ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 35 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 681 - 700 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
681 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ Chinese Academy of Agricultural Science (CAAS) | กษ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้จัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) แห่งราชอาณาจักรไทย กับ Chinese Academy of Agricultural Sciences (CAAS) แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๒. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของ สวก.
|
||||||||||||||||||||||||
682 | การขอจัดตั้ง "สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย" (Thailand Institute of Justice - TIJ) [ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. ...] | นร | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชนเพื่อให้การดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของสถาบันฯ เป็นไปโดยคล่องตัว และมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
683 | การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) เป็นองค์การมหาชน ในกระทรวงวัฒนธรรม [ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) พ.ศ. ....] | นร | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งศูนย์คุณธรรมขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การฯ เป็นไปด้วยความอิสระ คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
684 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปเยือนประเทศศรีลังกา | นร | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการเดินทางไปเยือนประเทศศรีลังกา ของประธานผู้แทนการค้าไทย และผู้แทนจากหน่วยงานด้านการค้าและการลงทุน สถาบันการเงิน ๓ องค์กรเอกชน และสมาคมเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๒ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลจากการเยือนศรีลังกาครั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยได้ทราบข้อมูลเศรษฐกิจและโครงการโครงสร้างพื้นฐานโดยตรงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้เห็นสภาพบ้านเมืองหลังสงครามภายในประเทศเพื่อประเมินโอกาสในการเข้าไปประกอบธุรกิจและโอกาสการลงทุนในโครงการต่าง ๆ และจากการเข้าพบและหารือกับบุคคลสำคัญภาครัฐของศรีลังกา ทำให้ศรีลังกาตระหนักถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยและผู้ประกอบการไทยที่จะไปมีส่วนร่วมในโครงการก่อสร้างในศรีลังกา นอกจากนี้ ยังได้สร้างกลไกการขยายความร่วมมือและเครือข่ายด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศและเอกชนกับสถาบันการเงิน ซึ่งจะเป็นช่องทางประสานความร่วมมือกันต่อไปในอนาคต ๒. สำนักงานผู้แทนการค้าไทยได้ทราบจากภาคเอกชนที่ร่วมคณะไปเยือนศรีลังกาว่า บริษัท Team Consulting ร่วมมือกับบริษัท Amerasian ของศรีลังกาเพื่อประมูลโครงการโรงงานไฟฟ้าบาลาโกล่า ขนาด ๒๐ เมกะวัตต์ มูลค่า ๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนโดย ADB บริษัท พิโด้ อินเตอร์เนชั่นแนล จะร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นในศรีลังกาทำโครงการผลิตท่อดำ (PE) มูลค่าประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมรายอื่นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐของศรีลังกาโดยตรงและ/หรือผ่านบริษัทคู่ค้าศรีลังกาเพื่อยื่นข้อเสนอในโครงการต่าง ๆ บางโครงการจำเป็นต้องมีการสนับสนุนด้านการเงินจากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจ กับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยก่อน ๓. ศรีลังกาเพิ่งฟื้นตัวจากสงครามภายในประเทศ ต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก แต่ยังขาดการสนับสนุนด้านการเงิน หากรัฐบาลไทยมีมาตรการสนับสนุนด้านการเงินที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติในตลาดดังกล่าวได้ และเป็นการสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ซึ่งรวมถึงสถาปนิก วิศวกร ช่างเทคนิค และแรงงานไทยควบคู่กับการสร้างตลาดใหม่ให้สินค้า วัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้างต่าง ๆ จากประเทศไทยอีกด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
685 | การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนไม่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง | กษ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการจัดซื้อที่ดินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) จำนวน ๑๕,๘๒๗ - ๓ - ๐๔.๒ ไร่ และเสนอของบประมาณเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน และค่าดำเนินการเกี่ยวกับแหล่งน้ำ โดยให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นหน่วยงานในการจัดซื้อที่ดินเพื่อนำที่ดินมาจัดให้เกษตรกรตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ตามมติคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ รวมทั้งกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการ จำนวน ๑,๖๔๑,๑๖๕,๓๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
