ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1404 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28061 - 28080 จากข้อมูลทั้งหมด 124445 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28061 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เพิ่มเติม จำนวน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่และภารกิจ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 28062 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2557 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๕๗ ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยมีรายละเอียดของแผนการใช้จ่ายเงินและแผนงาน ดังนี้
๑. งบประมาณประจำปี ๒๕๕๗ จำนวน ๔,๑๖๕,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operation Expenditure) จำนวน ๔,๑๔๗,๓๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน (Capital Expenditure) จำนวน ๑๘,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๓.๔๓ หรือ ๑๔๘,๑๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในปี ๒๕๕๖ ๒. ที่มาของเงินงบประมาณประจำปี ๒๕๕๗ ได้เสนอขอใช้เงินจากปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๖ จำนวน ๓,๕๑๙,๘๐๖.๒๖ ดอลลาร์สหรัฐ และงบประมาณเหลือจ่ายของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๖๔๖,๐๙๓.๗๔ ดอลลาร์สหรัฐ ๓. ในปี ๒๕๕๗ องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียจะมีรายได้จากค่าภาคหลวง จำนวน ๓๒๘.๑๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร จำนวน ๗๑๓.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวม ๑.๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
|||||||||||||||||||||
| 28063 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2553 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๑,๘๗๕.๗๒ ล้านบาท และจำนวน ๓๕๖.๖๓๗ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๘๖.๑๕ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ๑.๒ ให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๕ ที่กำหนดให้รัฐวิสากิจนำเงินอุดหนุนบริการสาธารณะส่วนเกินส่งคืนคลัง หากผลประกอบการจากการให้บริการสาธารณะเมื่อสิ้นปีบัญชีต่ำกว่าวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ๑.๓ ให้ รฟท. และ ขสมก. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ดังนี้ ๑.๓.๑ ปรับปรุงระบบการปันส่วนต้นทุนให้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการตรวจสอบตั๋วให้สอดคล้องกับจำนวนและระยะทางที่ผู้โดยสารเดินทางจริง เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานมีความถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น ๑.๓.๒ เร่งรัดการดำเนินงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพและความสะอาดของการให้บริการภายในตัวรถโดยสารให้ได้มาตรฐาน ๑.๓.๓ จัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวต่อคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อให้การกำกับดูแลการดำเนินงานให้บริการสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๑.๓.๔ พิจารณาปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับต้นทุนการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ภายในกรอบระยะเวลาดำเนินการที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนผู้ใช้บริการทุกระดับและภาระการอุดหนุนโดยรวมของรัฐบาลในระยะยาว ๑.๓.๕ ดำเนินการศึกษาต้นทุนต่อหน่วยในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนพิจารณากำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานบริการสาธารณะที่มีมาตรฐานรองรับเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปีต่อไป ๑.๓.๖ เร่งรัดการปิดบัญชีเพื่อส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับรองความถูกต้องโดยเร็ว ๒. กรณีการให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. ชะลอการส่งเงินคืนคลังออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบัน ขสมก. ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะไม่ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการรถเมล์ฟรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน และเมื่อ ขสมก. ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการดังกล่าวและมีสภาพคล่องทางการเงิน จะดำเนินการทยอยส่งเงินคืนคลังต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 28064 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ) | สม | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงศึกษาธิการควรส่งประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๓ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องจากเป็นประกาศที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป และเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ๑.๒ กระทรวงศึกษาธิการควรมีการปรับปรุงชื่อเรื่องของประกาศที่ชัดเจน และสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้โดยไม่เกิดความสับสน เนื่องจากประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เป็นประกาศที่ระบุเกี่ยวกับการเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ เพื่อมิให้เป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๑.