ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1401 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28001 - 28020 จากข้อมูลทั้งหมด 124445 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28001 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม 2556 | นร04 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) พิจารณาแล้ว มีความเห็น ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกวา ๕๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสำหรับสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกร โดยพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้แก่สมาชิก เป็นระยะเวลา ๓ ปี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากรอบวงเงินในการดำเนินโครงการ โดยขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาจัดทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนในโครงการรับจำนำข้าว และจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว รวมถึงหาสาเหตุที่ทำให้จำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวมีความแตกต่างกัน ๓. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบการรับจำนำสินค้าเกษตร และพบการกระทำความผิด จึงเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนตามที่เห็นสมควรและรายงานให้ทราบ ๔. ปัญหาในการดำเนินการของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ (กบช.) ที่อาจจะทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้ทัน เห็นควรให้กรมที่ดินประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้การดำเนินการของ กบช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 28002 | การแต่งตั้งข้าราชการ (นางสาวนงนารถ เพชรสม) | นร10 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวนงนารถ เพชรสม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 28003 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ เพื่อจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดพิธีเปิดสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ เมืองมุมไบ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยมีพิธีเปิดสำนักงานฯ ที่โรงแรม Trident, Nariman Point มีนักลงทุนอินเดีย หน่วยงานภาครัฐและเอกชนอินเดียและของไทย รวมทั้งสื่อมวลชนของสองประเทศเข้าร่วมพิธีเปิดดังกล่าว ทั้งนี้ สำนักงานดังกล่าวเป็นสำนักงานต่างประเทศแห่งที่ ๑๔ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ตั้งอยู่ภายในสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ มีเจ้าหน้าที่จาก สกท. ประจำการ จำนวน ๑ คน โดยเปิดให้บริการเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางด้านการส่งเสริมการลงทุนในเชิงรุก อำนวยความสะดวก และให้ข้อมูลที่สำคัญแก่นักลงทุนไทยและอินเดียเพื่อใช้ในการประกอบกิจการและพิจารณาตัดสินใจลงทุนในอนาคต ตลอดจนอำนวยความสะดวกและช่วยประสานแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับนักลงทุน ๒. การบรรยายสรุปโอกาสการลงทุน และการเสวนาในหัวข้อ “Thailand-India Investment Cooperation” โดยมีประเด็นเสวนา ได้แก่ ๒.๑ ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างไทยกับอินเดียจะทำให้การค้าและการลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดิม ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒.๒ โอกาสการลงทุนของอินเดียในไทยพิจารณาจากสถิติการลงทุนของนักลงทุนอินเดียในไทยถือว่าเป็น ๑ ใน ๑๐ ชาติที่มีการลงทุนมากที่สุด โดยลงทุนมากที่สุดในอุตสาหกรรมสิ่งทอ (Textile) ทั้งนี้ การจัดทำ FTA จะช่วยกระตุ้นการเติบโตด้านการลงทุนและการค้าในหลาย ๆ อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เป็นต้น อีกทั้งแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมในไทยจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒.๓ ปัจจัยที่ควรเลือกไทยเป็นประตูการค้า (Gateway) สู่อาเซียน คือ เหตุผลทางภูมิศาสตร์ เพราะไทยถือเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ประกอบกับมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีกำลังไฟฟ้าเพียงพอและเสถียร ขณะที่อินเดียเกิดเหตุไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง นอกจากนี้ ยังมี สกท. ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้ข้อมูลและประสานการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนได้อย่างเป็นอย่างดี ๒.๔ โอกาสการขยายการลงทุนจากอินเดียมายังไทยยังเป็นไปได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ มีจำนวนรวมกันกว่าร้อยละ ๘๕ ของบริษัททั้งหมดในอินเดีย โดย สกท. มีมาตรการให้การส่งเสริมการลงทุนสำหรับ SMEs ด้วย รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีสมาคมในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและขอคำแนะนำได้โดยประสานผ่านสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ เมืองมุมไบ ๓. การพบหารือกับนักลงทุนอินเดียเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะได้พบหารือกับบริษัทอินเดีย จำนวน ๓ ราย จาก ๓ อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์ โดยหารือเรื่องโอกาสการลงทุนในประเทศไทย ทั้งนี้ บริษัทอุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์มีความสนใจเป็นพิเศษที่จะลงทุนในประเทศไทย โดยมีแผนจะยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยภายในปี ๒๕๕๖ เริ่มต้นด้วยการลงทุนมูลค่าประมาณ ๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะขยายเป็น ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลา ๔ ปี
