ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 33 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 641 - 660 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
641 | การแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ | สบร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อทำหน้าที่กำหนดทิศทาง เป้าหมาย นโยบาย ตลอดจนการควบคุมกิจการทั่วไปของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ อำนาจหน้าที่ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๗ และตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ดังนี้
๑. นายทรงศักดิ์ เปรมสุข ประธานกรรมการ ๒. เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กรรมการ ๓. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรรมการ ๔. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ ๕. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ ๖. นางสิริกร มณีรินทร์ กรรมการ ๗. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา กรรมการ ๘. นายไชยยง รัตนอังกูร กรรมการ ๙. นายสมชัย ส่งวัฒนา กรรมการ ๑๐. นาายอนุพร อรุณรัตน์ กรรมการ ๑๑. ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ กรรมการและเลขานุการ
|
||||||||||||||||||||||||
642 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ในวงเงิน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒. ให้ สพพ. กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารเฉพาะกิจเพื่อนำไปให้ สปป.ลาว กู้ต่อในวงเงินรวม ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๓. ให้ สพพ. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงินและเงื่อนไขอื่น ๆ |
||||||||||||||||||||||||
643 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ | นร | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ชุดแรก ของคณะกรรมการบริหารสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธานกรรมการ ๒. นายถาวร ชลัษเฐียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นางอัญชลี ชวนิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||
644 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลของประเทศไทย | สสป | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลของประเทศไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้รัฐเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการจัดตั้งหน่วยงานทดสอบและรับรองสมรรถนะเครื่องจักรกล โดยให้หน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนที่มีศักยภาพเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ การดำเนินการของหน่วยงานและองค์กรดังกล่าวควรมีการจัดเก็บค่าบริการในระดับราคาที่เหมาะสมเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองในอนาคต โดยระยะแรก (ไม่เกิน ๕ ปี) ไม่ควรเก็บค่าบริการ และควรมีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน (โดยเฉพาะตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักร) และนักวิชาการในสัดส่วนที่เท่ากัน รวมทั้งหน่วยงานทดสอบดังกล่าวจะต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO9001 : 2000 และ ๒. รัฐควรจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลความละเอียดสูงขึ้น โดยมีหน้าที่หลักในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ๓. รัฐควรจัดตั้งสถาบันเครื่องจักรกลแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานอิสระเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดทิศทาง การวิจัย และพัฒนากระบวนการผลิต การพัฒนาบุคลากร การกำหนดมาตรฐาน และการคาดการณ์ความต้องการใช้เครื่องจักรกลของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา รวบรวม และเผยแพร่ในด้านต่าง ๆ หลังจาก ๕ ปี จะได้ปรับเปลี่ยนจากสถาบันเป็นองค์การมหาชนต่อไป ๔. ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณให้แก่หน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนที่มีศักยภาพดำเนินงานร่วมกันในการจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและผลิตเครื่องจักรกลจากต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ประกอบการไทย ๕. รัฐควรสนับสนุนการฟื้นฟูสภาพเครื่องจักรกลดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกันขยายผลโครงการดังกล่าวไปสู่ภาคอุตสาหกรรมต่อไป ๖. รัฐควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการทบทวนและขยายประเภทของเครื่องจักรกลตามประเภทที่ ๔.