๓ คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงศึกษาธิการ ควรมีการบรรจุการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา โดยให้เหลือเฉพาะรายการที่เป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามความสมัครใจของผู้ปกครองและนักเรียน ๒. กรณีการออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานออกประกาศให้สถานศึกษาของรัฐในสังกัดเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อจัดการศึกษานอกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้นั้น เป็นการออกประกาศเพื่อกำหนดว่า กรณีใดบ้างที่เป็นการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและให้มีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และกรณีใดบ้างที่อยู่นอกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอันอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งประกาศดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับภายในสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษานำไปใช้เป็นแนวทางในการประกาศให้นักเรียนและผู้ปกครองแสดงความสมัครใจว่า ประสงค์จะเข้าร่วมในการศึกษานอกหลักสูตรโดยเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ ประกาศดังกล่าวจึงมิได้มุ่งหมายที่จะใช้บังคับแก่ประชาชนทั่วไปให้ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่อย่างใด ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรมีการปรับปรุงชื่อเรื่องของประกาศให้ชัดเจนสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้โดยไม่เกิดความสับสน และข้อเสนอแนะที่ควรมีการบรรจุการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา ให้เหลือเฉพาะรายการที่เป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง ไปพิจารณาในรายละเอียดตามอำนาจหน้าที่ว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๔. อนุมัติให้ถอนความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการตามหนังสือกระทรวงศึกษาธิการ ด่วนที่สุด ที่ ศธ ๐๔๐๐๖/๒๔๗๑ ลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เรื่อง ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ) ไปได้ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ |
|||||||||||||||||||||
| 28065 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมติดตามผลการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยสังคมสารสนเทศ ค.ศ. 2013 | ทก | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมติดตามผลการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยสังคมสารสนเทศ ค.ศ. ๒๐๑๓ (World Summit on the Information Society Forum 2013 : WSIS Forum 2013) และการเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งจัดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ร่วมกล่าวในฐานะแขกพิเศษในช่วงพิธีเปิดการประชุม High-level session เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยกล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย WSIS ซึ่งในส่วนของประเทศไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มีการดำเนินการภายใต้โครงการต่าง ๆ เช่น การกำหนดนโยบายบอร์ดแบนด์แห่งชาติ โครงการ “One Tablet per Child” การจัดตั้งศูนย์ ICT ชุมชน และโครงการ “Free Wi-Fi” พร้อมทั้งเชิญชวนรัฐมนตรีและผู้แทนประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมฯ ให้เข้าร่วมการประชุม Connect Asia-Pacific Summit 2013 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพฯ ก่อนงาน ITU Telecom World 2013 ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. การเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการเสวนาภายใต้หัวข้อ “Future of the Information Society and Challenges to Address beyond 2015” เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางที่ควรดำเนินการหรือเป้าหมายที่จะต้องบรรลุหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ โดยมีประเด็นสนทนาหลัก ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ในช่วง ๑๐ ปี หลังจากการประชุม WSIS ช่วงที่ ๑ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๖ ประเทศต่าง ๆ ได้บรรลุผลสำเร็จอย่างไร และอะไรคือความท้าทายที่ต้องเผชิญในแง่การพัฒนาสังคมสารสนเทศ (๒) ขบวนการสร้างสังคมสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคตที่จะทำให้แน่ใจว่ามีความสมดุลในการประสานงานในระดับระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ในการกำหนดความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ (๓) ทำอย่างไรที่จะทำให้กระบวนการในการสร้างสังคมสารสนเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระบวนการตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) หลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ และ (๔) โอกาสจากกระบวนการทบทวนการสร้างสังคมสารสนเทศที่เราได้รับและปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้กล่าวว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและเร่งความเติบโตทางเศรษฐกิจโลก โดยในส่วนของประเทศไทยการเข้าถึง mobile cellular คิดเป็นร้อยละ ๑๒๔ ในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ และคาดว่าจะสูงขึ้นอย่างมากเนื่องจากการเริ่มใช้ 3G เมื่อเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศและของเศรษฐกิจโลก และการพัฒนาในแง่การประสานความร่วมมือทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระดับประเทศ ในการสร้างสังคมสารสนเทศเพื่อประชาชนทุกคนได้เข้าถึงและได้ใช้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ทั้งนี้ กระบวนการ MDGs หลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ยังคงต้องเน้นถึงความสำคัญของ cross-cutting ICT เช่น การใช้ ICT สำหรับคนพิการหรือกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ ซึ่งไม่มีการกำหนดไว้ใน MDGs ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้พบหารือกับ Dr. Hamadoun Toure เลขาธิการ ITU เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยเลขาธิการ ITU ได้แสดงความขอบคุณประเทศไทยที่ได้ให้การต้อนรับอย่างดี เมื่อครั้งมาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๓-๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และขอบคุณรัฐบาลไทยที่จัดหาสำนักงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแห่งใหม่ให้ ITU ซึ่งมีความสวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ รวมทั้งขอบคุณประเทศไทยที่รับเป็นเจ้าภาพจัดประชุม Connect Asia-Pacific Summit 2013 และงาน ITU Telecom World 2013 ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้พบเจรจาหารือแบบทวิภาคีกับรัฐมนตรีประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐโปแลนด์ สาธารณรัฐมอนเตเนโกร โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งต่าง ๆ และการขอเสียงสนับสนุนการเลือกตั้งในเวทีระหว่างประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
| 28066 | รัฐบาลสาธารณรัฐออสเตรียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายเอนโน โดรฟีนิก (Mr. Enno Drofenik)] | กต | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเอนโน โดรฟีนิก (Mr. Enno Drofenik) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายโยฮันเนิส เปเทอร์ลิค (Mr. Johannes Peterlik) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 28067 | รายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 4 | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ผู้ให้กู้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาเงินกู้ จำนวน ๔ สัญญา ได้แก่ TXXI-7 TXXII-7 TXXIII-4 และ TXXVI-1 ได้เห็นชอบให้ชำระหนี้ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย เงินต้นที่จะชำระคืนก่อนครบกำหนด จำนวน ๑๑,๘๙๒,๕๕๑,๐๐๐ เยน และดอกเบี้ย จำนวน ๕๖,๘๑๘,๐๖๘ เยน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๑๑,๙๔๙,๓๖๙,๐๖๘ เยน หรือเท่ากับ ๓,๕๒๖,๗๓๖,๗๘๖.๗๓ บาท (อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยต่อ ๑ เยน เท่ากับ ๐.๒๙๕๑๔ บาท) โดย กฟภ. ขอให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดหาเงินกู้เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว จำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยวิธีการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และ กฟภ. จะดำเนินการโอนเงินบาทมาสมทบกับเงินกู้ที่ได้จากการออกตั๋วสัญญาใช้เงินอีก จำนวน ๒๖,๗๓๖,๗๘๖.๗๓ บาท ๒. กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินในประเทศเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน สำหรับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามสัญญาเงินกู้ จำนวน ๔ สัญญา ดังกล่าว ในวงเงิน ๓,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ อายุ ๑๐ ปี มีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง [อัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา เฉลี่ย ๗ วัน ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ๔ แห่ง (FDR) ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย] บวกด้วย Spread โดยดอกเบี้ยงวดแรกของตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกให้ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ มีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ ๓.๖๖๘ ต่อปี ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
| 28068 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO-Food and Agriculture Organization of the United Nations) สมัยที่ ๓๘ (FAO Conference 38 Session) และเข้ารับรางวัล Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger ณ สาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีในฐานะตัวแทนของประเทศไทยให้เข้ารับรางวัล Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger จากผู้อำนวยการใหญ่ FAO ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการลดจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหาร โดยประเทศไทยสามารถลดจำนวนประชากรได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการประชุมสุดยอดอาหารโลก ปี ๑๙๙๖ (World Food Summit) และลดสัดส่วนของประชากรตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) คือ ลดจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหารได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหารในประเทศ ซึ่งประเทศไทยสามารถดำเนินการสำเร็จในปี ๒๕๕๕ ถือว่าสำเร็จก่อนล่วงหน้า ๓ ปี ๒. การเข้าร่วมการประชุมสมัชชา FAO สมัยที่ ๓๘ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๒.