade and Investment in Agricultural Products and Commodities between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Uganda) มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐยูกันดา โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันค้นหาสาขาความร่วมมือในกรอบความมั่นคงทางอาหาร การค้าและการลงทุนที่สามารถร่วมมือกันได้ ตลอดจนจัดตั้งคณะทำงานร่วม เพื่อศึกษาและพิจารณารูปแบบของความร่วมมือในสาขาดังกล่าว ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ๓. หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของร่างความตกลงฯ และบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 28022 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ และนายชัชวาลย์ ชัยเชาวรัตน์) | กษ | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวราเทพ รัตนากร) ๒. นายชัชวาลย์ ชัยเชาวรัตน์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวราเทพ รัตนากร)
|
||||||||||||||||||||||||
| 28023 | การคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ | รง | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบในการอนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ในวงเงินไม่เกิน ๑๖๙,๙๔๙,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๕ เดือน) ในวงเงิน ๑๕๑,๙๔๙,๕๐๐ บาท ทั้งนี้ หากงบประมาณที่จัดสรรไว้มีไม่เพียงพอ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณให้สำนักงานประกันสังคมไว้รองรับค่าใช้จ่ายในการบรรเทาภาระของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ไว้แล้ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 28024 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐโมซัมบิก และสหสาธารณรัฐแทนซาเนียว่าด้วยความร่วมมือด้าน ความมั่นคงทางอาหาร ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและเห็นชอบบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาความมั่นคงทางอาหาร และการค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค โดยใช้กลไกความร่วมมือภาครัฐ โดยการสนับสนุนของสถาบันทางการเงินและภาคเอกชน ได้แก่ ๑.๑ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Mozambique on Cooperation in Food Security, Agricultural Products and Commodities) ๑.๒ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the United Republic of Tanzania on Cooperation in Food Security, Agricultural Products and Commodities) ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๔. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งประเทศคู่ภาคีเพื่อให้บันทึกความเข้าใจฯ มีผลใช้บังคับ ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการภายในที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 28025 | การให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒. นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๓. พลตำรวจตรี สงกรานต์ สังขกร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางเบญจา หลุยเจริญ) ๔. นางสาวนิชนันท์ วังคะฮาตธัญญกิจ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางเบญจา หลุยเจริญ)
|
||||||||||||||||||||||||
| 28026 | การดำเนินการกรณีศาลปกครองมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | นร10 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการกรณีศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ตามมติ ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้
๑. การกำหนดตำแหน่ง ให้ อ.ก.พ. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการกำหนดตำแหน่งเพื่อรองรับการแต่งตั้งนายสุรศักดิ์ แสงอร่าม ตามคำพิพากษาของศาลปกครอง ดังนี้ ๑.๑ กำหนดตำแหน่งผู้ตรวจราชการกรม (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ๙ ชช.) ตั้งแต่วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ ๑.๒ กำหนดตำแหน่งผู้ตรวจราชการกรม (ผู้อำนวยการ ระดับสูง) ตั้งแต่วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นวันที่จัดตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญเข้าประเภท ตำแหน่ง สายงาน และระดับตำแหน่ง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้กำหนดให้ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกรมเป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง โดยให้กำหนดเลขที่ตำแหน่งให้เป็นเลขที่ตำแหน่งเดียวกับตำแหน่งที่นายสุรศักดิ์ แสงอร่าม ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน คือตำแหน่งเลขที่ ๒ และใส่ (ฉ) ไว้ท้ายเลขที่ตำแหน่ง ภายใต้เงื่อนไขว่ากำหนดเพื่อแต่งตั้งนายสุรศักดิ์ แสงอร่าม เป็นการเฉพาะราย และหากส่วนราชการมีตำแหน่งในประเภทและระดับเดียวกันว่าง และนายสุรศักดิ์ แสงอร่าม มีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้น ให้แต่งตั้งนายสุรศักดิ์ แสงอร่าม ในโอกาสแรกที่กระทำได้ และให้ยุบเลิกตำแหน่งที่กำหนดเป็นการเฉพาะราย (ฉ) นี้ เมื่อนายสุรศักดิ์ แสงอร่าม พ้นไป ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่นายสุรศักดิ์ แสงอร่าม ได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่ และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับอยู่ก่อนได้รับคำสั่งให้กลับไปดำรงตำแหน่งตามเดิมหรือตำแหน่งอื่นในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกัน ตามนัยมาตรา ๑๙ และมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และตามมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยอนุโลม ๒. การได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ ให้นายสุรศักดิ์ แสงอร่าม ได้รับอัตราเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้รับอยู่เดิมก่อนการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยมีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ สำหรับการเลื่อนเงินเดือนให้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติที่ ก.