๑. การจัดซื้อที่ดินของ บสท. รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดิน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งน้ำ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ มอบหมายให้ธนาคารที่ดิน เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ โดยให้ประสานงานและหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. รูปแบบและการจัดให้เกษตรกรเข้าทำกินในที่ดิน มอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประสานงานและร่วมพิจารณากับสำนักงานโฉนดชุมชน ส.ป.ก. และธนาคารที่ดิน เพื่อดำเนินการคัดเลือกเกษตรกรให้ถูกต้อง เหมาะสมและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยที่ข้อความในมติคณะรัฐมนตรีตามข้อ ๑ และ ๒ มีความคลาดเคลื่อน จึงขอแก้ไขให้ถูกต้องตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/๑๔๗๑๐ ลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็น ดังนี้ ๑. การจัดซื้อที่ดินของ บสท. รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดิน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งน้ำ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ มอบหมายให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ โดยให้ประสานงานและหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. รูปแบบและการจัดให้เกษตรกรเข้าทำกินในที่ดิน มอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประสานงานและร่วมพิจารณากับสำนักงานโฉนดชุมชน ส.ป.ก. และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เพื่อดำเนินการคัดเลือกเกษตรกรให้ถูกต้อง เหมาะสมและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||
686 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 (ครั้งที่ 136) | พน | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๖) เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยที่ประชุม กพช. มีมติ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง อนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ในวงเงินประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๒. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนและขนส่ง จากสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ และให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ ๑ ครั้ง จำนวน ๔ ครั้ง ๆ ละ ๓ บาทต่อกิโลกรัม และให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา ๘.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม โดยคงอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตรา ๒ บาทต่อกิโลกรัม จากสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ ๓. เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๓ ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการน้ำงึม ๓ และให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาซื้อขายดังกล่าวต่อไป เมื่อร่างสัญญาฯ ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างสัญญาฯ ที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่างสัญญาฯ และ/หรือเงื่อนไขสำคัญ ขอให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ในการพิจารณาแก้ไขได้โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบจาก กพช. อีก และเห็นชอบให้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๓ ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งพิจารณาดำเนินการในการปรับอัตราภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์การใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิง ให้มีการแยกตามประเภทรถยนต์โดยมุ่งเน้นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และคำนึงถึงผลกระทบต่อรถยนต์โดยสารสาธารณะ และนำเสนอผลการดำเนินการต่อ กพช. เพื่อพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๕. เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการจัดทำแผนปฏิบัติการของแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ๖. รับทราบหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในประเทศไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ และเห็นชอบในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๖.๑ ให้ใช้หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าประเทศไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ เป็นระยะเวลา ๕ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘) โดยให้มีการประกาศใช้ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ เป็นระยะเวลา ๒ ปี และให้มีการทบทวนในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อการประกาศใช้ต่อไปอีก ๓ ปี ๖.๒ ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย ประเภท ๑.๑ ซึ่งติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าขนาด ๕(๑๕) แอมแปร์ และใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๙๐ หน่วยต่อเดือนเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าที่ด้อยโอกาส ตามมาตรา ๙๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งได้รับการอุดหนุนค่าไฟฟ้าให้ไฟฟ้าฟรี โดยกระจายภาระให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท รวมถึงให้พิจารณาผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นลูกค้าตรงของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนร่วมรับภาระด้วย ๖.๓ ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการลงทุนที่ต่ำกว่าแผนของการไฟฟ้าในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๓ พร้อมทั้งค่าสูญเสียโอกาสทางการเงินในอัตราที่เหมาะสมอย่างน้อยเท่ากับ MLR เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ และนำผลตอบแทนการลงทุน (ROIC) ของ กฟผ. ที่สูงกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้มาปรับลดค่าไฟฟ้าด้วย ๗. เห็นชอบให้ปรับเลื่อนกำหนดโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกไป ๓ ปี และให้สำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (สพน.) รับไปดำเนินการศึกษาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการเตรียมความพร้อมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนอย่างต่อเนื่องในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๘. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเงี้ยบ ๑ และให้ กฟผ. นำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่ได้รับความเห็นชอบแล้วไปลงนามร่วมกับผู้ลงทุนต่อไป รวมทั้งเห็นชอบในหลักการให้ กฟผ. สามารถปรับปรุงเงื่อนไขในร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเงี้ยบ ๑ ในชั้นการจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า ๙. เห็นชอบในหลักการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าและการจ่ายก๊าซ LPG ดังนี้ ๙.๑ ระยะสั้น ให้เพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าก๊าซ LPัG โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ ที่จำหน่ายก๊าซ LPG รายอื่นที่มีศักยภาพในการนำเข้าได้รับเงินชดเชยจากการนำเข้าตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าได้ประมาณ ๒๒,๐๐๐ ตัน/เดือน และเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาค โดยให้ผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายก๊าซ LPG รายอื่นเข้ามามีส่วนช่วยในการขนส่งและกระจายก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาค โดยให้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าขนส่งจากคลังจังหวัดชลบุรีไปยังคลังจำหน่ายในภูมิภาค เช่นเดียวกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) คือ สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาคได้ประมาณ ๑๖,๕๐๐ ตัน/เดือน ๙.๒ ระยะยาว ให้ ปตท. เร่งดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือนำเข้าเขาบ่อยา เพื่อรองรับความต้องการนำเข้าในอนาคตอย่างเพียงพอ โดยการขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าที่คลังก๊าซเขาบ่อยา ให้มีกำลังนำเข้าสูงสุด ๒๕๐,๐๐๐ ตัน/เดือน และก่อสร้างคลังและท่าเรือนำเข้าแห่งใหม่ มีกำลังนำเข้าสูงสุด ๒๕๐,๐๐๐ ต้น/เดือน รวมทั้งขยายระบบคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะ เพื่อขยายขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||
687 | ขออนุมัตจัดทำและลงนามข้อตกลงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) กับมหาวิทยาลัยโตเกียว (University of Tokyo) | กษ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้จัดทำข้อตกลงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) แห่งราชอาณาจักรไทยกับมหาวิทยลัยโตเกียว (University of Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น ตามร่างที่สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เสนอ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ ฝ่ายไทย ๒. อนุมัติในหลักการว่าก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไขร่างข้อตกลงฯ ดังกล่าว ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญขอให้อยู่ในดุลยพินิจของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
|
||||||||||||||||||||||||
688 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) กับ North East Institute of Science and Technology (NEIST) | กษ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) จัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) แห่งราชอาณาจักรไทย กับ North East Institute of Science and Technology (NEIST) แห่งประเทศสาธารณรัฐอินเดีย ตามร่างที่สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เสนอ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๒. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน |
||||||||||||||||||||||||
689 | การลงนามความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่สูงกับต่างประเทศ | กษ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ความเห็นชอบในการจัดทำข้อตกลงและหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อการลงนาม ๒ เรื่อง โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดังนี้ ๑.๑ ข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการไทย - โคลอมเบีย (Technical Cooperation Agreement) ฉบับที่ ๒ ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และหน่วยงาน Accion Social แห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย ๑.๒ หนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และ UNODC ประจำสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งเป็นสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติประจำ สปป.ลาว ๒. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไขร่างข้อตกลงและร่างหนังสือแสดงเจตจำนงในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงการต่างประเทศ ๓. อนุมัติให้ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงหรือผู้แทนเป็นผู้ลงามในข้อตกลงความร่วมมือและหนังสือแสดงเจตจำนง ๔. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามในข้อตกลงและหนังสือแสดงเจตจำนงให้แก่ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงในการลงนามในข้อตกลงและหนังสือแสดงเจตจำนง
|
||||||||||||||||||||||||
690 | การกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) | วท | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนฯ มีดังนี้