|
||||||||||||||||||
| 28004 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ | นร11 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวภารณี วัฒนา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. นางปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||
| 28005 | รัฐบาลสาธารณรัฐซูดานเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายคอลิด อับดิลกอดิร ชุกรี (Mr. Khalid Abdelgadir Shukri) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สืบแทนนายนาดีร์ ยูซิฟ เอลทาเยบ บาบิเกร์ (Mr. Nadir Yousif Eltayeb Babiker) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 28006 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิด หรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสิงห์บุรี พ.ศ. .... | มท | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิด หรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสิงห์บุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้มีสาระสำคัญเช่นเดียวกับประกาศกระทรวงมหาดไทยซึ่งสิ้นผลใช้บังคับในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ดังนั้น เพื่อให้กฎหมายมีผลใช้บังคับได้อย่างต่อเนื่องและไม่ให้เกิดช่องว่างของกฎหมายภายหลังจากที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวได้สิ้นผลแล้ว เห็นควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้เสนอร่างกฎกระทรวงมาล่วงหน้าเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการออกกฎกระทรวงเพื่อให้กฎหมายมีผลใช้บังคับต่อเนื่องก่อนประกาศกระทรวงมหาดไทยจะสิ้นสุดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 28007 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเชิงรุก - เชิงรับ สำหรับสินค้าเกษตร (ยางพารา) เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" | สสป | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเชิงรุก - เชิงรับ สำหรับสินค้าเกษตร (ยางพารา) เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง กรมวิชาการเกษตร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีดังนี้
๑. ปรับปรุงกฎระเบียบ นโยบาย โครงสร้างองค์กร ในการบริหารจัดการสินค้าเกษตร (ยางพารา) ทั้งระบบให้เข้มแข็ง โดย ๑.๑ เร่งรัดผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทยผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติโดยเร็ว เพราะจะส่งผลให้อุตสาหกรรมยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้รับการดูแลและพัฒนาอย่างเป็นระบบ ๑.๒ ส่งเสริมให้มีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) ที่มีการกำหนดทิศทาง เป้าหมาย รวมทั้งกลยุทธ์ในการพัฒนาร่วมกัน ๑.๓ ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร (ยางพารา) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๘๔ (๑๔) ในการทำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางขั้นปฐม ๑.๔ ส่งเสริมในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเน้นการวิจัยเพื่อให้มีการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การแข่งขันเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๑.๕ ส่งเสริมให้มีการเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่และลดต้นทุนการผลิต พร้อมทั้งส่งเสริมเกษตรกรมีการแปรรูปยางให้มากขึ้นภายใต้การควบคุมผลผลิตให้มีมาตรฐาน ๑.๖ จัดระบบการบริหารเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (CESS) ควบคู่กับทำการศึกษาแนวทางการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง ในการส่งยางออกนอกราชอาณาจักร ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงโครงสร้างอุตสาหกรรมยางทั้งระบบ และความได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้าระหว่างประเทศ ๑.๗ กำหนดทิศทางและนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางของภาครัฐ ให้มีความชัดเจนและต่อเนื่อง ๑.๘ รัฐควรเตรียมความพร้อมในระบบขนส่งและการบริหารจัดการระบบขนส่ง (Logistics) ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงระบบศุลกากรและการอำนวยความสะดวก ๑.๙ ทบทวนข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายบทบัญญัติที่เป็นอุปสรรคต่อการเปิดเสรีในเรื่องยาง โดยเฉพาะการห้ามนำยางเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการเคลื่อนย้ายสินค้าในอาเซียน ๒. ยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน โดย ๒.๑ ให้ผู้แทนประเทศผู้ผลิตยางพาราทั้งหมดในอาเซียน เข้ามามีส่วนร่วมการจัดทำ Road Map ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซียเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดทำ ๒.๒ ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานร่วมกันขององค์กรยางพารา ๓ ประเทศ (ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย) และบริษัทร่วมทุน รวมถึงควรเชิญประเทศผู้ผลิตยางพาราทั้งหมดในอาเซียนเข้าร่วมในองค์กร/บริษัทร่วมทุน เพื่อเป็นการผนึกกำลังภายในกลุ่มอาเซียนให้มีความเป็นเอกภาพเรื่องราคา ๒.๓ ควรประสานความร่วมมือด้านการบริหารจัดการระบบขนส่ง (Logistics) เน้นประสิทธิภาพการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทั้งระบบ โดยการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๔ ยกระดับเพื่อกำหนดมาตรฐานวิชาชีพยางในกลุ่มประเทศอาเซียน ส่งเสริมความรู้ทางวิชาการยางของกลุ่มประเทศอาเซียนให้แพร่หลายและเป็นที่รู้จัก ตลอดจนส่งเสริมการจัดตั้งสมาคมนักวิชาการด้านยางพาราของอาเซียน เพื่อพัฒนาผลงานและแลกเปลี่ยนความรู้/เทคโนโลยีระหว่างกัน ๒.๕ เน้นการมีจุดยืนร่วมกันในเวทีโลก โดยเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ที่มีการประสาน/มีอำนาจต่อรองกับผู้ใช้ยางธรรมชาติในโลก รวมถึงส่งเสริมให้ประเทศไทยในฐานะผู้นำการส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก เป็นศูนย์กลางยางพาราโลก