พ. กำหนดตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๘.๑/ว ๑๓ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๓ โดยใช้ผลการประเมินการปฏิบัติราชการในระหว่างที่ผู้นี้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประกอบการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการเลื่อนเงินเดือนที่ ก.พ. กำหนด |
||||||||||||||||||||||||
| 28027 | การเสนอร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียเพื่อดำเนินการลงนามและดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย โดยมีสาระสำคัญคือ การให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลงทุนไทยในการไปลงทุนในสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย รวมทั้งให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลงทุนของแทนซาเนียในการเข้ามาลงทุนในราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการดำเนินการให้มีผลใช้บังคับเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทย อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๓. เห็นชอบการเสนอความตกลงฯ ไปยังรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบการมีผลใช้บังคับภายหลังการลงนาม ๔. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งฝ่ายแทนซาเนียเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ ภายหลังรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 28028 | การขยายขอบเขตความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม 3 ประเทศ | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ขยายขอบเขตความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) เพิ่มเติมไปยัง ๓ ประเทศ คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ทั้งนี้ เพื่อใช้นโยบายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและวิชาการเป็นกลไกและเครื่องมือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเพิ่มการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ๓ ประเทศ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปทำงานในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ๒. ให้ส่งร่างประกาศคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (คพพ.) เรื่อง การขยายขอบเขตความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม ๓ ประเทศ (สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต) ให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาในรายละเอียด แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการ เห็นควรให้ สพพ. ประสานงานตรงกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศที่เกี่ยวข้อง และให้ สพพ. ควรพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศผู้ขอรับความช่วยเหลือ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนแก่ประเทศนั้น นอกจากนี้ ควรกำหนดลำดับความสำคัญของประเทศและกลุ่มประเทศ รวมถึงสัดส่วนของการให้ความช่วยเหลือ ทั้งทางด้านการเงินและวิชาการแก่ประเทศและกลุ่มประเทศนั้น ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และควรเน้นการให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีพรมแดนติดกับราชอาณาจักรไทยเป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงตามแผนแม่บทการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า โดยที่ปัจจุบันรัฐบาลมีการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับมิตรประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ นอกเหนือจากประเทศเพื่อนบ้านตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อให้มีการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนของประเทศทั้งในภูมิภาคต่าง ๆ และในเวทีการค้าโลกให้มากยิ่งขึ้น สมควรพิจารณาปรับปรุงชื่อ รวมทั้งขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของ สพพ. และ คพพ. รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง จึงมอบให้กระทรวงการคลังและ สพพ. รับข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้นไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28029 | โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 5 เมกะวัตต์ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | พน | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด ๕ เมกะวัตต์ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อสนองนโยบายของภาครัฐในการนำพลังงานหมุนเวียนมาผลิตไฟฟ้าตามแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกร้อยละ ๒๕ ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) ของประเทศ โดยเป็นหนึ่งในโครงการของ กฟผ. ที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อเป็นต้นแบบของการผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ วงเงินลงทุนรวม ๖๓๑.