๑. การนำทุนของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ไปร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการวัตถุประสงค์ของสำนักงานฯ โดยไม่มุ่งแสวงหากำไรเป็นหลัก แต่ไม่รวมถึงการนำองค์ความรู้ไปดำเนินการกับนิติบุคคลอื่น ๒. ในแต่ละปีงบประมาณ การเข้าร่วมทุนมีวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของเงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ แต่ต้องไม่เกินห้าสิบล้านบาท ๓. สำนักงานฯ เข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ ๔. คณะกรรมการบริหารสำนักงานฯ มีอำนาจพิจารณาอนุมัติการเข้าร่วมทุนในวงเงินไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท ๕. กรณีการเข้าร่วมทุนมีวงเงินเกินกว่าห้าสิบล้านบาทให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ๖. ในการร่วมทุนหากปรากฏว่าเข้าลักษณะการร่วมทุนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ๗. การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น สำนักงานฯ ต้องพิจารณารายละเอียดการดำเนินโครงการการวิเคราะห์หรือแสดงแผนธุรกิจ รายละเอียดอื่นอันจำเป็นกรณีนิติบุคคลนั้นเป็นเอกชน ๘. สำนักงานฯ จะแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและวิเคราะห์โครงการก่อนเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ |
||||||||||||||||||||||||
691 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในแนวเขตพื้นที่ตามร่างประกาศดังกล่าวมีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและเป็นผู้ดำเนินการตามแผนแม่บทของ อพท. และในการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมหรือพัฒนาใด ๆ ในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ ควรเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ รวมทั้งการดำเนินงานที่สอดคล้องตามแผนแม่บทในการบริหารจัดการพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ตลอดจนการนำแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในต่างประเทศมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ภายในขอบเขตพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์หรือสนับสนุนให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และพันธกรณีและหลักเกณฑ์ตามอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสุขภาพดี บนวิถีไทย (จังหวัดสุโขทัย) ของกระทรวงสาธารณสุข และโครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
692 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนครอบคลุม ๓ กลุ่มพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดเลย ซึ่งประกอบด้วยอำเภอเมืองเลย อำเภอเชียงคาน อำเภอท่าลี่ อำเภอภูเรือ อำเภอด่านช้าย อำเภอนาแห้ว อำเภอภูกระดึง อำเภอหนองหิน อำเภอภูหลวง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลยบรรลุตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพการท่องเที่ยวของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ตั้งอยู่ในแนวเขตพื้นที่ตามร่างประกาศฯ มีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและเป็นผู้ดำเนินการตามแผนแม่บทของ อพท. โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก อพท. และให้ อพท. ทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการกลุ่มพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวของจังหวัดเลยกับจังหวัดในกลุ่มท่องเที่ยวเลียบฝั่งแม่น้ำโขง ๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี และการศึกษาแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในต่างประเทศมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่พิเศษดังกล่าวโดยเชื่อมโยงกับกลุ่มท่องเที่ยวเลียบฝั่งแม่น้ำโขงให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ป่าและพันธุ์สัตว์ป่า รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
693 | แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง พร้อมขยายเขตพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมองค์การบริหารส่วนตำบลนาจอมเทียน อีก ๑ แห่ง พื้นที่จำนวน ๒๑ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๓,๑๒๕ ไร่ ซึ่งจะทำให้พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีพื้นที่รวม ๙๔๙.๔๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๕๙๓,๔๑๘.๗๕ ไร่ โดยมีแผนงาน/โครงการและมูลค่าการลงทุนรวม ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ๑.๒ กรอบวงเงินตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง จำนวนเงิน ๑๓,๕๐๗.๓๖ ล้านบาท ระยะเวลา ๑๐ ปี โดยให้องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เป็นหน่วยงานประสานงานและขอรับจัดสรรงบประมาณ แล้วโอนงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโครงการนำไปปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ต่อไป ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี การกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในการถ่ายโอนหลังจากโครงการฯ สิ้นสุดลงแล้วเพื่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว การให้ความสำคัญกับศักยภาพในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity) ทั้งเฉพาะแหล่ง และในภาพรวมของพื้นที่ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและส่งเสริมแนวเชื่อมโยงระบบเส้นทางคมนาคมให้เกิดความร่มรื่น โดยปลูกต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เพื่อความสวยงามและเป็นแนวเส้นทางสีเขียว (Green Corridors) การป้องกันการบุกรุกและการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของแหล่งธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศทั้งภายในและโดยรอบพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการตามแผนแม่บทฯ ควรจะต้องบูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น โดยในส่วนของกรอบวงเงินลงทุนตามแผนแม่บทฯ จำนวน ๑๓๒ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ให้เมืองพัทยาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้เสนอขอตั้งงบประมาณและให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรเป็นรายได้ให้แก่ อปท. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
