ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1405 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28081 - 28100 จากข้อมูลทั้งหมด 124445 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28081 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" | สสป | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนการจัดอบรมและสัมมนาให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับทราบข้อมูลและองค์ความรู้อย่างทั่วถึง ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economics Community - AEC) เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าและการลงทุนต่าง ๆ มาตรการส่งเสริมการลงทุน ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแหล่งกำเนิดสินค้า และคำแนะนำด้านการวางแผนธุรกิจ ๒. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมอุตสาหกรรม SMEs ต้องบริหารจัดการแบบบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงของข้อมูลและการดำเนินการต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์กลางการให้บริการข้อมูลในทุก ๆ ด้านเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศแบบ One Stop Service ๓. ยกระดับมาตรฐานทักษะฝีมือให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการในแต่ละสาขา เนื่องจากอุตสาหกรรม SMEs ยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพของบุคลากร ทั้งกลุ่มแรงงานที่มีทักษะฝีมือและกลุ่มแรงงานด้อยฝีมือ โดยเฉพาะทักษะฝีมือเฉพาะด้านและความสามารถด้านภาษา ทั้งนี้ ควรเน้นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษากลางของอาเซียน ๔. สำรวจและติดตามสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทราบถึงปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัด และความต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ เพื่อการกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากระบบการค้าและการลงทุนที่มีความซับซ้อนและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ๕. สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกิจกรรมด้านการตลาดของภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในทุก ๆ ด้าน ในการสร้างพันธมิตรและเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้ประกอบการในอาเซียน ๖. สนับสนุนความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรม โดยการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการให้การวิจัยและให้คำปรึกษาแก่ SMEs และให้มีการต่อยอดผลงานวิจัยมาใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง รวมทั้งส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานสินค้าและสร้างตราสัญลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดส่งออก ๗. เร่งปรับปรุงและพัฒนากฎหมายไทยให้ทันสถานการณ์ สอดคล้อง และเอื้อต่อการค้าการลงทุนของอุตสาหกรรม SMEs ในการก้าวเข้าสู่ AEC ๘. ส่งเสริมการสร้างเขตการค้าของ SMEs เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs มีการรวมกลุ่มอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการทำธุรกิจ และสนับสนุนการยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น Regional SMEs Hub ของอาเซียน ให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากทั่วโลก ๙. ควรมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรม SMEs ที่มีประสิทธิภาพ ในลักษณะเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบในการพัฒนาอุตสาหกรรม SMEs และ OTOP ๑๐. เสริมสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้บริโภคได้พบปะกัน โดยสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าต่าง ๆ การสัมมนาระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำธุรกิจร่วมกัน
|
|||||||||||||||||||||
| 28082 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | คค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอการมอบหมายให้มีผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามลำดับ ดังนี้
๑. พลเอก พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ๒. นายพ้อง ชีวานันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
|
|||||||||||||||||||||
| 28083 | ขอความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรม "งดดื่มสุราแห่งชาติ ทำความดีถวายในหลวง" ในช่วงเข้าพรรษา | สธ | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการสนับสนุนกิจกรรม “งดดื่มสุราแห่งชาติ ทำความดีถวายในหลวง” ในช่วงเข้าพรรษา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดคำขวัญ “วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” ในทุก ๆ ปี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มจาก ปี ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยกระทรวงสาธารณสุขกำหนดคำขวัญวันงดดื่มสุราแห่งชาติประจำปี และเสนอผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อนายกรัฐมนตรีพิจารณาและประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดสั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ จัดให้มีกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี โดยจัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา และกิจกรรมอื่นตามที่เห็นสมควร ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานผู้บริหารสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่ง จัดให้มีกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี โดยจัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา พร้อมประชาสัมพันธ์ให้เห็นความสำคัญของวันเข้าพรรษา วันงดดื่มสุราแห่งชาติ รวมถึงโทษ พิษ ภัย และผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกิจกรรมอื่นตามที่เห็นสมควร ๔. ให้กระทรวงแรงงานประสานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ จัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ให้กับลูกจ้าง พนักงาน เจ้าหน้าที่ ๕. ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานกรมการศาสนาในการขอความร่วมมือผู้นำศาสนาต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าร่วมปฏิญาณตนงดดื่มสุรา ทำความดีถวายในหลวง ๖. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานขอความร่วมมือสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมกำหนดแนวทางให้พระสงฆ์ถือปฏิบัติในการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชน ลด ละ เลิก การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ขอความร่วมมือให้วัดเป็นศูนย์กลางการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ๗. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประสานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ขอความร่วมมืออาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนร่วมลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ๘. ให้ทุกกระทรวงจัดกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาของทุกปี ตามบริบทของตนเอง
|
|||||||||||||||||||||
| 28084 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) และการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ อุทกภัยกรณีการก่อสร้างสะพานถาวรเพื่อทดแทนสะพานไม้เดิม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก | นร07 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง ๑.๑.๑ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๓๘๓.๐๔๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๒ ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๖,๖๓๗.๗๖๘๐ บาท ๑.๑.๓ ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖เป็นเงิน ๑๑๓,๗๒๒.๓๓๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๒๖ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการเบิกจ่าย ๑.๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายครบถ้วน จำนวน ๔๙ หน่วยงาน ๑.๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน ๑.๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๐ หน่วยงาน ๑.๓ วงเงินงบประมาณคงเหลือ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฯ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ ๑๑๙,๓๘๓.๐๔๑๑ ล้านบาท คงเหลือ ๖๑๖.๙๕๘๙ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๖๙.๒๖๗๗ ล้านบาท (ซึ่งรวมรายการที่ส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณ เนื่องจากต้องดำเนินการขอขยายระยะเวลาขอรับการจัดสรรงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ โครงการ/รายการ วงเงิน ๑๔๔.๙๔๐๐ ล้านบาท) และวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้ทันทีอีกเป็นจำนวน ๔๔๗.๖๙๑๒ ล้านบาท ๒. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๓,๐๙๘,๙๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีให้กับกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อดำเนินการก่อสร้างสะพาน คสล. ข้ามคลองเมม หมู่ ๑๑ ตำบลพรหมพิราม และหมู่ ๑๒ ตำบลท่าช้าง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ผิวจราจรกว้าง ๗ เมตร และทางเท้ากว้างข้างละ ๑.๔๕ เมตร ยาว ๕๕.๕๐ เมตร และสำนักงบประมาณจะได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 28085 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคมและแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ยังแสดงให้เห็นถึงการลดลงของระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร มูลค่าการส่งออกและมูลค่าการนำเข้าซึ่งหดตัวร้อยละ ๑.๗ ร้อยละ ๐.๓ ร้อยละ ๑.๒ และร้อยละ ๔.๘ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนและดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ยังคงหดตัว ทั้งด้านการใช้จ่าย และการผลิต โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการใช้จ่ายภาครัฐ เมื่อรวมกับข้อมูลในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง ในขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งด้านเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๕ อัตราการว่างงานในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ ๐.๙ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงตามดุลการค้าที่กลับมาเกินดุลและดุลบริการขาดดุลน้อยกว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามการเบิกจ่ายจากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หนี้สาธารณะคงค้างทรงตัว ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในขณะที่เงินฝากเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับตัวลดลง อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ๑.๖ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๒-๕.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ในช่วงร้อยละ ๒.๓-๓.๓ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ๒. ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าส่งออก รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการส่งออกสินค้าเกษตรในเรื่องต่าง ๆ เช่น ปัญหาการส่งออกไก่แช่แข็งที่ได้มาตรฐานไปยังประเทศญี่ปุ่น ปัญหาการทำการประมงของเรือประมงรายเล็ก รวมทั้งปัญหาการที่หน่วยงานของไทยยังไม่รับรองสินค้าประเภทอาหารจากประเทศญี่ปุ่นหลายรายการ เป็นต้น ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน รวมทั้งการได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๒ การจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ๒.๓ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบ สำรวจ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบจากแหล่งผลิต ค่าขนส่ง ค่าเชื้อเพลิง เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายให้ประชาชนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 28086 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | นร11 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และสระบุรี) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ ได้แก่ โครงการศูนย์วัฒนธรรมริมสายน้ำ (หมู่บ้าน ครม.สัญจร) โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวทางน้ำ โครงการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมสายน้ำเจ้าพระยา การปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม (สายแยก ทล.๓๕๒๐-นิคมอุตสาหกรรมเหมราช และสายคันคลองแปดอาร์) และโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้และปฏิบัติการภาคสนาม และตลาดราชมงคล ๑.๒ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ โครงการบริหารจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำ โครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน (เพิ่มเติม) โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครบวงจร และโครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑.๓ จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาอาคารเรียนแบบ สปช ๒/๒๘ โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดโปรดเกษ หมู่ที่ ๒ ตำบลคลองพระอุดม อำเภอปากเกร็ด โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดฉิมพลี หมู่ที่ ๑ ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองวัดสนามนอก พร้อมสถานีสูบน้ำ โครงการปรับปรุงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โครงการเพิ่มศักยภาพพื้นที่ตลาดน้ำไทรน้อยเพื่อการท่องเที่ยว และโครงการก่อสร้างโป๊ะท่าเรือบริการประชาชน (ท่าเทศบาลบางศรีเมือง ท่าน้ำนนท์) ๑.๔ จังหวัดปทุมธานี ได้แก่ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดกร่าง โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดบางเตยนอก และโครงการก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์และเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณชุมชนหลังตลาดเทศบาลเมืองปทุมธานี ๑.๕ จังหวัดสระบุรี ได้แก่ โครงการก่อสร้างระบบประปา โครงการพัฒนาศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์สระบุรี โครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมสายแยก ทล.๓๓๓๔-บ.ถนนโค้ง โครงการศูนย์ส่งเสริมอาชีพไม้ขุดล้อม ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย โครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสายบ้านหินซ้อน และศูนย์ฝึกอาชีพเศรษฐกิจชุมชนพอเพียงเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ๒. สำหรับการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) กำหนดในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๓๐ น.-๑๗.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารเทคโนโลยีสารสนเทศ ชั้น ๘ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (ศูนย์หันตรา) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
|
|||||||||||||||||||||
| 28087 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้มีผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ดังนี้
๑. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ๒. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||
| 28088 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายอุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร) | อก | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 28089 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร | ทก | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้วย ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายสรวงศ์ เทียนทอง)
|
|||||||||||||||||||||
| 28090 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี | นร04 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๙/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยจัดทำเป็นคำสั่งใหม่ ๒. กำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ประกอบด้วย ๒.๑ คณะที่ ๑ ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร สถาบันการเงิน การลงทุน การผลิต การหารายได้เข้าประเทศ การนำเข้าและส่งออกสินค้า นโยบายรัฐวิสาหกิจ และการพลังงาน รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในภาพรวมอื่น เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือเรื่องที่มีผลกระทบด้านการท่องเที่ยวและกีฬา การเกษตร การคมนาคม หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีและการสื่อสาร การพลังงาน วิทยาศาสตร์ และการอุตสาหกรรม ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ และการส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน ๒.๒ คณะที่ ๒ ฝ่ายสังคมและกฎหมาย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านสังคม ด้านแรงงาน ด้านวัฒนธรรม ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านกฎหมาย การพัฒนาสังคม การพัฒนาองค์กร ชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ และการคุ้มครองผู้บริโภค ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ และการเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ๒.๓ คณะที่ ๓ ฝ่ายความมั่นคงและต่างประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านความมั่นคง การทหาร การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การต่างประเทศ แรงงานต่างด้าว กระบวนการยุติธรรม การพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย การเร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง การกำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” และการเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