๒ ของประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้การผลิตเครื่องจักรเป็นกิจการที่ให้ความสำคัญพิเศษ ๗. รัฐควรจัดตั้งหน่วยงานให้บริการร่วมเบ็ดเสร็จ (ของหลายกระทรวงรวมกัน) เพื่อทำหน้าที่รับดำเนินการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ณ จุดเดียวแทนผู้ประกอบการจนแล้วเสร็จ ๘. การเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการกำหนดทิศทางและนโยบายการวิจัยและพัฒนาด้านเครื่องจักรกลของประเทศ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ กระทรวงต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบดังกล่าว รวมทั้งเชิญผู้แทนภาคเอกชนไม้น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ (โดยเฉพาะผู้ผลิตและผู้ใช้เครื่องจักรกล) เข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการหรือคณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางและนโยบายการวิจัยและพัฒนาด้านเครื่องจักรกลของประเทศ ๙. รัฐควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ ได้รับสิทธิพิเศษในการได้รับการหักภาษีคืนร้อยละ ๒๐๐ หรือยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจัดซื้อเครื่องจักรที่ผลิตได้ในประเทศ ๑๐. รัฐควรจัดตั้งหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านการเงิน (finance) และการเช่าซื้อ (leasing) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนปรนเรื่องกฎระเบียบ เรื่องเอกสารการขอสนับสนุนเพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเป็นการช่วยเหลือผู้ผลิต ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง โดยใช้เครื่องจักรเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
|
||||||||||||||||||||||||
645 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ครั้งที่ 3 | กษ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ณ หอคำหลวง โดยมีนายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลรายงาน และนายชุมพล ศิลปะอาชา รองนายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือที่ระลึก โดยในวันเปิดงานมีผู้เข้าชมงานรวม ๓๑,๖๒๐ คน ๒. จำนวนผู้เข้าชมงามมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ผู้เข้าชมงานก่อนเปิดงาน ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ - ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีจำนวนทั้งสิ้น ๙๔,๗๒๓ คน และผู้เข้าชมงานตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๒๖๙,๑๘๓ คน ๓. การเข้าร่วมงานของต่างประเทศ มีประเทศเข้าร่วมจัดสวนนานาชาติ จำนวน ๓๒ ประเทศ/องค์กร และมีการแสดงวัฒนธรรม จำนวน ๙ ประเทศ ๔. ด้านนิทรรศการ กิจกรรม และสวนเฉลิมพระเกียรติฯ ได้แก่ การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ในหอคำหลวง โดยนำเสนอพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และในอาคารนิทรรศการ ๑ จัดแสดงนิทรรศการโดยใช้แนวคิด “ตามรอยพ่อ เกษตร คือทางออกเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน” และจัดสวนเฉลิมพระเกียรติฯ โดยมีหน่วยงานจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมจัดสวน จำนวน ๒๓ สวน และหน่วยงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมจัดสวน จำนวน ๑๗ หน่วยงาน ๕. ด้านนิทรรศการ กิจกรรมวิชาการพืชสวนและสมุนไพร มีการจัดนิทรรศการในส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วย นิทรรศการหมุนเวียนในอาคารนิทรรศการ ๒ ซึ่งมีหัวข้อนิทรรศการจัดแสดง ๑๑ นิทรรศการ นิทรรศการและกิจกรรมในสวนสมุนไพร ใช้แนวคิด “เลิศล้ำค่าสมุนไพรไทย ก้องกังวานไกลในแหล่งหล้า รวมศาสตร์รวมศิลป์ที่พัฒนา ผสมผสานภูมิปัญญาค่าเลิศล้ำ” ยึดหลัก 3Gs และ 3Rs การจัดนิทรรศการบัว ใช้แนวคิด “บัวไทยไปไกลทั่วโลก” จัดแสดงนิทรรศการพันธุ์บัวประดับทั้งของไทยและต่างชาติ นิทรรศการกล้วยไม้ ใช้แนวคิด “3Gs 3Rs Orchid Academy : ศูนย์การเรียนรู้แห่งกล้วยไม้ 3Gs 3Rs” จัดนิทรรศการสวนสัตว์กล้วยไม้แบบเทียม สัณฐานวิทยากล้วยไม้ และนิทรรศการในอาคารโลกแมลง ใช้แนวคิด “ภุมราพรั่งพฤกษาไพร โลกนี้ไซร้ฤาจักร้อน” ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วนของแมลงมีชีวิตและไม่มีชีวิต ๖. การประเมินความพึงพอใจและความคิดเห็นของผู้เข้าชมงาน โดยในส่วนของความพึงพอใจของผู้เข้าชมงานที่มีต่อสถานที่จัดงานและการบริการของฝ่ายจัดงาน ผู้เข้าชมงานมีความพึงพอใจ ในด้านความสุภาพ/การให้คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ในระดับดี รองลงมาเป็นเรื่องของคู่มือชมงาน และสิ่งที่ควรปรับปรุงคือ ควรมีถังขยะให้เพียงพอ และดูแลความสะอาดของห้องน้ำ สำหรับความพึงพอใจในส่วนจัดแสดงภายในงาน ผู้เข้าชมงานมีความพึงพอใจในหอคำหลวงมากที่สุด รองลงมาเป็นการแสดงม่านน้ำ กระเช้าราชพฤกษ์ลอยฟ้า และสวนเฉลิมพระเกียรติประเภทองค์กร ตามลำดับ |
||||||||||||||||||||||||
646 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) แทนตำแหน่งที่ว่าง | วธ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเศรษฐา ศิระฉายา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรม ภาพยนตร์ ดนตรี โทรทัศน์ ในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
647 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ | วท | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ จำนวน ๖ คน ตามนัยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ๒. นายปิยะสกล สกลสัตยาทร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านชีววิทยาศาสตร์ ๓. นายอมเรศ ภูมิรัตน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านชีววิทยาศาสตร์ ๔. นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจและการลงทุน ๕. นายพินิจ กังวานกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจและการลงทุน ๖. นายปรีชา พันธุ์ติเวช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหาร
|
||||||||||||||||||||||||