694 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (รวมจำนวน 6 คน 1. พลตำรวจเอก อำนวย เพชรศิริ ฯลฯ) | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการชุดใหม่ จำนวน ๖ คน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ เมษายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลตำรวจเอก อำนวย เพชรศิริ ประธานกรรมการ ๒. นายอนุรักษ์ อินทรภูวศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการ ๓. พลตำรวจตรี ขรรค์ชัย อนันตสมบูรณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการ ๔. นายสุเมธ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้แทนสมาคมการประชุมนานาชาติ (ไทย) กรรมการ ๕. นายประวิชย์ ศรีบัณฑิตมงคล ผู้แทนสมาคมแสดงสินค้า (ไทย) กรรมการ ๖. นายสุรพงษ์ฅ เตชะหรูวิจิตร ผู้แทนสมาคมโรงแรมไทย กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||
695 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อพท | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ๒. ยกเลิกการกำหนดลักษณะต้องห้ามของประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในการเป็นอนุกรรมการ ๓. แก้ไขการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเรื่องอายุของผู้อำนวยการและเพิ่มเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุของผู้อำนวยการ |
||||||||||||||||||||||||
696 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ทำหน้าที่จัดทำและเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์และประสานความร่วมมือด้านชีววิทยาศาสตร์ ตลอดจนให้บริการทางวิชาการ เผยแพร่ความรู้ และพัฒนาบุคลากรด้านชีววิทยาศาสตร์ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
697 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... | สธ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นองค์การมหาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน ส่งเสริม ขับเคลื่อน ผลักดัน และบริหารจัดการด้านการวิจัยพัฒนา การผลิต การประกันและควบคุมคุณภาพวัคซีน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติว่า หากสามารถปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ให้สอดคล้องกับรูปแบบของการจัดตั้งองค์การมหาชนได้ เห็นควรให้จัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน แล้วดำเนินการต่อไปได้ หรือหากกระทรวงสาธารณสุขเห็นว่าควรคงองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ตามร่างพระราชบัญญัติสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแหล่งรายได้ของกองทุนวัคซีนแห่งชาติที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... ในส่วนของรายรับที่เกิดจากการดำเนินงานของกองทุนฯ ยังไม่แสดงถึงแหล่งที่มาของรายรับที่ชัดเจน จึงเห็นควรเสนอเรื่องการจัดตั้งกองทุนฯ ให้คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนพิจารณาเพื่อประกอบความเห็นของคณะรัฐมนตรีต่อไป รวมทั้งเห็นควรเพิ่มแหล่งที่มาของกองทุนฯ ในหมวด ๓ มาตรา ๒๔ โดยระบุให้กลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานของสถาบันฯ และกองทุนฯ มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนในอัตราที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
698 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการสเปคโตรกราฟ | วท | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการจากที่ได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผลผลิตวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดความรู้ทางดาราศาสตร์ งบเงินอุดหนุน อุดหนุนทั่วไป รายการสเปคโตรกราฟ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ใช้จ่ายจากเงินที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ยี่สิบห้าล้านบาทถ้วน) สำหรับงบประมาณในการพัฒนาเครื่องสเปคโตรกราฟ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ในปีต่อไป ให้สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
699 | รายงานการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2554 | กษ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธานกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติรับทราบผลการดำเนินงาน จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ผลการดำเนินงานของโครงการหลวง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ รายงานการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นที่สูงภาคเหนือ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นที่สูง ๑.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้มูลนิธิโครงการหลวงขอตั้งงบประมาณประจำปีเพื่อดำเนินงานวิจัย งานพัฒนา และการตลาด ที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวงและแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) โดยให้ฝ่ายเลขานุการนำแผนแม่บทฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการแผนงานและงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงและโครงการขยายผลโครงการหลวง โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๒.