| 28091 | ผลการเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์และตุรกี | นร04 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในระหว่างวันที่ ๓-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์และสาธารณรัฐตุรกีอย่างเป็นทางการ มีผลการเยือนสรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์ นายกรัฐมนตรีได้นำนักธุรกิจในสาขาต่าง ๆ เช่น สาขาอาหาร สาขาพลังงาน สาขายานยนต์ สาขาอุตสาหกรรมก่อสร้าง และสาขาการท่องเที่ยว เป็นต้น ร่วมคณะเดินทางไปด้วย เพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนและขยายโอกาสทางธุรกิจกับนักธุรกิจโปแลนด์ โดยทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะร่วมกันผลักดันเพื่อขยายมูลค่าการค้าขายระหว่างกันให้สูงขึ้นเป็น ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน ๕ ปี (ปี ๒๐๑๘) ทั้งนี้ สาธารณรัฐโปแลนด์เป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ในยุโรปกลางและมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่น ๆ ถึง ๗ ประเทศ จึงมีความเหมาะสมที่นักลงทุนไทยจะเข้ามาลงทุนในประเทศนี้เพื่อเปิดประตูการค้าขายไปสู่ประเทศอื่น ๆ ในสหภาพยุโรปต่อไป สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ แม้สาธารณรัฐโปแลนด์จะมีสภาพอากาศหนาวยาวนานประมาณ ๘ เดือน และมีสภาพอากาศปกติที่อบอุ่นขึ้นประมาณ ๔ เดือนเท่านั้น แต่ก็สามารถเพาะปลูกได้พืชผลทางการเกษตรที่มีคุณภาพสูงและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่ามากกว่าพืชผลทางการเกษตรที่ปลูกและขนส่งไปจากประเทศไทย ซึ่งมีผู้ประกอบการไทยบางรายได้เข้ามาลงทุนทำการเกษตรกรรมแปรรูปในสาธารณรัฐโปแลนด์แล้ว นอกจากนี้ สาธารณรัฐโปแลนด์ยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม การดนตรี พลังงานและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (green technology) จึงสมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม จะรับไปศึกษาในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้นต่อไป ๒. การเยือนสาธารณรัฐตุรกี นายกรัฐมนตรีได้นำนักธุรกิจไทยในสาขาต่าง ๆ เช่น พลังงาน ชิ้นส่วนยานยนต์ ก่อสร้าง และสิ่งทอ เป็นต้น ร่วมคณะเดินทางไปด้วย เพื่อแสวงหาลู่ทางทางการค้าการลงทุน โดยในการเยือนครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับความร่วมมือให้เป็นหุ้นส่วนที่มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ การเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่ง (logistics hub) โดยทั้งประเทศไทยและสาธารณรัฐตุรกีได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมโยงภาคการขนส่งในแต่ละภูมิภาค โดยสาธารณรัฐตุรกีกำลังดำเนินการพัฒนาเส้นทางรถไฟในโครงการ New Silk Road (เส้นทางสายไหม) ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้เส้นทางรถไฟจากฝั่งยุโรปมีความเชื่อมโยงกับเส้นทางรถไฟของฝั่งทวีปเอเชียที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของหลายประเทศ ในส่วนการท่องเที่ยวทั้งสองประเทศได้ประกาศยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาให้แก่กัน รวมทั้งมีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินต่อสัปดาห์จากอิสตันบูล-กรุงเทพฯ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนของทั้งสองประเทศจะเดินทางติดต่อกันมากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยวและการค้าในอนาคตด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 28092 | การดำเนินการเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 350,000 ล้านบาท | นร04 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) รายงานว่า คณะกรรมการกลั่นกรองให้ความเห็นเกี่ยวกับคดีการบริหารจัดการน้ำได้มีการประชุมแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และได้มอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องประมวลข้อมูลและความเห็นทั้งหมดส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนการดำเนินการ ตามนัยมาตรา ๕๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ และ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เห็นชอบผลการพิจารณาคัดเลือกบริษัทเอกชนให้ดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำ และให้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอยู่แล้ว ก็ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป ส่วนการจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) นั้น หากจะให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก็สามารถกระทำได้ โดยหากรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการใดไม่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่สามารถเริ่มดำเนินการโครงการได้ ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ชี้แจงว่า การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการบริหารจัดการน้ำ คาดว่าจะเริ่มได้ภายใน ๑ สัปดาห์ หลังจากนั้นภายใน ๑-๒ สัปดาห์จะมีการจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและภาคเอกชนทั้งในระดับประเทศ ระดับภาค และระดับจังหวัด โดยการดำเนินการดังกล่าวจะดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ตลอดจนคำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าว จึงขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบในด้านการจัดการรับฟังความคิดเห็นร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นผู้รับผิดชอบด้านสารัตถะและรายละเอียดของกิจกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนและเครือข่ายภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย และให้ประสานงานในรายละเอียดกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 28093 | ขอถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยเดื่อ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยเดื่อ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ตามที่เสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 28094 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | คค | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๔๔ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทกำหนดมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบที่เหมาะสมและเป็นธรรม พร้อมทั้งนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 28095 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน จำนวน 3 ฉบับ | คค | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน จำนวน ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย และตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย และตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี เพื่อสร้างทางรถไฟทางคู่เลี่ยงเมืองที่สถานีชุมทางแก่งคอย ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไผ่ล้อม ตำบลดอนหญ้านาง และตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไผ่ล้อม ตำบลดอนหญ้านาง และตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อสร้างทางรถไฟทางคู่เลี่ยงเมืองที่สถานีชุมทางบ้านภาชี ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าไข่ และตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าไข่ และตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อสร้างทางรถไฟทางคู่เลี่ยงเมืองที่สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน
|
|||||||||||||||||||||
| 28096 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... | กษ | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างโครงการพัฒนากุดจับ-กุดหมากเห็บ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 28097 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | คค | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เพื่อขยายทางหลวงชนบท รย.๓๐๑๓ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทกำหนดมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบที่เหมาะสมและเป็นธรรม พร้อมทั้งนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 28098 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาโลก สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ ๘๑ ขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health - OIE) ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส และเดินทางไปหารือความร่วมมือด้านการเกษตรกับกระทรวงอาหาร เกษตร และคุ้มครองผู้บริโภค ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมหารือกับปลัดกระทรวงอาหาร เกษตร และคุ้มครองผู้บริโภค ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ฝ่ายเยอรมนีเสนอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยมาอบรมเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคนิคในการวิเคราะห์ความเสี่ยงกับสถาบันที่เกี่ยวข้องของเยอรมนีเพื่อเป็นโครงการนำร่อง และหากโครงการความร่วมมือนี้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย สามารถที่จะเสนอความร่วมมือในระยะต่อไปได้ ส่วนฝ่ายไทยยังสนใจโครงการ Summer School ที่ทางกระทรวงอาหาร เกษตร และคุ้มครองผู้บริโภคของเยอรมนีได้ริเริ่มขึ้น เพื่อให้ผู้สนใจเข้าร่วมการฝึกอบรมเป็นระยะเวลาประมาณ ๒ สัปดาห์ โดยการอบรมนี้จะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยอาหารของเยอรมนี รวมทั้งกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง หากฝ่ายไทยมีความสนใจก็สามารถที่จะเข้าร่วมรับการอบรมได้ ๑.๒ ฝ่ายไทยได้ขอหารือในประเด็นต่อเนื่องจากที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้เดินทางมาเยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ในการจัดทำระบบรับรองสินค้าเกษตรก่อนการส่งออก ซึ่งทางเยอรมนีได้มีการดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานเอกชนเพื่อให้ทำการรับรองสินค้าอุตสาหกรรมก่อนส่งออกจากประเทศต้นทางแล้ว แต่ในการรับรองก่อนการส่งออกในสินค้าเกษตรยังไม่ได้มีการดำเนินการ โดยฝ่ายไทยได้หารือในเรื่องนี้ว่า หากสินค้าเกษตรสามารถดำเนินการได้ในลักษณะเดียวกัน จะเป็นการอำนวยความสะดวกทางด้านการค้าและสนับสนุนทางด้านความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเยอรมนีจะขอหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ หากสามารถดำเนินการได้จะแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบต่อไป เนื่องจากมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปด้วย ๑.