๔๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน ๓๘๖.๔๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๒๔๕.๐๘ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๖ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๓๑.๔๘ ล้านบาท ๒. ให้ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการโครงการฯ ควรคำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนอย่างเหมาะสม รอบคอบและมีประสิทธิภาพสอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนโดยอาจพิจารณากำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม การจัดทำประมวลหลักการ (Code of practice) ว่าด้วยมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Photovoltaic Power Plant) เพื่อใช้ในการป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเซลแสงอาทิตย์รวมทั้งเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบสายส่งอัจฉริยะ (Smart Grid) มิเตอร์ไฟอัจฉริยะ (Smart Meter) แบตเตอรี่ เป็นต้น ให้ได้จนถึงระดับการผลิตเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28030 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2556 | กษ | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธานกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการรับทราบผลการดำเนินงานของโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีผลงานที่ดีมาก แต่ยังต้องมีการสนับสนุนการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมเพื่อทำให้ระบบโลจิสติกส์สำหรับขนส่งผลผลิตสู่ผู้บริโภคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้รัฐบาลมีแผนในการลงทุนด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรประสานงานขอความร่วมมือจากโครงการหลวงในการจัดทำการแบ่งเขต (zoning) การส่งเสริมการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและน้ำต่อไป จึงมีมติมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับโครงการหลวงเพื่อขอความร่วมมือในการจัดทำ zoning การส่งเสริมการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและน้ำ และประสานงานกับกระทรวงคมนาคมเพื่อขอรับการสนับสนุนในเรื่องระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจรต่อไป ๑.๒ คณะกรรมการได้พิจารณายุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน ๓๘ แห่ง และโครงการขยายผลโครงการหลวง จำนวน ๒๙ แห่ง โดยงบประมาณด้านการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม และงบประมาณด้านการปลูกป่าให้บูรณาการงานร่วมกับโครงการประชาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษา มหาราชินี และงบประมาณในส่วนอื่นมอบให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อสนับสนุนโครงการหลวงให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง เป็นเงิน ๓๒๘,๓๐๐,๓๐๐ บาท งบประมาณที่สนับสนุนโครงการขยายผลโครงการหลวง เป็นเงิน ๓๐๒,๐๐๙,๗๐๐ บาท และงบประมาณด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนที่บูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบทได้เสนอตั้งงบประมาณ จำนวน ๕ สายทาง ระยะทางรวม ๔๘.๐๑๗ กิโลเมตร วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๒๘๙,๖๓๐,๐๐๐ บาท ในส่วนของโครงการประชาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ อนุมัติแผนปฏิบัติโครงการฯ และวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒,๐๘๕,๓๓๖,๑๐๐ บาท ตามแผนการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาส่งเสริมการทำตลาดและประชาสัมพันธ์สินค้าและผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงสู่ต่างประเทศให้มากขึ้น และการสนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวของโครงการหลวง รวมทั้งการกำหนดแผนงาน/โครงการ ควรพิจารณาให้ครอบคลุมการเสริมสร้างให้คนและชุมชนมีจิตสำนึกด้านความมั่นคง โดยสนับสนุน ส่งเสริม และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดเพื่อบูรณาการงานกับงบประมาณตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้ผลักดันไว้แล้ว เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโครงการให้เพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการขนส่งผลผลิตออกสู่ตลาด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28031 | รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ เห็นชอบแผนการพัฒนาและปรับปรุงสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) และความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ก.พ.ร. มีความเห็นต่อแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ดังนี้ ๑.๒.๑ แผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ (ฉบับปรับปรุง) มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และแผนยุทธศาสตร์ สคพ. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗ สาระสำคัญของผลสัมฤทธิ์ตามแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. และแผนยุทธศาสตร์ สคพ. เป็นประเด็นเดียวกัน แต่ในแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. จัดมิติในการปฏิบัติงานเป็น ๔ มิติ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับมิติการประเมินผลการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดตัวชี้วัดของ สคพ. ๑.๒.