648 | รายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ทันกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรจะจัดหาพัสดุให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาว่าแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ.) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วัน แล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งานเพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ได้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ถือปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในสังกัดการบังคับบัญชาหรือการกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร
|
||||||||||||||||||||||||
649 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) | ยธ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๙๘,๙๖๒,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นทุนประเดิมในการจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย จำนวน ๙๘,๙๖๒,๕๐๐ บาท และเป็นค่าดำเนินการอนุวัติข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขัง หรือ “Bangkok Rules” จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
650 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2555 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ จังหวัดอุดรธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) รวม ๕ เรื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ - หนองคาย โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และโครงการปรับปรุงขยายช่องทางการจราจรเพื่อการคมนาคมและการท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำโขงเส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และเส้นทางหมายเลข ๒๑๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของ กกร. ไปพิจารณา ดังนี้ ๑.๑.๑ ศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ ระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กันไป ๑.๑.๒ ศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ศึกษาไว้ และเร่งเสนอโครงการฯ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๓ ศึกษารายละเอียดถึงความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๑.๑.๔ ศึกษาความเหมาะสมปรับปรุงโครงข่ายทางถนนบริเวณชายแดนไทย เส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และ ๒๑๒ เชื่อมโยงหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร เพื่อรองรับการลงทุนและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม และหนองคาย การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industrial Estate) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และการขยายเวลาเปิดด่านสากลจังหวัดนครพนม (ชายแดนไทย - ลาว) ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง และเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕) ๑.๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น ๑.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของการขยายเวลาเปิดทำการของจุดผ่านแดนถาวรจังหวัดนครพนมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับโครงการจัดการน้ำ โขง - เลย - ชี - มูล โดยแรงโน้มถ่วงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมและความสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และให้ดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ๑.๔ ข้อเสนอของ กกร. และ สทท. เกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย การพัฒนาระบบบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้มีความคล่องตัว และการพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการในกลุ่มพื้นที่ให้สามารถแข่งขันได้เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการเพื่อให้พิพิธภัณฑ์สิรินธรสามารถเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และค้นคว้าทางวิชาการ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณารูปแบบที่คล่องตัวในการบริหารที่เหมาะสม ๑.๔.๓ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสถาบันการศึกษาในพื้นที่พิจารณาจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนและการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาทักษะด้านภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในประเทศสมาชิกอาเซียนให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ๑.๕ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... และนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาจัดเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการโอนทรัพย์สินและการบริหารจัดการทั้งบุคลากร และการเงิน รวมทั้งการเตรียมการด้านวิชาการ ส่วนโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น เห็นควรพิจารณาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในการลงทุนและการใช้ประโยชน์ โดยให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ - หนองคาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