๑ ที่ประชุมฯ ได้แสดงความยินดีกับสมาชิกใหม่อีก ๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศเนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐสิงคโปร์ และสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน ทำให้ FAO มีสมาชิกทั้งหมด ๑๙๗ ประเทศ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ภายใต้หัวข้อ Sustainable food system, Food Security and Nutrition โดยกล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ และได้มีการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหาร เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานในด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการของประเทศไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยได้มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวใน ๒ แนวทาง คือ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการเกษตรและโครงการเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Famer) และเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Famer) และการพัฒนาด้านการเกษตรในชนบท โดยได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นแนวทางในการพัฒนา ๒.๒ ที่ประชุมฯ เห็นชอบแผนงานและงบประมาณระหว่างปี ๒๐๑๔-๒๐๑๕ โดยเพิ่มค่าสมาชิกเป็นจำนวน ๑,๐๒๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๒ ในสองปี ซึ่งประเทศไทยจะต้องจ่ายค่าสมาชิกเพิ่มเติมอีกจำนวนประมาณ ๑,๒๑๗,๘๔๗ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทั้งนี้ การเพิ่มค่าสมาชิกดังกล่าวจะสามารถดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงาน (Strategic Framework) โดยจะเน้น (๑) ขจัดความอดอยากหิวโหย ความไม่มั่นคงทางอาหาร และการขาดแคลนสารอาหาร (๒) เพิ่มและปรับปรุงข้อกำหนดของสินค้าและการบริการด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมงอย่างยั่งยืน (๓) ลดความยากจนในชนบท (๔) เน้นระบบด้านการเกษตรและอาหารสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และนานาชาติ และ (๕) เพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับการใช้ชีวิตในยามวิกฤต ๒.๓ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวาระการประชุมวันดินโลกและปีดินสากล เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยกล่าวว่า ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก ในส่วนของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงสนพระทัยและทรงค้นคว้าศึกษาแนวทางในการดูแลและแก้ไขปัญหาของดิน โดยทรงมีกระแสพระราชดำริให้ตั้งศูนย์ศึกษา เพื่อศึกษาลักษณะของดินและแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา และการนำหญ้าแฝกมาใช้ในการป้องกันการกัดเซาะพังทลายของดิน นอกจากนี้ ได้ให้ประเทศสมาชิก FAO ร่วมกันรณรงค์ให้ความสำคัญของดินในวันดินโลกซึ่งตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และร่วมกันรณรงค์ในปี ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นปีดินสากล โดยขอให้ FAO สนับสนุนการรณรงค์เรื่องทรัพยากรดินและนำเรื่องนี้ไปบรรจุในวาระการประชุมของสหประชาชาติเพื่อประกาศให้มีการดำเนินการต่อไป ซึ่งที่ประชุมให้ความเห็นชอบในวาระนี้แล้ว ๓. การประชุมทวิภาคี ๓.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนได้เข้าพบหารือความร่วมมือด้านการเกษตรกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการเกษตร และหวังว่าจะได้มีการลงนามโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้กล่าวว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเป็นกลไกที่สำคัญในการหารือร่วมกัน ๓.๒ ผู้อำนวยการใหญ่ FAO ได้เข้าหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยผู้อำนวยการใหญ่ FAO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในการเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการเกษตรและมีการดำเนินโครงการที่รับผิดชอบต่อประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการควบคุมโรคระบาดสัตว์ ได้แก่ โรคไข้หวัดนก ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวขอบคุณ FAO ที่ให้การสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านมาและเห็นว่าการสนับสนุนเพื่อกระจายการพัฒนาการเกษตรซึ่งรวมถึงการควบคุมโรคระบาดจะเป็นการยกระดับการพัฒนาในภูมิภาคด้วย จึงขอให้ FAO ให้การสนับสนุนเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และได้ขอบคุณ FAO ที่ให้การสนับสนุนการให้วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก และปี ๒๕๕๘ เป็นปีดินสากล รวมทั้งให้มีการจัดเจ้าหน้าที่ของไทย และ FAO ร่วมหารือกันเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 28069 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. ...." | สสป | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. ...." และรับทราบความเห็นและผลการพิจารณาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนของสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะในการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมของประเทศไทย และสาระสำคัญที่ควรกำหนดไว้ใน (ร่าง) พระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. .... สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐต้องกำชับและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดินที่มีอยู่อย่างเข้มงวดและเคร่งครัด เพื่อสงวนและรักษาที่ดินไว้เป็นสมบัติของไทยอย่างยั่งยืน ๒. รัฐต้องเร่งดำเนินการให้มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อเป็นการสงวนพื้นที่ของประเทศไทย ที่มีคุณลักษณะของสภาพพื้นที่เหมาะสม หรือมีการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการชลประทานที่เหมาะสมไว้สำหรับการทำการเกษตรและเพื่อการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ๓. ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เห็นควรกำหนดเหตุผลในการออกกฎหมาย ดังนี้ "เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ดินจึงเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นรากฐานของการผลิตทางการเกษตร ซึ่งจำเป็นต้องบำรุงรักษาและฟื้นฟูดิน รวมทั้งพัฒนาให้เหมาะสมแก่การประกอบการเกษตรได้อย่างยั่งยืนและนำไปสู่การเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก และจากผลของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้มีการนำที่ดินที่เหมาะสมกับการเกษตรไปใช้เพื่อกิจกรรมอื่น ๆ หรือเป็นเจ้าของที่ดินแทนคนต่างด้าวด้วยประการใด ๆ ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศและความเป็นอยู่ของเกษตรกร ประกอบกับยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมในลักษณะที่เป็นองค์รวม ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้เกษตรกรสูญเสียที่ดิน และเพื่อควบคุมการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางด้านเกษตรกรรม อันจะมีผลกระทบต่อศักยภาพการผลิตด้านการเกษตรและต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ตลอดจนเพื่อควบคุมการใช้ที่ดิน ให้เกิดประโยชน์ด้านเกษตรกรรมอย่างเต็มที่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น" ๔. ในคำจำกัดความคำว่า "พื้นที่เกษตรกรรม" ใน (ร่าง) พระราชบัญญัติฯ ควรมีการพิจารณาให้ความหมายครอบคลุมกิจกรรมการเกษตรทุกประเภท และควรหมายรวมถึงภารกิจที่เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรกรรมที่เหมาะสมกับประเภทกิจกรรมการเกษตรในพื้นที่นั้นด้วย และสามารถสื่อความหมายให้ชัดเจนว่าเป็นกิจการประเภทใด ขนาดของกิจการ ความสามารถในการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ๕. ควรเพิ่มสัดส่วนกรรมการที่เป็นผู้แทนมาจากองค์กรเกษตรกรโดยตำแหน่งในองค์ประกอบคณะกรรมการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม และลดสัดส่วนกรรมการที่เป็นผู้แทนมาจากภาครัฐที่มีสังกัดหน่วยงานเดียวกันให้เหลือเพียงผู้แทนหน่วยงานระดับสูงเพื่อสั่งการให้หน่วยงานตามสายบังคับบัญชาสามารถนำเสนอข้อมูลมาปฏิบัติได้ ๖. ในการประกาศเป็นเขตคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมในแต่ละพื้นที่ควรเริ่มต้นมาจากพื้นที่ทำการเกษตรที่ได้กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการผังเมืองเป็นสำคัญ ๗. ควรนำมาตรการทางภาษีอัตราก้าวหน้ามาใช้บังคับ กับกรณีที่ปล่อยให้ที่ดินซึ่งมีความเหมาะสมกับการทำการเกษตรกรรมในเขตชลประทานให้ทิ้งร้างว่างเปล่า ๘. ต้องพิจารณาความเกี่ยวข้องสอดคล้องให้ชัดเจนระหว่าง (ร่าง) พระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. .... กับพระราชบัญญัติฉบับอื่น ในกรณีของการจัดซื้อที่ดิน รวมถึงพิจารณาความเกี่ยวข้องในกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้ ๙. ในการตราพระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม ต้องสร้างกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางและเข้าถึงทุกกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง เพราะมีลักษณะของการจำกัดสิทธิ์ และบทกำหนดโทษปรากฏในร่างพระราชบัญญัติซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลต่าง ๆ ทุกภาคส่วน
|
|||||||||||||||||||||
| 28070 | มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | อก | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ขยายพื้นที่ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากเดิม ๓ จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ออกไปอีกเป็น ๔ จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา รวมทั้งขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๒ ปี สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประชุมหารือกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางบูรณาการในการพัฒนาอุตสาหกรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้การส่งเสริมการลงทุนมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดย ศอ.บต. ได้ขอให้ปรับปรุงสิทธิและประโยชน์ รวมทั้งเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้จูงใจมากขึ้น เช่น ขอให้ผู้ประกอบการที่จะขยายกิจการและใช้เครื่องจักรเดิมมาดำเนินการสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้ ขอผ่อนผันให้สถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือได้ เป็นต้น ๑.๒ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้พิจารณาข้อสรุปจากการหารือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม และ ศอ.บต. ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๖ แล้ว มีมติให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ๑.๒.๑ ลดมูลค่าเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนขั้นต่ำจาก ๑ ล้านบาท ลดลงเหลือ ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้กิจการขนาดเล็กสามารถขอรับการส่งเสริมได้ ๑.๒.๒ อนุญาตให้นำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้มีมูลค่าไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท และจะต้องลงทุนในเครื่องจักรใหม่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของมูลค่าเครื่องจักรใช้แล้ว เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนใหม่ทั้งหมด สามารถนำโครงการเก่ามาขอรับการส่งเสริมโดยลงทุนเพิ่มบางส่วน ๑.๒.๓ กำหนดให้กิจการตั้งในพื้นที่คลัสเตอร์สำหรับรองรับการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด ให้ได้รับสิทธิและประโยชน์ด้านภาษีอากรเป็นพิเศษเช่นเดียวกับกรณีตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมเท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติมจากรูปแบบนิคมและเขตอุตสาหกรรม ๑.๒.๔ การอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมกรณีเป็นกิจการนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และกิจการที่ตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือในพื้นที่คลัสเตอร์สำหรับรองรับการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด โดยจะพิจารณาอนุญาตเป็นราย ๆ ไป เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น ซึ่งตามหลักเกณฑ์ปกติแล้วจะไม่อนุมัติให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ แม้จะเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมายก็ตาม ๑.๓ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ออกประกาศที่ ๖/๒๕๕๖ เรื่อง นโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนข้างต้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรมีการประเมินผลความคุ้มค่าและผลกระทบจากการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว และข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยที่ให้มีการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าวและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไปลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น และจัดทำรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วย สำหรับกรณีการอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือเข้าไปทำงานในสถานประกอบการขอให้ตรวจสอบให้เป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 28071 | การดำเนินการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 15 จังหวัด | นร01 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ๑๕ จังหวัด โดยสำนักงบประมาณได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแจ้งว่า หากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญแล้ว ก็อนุมัติให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๖๘,๒๒๙,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๖๕๔ บ่อ สำหรับ ๑๕ จังหวัด โดยเบิกจ่ายในงบลงทุนลักษณะค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง แต่เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ และผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖] มิได้กำหนดให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ในส่วนที่จังหวัดเป็นหน่วยดำเนินการ จึงขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบก่อน และเมื่อกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมายตามที่กำหนดไว้แล้ว หากมีเงินงบประมาณเหลือจ่ายขอให้ส่งคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรกด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายอำนวยการและติดตามประเมินผล บ่อละ ๑,๐๐๐ บาท จำนวน ๖๕๔ บ่อ เป็นเงิน ๖๕๔,๐๐๐ บาท สำนักงบประมาณได้ปรับลดวงเงิน เนื่องจากขาดรายละเอียดประกอบการพิจารณา ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ๑๕ จังหวัด ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๖๘,๒๒๙,๐๐๐ บาท และเมื่อกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายตามที่กำหนดไว้แล้ว หากมีเงินเหลือจ่ายให้ส่งคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรกด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 28072 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | มท | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 28073 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... | สธ | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับอัตราค่าธรรมเนียมวิชาชีพเภสัชกรรม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 28074 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย | กต | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Colombia on Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic and Official Passports) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการติดต่อราชการระหว่างเจ้าหน้าที่การทูตและข้าราชการของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความร่วมมือและยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีสาระสำคัญ คือ ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการที่ยังมีอายุใช้ได้ของรัฐภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้รับยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้าออกจาก หรือและผ่านดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง และสามารถพำนักในรัฐภาคีเป็นเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน นับจากวันที่เดินทางเข้า โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการของตนเองหรือกิจการอย่างอื่นในดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