|
||||||||||||||||||
| 28008 | มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ๒. นางเบญจา หลุยเจริญ
|
||||||||||||||||||
| 28009 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายพิทยา พุกกะมาน) | ทส | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายพิทยา พุกกะมาน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 28010 | การลงนามข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐโมซัมบิก | พณ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและเห็นชอบข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐโมซัมบิก เพื่อเป็นแนวทางในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างสองประเทศที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยร่างข้อตกลงฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมทางการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างภาคเอกชนสองฝ่าย และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่สองฝ่ายมีศักยภาพ อาทิ เกษตร ป่าไม้ ประมง ปศุสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ แร่ธาตุ และพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งการตั้งกลไกการหารือภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระหว่างไทยและโมซัมบิก เพื่อเป็นเวทีในการหารือเพื่อแก้ไขปัญหาทางการค้า และส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามข้อตกลงฯ ๑.๓ หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อบทความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ข้อบทที่ ๖ (Article 6 Economic Cooperation) ที่มีการระบุคำว่าการเกษตร (agriculture) ซึ่งคำดังกล่าวครอบคลุมถึงพืชและสัตว์อยู่แล้ว จึงขอให้พิจารณาตัดคำว่า ปศุสัตว์ (livestock) และในส่วนของสาขาการประมง (fisheries) ซึ่งครอบคลุมถึงการเพาะเลี้ยงสัตว์ (aquaculture) จึงขอให้ตัดคำว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (aquaculture) ออก สำหรับการตั้งกลไกการหารือภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้าเพื่อเป็นเวทีในการหารือเพื่อแก้ปัญหาและส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ควรดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยควรหารือกับหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับสาขาความร่วมมือครอบคลุมด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 28011 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้า-ออก และพำนักเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในดินแดนของแต่ละฝ่าย ของบุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายสโลวีเนียเมื่อได้ดำเนินการภายในเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างข้อ ๒ ของความตกลงฯ สำหรับระยะเวลาการอนุญาตให้พำนักในประเทศไทย การกำหนดข้อความ "ภายในรอบระยะเวลา ๑๘๐ วัน" อาจเกิดปัญหากระทบถึงการให้บริการในภาพรวมได้ เนื่องจากในการตรวจอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรต้องตรวจสอบระยะเวลา ๑๘๐ วัน ด้วย จึงเห็นสมควรที่จะได้มีการพิจารณาในประเด็นนี้อย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดปัญหาในการใช้บังคับความตกลงดังกล่าวต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม หากหลักการอนุญาตให้พำนักในประเทศไทยมีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน โดยไม่ต้องพิจารณาระยะเวลา ๑๘๐ วัน ด้วย สมควรแก้ไขถ้อยคำเพื่อให้เกิดความชัดเจน ส่วนกิจกรรมที่ต้องห้ามดำเนินการ ตามความในตอนท้ายของร่างข้อ ๒ กำหนดเงื่อนไขว่า ผู้ได้รับการตรวจลงตราต้องไม่ดำเนินการในลักษณะที่เป็น "employment" "self-employment" และ "any other private activity" นั้น เห็นว่า "any other private activity" เป็นถ้อยคำที่มีความหมายกว้างและไม่ชัดเจน หากกิจกรรมที่ต้องห้ามดำเนินการครอบคลุมเฉพาะกิจกรรมในทางธุรกิจ สมควรใช้ถ้อยคำว่า "any other business activity" ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 28012 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไนทรัสออกไซด์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกซิเจนทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | อก | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไนทรัสออกไซด์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในทรัสออกไซด์ที่ใช้ในการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกซิเจนทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกซิเจนการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน |
||||||||||||||||||