651 | ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับการยกเว้นภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมภาษีประจำปีที่ค้างชำระของหน่วยงานราชการ) และร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีค้างชำระของหน่วยงานราชการ) จำนวน 2 ฉบับ | คค | 15/01/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมิให้นำมาตรา ๒๓ เกี่ยวกับการห้ามมิให้ผู้ใดประกอบการขนส่งประจำทาง การขนส่งไม่ประจำทาง การขนส่งโดยรถขนาดเล็ก หรือการขนส่งส่วนบุคคล เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน มาใช้บังคับแก่การขนส่งส่วนบุคคลซึ่งหน่วยงานของรัฐ มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ สภากาชาดไทย และสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล เป็นผู้ประกอบการขนส่ง แต่ผู้ประกอบการขนส่งต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้เสมือนดังเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลทุกประการ ๑.๒ กำหนดให้รถที่ใช้ในการขนส่งส่วนบุคคลของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ และสภากาชาดไทย ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ๑.๓ กำหนดให้บรรดาภาษีประจำปีของรถของหน่วยงานตามมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นอันระงับไป ๒. ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีให้แก่รถของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เฉพาะรถที่มิได้ใช้ในทางการค้าหรือหากำไร ๒.๒ กำหนดให้บรรดาค่าธรรมเนียมและภาษีประจำของรถของหน่วยงานตามมาตรา ๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็นอันระงับไป
|
||||||||||||||||||||||||
652 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เรื่อง ร่างประกาศแนวทางการปรากฏของสินค้าในเนื้อหารายการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ | สว | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เรื่อง ร่างประกาศแนวทางการปรากฏของสินค้าในเนื้อหารายการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยสาระสำคัญของผลการดำเนินงานของส่วนราชการ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงศึกษาธิการ มีความเห็นสอดคล้องในทุกประเด็นตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้พิจารณาไว้ ทั้งในข้อสังเกตและข้อเสนอแนะบทที่ ๓ และบทที่ ๔ นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการขอเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ ในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชนต้องไม่มีโฆษณาแฝง แทรก หรือปรากฏในรายการไม่ว่ากรณีใด ๆ เพื่อเป็นการปกป้องเด็กและเยาวชนจากค่านิยมและพฤติกรรมบริโภค ๑.๒ ควรกำหนดเกณฑ์ของเนื้อหาในโฆษณาประจำรายการ ๑.๓ รัฐควรมีนโยบายให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ หรือองค์การมหาชนของรัฐ จัดงบประมาณเพื่อการสนับสนุนรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชน ๑.๔ ควรมีมาตรการให้สถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการค้าลดค่าเช่าเวลาเพื่อการออกอากาศรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชน ๒. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แจ้งผลการพิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เรื่อง แนวทางการปรากฏของสินค้าในรายการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์นั้น สคบ. ได้นำเสนอรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น) แล้ว ไม่เห็นชอบกับร่างดังกล่าว สคบ. จึงได้ยุติการดำเนินการจัดทำร่าง ฯ และส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ รับไปดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ต่อไป ๓. กรมประชาสัมพันธ์ - สคบ. แต่งตั้งผู้แทนกรมประชาสัมพันธ์เป็นคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการโฆษณาในรายการสถานีวิทยุโทรทัศน์ จัดทำร่างฯ เสนอให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น) ประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณา ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่เห็นชอบกับร่างดังกล่าว ในการนี้ อำนาจหน้าที่กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงเห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติรับไปดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ต่อไป ๔. กระทรวงคมนาคม ได้รับรายงานจากหน่วยงานในสังกัด ดังนี้ ๔.๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วไม่มีความเห็นแต่ประการใด ๔.๒ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พิจารณาแล้วมีความเห็นไม่ขัดแย้งแต่อย่างใด ๔.๓ บริษัท ขนส่ง จำกัด พิจารณาแล้วเห็นว่า การออกประกาศตามร่าง ฯ ที่เสนอจะต้องออกโดยอาศัยอำนาจที่มีอยู่นั้น ในส่วนโฆษณาที่ติดกับรถโดยสารทุกครั้ง บริษัท ขนส่ง จำกัด จะต้องได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก จึงจะดำเนินการได้ ตามประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องหลักเกณฑ์ และวิธีการให้ความเห็นชอบตัวอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายเพื่อการโฆษณาที่ตัวถังที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารประจำทางและไม่ประจำทาง ๔.๔ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาแล้วไม่มีข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าวแต่ประการใด ๔.๕ การรถไฟแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า การปรากฏของสินค้าในพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย ๔.๕.