| 28075 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพยอม ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพยอม ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพยอม ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๖๐๐ (บางส่วน) เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๗๒ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 28076 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒. นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||
| 28077 | มาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ) ที่เห็นชอบให้ขยายเวลาการปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุในการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ ออกไปอีก ๒ ปี จนถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ โดยให้ส่วนราชการที่จะทำการจัดซื้อในวงเงินเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือจัดจ้างในวงเงินเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สามารถจัดซื้อ จัดจ้าง โดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้โดยอนุโลม ทั้งนี้ ส่วนราชการในส่วนภูมิภาค หรือส่วนราชการในส่วนกลางที่มีหน่วยงานตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค ซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ให้อยู่ในอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการนั้นหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี ที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการเป็นสำคัญ ต่อมาคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๒ (๒) ขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจออกไปอีก ๒ ปี ซึ่งการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุพิจารณาแล้วเห็นว่า การให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลา (อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ยังไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ ได้อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๒ (๒) มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจดังกล่าวออกไปอีก ๒ ปี จนถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และได้มีหนังสือแจ้งเวียนให้หน่วยงานต่าง ๆ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
| 28078 | รายงานผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 และ 2551 สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 และ 2552 และสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 และ 2553 ของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ และสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบแสดงฐานะการเงิน ๑.๑ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ มีสินทรัพย์รวม ๑๓,๔๒๖,๗๒๐,๒๐๐.๖๖ บาท และ ๑๒,๙๐๐,๓๓๗,๖๐๔.๖๒ บาท หนี้สินรวม ๑,๕๕๐ บาท และ ๒,๖๖๔,๔๘๔.๘๖ บาท ทุนรวม ๑๓,๔๒๖,๗๑๘,๖๕๐.๖๖ บาท และ ๑๒,๘๙๗,๖๗๓,๑๑๙.๗๖ บาท ตามลำดับ ๑.๒ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ มีสินทรัพย์รวม ๙,๖๔๓,๕๘๔,๘๑๒.๕๔ บาท และ ๑๓,๔๒๖,๗๒๐,๒๐๐.๖๖ บาท หนี้สิน รวม ๒,๕๘๔ บาท และ ๑,๕๕๐ บาท ทุนรวม ๙,๖๔๓,๕๘๒,๒๒๘.๕๔ บาท และ ๑๓,๔๒๖,๗๑๘,๖๕๐.๖๖ บาท ตามลำดับ ๑.๓ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ มีสินทรัพย์รวม ๑๐,๓๑๐,๙๐๐,๕๒๕.๙๘ บาท และ ๙,๖๔๓,๕๘๔,๘๑๒.๕๔ บาท หนี้สินรวม ๒,๖๖๐ บาท และ ๒,๕๘๔ บาท ทุนรวม ๑๐,๓๑๐,๘๙๗,๘๖๕.๙๘ บาท และ ๙,๖๔๓,๕๘๒,๒๒๘.๕๔ บาท ตามลำดับ ๒. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ๒.๑ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ มีรายได้รวม ๓,๐๓๐,๓๓๕,๘๐๘.๐๗ บาท และ ๒,๖๑๑,๔๖๖,๗๔๐.๙๙ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๒,๙๕๔,๐๒๓,๗๑๕.๓๕ บาท และ ๑,๗๗๗,๔๒๙,๒๒๑.๓๙ บาท กำไรสุทธิ ๗๖,๓๑๒,๐๙๒.๗๒ บาท และ ๘๓๔,๐๓๗,๕๑๙.๖๐ บาท ตามลำดับ ๒.๒ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ มีรายได้รวม ๑,๐๙๔,๕๓๑,๓๕๗.๑๐ บาท และ ๓,๐๓๐,๓๓๕,๘๐๘.๐๗ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๕,๑๓๙,๖๕๒,๑๓๘.๘๕ บาท และ ๒,๙๕๔,๐๒๓,๗๑๕.๓๕ บาท ขาดทุนสุทธิ ๔,๐๔๕,๑๒๐,๗๘๑.๗๕ บาท และกำไรสุทธิ ๗๖,๓๑๒,๐๙๒.๗๒ บาท ตามลำดับ ๒.๓ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ มีรายได้รวม ๑,๐๘๐,๕๓๔,๙๐๙.๑๗ บาท และ ๑,๐๙๔.๕๓๑,๓๕๗.๑๐ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๗๒๑,๘๘๗,๑๑๑.๑๕ บาท และ ๕,๑๓๙,๖๕๒,๑๓๘.๘๕ บาท กำไรสุทธิ ๓๕๘,๖๔๗,๗๙๘.๐๒ บาท และขาดทุนสุทธิ ๔,๐๔๕,๑๒๐,๗๘๑.๗๕ บาท ๓. คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้มีมติรับทราบผลการตรวจสอบรายงานการเงินดังกล่าวแล้วในการประชุม ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||