| 28013 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมผลการพิจารณาตามข้อสังเกตดังกล่าวที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสะกดรอยผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยใช้เครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ หรือด้วยวิธีการอื่นใดนั้น คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วเห็นว่า อาจจะกระทบถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้ ดังนั้น ต้องกำหนดให้ชัดเจนไว้ในข้อบังคับของอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ หรือด้วยวิธีการอื่นใด ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา และกำหนดให้ชัดเจนด้วยว่าผู้ต้องสงสัยจะมีลักษณะเป็นอย่างไรนั้น ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่อัยการสูงสุดกำหนด ๒. เพื่อประโยชน์ในการประสานการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามมาตรา ๑๒ ควรให้อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำข้อตกลงกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในคดีระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว |
||||||||||||||||||
| 28014 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายนิรุตติ คุณวัฒน์ นายพิบูลย์เขตร นิธิอนันตภร) | วท | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. นายนิรุตติ คุณวัฒน์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒. นายพิบูลย์เขตร นิธิอนันตภร ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
|
||||||||||||||||||
| 28015 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2 | นร11 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint High-level Committee : JHC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei Special Economic Zone : DSEZ) และพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับโครงสร้างการจัดตั้งกลไกการลงทุนระหว่างประเทศในลักษณะของนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) และการจัดตั้งบริษัท ทวาย เอส อี แซด ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด (Dawei SEZ Development Co., Ltd.) โดย SPV จะทำหน้าที่พิจารณาและคัดเลือกข้อเสนอของผู้ที่จะมาลงทุนในโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในรูปของบริษัทเฉพาะกิจ (Special Purpose Company : SPC) ของแต่ละโครงการย่อย รวมทั้งกำกับดูแลภาพรวมการดำเนินงานของโครงการทวายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบร่างสัญญาข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreemment) ของบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ ซึ่งระบุให้ฝ่ายเมียนมาร์และไทยถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วนเท่ากันผ่านทางสำนักงานพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) สำหรับฝ่ายไทย และกรมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (Foreign Economic Relations Department : FERD) สำหรับฝ่ายเมียนมาร์ ภายใต้ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น ๑๒ ล้านบาท ๓. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการของร่างข้อตกลง Framework Agreement ฉบับใหม่ ระหว่างบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ กับ DSEZMC และมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปในรายละเอียดของร่างข้อตกลงฯ ภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่ของเมียนมาร์ โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในร่างข้อตกลงฯ เมื่อเมียนมาร์ผ่านกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่เป็นที่เรียบร้อย ๔. ที่ประชุมรับทราบแผนพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายอย่างเป็นขั้นตอน โดยระยะเริ่มต้น ๕ ปีแรก (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ (๑) ถนนทางเข้า (Access Road) ขนาด ๒ ช่องทางจราจร เชื่อมต่อโครงการทวายมายังบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี (๒) ท่าเรือขนาดเล็กเพื่อรองรับเรือบรรทุกสินค้าที่ความจุของเรือ ๑๓,๐๐๐ DWT (๓) โรงงานผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติขนาด ๓๖ เมกะวัตต์ (๔) อ่างเก็บน้ำสำหรับจ่ายน้ำปริมาตร ๓๖,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และ (๕) พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในระยะแรก เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของแผนพัฒนาโครงการ พร้อมทั้งหารือเกี่ยวกับบทบาทของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินงานต่อไปในระหว่างที่ SPV ยังอยู่ในช่วงระดมทุน ๕. ที่ประชุมรับทราบแนวทางการกำหนดขอบเขตในบริเวณโครงการทวายใหม่ ตามที่ผู้แทนฝ่ายเมียนมาร์เสนอ ซึ่งสามารถลดผลกระทบด้านจำนวนครัวเรือนที่ต้องโยกย้ายออกจากพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่ง โดยมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์จัดประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของแผนการดำเนินงานโยกย้ายประชาชน รวมทั้งงบประมาณในการชดเชยและจัดหาที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อให้กระบวนการได้มาซึ่งที่ดินอยู่ภายใต้งบประมาณที่ควบคุมได้ ๖. ที่ประชุมเห็นชอบให้หน่วยงานจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการอย่างเป็นทางการ และรับทราบข้อเสนอของคณะผู้แทนจากญี่ปุ่นในการจัดประชุมหารือไตรภาคีระหว่างเมียนมาร์ ไทย