๑ พื้นที่ติดตั้งป้ายโฆษณาและรูปแบบของป้ายโฆษณากำหนดให้ติดตั้งในรถโดยสารภายในอาคารและชานชาลาสถานี และพื้นที่โดยทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทยต้องอยู่ในเงื่อนไขสัญญาเช่าอย่างเคร่งครัด ๔.๕.๒ การปรากฏภาพและข้อความ ภาพ และข้อความต้องสุภาพได้รับอนุญาต ต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี หรือต่อกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย และต่อกฎหมาย โดยผู้ได้รับสิทธิให้เช่าต้องเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายพิจารณาและได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อนที่จะนำภาพและข้อความหรือสื่อโฆษณาลงเผยแพร่ทุกครั้ง ๔.๖ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพพิจารณาแล้วเห็นว่าบนรถโดยสารที่อยู่ในการกำกับดูแลขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพไม่มีการโฆษณาสินค้าผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ ๔.๗ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ๔.๗.๑ อนุญาตให้บริษัท เดอะวันพลัส จำกัด ประกอบกิจการติดตั้งเครื่องรับโทรทัศน์และบริหารจัดการระบบสถานีโทรทัศน์ ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง , ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานหาดใหญ่, ท่าอากาศยานภูเก็ตและท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย มีกำหนด ๓ ปี โดยมีเงื่อนไขในการประกอบกิจการคือ บริษัท เดอะวันพลัส จำกัด จะต้องเผยแพร่ภาพและเสียงรายการข่าวสารต่าง ๆ ทั้งภายในภายนอกท่าอากาศยาน ตลอดจนรายการบันเทิงและสารคดี โดยสามารถแพร่ภาพเสียงโฆษณาได้ตามสัดส่วนชั่วโมงละ ๙ นาที ๔.๗.๒ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) อนุญาตให้บริษัท เวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด ประกอบกิจการผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์และโฆษณาผ่านเครื่องรับโทรทัศน์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีกำหนด ๕ ปี โดยมีเงื่อนไขในการประกอบกิจการ คือ บริษัท เวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเม็นท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด จะต้องผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์และโฆษณาในสัดส่วนของรายการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเนื่องในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ร้อยละ ๒๕ รายการของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร้อยละ ๓๐ รายการข่าว สารคดี สาระความบันเทิงประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยและสังคมไทย ร้อยละ ๒๐ และโฆษณาทางโทรทัศน์ ร้อยละ ๒๕ ๔.๗.๓ เงื่อนไขอื่น ๆ ในการประกอบกิจการดังกล่าวซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้รับอนุญาต ดังนี้ ๔.๗.๓.๑ ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ประกอบตามสัญญานี้ ไม่ว่ากฎหมายนั้นจะมีบังคับใช้อยู่ก่อน หรือที่จะกำหนดขึ้นใหม่ก็ตาม ๔.๗.๓.๒ ผู้รับอนุญาตต้องจัดทำผังรายการทั้งหมดทั้งรายละเอียดการโฆษณา เสนอให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการแพร่ภาพออกอากาศ ๔.๗.๓.๓ ภาพหรือข้อความเสียงใด ๆ ที่เผยแพร่ทางจอภาพจะต้องอยู่ในขอบเขตที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กำหนด ไม่ขัดต่อประเพณี วัฒนธรรม และศีลธรรมอันดีของไทย ภาพหรือข้อความหรือวัสดุบันทึกภาพและเสียงหรือแผ่นวีซีดี ดีวีดี หรือสื่ออื่น ๆ ที่เผยแพร่ทางจอภาพจะต้องเสนอให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาและตรวจสอบเป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๕ วัน ก่อนที่ผู้รับอนุญาตจะรับไปแพร่ภาพ ๔.๗.๓.๔ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สงวนสิทธิ์ที่จะให้ผู้รับอนุญาตระงับการแพร่ภาพทันที หากบริษัท ท่าอากาศยาน จำกัด (มหาชน) ตรวจสอบพบว่าผู้รับอนุญาตแพร่ภาพที่ไม่เหมาะสมโดยผู้รับอนุญาตตกลงปฏิบัติตาม และจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งสิ้น และจะแพร่ภาพได้อีกเมื่อได้รับอนุญาตจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เท่านั้น |
||||||||||||||||||||||||
653 | รายงานประจำปี 2553 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (International Institute for Trade and Development : ITD) สรุปสาระสำคัญของรายงานได้ ดังนี้
๑. ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ITD ได้ดำเนินการจัดการศึกษาและฝึกอบรมให้บุคลากรภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ITD ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และตามพันธกรณีในความตกลงที่รัฐบาลไทยได้ทำไว้กับที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น งานวิจัย ๘ โครงการ งานฝึกอบรม ประชุม และสัมมนา ๓๓ กิจกรรม มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งสิ้น ๒,๓๓๔ คน ทั้งนี้ ในการดำเนินการ ITD ได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้ประเทศไทยมีความโดดเด่นในสายตาของมิตรประเทศในเอเชีย และองค์การระหว่างประเทศ ในด้านการสร้างเสริมศักยภาพของบุคลากร (Capacity Building) ในด้านการค้าระหว่างประเทศและการพัฒนา ๒. อำนาจหน้าที่หลักของ ITD คือ การจัดการศึกษาอบรม และให้การสนับสนุนเพื่อการค้นคว้าวิจัยแก่บุคลากรของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การเงิน การคลัง การลงทุน การพัฒนา และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์และแนวทางการยกเลิกข้อจำกัดทางการค้าต่าง ๆ ๓. ITD มีกิจกรรมหลักในการดำเนินงาน ๓ กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมการรวบรวมองค์ความรู้อย่างเป็นระบบและการวิจัย กิจกรรมการจัดการศึกษาอบรม และกิจกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ๔. ITD ได้ดำเนินโครงการวิจัยรวม ๘ โครงการ ได้แก่ ๔.