๒ สคพ. ต้องนำตัวชี้วัดต่าง ๆ ในแผนการพัฒนาฯ มาพิจารณาเป็นตัวชี้วัดตามคำรับรองการปฏิบัติงานของ สคพ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ โดยจะต้องปรับปรุงตัวชี้วัดให้มีความท้าทาย ทันสมัย และเหมาะสมตามระยะเวลาที่ผ่านไป โดยมอบให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานดังกล่าว ๑.๒.๓ สคพ. จะต้องบริหารจัดการภารกิจที่อาจมีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น การวิจัยต่าง ๆ โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ร่วมมือ” เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแผนพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ควรปรับปรุงให้มีตัวชี้วัดเชิงคุณภาพมากขึ้นและเป็นตัวชี้วัดที่มีความท้าทาย รวมทั้งพัฒนาการบริหารจัดการภายในเพื่อผลักดันให้การปฏิบัติงาน สคพ. เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเห็นควรปรับแก้ไขข้อมูลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานฯ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีแผนทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมาย ในส่วนของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จากข้อความเดิม “... ทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมายของโรงเรียน ...” เป็น “... ทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมายของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ...” เพื่อให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการองค์ความรู้และการเผยแพร่ข้อมูลการค้าการลงทุนเพื่อการสนับสนุนกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจนและเน้นการนำผลงานไปต่อยอดและใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ โดยนำจุดเน้นดังกล่าวมาประกอบการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและสอดรับกันด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 28032 | สรุปรายงานการประเมินผลหน่วยงานของรัฐ ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร12 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบสรุปรายงานการประเมินผลหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓ หน่วย ประกอบด้วย สรุปผลการประเมินในภาพรวม ซึ่งหน่วยงานของรัฐฯ มีผลงานบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย คะแนนรวมของแต่ละแห่งค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมาย (คะแนน ๓.๕๕๘๕-๔.๗๐๑๔ จากคะแนนเต็ม ๕ คะแนน) ผลงานที่สำคัญของหน่วยงานของรัฐฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และผลการศึกษาของสำนักงาน ก.พ.ร. และให้หน่วยงานของรัฐฯ แจ้งรายงานผลการประเมินให้รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลทราบ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติปรับกำหนดการประเมินให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง สรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) เพื่อให้สามารถจัดส่งรายงานให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตามกำหนด ๑.๓ ให้หน่วยงานของรัฐฯ รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการประมวลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับผลการวิจัยที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานให้มากกว่าที่ผ่านมา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจัง และให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเร่งจัดทำรายงานการประเมินผลตนเอง และจัดส่งรายงานให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงผลการประเมินหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะกับการได้รับจัดสรรงบประมาณ เพื่อหน่วยงานของรัฐดังกล่าวจะได้ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและพันธกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญ/น้ำหนักในการกำหนดตัวชี้วัดที่แสดงถึงความสำเร็จของการบรรลุวัตถุประสงค์การให้บริการประชาชน/กลุ่มเป้าหมายตามภารกิจการจัดตั้งของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ของประเทศ (Country Strategy) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาหาวิธีการประเมินผลที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถส่งรายงานการประเมินผลได้ตามกำหนด และโดยที่มีบางหน่วยงานมีระบบการประเมินผลของตนเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม หรือเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนได้ ดังนั้น ในระยะยาวให้สำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาทบทวนวิธีการประเมินผลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 28033 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการใช้นโยบายราคาเพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว | ปช | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีการใช้นโยบายราคาเพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๑.๑.๑ รัฐบาลต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบว่า สมควรดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา เพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว โดยการรับซื้อมาเก็บไว้เองหรือไม่ เนื่องจากสินค้าเกษตรเหล่านี้จะสูญเสียง่าย และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ๑.๑.๒ หากรัฐบาลจะดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา แนวทางที่ควรจะดำเนินการ คือ การให้สินเชื่อแก่เกษตรกรในช่วงต้นฤดูการผลิตอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกษตรกรสามารถอยู่ได้ตลอดฤดูการผลิต และให้เกษตรกรเป็นผู้เก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรระหว่างรอการจำหน่ายเอง โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย ด้วยกลไกของธนาคาร เนื่องจากมีระบบบัญชีที่ต่อเนื่องและมีวินัยทางการเงินที่เคร่งครัด ตรวจสอบได้ แต่หากรัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา เพื่อแก้ไขปัญหาสินเค้าเน่าเสียเร็ว โดยการนำเงินงบประมาณไปใช้ในการรับซื้อสินค้าเกษตรไว้เอง ก็ควรที่จะมีมาตรการ หรือกลไกในการควบคุม กำกับ ดูแลให้รัดกุมมิให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับกรณีแก้ไขปัญหาราคาหอมแดงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๕๕ ที่มีการปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีอำนาจในการบริหารจัดการ รวมทั้งมีการนำหอมแดงที่ได้รับซื้อไว้แล้วกลับมาหมุนเวียนขายให้กับทางราชการซ้ำอีก ๑.๑.๓ รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก คือ การให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกตลาด การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกรให้สมบูรณ์ และนโยบายหลักในการบริหารประเทศที่จะดำเนินการภายในช่วงระยะ ๔ ปี ของรัฐบาลในส่วนของนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตร โดยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาระบบการผลิตที่เป็นขั้นตอน มีการวางแผนการผลิตและการจำหน่ายล่วงหน้าที่แม่นยำ ส่งเสริมการผลิตนอกฤดูกาล การแปรรูป ส่งเสริมการตลาด และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลสินค้าเกษตรร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ในระหว่างนี้หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการยกระดับราคาสินค้าเกษตร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะที่กำกับดูแลองค์การคลังสินค้าดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีพนักงานองค์การคลังสินค้าถูกกล่าวหาร้องเรียนว่า ร่วมกันทุจริตในโครงการแก้ไขปัญหาราคาหอมแดง ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในจังหวัดศรีสะเกษ และหากพบว่ามีความผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาร้องเรียนให้ดำเนินการลงโทษตามกฎหมายอย่างจริงจัง แล้วรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วและอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎระเบียบของทางราชการ หากพบว่ามีการดำเนินการที่ผิดระเบียบและขั้นตอนที่ทางราชการกำหนด ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 28034 | การเบิกจ่ายค่าชดเชยผลอาสินและสิ่งปลูกสร้าง เยียวยา ชาวบ้านผู้ครอบครองที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างศูนย์ระบบโลจิสติกส์ | มท | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เพื่อเยียวยาชาวบ้านผู้ครอบครองที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ระบบโลจิสติกส์ เป็นเงินจำนวน ๖,๑๑๕,๐๓๓ บาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยผลอาสิน (ต้นไม้/ไม้ผล/พืชล้มลุก) จ่ายให้กับชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน ๒๒ ราย ๒๓ แปลง รวมเป็นเงิน ๑,๕๙๘,๓๑๖ บาท และค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างจ่ายให้กับชาวบ้าน จำนวน ๙ ราย รวมเป็นเงิน ๔,๕๑๖,๗๑๗ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาในรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมของพื้นที่ที่ถูกบุกรุกและตรวจสอบสิทธิของประชาชน รวมทั้งระยะเวลาที่ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐก่อนการเบิกจ่ายงบประมาณตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแล รักษาและใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ รวมทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการและแนวทางในการป้องกันมิให้มีการบุกรุกที่ดินของรัฐให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||
| 28035 | รายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม ในรอบเดือนพฤษภาคม 2556 | ตช | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม ในรอบเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันอาชญากรรม ๑.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓๗๙ คดี ๑.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๑,๙๓๔ คดี ๑.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๔,๑๔๐ คดี ๒. ด้านการปราบปรามอาชญากรรม ๒.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ จับกุมได้ ๒๑๒ คดี คิดเป็นร้อยละ ๕๕.๙๔ ของการรับแจ้ง (๓๗๙ คดี) ๒.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ จับกุมได้ ๙๖๔ คดี คิดเป็นร้อยละ ๔๙.๘๔ ของการรับแจ้ง (๑,๙๓๔ คดี) ๒.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ จับกุมได้ ๑,๖๐๙ คดี คิดเป็นร้อยละ ๓๘.๘๖ ของการรับแจ้ง (๔,๑๔๐ คดี) ๓. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของตนเองได้ง่าย รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคนร้าย สำหรับกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวมหรือกระทบต่อความสงบสุขในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ให้พิจารณาจัดแถลงข่าวทางสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับทราบ ๔. จากผลการดำเนินการในรอบเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ พบว่าในด้านการป้องกันอาชญากรรมในภาพรวม สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในระดับเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ เนื่องจากได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานในสังกัด เข้มงวดกวดขันในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่ล่อแหลมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม ส่งผลให้สถิติคดีอาญาลดน้อยลง ส่วนด้านการปราบปรามอาชญากรรม ทุกกลุ่มคดีมีผลการปฏิบัติไม่ผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงได้สั่งการและกำชับให้หน่วยปฏิบัติพิจารณาระดมกวาดล้างอาชญากรรมในห้วงเวลาที่เหมาะสมเป็นประจำทุกเดือน ๆ ละไม่น้อยกว่า ๕ วัน เร่งรัดจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับคดีค้างเก่าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการระดมกวาดล้างยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล
|
||||||||||||||||||||||||
| 28036 | ร่างถ้อยแถลงร่วมไทย - โมซัมบิกในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิกอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทยกับโมซัมบิก ในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิกอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยเอกสารร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยและรัฐบาลโมซัมบิกในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ในด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความร่วมมือทางวิชาการ โดยเฉพาะการเห็นชอบให้ทั้งสองประเทศเป็นประตูของแต่ละภูมิภาคระหว่างกัน การส่งเสริมและเพิ่มพูนการลงทุนของไทยในโมซัมบิกในสาขาพลังงาน ก่อสร้าง เหมืองแร่ อัญมณี อาหาร และประมง รวมทั้งการแสดงความพร้อมของไทยที่จะขยายความร่วมมือทางวิชาการกับโมซัมบิกในสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ อาทิ เกษตรกรรม สาธารณสุข การแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยว การพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและย่อม นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังแสดงความพร้อมที่จะมีความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคและระดับพหุภาคีในด้านต่าง ๆ ที่ทั้งสองประเทศจะให้ความสำคัญและพัฒนาความร่วมมือกันต่อไป ได้แก่ ความร่วมมือในกรอบสหประชาชาติ ความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนของโมซัมบิกต่อแนวคิดเรื่อง “ความริเริ่มไทย-แอฟริกา” เพื่อส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างไทยและแอฟริกา ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยก่อนมีการประกาศถ้อยแถลงร่วมฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 28037 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ | นร07 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวน ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙๔๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว รวม ๒๒๒ โครงการ วงเงิน ๕,๓๑๒.๒๒๘๐ ล้านบาท ทั้งนี้ หน่วยงานยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๒ โครงการ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำ และโครงการเสริมดินปากท่อและสะพานเพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดสุพรรณบุรี วงเงิน ๕ ล้านบาท ของกรมการปกครอง ๒. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุตรดิตถ์ ฉะเชิงเทรา และกำแพงเพชร จำนวน ๙๒ โครงการ โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๙๑ โครงการ วงเงิน ๒,๒๗๐.๖๑๑๖ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓๖.๐๐๐๐ ล้านบาท มีหน่วยงานขอรับการจัดสรรแล้ว ณ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๗๓ โครงการ วงเงิน ๑,๕๒๑.๐๑๓๗ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว จำนวน ๗๒ โครงการ วงเงิน ๑,๕๐๙.๐๙๖๙ ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับอนุมัติงบกลางแต่หน่วยงานยังไม่ขอรับการจัดสรร จำนวน ๑๘ โครงการ วงเงิน ๗๔๗.๘๓๐๐ ล้านบาท อยู่ระหว่างหน่วยงานจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับการจัดสรรต่อไป คาดว่าจะขอรับการจัดสรรได้ภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
| 28038 | การแต่งตั้งรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ | นร04 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 28039 | การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จำนวนทั้งสิ้น ๕๖,๖๖๗.๑ ล้านบาท โดยมีรายการผูกพันงบประมาณ ๗ รายการวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๓๔๓.๑ ล้านบาท เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒๐๑.๖ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปีต่อ ๆ ไป จำนวน ๑,๑๔๑.๕ ล้านบาท ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. การแปรญัตติเพิ่มงบประมาณในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ให้กระทรวงศึกษาธิการขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้อยู่ในกรอบวงเงินและระยะเวลาที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||
| 28040 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (นักบริหารสูง) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ) | นร09 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
.....