๔ เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงถนนในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดตาก จำนวน ๙ เส้นทาง โดยให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รับโครงการปรับปรุงเส้นทางดังกล่าวไว้ในแผนพัฒนาเพื่อความมั่นคงและจัดหางบประมาณให้กับหน่วยงานทหารในพื้นที่เป็นผู้ปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป และให้หน่วยงานที่ร่วมดำเนินงานภายใต้แผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงฯ ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานตามแผนแม่บทดังกล่าว ๑.๒.๕ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติเรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาชุมชนในพื้นที่โครงการหลวง โดยให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนแผนงาน และงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมทางหลวงชนบท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวงตามความเหมาะสม และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบว่า “โครงการพระราชดำริ” ที่ระบุในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๖ (ข้อ ๒.๑) หมายรวมถึงงานของมูลนิธิโครงการหลวงด้วย กับเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวง ภายใต้คณะกรรมการ กปส. และให้ กฟภ.รวบรวมความจำเป็นโครงการก่อสร้างขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ภายในพื้นที่โครงการหลวง และโครงการขยายผลโครงการหลวง ทั้งที่ไม่เกินและเกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒.๖ เห็นชอบในหลักข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ไทย - โคลอมเบีย (Technical Cooperation Agreement) ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และ Accion Social สาธารณรัฐโคลอมเบีย และหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และ UNODC สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. ให้เปลี่ยนชื่อข้อความตามหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ สวพส./๑๐๘๔ ลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๔ ข้อ ๒.๒.๕ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาชุมชนในพื้นที่โครงการหลวง ๒) มติคณะกรรมการ กปส. (๒) จากเดิม “...โครงการพระราชดำริ นั้น หมายรวมถึง งานของมูลนิธิโครงการหลวงด้วย” เป็น “...โครงการพระราชดำริ นั้น หมายรวมถึงงานโครงการหลวงด้วย” และให้เปลี่ยนข้อความดังกล่าวที่ปรากฏในข้ออื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการหลวงเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานให้มากขึ้น ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์ให้ อปท. ทั่วประเทศเข้ามาศึกษา ดูงาน เพื่อนำความรู้จากโครงการหลวงไปต่อยอดการพัฒนาในพื้นที่ อปท. แต่ละแห่งได้ นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กปส. พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับการดำเนินงานตามแผนงานและงบประมาณภายใต้แผนแม่บทฯ ควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
700 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... | นร | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดอัตราภาษีที่ดินจัดเก็บสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้ ๑.๑ ไม่เกินร้อยละ ๐.๐๕ ของฐานภาษี สำหรับที่ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรม หรือที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมและที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยมีพื้นที่ที่ใช้ประกอบเกษตรกรรมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของพื้นที่ทั้งหมด ๑.๒ ไม่เกินร้อยละ ๐.๑ ของฐานภาษี สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย หรือที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมและที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยมีพื้นที่ที่ใช้ประกอบการเกษตรกรรมน้อยกว่าสามในสี่ของพื้นที่ทั้งหมด ๑.๓ ไม่เกินร้อยละ ๐.๕ ของฐานภาษี สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างนอกจากข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ๓. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการลดหย่อนภาษี โดยเกณฑ์ขนาดพื้นที่ไม่เกินห้าสิบตารางวาสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และไม่เกินห้าสิบตารางเมตรสำหรับห้องชุด และเกณฑ์ฐานภาษีไม่เกินหนึ่งล้านบาทสำหรับฐานภาษีที่คำนวณได้รวมกันของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งปลูกสร้าง หรือห้องชุด ๔. กำหนดให้มีการจัดสรรเงินภาษีที่จัดเก็บได้และนำส่งให้แก่ธนาคารที่ดิน เพื่อใช้ในกิจการตามวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และวิธีการ ตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งบัญญัติไว้ แต่ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดตั้งธนาคารที่ดิน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรเงินภาษีที่จัดเก็บได้และนำส่งใหแก่สถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบันดังกล่าว โดยสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ต้องแยกบัญชีสำหรับเงินดังกล่าวต่างหากจากการดำเนินกิจการอื่นด้วย และเมื่อสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ยุบเลิกเนื่องจากมีการจัดตั้งธนาคารที่ดินแล้ว การนำส่งเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสิ้นสุดลง และให้โอนเงินเท่าที่เหลืออยู่ให้แก่ธนาคารที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนด
|
.....