๑ การเคลื่อนย้ายแรงงานวิชาชีพเข้าสู่ตลาดแรงงานตามมาตรฐานอาเซียน ๔.๒ ทิศทางการย้ายฐานการผลิตภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๔.๓ การสำรวจข้อมูลการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน ๔.๔ การพัฒนายุทธศาสตร์กำลังคนและงานวิจัยเพื่อรองรบกระแสจีนภิวัตน์ ๔.๕ การอำนวยความสะดวกทางการค้าและผลกระทบต่อการค้าของประเทศไทย ๔.๖ การประเมินผลกระทบจากมาตรการการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Border Cardon Adjustment) และการเตรียมความพร้อมของไทย เพื่อรักษาขีดความสามารถการแข่งขันในการค้าระหว่างประเทศ ๔.๗ การศึกษามาตรการ Border Carbon Adjustments ในการลดโลกร้อน : มิติด้านกฎหมาย ๔.๘ เศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการพัฒนาประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
654 | ขอความเห็นชอบโครงการ Sustainable Management of Biodiversity in Thailand's Production Landscape (การบริหารจัดการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรจากฐานชีวภาพอย่างยั่งยืน) | ทส | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ดำเนินการตามโครงการ Sustainable Management of Biodiversity in Thailand’s Production Landscape โดยการบูรณาการการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพในการผลิตและการตลาดของสินค้าจากทรัพยากรชีวภาพ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอนุรักษ์ฐานทรัพยากรเพื่อเป็นแหล่งรายได้และความมั่นคงของชีวิต ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘) งบประมาณดำเนินการ ประกอบด้วย งบประมาณสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ๑.๙๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๕๘.๒ ล้านบาท) และการสมทบงบประมาณจากรัฐบาลไทย (in - kind) ๕.๕๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๑๖๕.๕๔ ล้านบาท) ๑.๒ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ลงนามในเอกสารโครงการฯ ร่วมกับผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme - UNDP) ประจำประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาติดตามประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะ และศึกษาโอกาสในการขยายการดำเนินงานให้แพร่หลายและครอบคลุมกิจกรรมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอื่น ๆ ในประเทศ สนับสนุนการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม รวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
655 | ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | วธ | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งเป็นการจัดทำยุทธศาสตร์ฯ ให้มีความต่อเนื่องจากยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔) เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยใหม่มีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน มีกลไกการบริหารจัดการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของเอเชีย และเป็นแหล่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่สำคัญในตลาดโลก โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ การพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ เสริมสร้างให้ประเทศไทยเป็นเขตปลอดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เสริมสร้างค่านิยมที่เหมาะสมในการบริโภคภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่งเสริมธุรกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์กับต่างประเทศ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้บริการของภาครัฐเพื่อลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ เช่น การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ การอำนวยความสะดวกหรือประสานงานด้านโลจิสติกส์ต่าง ๆ ให้กับธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เป็นต้น ส่วนข้อจำกัดหรืออุปสรรคจากโครงสร้างระบบภาษีต่อการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กระทรวงการคลังจะพิจารณาตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี นอกจากนี้ ในร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฯ ควรมีความชัดเจนในด้านกลไกการดำเนินงาน กระบวนการทำงาน และแผนปฏิบัติการเพื่อให้สามารถบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการระดมความร่วมมือจากผู้ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการตามยุทธศาสตร์มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ตามร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฯ ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นใหม่ และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) ให้กระทรวงวัฒนธรรมนำเรื่องนี้ไปพิจารณารวมกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาหน่วยงานของกระทรวงเพื่อจะได้พิจารณาในภาพรวมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