๓ ฝ่ายเยอรมนีแจ้งให้ทราบว่า จะมีการจัดงาน International Green Week ณ กรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นงานที่แสดงสินค้าเกษตรและอาหาร รวมถึงเทคโนโลยีในการผลิต และเห็นว่าไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตร จึงอยากให้ไทยเข้าร่วมงานในการแสดงนิทรรศการในครั้งนี้ด้วย โดยฝ่ายไทยได้แจ้งว่ายินดีที่จะร่วมงานดังกล่าว และสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลินได้ประสานงานมาระดับหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ จากการศึกษาดูงานพบว่า เยอรมนีได้รวมหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยด้านอาหาร เกษตร และการคุ้มครองผู้บริโภคไว้ภายในหน่วยงานกระทรวงเกษตร ทำให้การดูแลความปลอดภัยทางอาหารมีความเป็นเอกภาพ และการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งต่างจากไทยที่ได้มีการแยกการกำกับดูแลเป็นหลายหน่วยงาน ๒. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมสมัชชาโลก สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ ๘๑ ของ OIE เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยเน้นถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ เช่น ประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ การขาดแคลนพลังงาน ที่จะมีผลกระทบต่อการผลิตอาหารและการเกิดโรคระบาดต่าง ๆ ทั้งในสัตว์และมนุษย์ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว OIE ในฐานะที่เป็นองค์กรในการดูแลเรื่องสุขภาพสัตว์และสวัสดิภาพสัตว์ได้มีการดำเนินการร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nation : FAO) และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ในโครงการ One Health เพื่อดูแลสุขภาพของมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สัตวแพทย์ทั่วโลกจะต้องดำเนินการตามมาตรฐานในการจัดระบบการควบคุมโรค มาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ คุณภาพและความปลอดภัยของอาหารสัตว์ การดูแล การฆ่าสัตว์ และมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารที่ผลิตจากปศุสัตว์และประมง ซึ่งไทยได้เสริมสร้างศักยภาพของสัตวแพทย์ในระดับมหาวิทยาลัยของรัฐ ๕ แห่ง และกรมปศุสัตว์ โดยจัดทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Utrecht ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี่ยงของยุโรปในด้านสัตวแพทย์ และได้แจ้งให้ทราบถึงนโยบายของรัฐบาลไทยในการจัดเขตเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่งเป็นการดำเนินการที่นำไปสู่การผลิตที่ไม่เหลือทิ้ง (Zero Waste Agriculture) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่สอดคล้องกับนโยบาย One Health ของ OIE
|
|||||||||||||||||||||
| 28099 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 1 ปี 2556 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2556 | อก | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๖ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๖ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) ๑.๑ การส่งออกมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๕ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยในไตรมาสที่ ๑ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๒๑,๘๔๔.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๕๖,๙๖๖.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๖๔,๘๗๗.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๐.๓๘ และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๒๒ ส่งผลให้ไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๖ ดุลการค้าขาดดุล ๗,๙๑๑.๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๒๖ ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ชะลอลง ส่วนมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๔๔ ๑.๒ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีมูลค่ารวม ๒๐,๖๖๘.๒๒ ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ มีมูลค่า -๑,๖๘๒.๕๗ ล้านบาท สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ ๒๒,๓๕๐.๗๙ ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง ๒ เดือนแรกในไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๖ พบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ ๕,๐๗๔.๖๘ ล้านบาทและเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ ๒๐,๐๖๕.๗๕ ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ ๑๒.๔๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๑.๓ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น ๕๘๐ โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ ๕๑๔ โครงการ โดยการลงทุนในกิจการต่าง ๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น ๒๗๑,๓๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โครงการลงทุนในไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย โครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ ๑๐๐% จำนวน ๒๔๒ โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน ๘๖,๓๐๐ ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ ๑๓๙ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๑๑๘,๖๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย ๑๐๐% จำนวน ๑๙๙ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๖๖,๓๐๐ ล้านบาท ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและจำหน่ายกลุ่มสิ่งทอ คาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวจากคำสั่งซื้อทั้งจากตลาดเอเชียและอาเซียนที่ขยายตัวเพื่อนำเข้าไปผลิตและส่งออกไปตลาดอื่น ๆ ส่วนการผลิตและจำหน่ายกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าจะมีโอกาสดีขึ้น เนื่องจากถึงฤดูกาลเปิดภาคเรียนใหม่ ผู้ปกครองจำเป็นต้องซื้อชุดนักเรียนใหม่ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นความต้องการภายในเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มดีขึ้น ภายหลังค่าเงินบาทได้เริ่มอ่อนค่าลง ๒.