| 28079 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 5/2556 | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการก่อหนี้ให้แก่หน่วยงานที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่อนผันโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๑.๑ รายการที่ประกวดราคาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ผู้รับจ้างทำให้ต้องดำเนินการประกวดราคาใหม่ หรือบางส่วนอยู่ระหว่างขออนุมัติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) เพื่อจัดซื้อจัดจ้างวิธีอื่น จำนวน ๓๘๕ รายการ จำนวนเงิน ๕,๐๘๕.๒๙ ล้านบาท ๑.๒ โครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วต้องเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนามในสัญญา จำนวน ๒๖๑ รายการ จำนวนเงิน ๔,๖๗๖.๒๕ ล้านบาท ๑.๓ รายการที่อยู่ระหว่างปรับปรุง TOR (ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง) หรือแก้ไขแบบรูปรายการก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓๓ รายการ จำนวนเงิน ๔,๕๓๐.๒๓ ล้านบาท ๑.๔ รายการที่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่งบประมาณไม่เพียงพอ และอยู่ระหว่างการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการ และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ จำนวน ๑๐๗ รายการ จำนวนเงิน ๘๑๐.๓๓ ล้านบาท ๑.๕ รายการที่ได้ผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่ต้องรอผลจากผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๕๑ รายการ จำนวนเงิน ๑๖,๒๙๐.๒๕ ล้านบาท ๒. รายการที่ขอผ่อนผันตามเหลักเกณฑ์รายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ขยายเวลาถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ และรายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์รายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการ รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง รายการที่จัดสรรต่อไปให้หน่วยงานอื่น/หน่วยงานอื่นเบิกจ่ายแทนกัน และรายการกรณีอื่น ๆ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ยกเว้นรายการต่อไปนี้ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๒.๑ เงินอุดหนุนสำหรับพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีเร่งด่วน จำนวน ๑๘,๕๐๖.๐๙ ล้านบาท ๒.๒ งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓,๒๖๓.๘๕ ล้านบาท ๒.๓ โครงการที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณชนในวงกว้างมอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาโครงการดังกล่าว ๓. หน่วยงานที่ไม่แจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๒ หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สถาบันการบินพลเรือน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๔. คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะไม่มีการพิจารณาผ่อนผันอีก เมื่อพ้นระยะเวลาผ่อนผันข้างต้น หากหน่วยงานมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ให้ดำเนินการขอช่องทางอื่นต่อไป ๕. หน่วยงานต้องดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใน ๑ เดือน หลังจากเวลาที่กำหนดผ่อนผันให้ก่อหนี้ดังกล่าวข้างต้น และเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สำหรับรายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
| 28080 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนเมษายน พ.ศ. 2556 | ทก | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๗๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๐๒ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๔๗ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๔.๑๖ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒ แสนคน (จาก ๓๘.๙๑ ล้านคน เป็น ๓๘.๗๙ ล้านคน) ๒ ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๘.๐๒ ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒ แสนคน (จาก ๓๘.๑๔ ล้านคน เป็น ๓๘.๐๒ ล้านคน) โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาการผลิต สาขากิจกรรมด้านการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ สาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ สาขาการก่อสร้าง สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓.๔๗ แสนคน ลดลง ๓.๐ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ โดยเป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๔๔ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๒.๐๓ แสนคน ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ภาคการผลิต และภาคเกษตรกรรม โดยผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๑๖ แสนคน ระดับประถมศึกษา ๗.๔ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๖.๐ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๙ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๐๙ แสนคน ภาคกลาง ๙.๒ หมื่นคน ภาคใต้ ๗.๑ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๕ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๓.๐ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
.....