||||||||||||||||||||||||
656 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว | กค | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอยู่แล้ว เข้ามาทำหน้าที่ กำกับดูแลและติดตามผลการปฏิบัติงาน ได้แก่ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ให้เป็นหน่วยงานกำกับและดูแลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว และสำนักงานประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สังกัดกรมทรัพยากรน้ำให้เป็นหน่วยงานประเมินผลและติดตามการปฏิบัติงาน ๒. ให้ สพพ. และสำนักงานประสานความร่วมมือระหว่างประเทศร่วมกับหน่วยงานหลักที่ได้รับการเสนอแนะให้ดูแลการดำเนินงานตามยุทธศาตร์ต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ ยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าเกษตร โดยให้หน่วยงานทั้งสองมีการประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง ๕ ได้แก่ หนองคาย มุกดาหาร เชียงราย อุบลราชธานี และนครพนมที่รับผิดชอบ เสนอแนะแผนของแต่ละจังหวัดเข้ามา และกำหนดแนวทางการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน ตลอดจนการตรวจสอบการทำงานให้สอดคล้องกับแผนงานของกระทวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่มีการค้าขายข้ามชายแดน ไทย - ลาว ๒.๒ ยุทธศาสตร์การสนับสนุนการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีศักยภาพ มีทั้งสิ้น ๕ ชนิดสินค้า ได้แก่ อุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมยางพารา อุตสาหกรรมมันสำปะหลังและแปรรูป อุตสาหกรรมแปรรูปข้าวโพด อุตสาหกรรมข้าวเหนียวและแปรรูป เสนอแนะให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรและกรมเจรจาการค้า สังกัดกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับทิศทางความต้องการของตลาดสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวางแผนการผลิตและกระจายสินค้า ๒.๓ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย และ สปป.ลาว ควบคู่กัน โดยให้หน่วยงานทั้งสองมีการประสานงานและดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ให้สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทย - ลาว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และให้มีการศึกษาถึงทิศทางที่เป็นไปได้ในการอำนวยความสะดวกของการผ่านแดนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้าน Visa ของกระทรวงการต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
657 | แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารศูนย์คุณธรรม | วธ | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์คุณธรรม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามนัยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๓ (๑) และ (๓) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. ประธานกรรมการ คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ เทียนฉาย กีระนันทน์ ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๖ คน คือ ๒.๑ นายวัชรมงคล เบญจธนะฉัตร์ ๒.๒ นายสิน สื่อสวน ๒.๓ นางสาวนราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ๒.๔ ศาสตราจารย์ ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ๒.๕ พลโท นิวัติ บูรณะกุล ๒.๖ นางฑิฆัมพร กองสอน
|
||||||||||||||||||||||||
658 | การพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้าราชการตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้คงมติคณะรัฐมนตรึเกี่ยวกับข้าราชการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ จำนวน ๑๓ มติ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๑๒ มติ ให้คงไว้เนื่องจากเป็นหลักการที่ต้องถือปฏิบัติ และไม่มีผลกระทบต่อนโยบายรัฐบาล ได้แก่ ๑.๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔ เรื่อง การเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ๑.๑.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๔ เรื่อง การพิจารณาให้ความช่วยเหลือข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง ๑.๑.๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๖ เรื่อง การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปราบปรามข้าราชการเล่นการพนันสลากกินรวบ และการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางลงโทษข้าราชการเล่นการพนันและเสพสุรา ๑.๑.๔ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๖ เรื่อง การเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ๑.๑.๕ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๖ เรื่อง การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามข้าราชการและพนักงานขององค์การรัฐบาลเล่นการลงแชร์ ๑.๑.๖ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๖ เรื่อง ขอหารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ๑.๑.๗ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๗ เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประกันตัวผู้ต้องหาคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๑.