และญี่ปุ่น โดยฝ่ายเมียนมาร์ได้เน้นย้ำความสำคัญของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเทียบเท่ากับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา และโครงการทวายยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของเมียนมาร์ พร้อมทั้งระบุขอความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น (Official Development Assistance : ODA) ทั้งในด้านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเพื่อการพัฒนาประเทศ และการสนับสนุนทางเทคนิค (Technical Assistance) ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์เตรียมการในรายละเอียดของประเด็นหารือต่าง ๆ เพื่อจัดประชุมหารือไตรภาคีอย่างเป็นทางการระหว่างเมียนมาร์ ไทย และญี่ปุ่น ในกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ๗. ที่ประชุมเป็นสักขีพยานในการลงนามสัญญาข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) ของบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญสำหรับขับเคลื่อนโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายต่อไป ๘. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการประชุม JHC ครั้งต่อไปในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ที่เมียนมาร์ โดยประธานร่วมจะกำหนดวันที่ชัดเจนในภายหลัง
|
||||||||||||||||||
| 28016 | รายงานความก้าวหน้ารายการก่อสร้างที่ดำเนินการล่าช้าโครงการภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2) | สธ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้ารายการก่อสร้างที่ดำเนินการล่าช้าโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ ๒) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีรายการที่ดำเนินการก่อสร้างล่าช้าและเบิกจ่ายเงินไม่แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐๗ รายการ วงเงิน ๒,๔๗๘,๙๐๐,๑๑๕ บาท ซึ่งต้องขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินออกไปถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ เบิกจ่ายเงินได้ทันภายใน ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๖๑ รายการ ๑.๒ ส่วนที่ ๒ เบิกจ่ายเงินไม่ทันภายใน ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๔๖ รายการ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ ยกเลิกสัญญา จำนวน ๑๙ รายการ แบ่งออกเป็น ขอคืนงบประมาณ จำนวน ๗ รายการ ได้ผู้รับจ้างและขอเงินเพิ่ม จำนวน ๑ รายการ จัดจ้างใหม่ไม่เพิ่มวงเงิน จำนวน ๔ รายการ และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดจ้างใหม่ (อยู่ระหว่างดำเนินการประเมินราคากลางใหม่) จำนวน ๗ รายการ กลุ่มที่ ๒ ดำเนินการล่าช้า จำนวน ๒๖ รายการ และกลุ่มที่ ๓ ก่อสร้างเสร็จแล้วรอส่งมอบงาน จำนวน ๑ รายการ ๒. กรมการแพทย์ ดำเนินการก่อสร้างล่าช้า จำนวน ๒ รายการ วงเงิน ๒๑๘,๒๔๙,๓๑๙.๒๗ บาท
|
||||||||||||||||||
| 28017 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555 และ 2554 | คค | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบดุล ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๔ มีสินทรัพย์รวม ๑๔๒,๓๖๒,๔๓๐,๕๖๔.๗๐ บาท และ ๑๒๕,๕๓๘,๙๗๘,๐๒๔.๕๙ บาท หนี้สินรวม ๑๐๗,๒๔๕,๕๒๐,๐๓๕.๓๒ บาท และ ๙๘,๔๐๘,๑๑๐,๙๖๔.๓๔ บาท ทุนรวม ๓๕,๑๑๖,๙๑๐,๕๒๙.๓๘ บาท และ ๒๗,๑๓๐,๘๖๗,๐๖๐.๒๕ บาท ตามลำดับ ๒. งบกำไรขาดทุน ปี ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ มีรายได้รวม ๒,๕๗๖,๕๔๔,๓๙๒.๗๒ บาท และ ๕๘๕,๕๑๓,๙๓๑.๕๖ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๓,๕๕๒,๘๕๑,๔๑๗.๗๔ บาท และ ๑๒,๖๙๑,๘๕๖,๔๕๔.๙๖ บาท ขาดทุนสุทธิ ๙๗๖,๓๐๗,๐๒๕.๐๒ บาท และ ๑๒,๑๐๖,๓๔๒,๕๒๓.๔๐ บาท ตามลำดับ ๓. คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้มีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินดังกล่าวแล้วในการประชุม ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||
| 28018 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (รวม 3 ตำแหน่ง) (นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล ฯ) | คค | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง รวม ๓ ราย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายพ้อง ชีวานันท์) ๒. นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ๓. นายสมบัติ รัตโน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปฏิบัติราชการในหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายพ้อง ชีวานันท์)
|
||||||||||||||||||
| 28019 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... | มท | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสระบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้มีสาระสำคัญเช่นเดียวกับประกาศกระทรวงมหาดไทยซึ่งสิ้นผลใช้บังคับในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ดังนั้น เพื่อให้กฎหมายมีผลใช้บังคับได้อย่างต่อเนื่องและไม่ให้เกิดช่องว่างของกฎหมายภายหลังจากที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวได้สิ้นผลแล้ว เห็นควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้เสนอร่างกฎกระทรวงมาล่วงหน้าเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการออกกฎกระทรวงเพื่อให้กฎหมายมีผลใช้บังคับต่อเนื่องก่อนประกาศกระทรวงมหาดไทยจะสิ้นสุดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 28020 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
.....