๒ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิต คาดว่าการผลิตทั้งเหล็กทรงแบนและเหล็กทรงยาวจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากราคาเหล็กมีแนวโน้มลดลง ทำให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าตามความต้องการใช้เท่านั้น ๒.๓ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ แนวโน้มการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามปริมาณการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น ขณะนี้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้บริษัทผู้ผลิตยังคงสำรองปูนซีเมนต์ไว้ใช้ในประเทศมากขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 28100 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2556 | กนร | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาและมติที่ประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๑.๒ เห็นชอบเรื่อง การปรับปรุงระบบแรงจูงใจในส่วนของค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ตามผลการประชุม กนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ๑.๒.๑ กำหนดกลุ่มรัฐวิสาหกิจเพื่อใช้ระบบแรงจูงใจในส่วนของค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินตามระบบประเมินผลฯ เพื่อให้สอดคล้องการดำเนินงานและรูปแบบระบบแรงจูงใจที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจแต่ละประเภท ๑.๒.๒ กำหนดให้มีแรงจูงใจที่เป็นตัวเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะและประสบผลขาดทุน เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เป็นต้น โดยพิจารณาจากผลการประเมินตามการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจเปรียบเทียบค่าเป้าหมาย ๑.๒.๓ กำหนดเงื่อนไขในการจัดสรรโบนัสของรัฐวิสาหกิจโดยรวบรวมจากมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๘ มติ และปรับปรุงเพิ่มเติมในบางประเด็น ได้แก่ วิธีการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กำหนด การจัดสรรโบนัสของรัฐวิสาหกิจจะกระทำได้เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินแล้ว และต้องได้รับการอนุมัติการจัดสรรโบนัสจาก สคร. รวมทั้งห้ามมิให้รัฐวิสาหกิจจ่ายเงินในลักษณะเดียวกันกับโบนัส ไม่ว่าจะจ่ายจากงบทำการของรัฐวิสาหกิจหรือจากแหล่งเงินอื่นใด และให้รัฐวิสาหกิจกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสภายในวงเงินโบนัสที่ได้รับอนุมัติให้แก่พนักงานและลูกจ้างประจำของรัฐวิสาหกิจตามผลการปฏิบัติงานที่อิงจากผลการประเมินประจำปี ๑.๒.๔ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๘ (เรื่อง ระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ) เฉพาะในส่วนที่เชื่อมโยงการกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนกับผลการประเมิน โดยให้รัฐวิสาหกิจกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี โดยพิจารณาถึงสถานภาพขององค์กร และให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ ๑.๓ เห็นชอบเรื่อง อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ ตามผลการประชุม กนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ๑.๓.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ๑.๓.๒ ให้ความเห็นชอบการจัดกลุ่มรัฐวิสาหกิจ อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ และหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการชุดย่อย/คณะอนุกรรมการ/คณะทำงานอื่น ๑.๓.๓ อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมดังกล่าวเป็นอัตราขั้นสูงสุดในการพิจารณากำหนดและปรับปรุงค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการชุดย่อย/คณะอนุกรรมการ/คณะทำงานอื่น ซึ่งรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะต้องพิจารณาถึงฐานะการเงินและความสามารถในการจ่ายขององค์กรเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐวิสาหกิจที่ใช้เงินงบประมาณ ขอให้พิจารณาถึงความเหมาะสมและภาระของงบประมาณประกอบด้วย เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กร ๑.๓.๔ ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้การพัฒนาการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจดียิ่งขึ้น และให้สามารถเทียบได้กับมาตรฐานสากล ๑.๓.๕ ให้มีผลใช้บังคับถัดจากเดือนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสสำหรับใช้เป็นฐานในการคำนวณโบนัสให้กับพนักงานนั้น ได้กำหนดไม่ให้นำบางรายการมารวมไว้ในการคำนวณ อย่างไรก็ตาม ยังมีรายได้หรือค่าใช้จ่ายบางรายการที่นำมารวมไว้ในการคำนวณ อาทิ ค่าเสื่อมราคา โดยรัฐวิสาหกิจบางแห่งมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเสื่อมราคาซึ่งรัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุนดังกล่าวแต่บันทึกบัญชีไว้ในงบการเงินของรัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้รัฐวิสาหกิจมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการคำนวณกำไรข้างต้นให้มีความชัดเจนและเกิดความเป็นธรรมต่อรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
.....