๘ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การพิจารณาการกระทำผิดวินัยของข้าราชการ ๑.๑.๙ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เรื่อง ขออนุมัติให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างประจำ ในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับของรัฐ หน่วยงานองค์กการมหาชน และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจมาปฏิบัติงานในมูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (มอนส) ๑.๑.๑๐ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๑๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว ๑.๑.๑๒ มติคณะรฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม ๑.๒ มติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๑ มติ ให้คงไว้เนื่องจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ยังจำเป็นต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงานที่มีความรอบรู้และมีความชำนาญเฉพาะด้าน คือ มติคณะรฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔ เรื่อง ขออนุมัติให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐช่วยปฏิบัติงานในสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒ มติ ได้แก่ ๒.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๕ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐช่วยปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ๒.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๖ เรื่อง มาตรการต่อข้าราชการที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล |
||||||||||||||||||||||||
659 | ประเด็นข้อเสนอแนะของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) | สมศ | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประเด็นข้อเสนอแนะของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ตามที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เสนอ ดังนี้
๑. ขอให้รัฐกำกับดูแลการก่อตั้งสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา และให้มีการกำกับดูแลไม่ให้สถานศึกษาจัดการศึกษานอกที่ตั้ง ๒. ขอให้รัฐให้ความสำคัญกับการนำผลการประเมินคุณภาพการศึกษาไปใช้ทั้งระบบเพื่อการพัฒนาการศึกษาของประเทศทั้งในด้านการกำกับความต่อเนื่องเชิงนโยบาย ปริมาณและคุณภาพ เช่น การนำผลการประเมินไปใช้ประกอบการพิจารณาให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นต้น ๓. ขอให้มีการพิจารณาปรับเพิ่มอัตราบุคลากรและงบประมาณให้เหมาะสมและสอดคล้องกันพันธกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
660 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ | กก | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการรายการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ วงเงินทั้งสิ้น ๑๔๒,๗๔๗,๐๐๐ บาท (รายการที่ ๖) งานครุภัณฑ์ประกอบอาคารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ วงเงิน ๑๓๒,๒๙๓,๐๐๐ บาท และ (รายการที่ ๗) งานครุภัณฑ์ประกอบอาคารศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาและกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑๐,๔๕๔,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับรายการที่ ๓ งานภูมิสถาปัตยกรรม วงเงิน ๙๒๘,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาปรับแผนการดำเนินงานโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีผลบังคับใช้ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับวงเงินงบประมาณที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอขออนุมัติในครั้งนี้ จำนวน ๔๕๐,๗๗๙,๑๗๙ บาท ประกอบด้วยรายการก่อสร้าง ๖ รายการ (รายการที่ ๑, ๒, ๔, ๕, ๘ และ ๙) ได้แก่ งานก่อสร้างรั้วรอบโครงการฯ งานสถาปัตยกรรมอาคารศูนย์ประชุมฯ งานระบบวิศวกรรมไฟฟ้าและสื่อสารอาคารศูนย์ประชุมฯ งานระบบวิศวกรรมไฟฟ้าและสื่อสารอาคารศูนย์ส่งเสริมฯ งานขยายเขตระบบไฟฟ้า และงานขยายเขตระบบประปา วงเงิน ๓๐๗,๑๐๔,๑๗๔ บาท ซี่งแยกเป็นรายการที่อยู่ภายใต้กรอบของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มรายการดำเนินงานและกรอบวงเงินงบประมาณโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่) จำนวน ๓ รายการ (รายการที่ ๒, ๔ และ ๕) จำนวน ๒๒๓,๓๔๐,๐๐๐ บาท และเป็นรายการที่จำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้โครงการฯ แล้วเสร็จและเปิดใช้ได้ตามกำหนด จำนวน ๓ รายการ (รายการที่ ๑, ๘ และ ๙) ซึ่งสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายไว้แล้ว โดยสามารถใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ส่วนรายการที่ ๖ และ ๗ เป็นรายการที่จะต้องขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติม โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องดำเนินการตามขั้นตอนและเงื่อนไขของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประสานกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) เพื่อขอความร่วมมือในการเตรียมงานเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างกระแสการรับรู้อย่างกว้างขวาง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งควรเร่งศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับการเปิดตัวโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....